ร่วมแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการประคองศีล 5 กันคะ่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ren, 22 กรกฎาคม 2009.

  1. Enzo Zen

    Enzo Zen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2021
    โพสต์:
    1,107
    ค่าพลัง:
    +675
    มั่วอีกแระ หมูไหม้
    เข้าใจคำว่ารู้เฉยๆ ของคนที่2 มะ รู้เฉยๆ คืออุเบกขา อาศัยความตั้งมั่นของขณิกกะ ก็เพียงพอ

    อุเบกขาอยู่ที่จิต ค่าอุเบกขาที่จิตไม่เปลี่ยน ไม่ใช่ เด่ว0 +1 +2 ไปเรื่อยตามเจตสิก จิตมันจะ0 0 0 0 ตัวอุเบกขาแบบขณิกะนั่นแหล่ะ จิตมีฐานอยู่ คืออยู่ที่อุเบกขา ไม่ใช่อยู่ที่อุปทานของเจตสิก

    ถ้าจะบอกว่ามันยังจัดการอนุสัยไม่ใด้ ก้อถูกต้อง มันเป็นขั้นสร้างสติ สมาธิ ปัญญา คือขั้นรูปนามพื้นฐาน การกระทบทางอายตนะนี่นั่นคืออาศัยรูป ให้จิตแนบรูปกายเข้าไปก่อน เพราะจิตมันไว มันไม่ชอบถูกขัง ก้อต้องอาศัยการกระทบรูปขั้นป้อแป้ๆ นี่แหล่ะ ไปหาตัวจิต แต่ไม่ใช่ขั้นนี้สร้างความตั้งมั่นที่อกแถวลิ้นปี่ไม่ได้ สร้างได้ มันจะรู้รูป70% นาม (จิตเห็นความคิด) 30%

    พอฝึกละความหลงรูปกายไปได้ประมาณนึง จิตจะเปลี่ยนจากรูปนาม (การกระทบทางอายตนะ) ไปนามรูป จะรู้ที่จิตเกือบ70% เป็นการรู้ลมภายใน คือรู้ตรงๆ ที่ผู้รู้ได้เลย มันจะละจากอายตนะนี่นั่นไปเอง... จุดนี้แหล่ะ ที่จะละอนุสัย จบคอร์สได้

    โดยสายสตินำ เขาฝึกสมถะวิปัสสนาคู่กัน ไม่แยกออก แล้วเขาสอนขั้นพื้นฐานไปก่อนคือ รู้ตามอายตนะ สติแนบกาย เพื่อเข้าไปหาจิต อาศัยขณิกะขณะเล็กๆ ทำซ้ำๆ บ่อยๆ สม่ำเสมอ ของเล็กๆ ก้อจะกลายเป็นของใหญ่ๆ ได้
     
  2. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    การเจริญสติ ทำแรกๆเหมือนจะไม่ได้ผลอะไร เพราะจิตมันยังชินที่จะวิ่งตามกิเลสที่มันเคยชินอยู่เสมอ

    แต่เมื่อฝึกมันบ่อยๆ จนมันเชื่อง จนชิน มันจะหันมารู้กายรู้ใจคล่องตัวขึ้น ทุกครั้งที่มันหันมารู้กายใจเนืองๆ กิเลสจะหยุดทำงานไป 1 จังหว่ะ หากเราระลึกถี่ๆ กิเลสจะโดนชะงักไปรัวๆ จนมันจรมาไม่ได้ ไม่มีจังหว่ะที่มันได้ทำงานเต็มที่เหมือนปกติอย่างที่มันเคยเป็น หาก ปิติจะแทรกมา กุศลจะเกิดในจิต ก็เป็นเรื่องปกติ แต่หากเดินไปต่อ จิตจะไม่ยึดถือเอาปิตินั้นมาเก็บไว้กับตัวเช่นกัน

    แต่ประเด็นที่เจริญสติ ไม่ได้ทำเพื่อระงับกิเลส แต่กิเลสหรือเจตสิกมันคือเครื่องมือให้จิตได้เรียนรู้ถึงความจริง ซึ่งสติกับเจตสิก ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญทั้งคู่ ขาดไม่ได้ในการเจริญปัญญา ไม่จำเป็นต้องไปบังคับให้มันดับ เพราะมันสั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้ ทำได้เต็มที่คือแค่ข่มไว้ในรูปแบบของสมถะ

    เมื่อจิตมีสติพาไปเห็นความจริงเนืองๆว่าจิตเจตสิก ไม่ใช่จิต มันเป็นสิ่งๆนึง ที่ทำงานเบื้องหลังชีวิต เป็นของถูกรู้ชนิดนึง มันจะเกิดอาการ จิตสลัดคืนอัตโนมัติ จะเกิดอารมณ์นิ่งอยู่วางเฉยเป็นกลางกับทุกสิ่ง ไม่ฉวยเอาของที่ไม่ใช่เรามาเป็นเราอีก ทำได้แค่แลดูเห็นอยู่นะ แต่ฉันไม่เอาหรอก อยากดิ้น ก้อดิ้นไป เทอกับฉันไม่เกี่ยวกัน อารมณ์แบบนี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับการเจริญสติทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะกาย เวทยา จิต ธรรม หากใครได้เคยลองหลายๆวิธี ย่อมรู้ได้เลยว่าเจอเหมือนกันหมด ฟันธง ไม่เว้นแม้แต่การดูจิตระหว่างวัน… (แต่สภาวะต่อจากนี้ยังมีอีกอยู่)

    ดังนั้น อารมณ์อุเบกขาในวิปัสสนา จึงเป็นผลงานของจิต ไม่ใช่สิ่งที่สร้างให้เกิดขึ้นได้เอง ไม่ต้องข่ม ไม่ต้องสั่ง…
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2021
  3. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    ส่วนอนุสัย ทำไมมันจะละไม่ได้คะ ในเมื่อจิตเห็นและตามรู้เนืองๆจนเป็นนิสัย จนถี่ขึ้นเรื่อยๆ นั่นแปลว่ากิเลสหาจังหว่ะทำงานลำบากขึ้นเรื่อยๆ อนุสัยหรือสันดานเดิมๆที่วิ่งตามกิเลสโดนสติชิงตัดหน้าหมด มันจะเหลือที่ยืนให้มันอยู่รึ

