ในเมื่อจิตสงบแล้ว มันไม่มีความรู้ แล้วมันขึ้นวิปัสนาที่ตอนไหน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปราบเทวดา, 21 พฤษภาคม 2020.

  1. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    เกร็ดธรรม

    หลวงปู่พุธ ฐานิโย

    วัดป่า สาละวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา


    เราสังเกตุดูว่า
    ในเมื่อจิตสงบแล้ว มันไม่มีความรู้ แล้วมันขึ้นวิปัสนาที่ตอนไหน

    เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน
    ในเมื่อท่านทำจิตให้สงบนิ่งเป็นสมาธิขั้นละเอียดแล้ว
    ในขณะนั้นความรู้สึกที่จะยกจิตไปไหนเนี๊ยะมันไม่มีแล้วล่ะ

    อย่าไปหาว่า
    แต่เราต้องรอเวลาที่จิตถอนจากสมาธิขั้นนี้มาแล้ว
    พอรู้สึกว่ามีกายปรากฎเท่านั้น อย่ารีบดีใจ กระโดดโลดเต้นออกจาก
    ที่นั่งสมาธิทันที
    พระอาจารย์สิงห์ ท่านสอนให้ พิจารณาทบทวนความเป็นไปของจิต
    ในระหว่างที่ทำสมาธิภาวนาก่อน เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนจิตให้เกิดมีควาคิด
    หรือบางทีพอจิตถอนออกมาแล้ว รู้สึกมีกายปั๊ปเท่านั้น ความคิดบังเกิดขึ้นทันที
    ในเมื่อจิตมีความคิดบังเกิดขึ้น เราปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติตามรู้ไปรู้ไปรู้ไป

    นี่เป็นลักษณะของจิตเดินก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสนา

    แต่ในคัมภีร์ ท่านกล่าวว่า การเจริญ วิปัสนานี่
    ต้องกำหนดพิจารณา ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘
    พิจารณาปัจจยาการ
    อวิชาปัจจยาสังขารา อันนั้นเป็นภาคปฏิบัติ
    แม้ว่าเราจะตั้งใจกำหนดจิตพิจารณา
    รูปังอนิจจัง เวทนาอนิจจา รูป เวทนา สัญญา สังขาร
    วิญญาณไม่เที่ยง

    เรานึกเอา นึกเอา นึกเอา ด้วยความคิดธรรมดาๆ นี่แหล่ะ แต่เมื่อจิตสงบลง
    เป็นสมาธิแล้วนี่ มันทิ้งคำว่า อนิจจังทุกขังอนัตตาไปแล้ว
    จ้างอีกมันก็ไม่มีคำว่า รูปังอนิจจัง เวนาอนิจจา รูปัง ทุกขัง มันก็ไม่มี พอสงบปั๊ปลงไปเป็นสมาธิ
    มันจะบรรดาล ให้เกิด ความรู้ ความคิดขึ้นมาเอง โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ


    ที่นี่เมื่อจิต ของเราเกิดความรู้ ความคิดขึ้นมาเองเนี๊ยะ พึงรู้เถิดว่า
    ความคิดเป็นวิตก สติรู้พร้อมเป็น วิจาร
    ถ้าเราไม่เข้าใจผิด

    ปล่อยให้มันคิดไป ตามอำเภอใจของมัน แล้วเราจะรู้สึกว่า
    มีปีติ มีความสุข มีกายเบาจิตเบา
    แล้วจิตก็ได้สมาธิขั้นต้น
    ซึ่งเรียกว่า
    ปฐมฌาน มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกคัคตา

    นี่ ลองลอง ลอง ลอง ดู
    อย่าไปยึดมั่นแต่เพียงแค่ว่า ภาวนา พุทโธ พุทโธ แล้ว
    พอจิตทิ้งพุทโธแล้ว ดึงมาหาพุทโธอีก
    มันจะเป็นการเริ่มต้นอยู่ตลอดเวลา

