ติดตามสถานะการณ์

เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา
เกิดฝนตกหนักติดต่อกันในประเทศ...คูเวต
ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันหลายแห่ง
ถนนหนทางเกือบทุกสายถูกน้ำท่วมหนัก

CR: Arab_storms

 

ธาตุเคมีชี้ความสำคัญ พืดน้ำแข็งโลก
ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 พ.ย. 2563 12:01 น.


ผู้คนมักคิดว่า แอนตาร์กติกาเป็นเพียงพื้นที่น้ำแข็ง แต่จริงๆ แล้วมีน้ำในสถานะของเหลวอยู่ใต้พืดน้ำแข็งในแอนตาร์กติกาและกรีนแลนด์ นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษากระบวนการทางธรณีเคมีของโลก ศึกษาตรวจสอบจนรู้ว่าน้ำใต้พืดน้ำแข็งในสภาพแวดล้อมขั้วโลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอันเป็นผลมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น

เมื่อเร็วๆนี้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาสเตต และมหาวิทยาลัยรัฐมอนตานา ในสหรัฐอเมริกา เผยว่า ข้อมูลจากทะเลสาบในแอนตาร์กติกน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษเสมอ ปัจจุบันมีการระบุว่าทะเลสาบที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งมีมากกว่า 400 แห่งในทวีปแห่งนี้ และนักวิทยาศาสตร์ก็มีความเชื่อมาหลายปีว่าน้ำใต้ธารน้ำแข็งทั่วโลกมีธาตุเคมีที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการดำรงชีวิตในปริมาณเล็กน้อย จนไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการทางธรณีเคมีและกระบวนทางชีววิทยาของโลก แต่ล่าสุด จากการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำใต้น้ำแข็งทั้งในแอนตาร์กติกาและกรีนแลนด์ พบว่าน้ำเหล่านี้มีความเข้มข้นของธาตุเคมีที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการดำรงชีวิตสูงกว่าที่เคยคิดไว้

ตัวอย่างที่พบก็เช่น นักวิจัยคาดว่าจะเห็นธาตุเหล็กซึ่งเป็นธาตุส่วนน้อยแต่ที่เป็นส่วนสำคัญ ละลายน้ำน้อยกว่า 5 ไมโครกรัมต่อลิตรในน้ำใต้ธารน้ำแข็งบางแห่ง แต่กลับเห็นได้ถึง 1,000 ไมโครกรัมต่อลิตร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เหล่านี้อาจสร้างความแตกต่างที่สำคัญของดำรงชีวิตในระบบนิเวศใต้น้ำแข็งแบบสุดขั้ว รวมถึงในน่านน้ำมหาสมุทรที่รองรับพืดน้ำแข็งที่ละลายลง.

https://www.thairath.co.th/news/for...JywPL9v_H1CSn4BFoZ83PSkmfvhkkXdMn0H8MOaKhxaGo

 

น้ำท่วมนครฯ เส้นทางกรุงชิงไปห้วยตง ขาดแล้ว

เมื่อวันที่ 2ธันวาคม สถานการณ์ฝนตกหนักในจังหวัดนครศรีธรรมราชอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่

ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ07.00 น. มีรายงานเส้นทางกรุงชิง-ห้วยตง ต.กรุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช ถูกกระแสพัดขาด ไม่สามารถผ่านได้

ขอบคุณภาพจาก Chanakarn Soongsark

#น้ำท่วมนครศรีธรรมราช #สื่อเถื่อน

 

2 ธ.ค.63 รฟท. ประกาศปิดทางระหว่างสถานีชุมทางทุ่งสง-สถานีที่วัง (สายกันตัง) ตั้งแต่เวลา 06.45 น. เป็นต้นไปเนื่องจากมีระดับน้ำสูงจากสันราง 20 ซม.