    สรุปมันคือการช่วงชิงพื้นที่ทำงานระหว่าง กิเลส และสติค่ะ
    อยากให้อนุสัยสั้นลง น้อยลง ต้องใช้สติแทรกให้มาก

    ดังนั้นว่างๆ อย่าลืมระลึกรู้กายใจ ให้สติทำงานกันนะคะ
     
  4. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626

    ลองดูเส้นทางมรรค....คนที่สอง

    .....พยายามมีสติ....
    ...รู้โกรธ
    ...รู้สุข
    ...รู้ความขัดเคือง
    ...รู้ความพอใจ...ฯลฯ

    พยายาม...แยกรูป...แยกนาม
    พยายาม...ให้เกิดผู้รู้

    ยังมีผู้รู้....ยังมี"ผู้"ไปเห็นรูปนาม
    สร้างผู้รู้ขึ้นในใจ...แล้วเกิดอุปทานในผู้รู้
    แบบไม่รู้ตัว
    ...ยิ่งเห็นมาก....เห็นบ่อย
    อุปทาน...ในผู้รู้แข็งแรงสุดๆ

    จะเห็นขันธ์ทั้ง4 เป็นของดับได้....
    ...สติไปรู้รูป....รูปก็ดับ
    ...สติไปรู้เวทนา...เวทนาก็ดับ
    ...สติไปรู้สัญญา...สัญญาก็ดับ
    ...สติไปรู้สังขาร...สังขารก็ดับ
    แล้วคิดว่า....
    นี่ไงเห็นเกิดดับ...นี่ไงมาถูกทางแล้ว

    เห็นขันธ์ทั้ง4 เป็นของดับได้ทั้งสิ้น....
    แต่เอาเข้าจริง.....
    กลับไม่เห็นตัวเอง....คือวิญญานขันธ์
    ว่า....
    ก็เป็นของเกิดดับ....เหมือนกัน
    ผู้รู้....ยังเป็นผู้รู้.....เป็นตัวตนในความรู้สึก

    เวลามันติดสินผล....
    มันต้องเห็น....ทุกขันธ์เป็นของเกิดดับ
    ...ไม่เที่ยง
    เห็นทุกอย่าง....มีสภาพเดียวกัน
    ....แต่การรู้สึกว่ามี....ผู้รู้
    ....การให้ค่าทางความรู้สึก..ถึงผู้รู้
    ...นี่ล่ะทางขวาง...การเห็นแจ้ง
    ยิ่งภาวนา....ผู้รู้ยิ่งชัด
    ยิ่งแอบสร้างอุปทาน....
    ....สิ่งที่ถูกรู้...ดับหมด....
    ....แต่ไม่เห็นตัวเอง(ผู้รู้)ดับ....
    เลยทำให้ไม่เห็นแจ้ง....

    แต่ถึงผ่านไปได้....เกิดเห็นแจ้งขึ้นมาได้
    ก็มีภาระต้องทำต่อ....
    คือ...ทำลายผู้รู้...
    ทำลายสิ่ง...ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา
    .....จากความรู้สึกข้างใน

    รู้ไหมครับ...ถ้าไม่สร้างตัวตนผู้รู้มาแต่แรก
    .....ก็ไม่ต้องปล่อย...ไม่ต้องทำลายผู้รู้
    ไม่ต้อง...วิ่งหาครูบาอาจารย์...
    แก้การภาวนาไม่จบสิ้น
    เพราะทำ..แล้วติดโน้นติดนี่...
    กับดักมันเยอะ...
    .....เดินผิดแต่แรก...
    การภาวนามันพร้อมสร้างตัวตน
    ....ระหว่างการเดิน....ได้มากมาย

    และ
    ไม่มีพระสูตรไหนในคำพระศาสดา
    ให้สร้างผู้รู้ขึ้นมา....ให้รู้สึกถึงผู้รู้
    แล้วมานั่ง....จัดการผู้รู้ทีหลัง..

    เพราะอะไรจึงไม่มี?....
    ....เพราะ
    ถ้าเดินมรรคแบบพระพุทธองค์...
    จะไม่เกิดตัวตนในผู้รู้แม้แต่นิด....ขึ้นมา
    ....สลัดทิ้ง....ไม่ก่อขึ้นตั้งแต่แรก
    อะไรก็ไม่เอา....
    ขันธ์ทั้ง5 ...ถูกกระจาย...ไม่ก่อขึ้นมา
    เรียกว่า...ทิ้งกันตั้งแต่แรก....ที่เดินมรรค
    พอไม่ก่อขึ้นมาแต่แรก
    ....ก็ไม่มีภาระต้องไปทำลายมัน....ทีหลัง


    กลับไปดูคนที่หนึ่ง
    เดินมรรค....อานาปนสติ...ตามพระศาสดา
    หมั่นระลึกอยู่กับ....ลมหายใจ...
    ใช้ลมหายใจ....เป็นเครื่องอยู่
    เมื่อมันมากพอ
    ....จิตเปลี่ยนทางไปสู่อุเบกขา...
    ที่มักโดนด้อยค่า....ว่าแค่สมถะ
    ....แต่หารู้ไม่ว่า....
    นี่กำลังเปลี่ยนความเคยคุ้นเดิม(อนุสัย)

    เปลี่ยนอนุสัยยังไง?
    เมื่อจิตเปลี่ยนทาง... มาอยู่กับวิเวก
    ...อยู่กับอุเบกขา....
    เสียงมอไซค์....แว้นๆ....ที่อนุสัยเดิมมีเชื้อ
    ได้ยินเสียงแบบนี้ปุ๊บ....
    โทสะ....เด้งปั๊บ
    ถ้าภาวนาแบบคนที่สอง....ก็ต้องเข้ารู้โทสะ
    ไล่ตามรู้กิเลส....