    ต้องพิจารณาดูให้ดี ว่า

    พุทโธ ที่เราคิดอยู่ก็คือความคิด
    ความคิดที่จิตคิดขึ้นมาเองก็คือความคิด


    เพราะฉะนั้น ในช่วงใด ที่จิต คิดไม่เป็น
    เราเอาพุทโธ พุทโธ มากระตุ้น ให้มันเกิดพลังแห่งความคิด

    ทีนี่เมื่อมันสงบลงไปนิดหน่อย
    มันทิ้งพุทโธ มันไปหาความคิดใหม่ของมันมา
    ก็ปล่อยให้มันคิดไป แต่ให่มี สติสัมปชัญญะ ตามรู้ไปเรื่อยๆ

    ต่อไปแล้ว อะไรมันเกิดขึ้น ให้กำหนดรู้ สิ่งนั้น

    เพียงแต่เรากำหนดรู้จิตของเราอยู่เฉยๆ

    อะไรมันเกิดขึ้นกับจิตเราจะรู้เองโดยอัตโนมัติ
    ในเมื่อรู้แล้วก็ให้ มีสติกำกับ อย่าไปเผลอ สติ
    สติตัวเดียวเท่านั้นเป็นเรื่องสำคัญ


    หลวงปู่แหวน ท่านเคยให้คติเตือนใจว่า
    อย่าไปดูอื่น ให้จี้ ลงที่จิต ของตนเอง
    บาปมันเกิดที่จิต
    บุญมันเกิดที่จิต
    ดีมันเกิดที่จิต
    ชั่วมันเกิดที่จิต
    เพราะฉะนั้นให้ดูจิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
    แล้วเราสามารถ ที่จะรู้หมดทุกสิ่ง ทุกอย่าง


    และอีกอย่างหนึ่ง
    มีผู้กล่าวว่า ถ้าจิต เกิดความคิดอะไรขึ้นมา

    เกิดความรู้อะไรขึ้นมา

    ให้พิจารณา สิ่งนั้น

    แล้วก็ไปเข้าใจว่า

    เราตั้งใจพิจารณา ตั้งใจคิด

    แต่ความจริงน่ะ

    ไม่ใช่อย่างนั้น คำว่า พิจารณา นี่ ก็หมายถึงว่า
    กำหนดรู้สิ่ง ที่มันเกิดขึ้นดับไปเอง โดยอัตโนมัติ

    ที่นี่ ถ้าสิ่งที่มันเกิดขึ้น
    เราข้องใจสงสัย
    เราไปตั้งใจพิจารณาเท่านั้น
    จิตมันจะถอนจากสมาธิเด๊ะ

    แต่ถ้าอะไรมันเกิดขึ้น
    เรามี สติกำหนดดู ให้มันรู้อยู่ในที
    จิตมันจะไม่ถอนจากสมาธิ
    แล้วมันจะย้อนกลับ สงบละเอียดเข้าไป
    สู่สมาธิตามขั้นตอนอีกครั้งหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น เวลาท่านนั่งสมาธิ จิตสงบดีแล้ว
    เมื่อจิต ถอน จากสมาธิมา พอรู้สึกว่ามีกาย
    อย่ารีบ ออกจากที่นั่งสมาธิ
    ให้กำหนดรู้จิต ของตนเองอยู่ซักพักหนึ่ง ก่อน
    ถ้าหากว่าจิต ไม่เกิดความรู้ ความคิด ขึ้นมาเอง
    ก็ให้พิจารณา ทบทวนอ่า.. ที่เราเริ่มปฏิบัติมา
    ตั้งแต่เบื้องต้น เราได้ไหว้พระสวดมนต์
    เราได้อธิฐานจิต เราได้แผ่เมตตา เราได้กำหนดอารมณ์จิต
    จิตของเรา สงบหรือไม่ สงบ
    รู้หรือไม่รู้
    สว่างหรือไม่ สว่าง