 

ภารกิจของ ‘ยานฉางเอ๋อ-5’ สั้นมาก เพียง 2 วันเท่านั้นตามเวลาบนดวงจันทร์ แต่เท่ากับ 28 วันตามเวลาบนโลก
.
1/ สี่ทุ่มเมื่อคืนที่ผ่านมา ยานสำรวจฉางเอ๋อ-5 ของจีนประสบความสำเร็จลงจอดบนพื้นผิวของดวงจันทร์ บริเวณแอ่งมหาสมุทรพายุ ด้านของดวงจันทร์ที่หันมายังโลก ความสำเร็จนี้รายงานโดยสำนักงานอวกาศแห่งชาติจีน
.
ชมภาพความสำเร็จ วินาทียานลงจอด ได้ที่นี่ครับ https://www.youtube.com/watch?v=PsDX5eZcmks
.
2/ ยานสำรวจฉางเอ๋อ-5 ขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวดลอง มาร์ช ไฟฟ์ ยิงขึ้นจากศูนย์อวกาศที่เมืองเหวินฉาง เกาะไหหลำ นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของจีน เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา
.
3/ ภารกิจสำคัญของยานฉางเอ๋อ-5 คือการเก็บตัวอย่างหินและดินของดวงจันทร์กลับมายังโลก ด้วยระยะเวลาในการปฏิบัติภารกิจที่ถือว่าสั้นมาก เพียง 2 วันเท่านั้นตามเวลาบนดวงจันทร์ แต่เท่ากับ 28 วันตามเวลาบนโลก
.
4/ หากภารกิจประสบความสำเร็จ กลับมายังโลกสำเร็จ จะเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปีที่ยานสำรวจดวงจันทร์ สามารถนำตัวอย่างดินและหินกลับมายังโลก ซึ่งครั้งล่าสุดที่มีความสำเร็จเช่นนี้คือเมื่อปี 2519 ภารกิจลูน่า24 ของสหภาพโซเวียต นำตัวอย่างดินและหินน้ำหนักรวม 170 กรัมจากดวงจันทร์เดินทางกลับมายังโลก
.
5/ และก่อนหน้านั้นคือ ความสำเร็จของนาซ่าของสหรัฐฯ กับโครงการสำรวจดวงจันทร์ด้วยยาน ‘อะพอลโล’ ถึง 6 ครั้ง ระหว่างปี 2512 ถึง 2515 และนำตัวอย่างดินและหินน้ำหนักรวม 382 กิโลกรัมกลับมายังโลก
.
6/ นาซ่า มีโครงการจะส่งมนุษย์เดินทางไปสำรวจดวงจันทร์อีกครั้ง ภายในปี พ.ศ. 2567
.
7/ มาพูดถึงฉางเอ๋อ-5 อีกครั้ง / จริงๆแล้ว จีนมีกำหนดการส่งยานฉางเอ๋อ-5 ตั้งแต่ปี 2560 แล้ว แต่จำเป็นต้องเลื่อนออกไปนานหลายปีเลยทีเดียว ด้วยเหตุผลทางเทคนิคหลายประการ
.
8/ และจริงๆแล้ว ยานฉางเอ๋อ-5 ไม่ใช่ยานสำรวจที่ลงจอดบนดวงจันทร์สำเร็จเป็นลำแรก ยานฉางเอ๋อเป็นลำที่ 3 ต่อจากยานฉางเอ๋อ- 3 ที่ลงจอดเมื่อธันวาคม 2556 และฉางเอ๋อ-4 ลงจอดเมื่อเดือนมกราคม 2562
.
9/ ยานฉางเอ๋อ-5 มีเทคโนโลยีที่แตกต่างจากยานรุ่นก่อนหน้า พัฒนาการที่โดดเด่นที่สุดคือ ลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ด้วยแรงกระแทกน้อยที่สุด
.
ขอบคุณภาพ จาก... China Xinhua News
.

 