    แต่ถ้าจิตเปลี่ยนทาง....
    มาเคยคุ้นกับอุเบกขา
    ก็เหมือนได้จัดการ....กับอนุสัยเดิม
    เสียงแว้นๆ....ก็สักแต่เสียง....
    ใจไม่กระเด้ง...ไปเกิดโทสะ
    เพราะเชื้อถูกจัดการ....ด้วยความเคยคุ้นใหม่
    นี่คือ....
    ปัญญาของพระศาสดาที่ทรงชี้มรรค
    มรรคที่เหมือนธรรมดา....
    ...แต่กลับไม่ธรรมดา...เข้าจัดการได้ถึงอนุสัย

    ส่วนการดู....การเข้าไปรู้อย่างคนที่สอง
    อนุสัยอยู่เท่าเดิม.....ใจยังขึ้นๆลงๆ
    ไล่ดูกิเลสไม่มีหมด ....
    เพราะอนุสัยไม่โดนจัดการ
    รู้รัวๆ...ก็เปล่าประโยชน์
    ถ้าไม่จัดการที่ต้นเหตุ

    พื้นที่ชุ่มด้วยน้ำมัน....
    โยนก้านไม้ขีดไป....ไฟก็ติดพรึ่บ
    ไม่ให้ติดได้ไง....เมื่อเชื้้อยังอยู่
    เชื้อไม่ถูกจัดการ

    แต่มรรคของพระศาสดา...ถ้าทำถูกต้อง
    พื้นที่ชุ่มน้ำมันจะถูกจัดการ...
    ทำความสะอาด....
    เมื่อพื้นไม่มีน้ำมัน....ไร้เชื้อ....
    ต่อให้โยนไม่ขีดไฟไปกี่ก้าน....ก็ตาม
    .....ไฟก็ไม่ลุกพรึ่บ....
    เมื่อหมดเหตุ....ไฟจากก้านไม้ขีดก็ดับไป

    จิตที่เคยคุ้นอยู่กับอุเบกขา....
    จิตจะวิเวก....ตั้งมั่นอยู่....
    ....เหมือนคลื่นลมที่สงบ....
    เพราะจิตตรงนี้....สงัดจากอกุศล
    ....เมื่อมีสภาวะใดเข้าแทรกมา
    ก็เห็นสภาวะนั้นได้ตั้งแต่มันเกิดขึ้น
    จนมันดับไป....

    ไม่ใช่การไล่ตามเห็น...อย่างคนที่สอง
    ....ที่ได้แค่...เห็นความดับของมัน
    ท่ามกลางพายุของกิเลส

    ดูผิวเผิน....สองคนนี้ภาวนาเหมือนกัน
    แต่ความจริง....
    ....แทบแยกออกไปคนละทางเลย

    ทางที่พระศาสดาชี้ไว้...ไม่มีผลข้างเคียง
    เป็นทางราดยางอย่างดี....แถมเป็นทางตรงอีก
    ต่างจากกับทางโน้น....
    ....ราดยางบ้าง....ทางลูกรังบ้าง
    ถ้าคนมีปัญญา...จะเลือกทางไหน?

    บางที..
    ทิฐิมานะ ...ไม่ใช่มาจากคำพูดที่ดุดัน
    แต่เป็นทิฐิฝังแน่น...เหมือนน้ำเต็มแก้ว
    อาจเป็นอุปสรรคขวางมรรคผล....
    ....ได้ซะยิ่งกว่าครับ
     
  5. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    อนุสัยคุณแนนอย่าไปสับสน
    ว่าอนุสัย คือกิเลสครับ

    อนุสัยเดิมเป็นสิ่งที่ไม่โผล่ออกมา
    การจัดการ...
    เลยไม่ใช่...การไล่ดูกิเลสให้ได้มากๆ
    ไม่ใช่การช่วงชิงพื้นที่ของกิเลส....
    อย่างที่คุณแนนเข้าใจ
    เพราะอนุสัยมันไม่โผล่ออกมา....
    .....สติจึงจัดการอนุสัยเดิมไม่ได้
    แต่มันนอนเนื่องเป็นเชื้อ....รอประทุ
    ประทุออกมา...เป็นกิเลส
    ถ้าสติจะทัน....ก็แค่ทันกิเลส

    และอนุสัยก็ไม่ใช่...วิ่งตามหลังกิเลส
    อย่างคุณแนนเข้าใจ
    แต่นอนรออยู่ก่อน....
    ...กิเลสจะประทุขึ้นมาด้วยซ้ำ

    ส่วนการถอนอนุสัย...ให้สิ้นซาก
    มีแต่ผล....
    ของการเห็นความไม่เที่ยง...ไม่ใช่ตัวตน
    ...เท่านั้น...
    จึงถอนอนุสัยออกได้หมด
    ส่วนสติ
    จะจัดการกับ ...กิเลส...ยับยั้งอนุสัยใหม่
    ที่จะเข้าไปเติมเชื้อ...กับอนุสัยเดิม
    ...แต่ไม่ได้จัดการกับอนุสัยเดิม
    ส่วนอนุสัยเดิม.....จะถูกจัดการ
    ด้วยการเดินมรรค....ให้จิตเปลี่ยนทาง
    เหมือนการยับยั้ง...
    ...ไม่ให้อนุสัยเดิม...กำเริบ
    เปลี่ยนทางของอนุสัย....ไปเคยคุ้น
    กับอุเบกขา...เป็น"ปกติ"ของจิต
    เมื่อเชื้อประทุ....ถูกทำให้เบาลง
    ...เปลี่ยนทางไปสู่ทางโน้น
    กิเลส..ที่ทำให้จิตไม่ตั้งมั่นก็ไม่ประทุ
    ความตั้งมั่นในปัจจุบัน..ก็เกิด
    เมื่อจิตตั้งมั่น .... ก็เห็นความจริง
    ตามธรรมชาติที่มันเป็น....ด้วยใจที่เป็นกลาง
    เรื่องมีเท่านี้ครับ