    กำหนดพิจารณา ทบทวนดูซัก สอง สามที
    ก่อนออกจากที่นั่งสมาธิ
    อันนี้เป็นแนวทางของท่าน พระอาจารย์ สิงห์
    ที่ท่านเขียนไว้
    ในพระไตรสรณคมณ์ ย่อ

    ดังนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระองค์ได้ตรัสรู้ ก็เพราะอาศัย
    การเจริญสมาธิ
    อาศัยหลักธรรมชาติ
    คือท่าน มีสติ กำหนดดู ลมหายใจ
    อันเป็นธรรมชาติ ของร่างกาย

    มีสติกำหนดดูความคิด
    อันเป็นธรรมชาติของจิต
    แล้ว ในที่สุด
    จิตก็ตามลมหายใจ
    เข้าไปสงบ นิ่ง สว่าง อยู่ในท่ามกลาง ของร่างกาย
    เป็นเหตุให้รู้ความจริง ของร่างกาย
    จิตดำเนินเข้าไปสู่ฌาน สมาบัติตามขั้นตอน
    แล้ว วกเข้าสู่ นิโรธสมาบัติ

    เรียกว่า

    เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
    ไปสร้างพลังจิตเพื่อการ ตรัสรู้ อยู่ที่ตรงนี้
    แล้วจิต เปล่งบาน สว่าง ไสว ออกมาได้
    ตรัสรู้ เป็น โลกะวิทู
    เป็นโคตระภูญาณ
    ได้พิจารณา ทบทวน ตลอดยามทั้ง สาม
    จิตยอมรับสภาพความเป็นจริง
    แล้วก็หมดกิเลส
    ได้เป็น พระอรหังสัมมาสัมพุทโธ ภควา
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์
    ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง
    ตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเอง
    การตรัสรู้สมบูรณ์แบบในปัชฌิมยาม
    ด้วยประการฉะนี้

    อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ
    สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา
    จันโท ปัณณะระโส ยะถา
    มะณิ โชติระโส ยะถา

    สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ
    มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ
    อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
    จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ
    อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง


    จบบริบูรณ์สำหรับกัณฑ์นี้
    เรื่อง ศีลเป็นคุณธรรมของมนุษย์


    ยินดีในบุญเพื่อนสมาชิก มณีน้อย ผู้ถอดเทป


    อ่านต่อที่นี่ https://palungjit.org/threads/ศีลเป็นคุณธรรมของมนุษย์-หลวงปู่พุธ-ฐานิโย.279665/page-2
     
  2. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ขโณ โว มา อุปจฺจคา :
    อ่านว่า
    ขะโณ โว มา อุปัจจะคา


    แปลว่า
    อย่าปล่อยกาลเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์
     
  3. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    หวียังสงสัยเรื่องพระสุขวิปัสสโก ที่ว่าท่านไม่มีฤทธิ์...
    ถ้านิพพานแล้ว จิตก้อต้องสะอาดจากกิเลส ทำไมถึงไม่มีฤทธิ์รู้นั่นนี่ได้ ..

    .......

    อย่างพระอริยะโดยมาก ใช้ฤทธิ์เรื่องรู้ใจคนเป็นส่วนใหญ่ แต่ก้อ ใช้ในทางธรรม บางทีมีคำถามในใจ ท่านเทศน์อยู่ข้างหน้า เหมือนตอบคำถามเรา
     
  4. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ไปโดนใครเขาหลอกมาละ ว่าไม่มี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2020
  5. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    เคยเห็นเขาเขียนกัน

    แต่แค่สงสัยว่า จิตก้อไม่มีกิเลสแล้ว ก้อน่าจะมีฤทธิ์
    ถึงแม้พวกท่านจะฝึกแบบลักขณูฯ ก้อตาม
     
  6. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    เขาที่เขียนเข้าใจผิดไง


    พระอรหันต์ทุกประเภท

    เดินทางเดียวกัน

    ผลเดียวกัน
    ความต่างคือวาสนา
    ที่จะแยกประเภทพระอรหันต์
     

แชร์หน้านี้

Loading...