    เพราะงั้น
    มรรคจึงไม่ใช่...สติเพียงอย่างเดียว
    มรรคจึงมีแปดองค์...
    ถ้าเดินถูก...เดินครบ
    มรรคจะเข้าจัดการทุกส่วน
    จัดการทั้งอนุสัยเดิม....เชื้อรอประทุ
    เปลี่ยนทางของจิต...
    เกิดความตั้งมั่น....เป็นกลาง ...
    บลา บลา

    การเจริญสติอย่างเดียว....
    ...แต่ไม่ประกอบมรรค
    ภายในขึ้นแรง...ลงแรง
    กิเลส....โหมอยู่ภายใน
    ขาดความตั้งมั่น...ที่ตั้งมั่นจริงๆ
    จิตจะเห็นความจริง...ขนาดฟันธงได้อย่างไร

    พอเจริญสติไป...เหมือนกิเลส...เบาลง
    ...เพราะสติ
    แต่วันดีคืนดี....กิเลสกับแสดงตัวหนักขึ้น
    ....ไม่ต้องสงสัย
    เพราะอนุสัยเดิม....ยังไม่ถูกจัดการ
    มาจากการที่....ไม่เข้าใจมรรคแปด
    เดินมรรคองค์เดียว
     
  6. Enzo Zen

    Enzo Zen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2021
    โพสต์:
    1,107
    ค่าพลัง:
    +675

    ใครที่คิดว่าจิตไม่รู้อารมณ์ ไม่รู้สุข ไม่รู้ทุกข์ หรือรู้ภาพเบลอๆ เป็นการเข้าใจผิดมาก จิตเป็นธาตุรู้ มันรู้อารมณ์ได้.. รู้ชัดด้วย แต่อุปทานไม่ใช่คุณสมบัติของจิต

    ผู้รู้คือจิต หรือเงาจิต อะไรก้อตามที่พระท่านแต่ละสายให้นิยามคำศัพท์ ผู้รู้ไม่มีใครสร้างขึ้น เพราะมันคือจิต เราทำอะไรแล้วรู้ รู้ รู้ เพราะเรามีผู้รู้หรือจิต เราเลยรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ใครที่บอกไม่มีผู้รู้ คือมโนไปเองทั้งนั้น

    เอาจิตไว้ที่ลม ยึดลมไว้ป่ะ สร้างผู้รู้ให้มันอยู่ที่ลม ให้มันอยู่ที่เดียว พอพูดถึงอานาปา เลยดูเหมือนมีดีกรี เพราะอานาปาคือกรรมฐานชั้นยอด แต่คนทำได้ขั้นเทพ มีแต่พระพุทธเจ้า ...อารมณ์จิตคือลมหายใจ ถูกต้องแล้ว


    พวกสายสตินำ เขากำหนดเร็วกว่าสมถะเยอะ ไม่ได้อวย แต่โดยสายการฝึก เขาเริ่มไปจากตรงนั้น กระทบแล้วรู้เลย ไม่ต้องแช่ที่ไหนให้เป็นจุดพักของจิตสักนิด เมื่อทำมาก ทำบ่อย จิตจะมีกำลังขึ้น มีพร้อมๆอุเบกขา และพร้อมกับตัวปัญญา


    แต่โดยรวมๆ สมถะนำก้อจะชุดความคิดแบบหมูไหม้นั่นแหล่ะ รูปนามไม่เข้าใจ นามรูปก้อไม่ต้องพูดถึง

    เรื่องอนุสัยไม่ต้องคิดหรอกว่าจะเกิดไม่ได้ จิตป้อแป้ๆ ก้อเกิดได้ จิตมันลึกลับ ถ้าอยากจะทะลุตอนไหน มันก้อทะลุได้

    พูดก้อวนเรื่องเดิมๆ...จบดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2021
  7. Enzo Zen

    Enzo Zen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2021
    โพสต์:
    1,107
    ค่าพลัง:
    +675
    การรู้เกิดดับนับร้อย นับพันไม่ใช่ไม่มีผล มีผล คนเข้าไปรู้เกิดดับได้คือจิตมีกำลัง มีอุเบกขาเกิดขึ้นแล้ว

    จิตจะเข้าค้นรูปนามในรายละเอียดปลีกย่อย ชนิดขั้นหมกมุ่นเลยทีเดียว ค้นเพื่อละความเป็นเรา เป็นขั้นตัดกำลังอนุสัยลง เพื่อรอถอนอนุสัย

    การเห็นเกิดดับนับพัน นับแสนครั้ง คือขั้นรายละเอียด ทำให้มากๆ เพื่อรอตัวสรุปตัวเดียว เพราะของทุกอย่างต้องมีการสรุปผล การสรุปผลนั้นคือสมุทเฉท

    คนจะตัดต้นไม้ใหญ่ ต้องทอนกิ่ง ทอนลำต้นลงมาเพื่อรอถอนราก ไม่มีใครล้มต้นไม้ใหญ่แบบไม่ทอนลำต้นลงมา เช่นเดียวกับการเห็นเกิดดับนับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งที่เห็น จิตถอนอุปทานออก ตัดกำลังอวิชชาลง เมื่อเพียงพอในรายละเอียด ให้เกิดการสรุปผล สมุทเฉทจึงจะทำงาน
     
  8. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626

    มันเป็นธรรมดา...ของคนที่เดินทางนั้น
    ....จะรู้ตัวหรือไม่?
    ว่ากำลัง...สร้างอุปทานในรู้ไปด้วย
    ....จากการเข้าไปรู้

    งั้นลองสังเกตุ....ดูครับ
    ทำไมจึงมีการ....ทำลายผู้รู้?
    ถ้าไม่ก่อความรู้สึกถึงผู้รู้...ระหว่างเดินมรรค
    ...แต่เจ้าตัว....ไม่รู้ตัว

    แล้วลองสังเกตุ...
    ทำไมอานาปนสติแบบพระพุทธองค์
    ทำไม...ไม่ต้องทำลายผู้รู้
    ไม่ต้องไปแยก...เพื่อเห็นว่าจิตก็ไม่ใช่เรา
    อีกขั้นหนึ่ง

    ย้อนไปตอนต้น....
    จำนวนที่เห็นเกิดดับ....ต้องเป็นพันเป็นแสน
    หรือไม่....
    หรือจริงๆ....จำนวนไม่เกี่ยว

    ถ้าปัจจัยให้จิตตั้งมั่น....เป็นกลางเกิด
    ย้ำว่า.....จิตตั้งมั่นที่ว่า....ต้องตั้งมั่นจริงๆ
    ไม่ใช่การคิดเองว่า.....นี่ล่ะตั้งมั่น

    ลพ.เยื้อน....ต้องเห็น...ถึงแสนครั้งไหม
    จึงรู้ความจริง....
    ปัจจัยที่ประกอบทางเดิน...ถ้าพร้อม
    จึงเห็นความจริง...
    ....หรือจริงๆไม่ได้เกี่ยวกับ....จำนวนที่เห็น?
    ลองคิดดูครับ
    แต่สิ่งสำคัญ...คือปัจจัย....ให้จิตตั้งมั่น
    ต่างหาก...
    คุณภาพการเห็นสำคัญกว่า...จำนวนการเห็น

    และอานาปานสติ....ไม่ใช่สมถะนำ
    ถ้าเข้าใจมรรคถูกต้อง
    เป็นทั้งสมถะ...ทั้งวิปัสสนา
    ไม่มีอะไรนำอะไร
    ...แต่ทุกมรรค....ต้องเดินแบบนี้
    เปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้
    ....ดูท้องพองยุบ...เป็นเครื่องอยู่ของจิต
    ....ดูการก้าวเดิน(จงกรม)....เป็นเครื่องอยู่ของจิต
    ....อยู่กับพุทโธ....เป็นเครื่องอยู่ของจิต
    ....อยู่กับลมหายใจ...เป็นเครื่องอยู่ของจิต
    ...มีสัมปัญชัญญะรู้ตัวอยู่....เป็นเครื่องอยู่ของจิต
    บลา บลา

    ยังไงต้องมีเครื่องอยู่ให้จิต....
    แล้วเห็นสิ่งแปลกปลอม...แทรกขึ้นมาในจิต
    เป็นการตั้งมั่น...แล้ว...เห็นอยู่
    ....นี่คือมรรค....
    ไม่ใช้การกระโดด...เข้าไปดูไปรู้
    โดยปราศจากเครื่องอยู่ของจิต..

    ทางมรรคเป็นแบบนี้....
    เป็นทั้ง.....สมถะและวิปัสสนา
    ไม่ใช่การโยนเครื่องอยู่ของจิตทิ้ง
    แล้วคิดว่าตนมีปัญญา
    กระโดด..ไปดูไปรู้เลย
    แม้อุเบกขาจะเกิดขึ้นหลังการเข้าไปรู้
    ...ขณะนึง...แต่ไม่พอให้เกิดความตั้งมั่น
    ....จนเห็นแจ้งความจริงได้

    ครูบาอาจารย์...ลป.ลพ.ลต.
    ล้วนใช้เครื่องอยู่ของจิตทั้งนั้น
    เคยเอ๊ะใจไหม....ว่าทำไม...
    ทำไมท่านเหล่านั้น...
    ไม่เข้าไปรู้....เข้าไปดูในจิต
    โดยปราศจาก...เครื่องอยู่ของจิต
    ลองคิดดูครับ....
    ....ว่าทำไม
    ครูบาอาจารย์...ท่านเหล่านั้นเดินมรรคได้ถูก
    ไม่ตัด....สิ่งสำคัญทิ้ง
    มันไม่ใช่....การแยกทำเป็นส่วนๆ
    เดี๋ยวทำสมถะ...เดี๋ยวทำวิปัสสนา
    แต่....เป็นสอง....ในระหว่างเดินเลย
     
  9. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    ไม่มีใครไปพยายามแยกหรอกค่ะ
    เจตนาไปแยก ไปสร้างผู้รู้ รับรองได้ ไม่มีทางเกิดขึ้น
    …รึปกติคุณหมู ใช้ความพยายามในการแยกหรอคะ?

    จังหวะแยกรูปแยกนามมันจะเกิดขึ้นเอง
    เมื่อพ้นเจตนาไปแล้ว ตอนแยกนี่แหล่ะ
    ที่เราจะรู้สึกขึ้นมาเองว่า
    เหมือนมีมิติอีกแบบมันแยกตัวออกมาต่างหาก
    ดังนั้นตัวผู้รู้มันก็เกิดขึ้นเอง
    ไม่มีใครเจตนาไปหามันมา
    มันเป็นไป มันเห็นของมันเอง…
    เข้าใจว่ามันเป็นไปเองมั้ยค่ะ
    ไม่มีใครเขาใช้ความพยายามไปสร้าง
    ไปข่มผู้รู้ไม่ให้เกิดได้
    มันเป็นกระบวนการของจิตทำงานเอง
    ….เลิกคิดว่าคนเจริญสติ เขาเจตนาไปสร้างนั่นนี่ขึ้นมาได้แล้ว
    ที่เจตนาสร้าง ไม่มีทางได้เจอ…เจตนาอย่างเดียวที่ต้องฝึกต้องทำคือ “ระลึกรู้”

    ในช่วงฝึกฝน ใครเขาไปทำลายอุปกรณ์สำคัญในการภาวนากันล่ะคะ
    กำลังพายเรืออยู่กลางมหาสมุทร อยู่ดีๆถีบเรือทิ้ง
    มันจะไปถึงฝั่งได้ยังไง หากใกล้ถึงฝั่งตอนนั้นจิตมันจะสลัดของมันเอง

    ตามที่บอก ไม่มีใครสร้าง มันเป็นกระบวนการธรรมชาติของจิต
    เกิดขึ้นเอง หากดำเนินการภาวนามาถูกวิธี …

    คุณบรรลุมาเป็น 10 ปี ฝึกนั่งสมาธิมานาน
    ไม่เคยสัมผัสจังหว่ะแยกรูปแยกนามหรอคะ
    ที่เห็นร่างกายหายใจเอง ดำเนินไปเอง
    จิตแยกต่างหาก ร่างกายที่หายใจอยู่แยกต่างหาก…
    จิตไปเห็น ร่างกายทำงาน เห็นจิตทำงาน
    โดยไม่มีเราไปควบคุม แทรกแซง
    นั่นคือผู้รู้มันปรากฏออกมาเองแล้ว
    มันแยกออกมาจาก กายนั้น จิตนั้น

    คุณกำลังเอาอุเบกขาแบบข่ม
    ซึ่งคุณคงรู้ว่านั่นคือแบบหินทับหญ้า
    ระงับได้ชั่วคราว
    แต่ไม่สามารถทำให้อนุสัยลดน้อยลง
    เปรียบเทียบ กับอุเบกขาจากการเจริญสติ
    ซึ่งเป็นผลจากสติตามดูจนชำนาญ
    มันจะลอกและขัดเกลาอนุสัยให้บางลงด้วย
    ซึ่งจะสามารถดับได้เป็นเคสๆไป
    จนไปถึงถอนรากถอนโคนเลยยังได้หากถึงจุดที่พร้อม

    อุเบกขาจากการข่มกิเลส มันไม่สามารถละได้ค่ะ
    คนละเรื่องกับอุเบกขาจากการเจริญสติ
    จะละได้กำจัดได้ ต้องแทงไปถึงต้นตอ
    ไม่ใช่ตั้งท่าข่มไม่ให้ธรรมชาตินั้นปรากฏตั้งแต่แรก
    …แต่หากจะข่มบ้างเพื่อเจตนาไปในทางสนับสนุน
    ให้การเจริญสตินั้นสะดวกขึ้นง่ายขึ้นก็ไม่ผิดค่ะ ดีอีกด้วย
    จิตสงบจะมองเห็นนามธรรมชัดขึ้น สติไวขึ้น
    แต่ไม่ใช่ข่มเพื่อชำระอนุสัยอะไร ถ้าแบบนั้นคือไม่โอแล้ว
    เหมือนคนกลัวการเห็นกิเลส
    ทั้งที่กิเลสคือเครื่องมือ
    ที่จิตต้องเข้าไปเรียนรู้ธรรมชาติและการทำงานของมัน

    การเจริญสติไม่เข้าไปที่ต้นเหตุตรงไหนคะ
    การเข้าไปรู้จิตนี่แหล่ะต้นตอ
    จิตเจตสิกควบคุมบงการพฤติกรรมเบื้องหลังมาตลอด
    การเข้าไปรู้จักมัน รู้วิธีการทำงานของมัน
    เพื่อเข้าใจมัน นี่แหล่ะคือหนทางไปทำลายต้นตอ

    สรุปคือคุณคือสายสมถะนำ
    ก็ไม่ว่ากันค่ะ
    แต่คุณควรลองน้อมใจและพิสูจน์เส้นทางอื่น
    ก่อนด่วนสรุป ว่าแนวทางนั้นถูกหรือผิด
    ไม่ควรตัดสินจากตรรกะความคิดนำทางนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2021
  10. Enzo Zen

    Enzo Zen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2021
    โพสต์:
    1,107
    ค่าพลัง:
    +675

    ที่พูดมายาวๆ นี่ แสดงว่าแยกรูปนามยังไม่ได้แน่ๆ
    เพราะเรื่องของ รูป-นามไม่รู้จัก ฉะนั้น นาม-รูปจึงไม่รู้จักแน่

    อีกอย่างอานาปาก้อเป็นหนึ่ง ไม่แตกต่างจาก21 วิธีที่ปราบเทวดาเคยยกมา แน่ใจได้ไงว่าขั้นสุดท้ายไม่มีการวางผู้รู้ สายพระป่า ใช้คำว่าทำลายผู้รู้ทั้งนั้น

    จิตอุเบกขา จิตมีกำลัง เกิดจากการฝึกฝนความเพียร ทำให้เยอะ ทำให้มาก ลป. ลพ. ใช้คำนี้ ยืนยันคำนี้ทั้งนั้น ทำมากรู้มาก ทำน้อยรู้น้อย และมันก้อเป็นแบบนั้นจริงๆ

    สติเป็นใหญ่ในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะสมถะ หรือวิปัสสนา ใช้สตินำทั้งนั้น แต่ต่างประเภทของสติแค่นั้น สมาธิเป็นตัวผล ปัญญาเป็นตัวผล เนื่องจากสติ ไม่ต้องกลัวมรรค8 ไม่เป๊ะ เป๊ะเวอร์ทั้งนั้น

    ส่วนอานาปาของหมูไหม้ ก้อยังยืนยันคำเดิมว่า เป็นสมถะ

    ที่ทะลุตอนนั้น เพราะจิตหน่วงคำพูดอาจารย์ประเสริฐมา ซึ่งอาจพูดในเรื่องอนัตตาอยู่ จิตเลยได้อนัตตาจาก อ.ประเสริฐ บวกกับวาสนาเก่าหมูไหม้มี จึงทะลุขั้นแรกได้

    เรื่องจิตมีที่พักคืออุเบกขา กันหน้ามืด ฝึกไปมากๆ ก้อมีขึ้นได้ ใครทำจริงจังก้อเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหล่ะ ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถอะไร
     
  11. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ก๊าก หมูเอ้ย กราบแฟนต้าเลยหมูเอ้ย
     
  12. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    คือ สายไหนนำ มันจะเจอกันที่จุดนัดพบหมด คือ

    การภาวนาที่จิตดำเนินไปเอง

    ส่วน หมูไหม้ หากบอกว่า สายสมถะ นำ คือยังอ่อนมาก

    สมถะจริงๆยังไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำ เห้น พูดไปอรูปฌาน ปฐมฌานยังม่รู้จักเลย ฮาก๊าก

    ธรรมตรงไปตรงมา ไม่มีเลียแผล่บๆ อยู่แล้นนน
    คุยยังไงก็ไม่รู้เรื่องหรอก ปล่อยไปก่อนน่ะดีแล้ว
     
  13. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    เจตนาหลักๆแค่อยากปกป้องข้อเท็จจริงแค่นั้นเองค่ะ
    แต่ก็พอรู้ค่ะ ยังไงคงไม่จบแน่
    จนกว่าจะยอมพิสูจน์ด้วยตนเองสักตั้ง
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว ลุงแมวกราบแทนได้
    ปล่าวฮับ
     
  15. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    กราบมาก็ขอกราบคืนทันที
    ธรรมของพระพุทธเจ้าค่ะลุง เราแค่คนทำตามต่อๆกันไป
     
  16. Enzo Zen

    Enzo Zen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2021
    โพสต์:
    1,107
    ค่าพลัง:
    +675
    ได้บอกไปแล้วตามเวิดดิ้งนี้

    ผัสสะ มี2อย่าง ที่คนรุ้จักมากๆ คือรูปนาม การกระทบทางอายตนะ <<ขั้นนี้ละอนุสัยไม่ได้ แต่เป็นขั้นฝึกให้จิตมีกำลัง มีอุเบกขาเกิด

    ขั้น นามรูป จิตเห็นความคิด ไม่ต้องโดดไปตามอายตนะ เห็นความคิดอยู่ในจิตเลย รู้ที่จิตตรงๆ ได้เลย << ขั้นนี้ละอนุสัยได้ , ขั้นนี้ต้องให้จิตหรือผู้รู้ไม่จมหาย ต้องให้มันมีผู้รู้ทำงานตลอด มันจะเห็นความคิดในจิต จากลมหายใจที่เปลี่ยนแปลงไปมานั่นเอง

    แต่ของหมูไหม้ไม่ใช่อานาปาที่เป็นสมถะวิปัสสนา เพราะว่า หลายปีแล้วก้อไม่พัฒนา ให้เดบิตไปสมถะ

    จบ
     
  17. หมูไม้ละ5

    หมูไม้ละ5 # shawty, set me free

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    1,659
    ค่าพลัง:
    +1,626
    เวลาพูดสวยหรูมากครับ....
    คนเจริญสติ...
    "ไม่ใครเค้าสร้างอุปทานในผู้รู้"
    แต่ความจริง
    ...ไม่ใช่แบบนั้น
    เกิดอุปทานในรู้....ในผู้รู้ขึ้น
    .....แต่ไม่รู้ตัว

    ทั้งยังเที่ยวร้องหา
    ....ผู้รู้กลางอก...ผู้รู้หาย...ร้องหาผู้รู้....

    บางที...
    ไม่ได้ยึดในการรู้....ในผู้รู้อย่างเดียว
    .....หนักกว่านั้น
    กลับไปก่อรูปให้....ผู้รู้ด้วยซ้ำ
    ให้เป็นก้อน....เป็นทรง

    แต่ก็เข้าใจครับ...
    พระพุทธองค์ตรัส....
    ....อุปทานเป็นของเห็นได้ยาก
    ถ้าระหว่างทางเดินจะไม่เห็น

    พอเห็นที่โพสผม...ก็เริ่มสงสัย...
    ....พอสำรวจตัวเอง...
    คงตอบตัวเองว่า.....
    เราไม่สร้างการยึดในผู้รู้หรอก

    แต่ผมบอกให้.....
    สร้างอุปาทานในรู้....เรียบร้อยแล้ว

    อีกอย่าง...มองออกไหมครับ
    กำลังปกป้อง...ความเชื่อของตนเอง
    ....ไม่ใช่
    ปกป้องข้อเท็จจริง.....อะไรหรอก
    กระโดดเข้ามางับเองทั้งนั้น....
    พอพูดถึงนักภาวนา2คน
    ....กระโดดงับทันที

    หรือ
    ความจริงก็ปฎิบัติอยู่แบบนี้
    .....เลยร้อนตัวแล้ว....กระโดดงับ
    ทั้งที่...
    กล่าวถึงนักภาวนาที่เห็นได้ทั่วไป

    ปกป้องความเชื่อตัวเองอยู่
    ข้อนี้ดูออกไหมครับ


    เวลาเห็นทาง2 ทาง
    ทางนึงเป็นทางราดยางอย่างดี...เป็นทางตรง
    กับ....
    ....อีกทางหนึ่ง
    เป็นทางลูกรัง....และเป็นทางอ้อม....
    คิดว่าผม....จะไปทางไหน?


    ประเด็นมรรค...พูดไปก็ซ้ำแล้วซ้ำอีก
    แต่ผมให้ข้อคิดนิดนึง....
    แม้แต่อันไหนอนุสัย...อันไหนกิเลส
    ....ยังมองไม่ออกเลย...
    ....รวมกันไปหมด
    ถ้าแบบนั้น....มรรคก็ไม่ต้องพูดถึง
    ผมจะอธิบาย...
    ละเอียด....พลิกคว่ำตะแคงยังไง...
    .....คุณแนนคงมองไม่ออกแน่

    ....ไม่ต้องพูดถึง
    สมาธิ ..อุเบกขา.. เปลี่ยนทางจิตยังไง
    มรรคเดินยังไง....
    ไม่รู้แน่...
    ยังเข้าใจว่าอุเบกขาที่เปลี่ยนทางจิตนี้
    เป็นการกดข่ม..
    ...แท้จริง
    คือ ... อุเบกขาสัมโพชฌงค์
    เวลาผมอธิบาย..
    ผมแทบไม่ใช้คำศัพท์แสงอะไร
    อธิบายเพื่อให้คนเข้าใจตามได้

    และการแจงมรรค หรือธรรม
    ผมซ่อนไว้ข้างในเยอะแยะ
    ...อยุ่ที่ใครตาดีเห็นมันได้ไหม

    พอผมไม่ทำหล่อๆใช้ศัพท์เยอะๆ
    ...ก็เหมือนภูมิต่ำเตี้ย....
    เห็นเป็นสมถะ...อุเบกขากดข่ม
    ....เอาจริงนะครับ
    ....ถ้าคนมีปัญญาซักหน่อย....
    น่าจะมองออกนะครับ
    ว่าที่พูดถึงอุเบกขาแบบไหน

    แทบไม่ต้องพูดถึงสภาวะละเอียดอื่นๆต่อเลย
    คำว่า...ให้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองถึงรู้
    ...คุณแนนควรบอกผม....
    หรือ...
    คุณแนนควรบอกตนเอง...กันแน่ครับ
     
  18. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    คงทำได้แค่ยิ้มให้ แล้วจากไปค่ะ

    อะไรๆก็พูดไปเยอะแล้ว หากเสวนากันแล้วมันร้อนไม่แผ่ว
    ไม่เกิดประโยชน์ ก็วางดีกว่า
     
  19. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,216
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,794
    "... เวลาผมอธิบาย.. ผมแทบไม่ใช้คำศัพท์แสงอะไร อธิบายเพื่อให้คนเข้าใจตามได้..." ใช่ครับพี่... แต่คุณพี่ @หมูไม้ละ5 ใช้สมการตัวเลขครับ!!!
    "... เวลาผมอธิบาย.. ผมแทบไม่ใช้คำศัพท์แสงอะไร อธิบายเพื่อให้คนเข้าใจตามได้..." ไม่ใช่สูตรแก้สมการแคลคูลัส การแก้สมการอนุพันธ์ อินทิเกรต ดิฟ แคลคูลัส ใช่ไหมครับพี่?
    "... เวลาผมอธิบาย.. ผมแทบไม่ใช้คำศัพท์แสงอะไร อธิบายเพื่อให้คนเข้าใจตามได้..." คุณพี่ @หมูไม้ละ5 คิดว่าผมเข้าใจ สมการตัวเลข เหล่านี้ไหมครับ?
    "... และ การแจงมรรค หรือธรรม ผมซ่อนไว้ข้างในเยอะแยะ...อยุ่ที่ใครตาดีเห็นมันได้ไหม..." ผมรบกวนคุณพี่ @หมูไม้ละ5 ช่วยกรุณา อนุเคราะห์ และ สงเคราะห์ชี้หรือระบุถึงที่ซ่อนของ การแจงมรรค หรือธรรม ที่คุณพี่แอบซุกซ่อนไว้ข้างในเยอะแยะไว้ในสมการตัวเลขเหล่านี้นิดนึงจะได้ไหมครับ? พอดีผมสายตาไม่ค่อยดีครับพี่ (^ ^)
    "... และ การแจงมรรค หรือธรรม ผมซ่อนไว้ข้างในเยอะแยะ...อยุ่ที่ใครตาดีเห็นมันได้ไหม..." ผมรบกวนคุณพี่ @หมูไม้ละ5 ช่วยกรุณา อนุเคราะห์ และ สงเคราะห์เฉลย หรือ บอกใบ้ถึงที่ซ่อนของ การแจงมรรค หรือธรรม ที่คุณพี่แอบซุกซ่อนไว้ข้างในเยอะแยะไว้ในสมการตัวเลขเหล่านี้เพื่อเป็นธรรมทานด้วยนะครับ? พอดีผมสายตาไม่ค่อยดีครับพี่ (^_^)
    "... พยายามเข้าไปรู้....โกรธก็รู้...คิดก็รู้ ภาวนาโดยไม่มีเครื่องอยู่ของจิต..." สมการตัวเลขเหล่านี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับการ พยายามเข้าไปรู้....โกรธก็รู้...คิดก็รู้ ภาวนาโดยไม่มีเครื่องอยู่ของจิต ครับพี่? พอดีผมสายตาไม่ค่อยดีครับพี่... ผมมองไม่เห็น การแจงมรรค หรือธรรม ที่คุณพี่แอบซุกซ่อนไว้ข้างในเยอะแยะไว้ในสมการตัวเลขเหล่านี้จริงๆครับ [^ ^]
    "... แต่พยายามไล่ไปรู้...ตอนกิเลสปะทุแล้ว จึงจัดได้ไม่มีหมด..." สมการตัวเลขเหล่านี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับการ พยายามไล่ไปรู้...ตอนกิเลสปะทุแล้ว ครับพี่? รบกวนคุณพี่ @หมูไม้ละ5 ช่วยกรุณาเฉลยถึงสิ่งที่คุณพี่แอบซุกซ่อนไว้ข้างในเยอะแยะไว้ในสมการตัวเลขเหล่านี้นิดนึงนะครับ [^ ^]
    ผมว่าการใช้คำ ศัพท์เยอะๆ นั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับความหล่อนะครับพี่? ผมแนบรายละเอียดเพิ่มเติมที่น่าสนใจมาประกอบครับ (^_^)

    คลิ๊กดูเพิ่มเติม: เหตุการณ์ในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2506 [อาจมีภาพ เสียง หรือเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม] อ้างอิงจากในโพสต์ #1 นี้ครับ

    "... คิดว่าผม....จะไปทางไหน?" ผมไม่รู้ครับพี่ [^ ^] ... แต่ผมเลือกไป ทางสายกลาง ครับพี่... ส่วนคุณพี่ @หมูไม้ละ5 จะเลือกไปทางไหนก็แล้วแต่คุณพี่สะดวกเลยครับ... เอาตามที่พี่พร้อมและสบายใจเลยครับ... ประเด็นที่ผมสนใจคือผมอยากให้คุณพี่ @หมูไม้ละ5 รีบดำเนินการหาทางฉีดวัคซีนป้องกันโรค Covid - 19 ให้เร็วที่สุดครับ (^_^)
     
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ฝ่ายเเพ้คือกลายเป็นพระ
    ฝ่ายชนะก็ต้องกลายเป็นมาร(คือเทวดาฝ่ายร้ายประเภทหนึ่ง)
    คือลุงแมวได้อ่านหมดแล้ว ด้วยความใส่ใจ
    ทุกเม้นท์แหล่ะฮับ
    มันออกจะเข้าใจยากพอประมาณคับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...