เปลวไฟสุริยะ ระดับ M ที่วัดได้จากการปะทุ M4.44 เกิดขึ้นเมื่อเวลา 13:11 น. UTC ในวันที่ 29/11/2020 เป็นแสงสุริยะที่ทรงพลังที่สุดในรอบกว่าสามปี
งานวิจัยชิ้นใหม่ยืนยันหลักฐานที่ชัดเจนว่าการปะทุอย่างรุนแรงบนดวงอาทิตย์สามารถกระตุ้นให้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวจำนวนมากบนโลกได้ดังที่เกิดขึ้นในช่วง 22 ชั่วโมงตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายนถึง 1 ธันวาคม
แผ่นดินไหว ขนาด 6.4
รัสเซีย
2020-11-30 17:54:34 น. (UTC-05: 00)
587.0 กม
แผ่นดินไหว ขนาด 6.3
ชายแดนชิลี - อาร์เจนตินา
2020-11-30 17:54:59 น. (UTC-05: 00)
147.8 กม
แผ่นดินไหว ขนาด 6.4
อลาสก้า
2020-12-01 11:22:39 (UTC-05: 00)
23.0 กม
แผ่นดินไหว ขนาด 6.2
ภูมิภาคหมู่เกาะบัลเลนี
2020-12-01 15:52:57 (UTC-05: 00)
10.0 กม
The M-class solar flare measuring as a M4.44 eruption occurring at 1:11 p.m. UTC on 11/29/2020 was the most powerful solar flare in more than three years.
New research asserts strong evidence that powerful eruptions on the Sun can trigger mass earthquake events on Earth as occurred in the 22 hour period from Nov 30 to Dec 1.
6.4
Russia
2020-11-30 17:54:34 (UTC-05:00)
587.0 km
6.3
Chile-Argentina border
2020-11-30 17:54:59 (UTC-05:00)
147.8 km
6.4
Alaska
2020-12-01 11:22:39 (UTC-05:00)
23.0 km
6.2
Balleny Islands region
2020-12-01 15:52:57 (UTC-05:00)
10.0 km

 

วิญญาณเชื่อมโยงกับร่างกายได้อย่างไร ?

ความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณน่าจะเป็นหนึ่งในความเชื่อเก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่งของมนุษยชาติเพราะมันผูกโยงกับความเชื่อทางศาสนา ปรัชญา และตำนานพื้นบ้านในทั่วทุกมุมโลกอย่างแนบแน่น

ในแง่หนึ่งแนวคิดเรื่อง ‘วิญญาณ’ ช่วยอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติได้อย่างหลากหลาย

ชนพื้นเมืองของออสเตรเลียบางส่วนเชื่อว่า
แสงออโรราที่ปรากฏบนท้องฟ้าคือเปลวไฟที่วิญญาณร้ายก่อขึ้น
สมัยก่อนคนหลายท้องที่เชื่อว่าความเจ็บป่วยบางอย่างที่ลักษณะเหมือนถูก ‘ผีเข้า’ เป็นผลมาจากการเข้าสิงของวิญญาณ ฯลฯ
ฯลฯ

ปัจจุบันปรากฏการณ์จำนวนมากเหล่านี้ถูกอธิบายได้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์แล้ว

แสงออโรราเกิดจากอนุภาคมีประจุไฟฟ้าที่พุ่งออกมาจากดวงอาทิตย์ปะทะเข้ากับสนามแม่เหล็กโลกจนเกิดการเปล่งแสงออกมา
ส่วนความเจ็บป่วยในลักษณะที่ถูกผีเข้าอธิบายได้ด้วยความผิดปกติของสมองและทางจิตใจ

แต่ความเชื่อเรื่องวิญญาณก็ไม่ได้สูญหายไปไหน มันชวนให้หลายคนหลงใหลกับความลึกลับของคำถามที่ว่า วิญญาณมีอยู่จริงหรือไม่?

ก่อนจะพิจารณาคำถามนี้ เราอาจต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่าวิญญาณคืออะไรกันแน่

แม้ว่านิยามของวิญญาณที่ชัดเจนจะไม่มี แต่ความหมายกว้างๆ ก็คือวิญญาณนั้นอยู่ในร่างกายสิ่งมีชีวิตและทำให้สิ่งมีชีวิตแตกต่างจากสิ่งไม่มีชีวิต

ความเชื่อจำนวนมากมองว่าวิญญาณไม่ใช่สสารหรือพลังงานในโลกกายภาพที่เราจะสามารถตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์

ดังนั้น หากวิญญาณไม่ใช่สสารและพลังงาน กลไกการติดต่อและส่งอิทธิพลต่อโลกกายภาพจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับวิญญาณอย่างมาก เพราะในเมื่อวิญญาณเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติต่างจากสสารในโลกของเราอย่างสุดขั้ว

มันน่าจะต้องมีบางอย่างเป็นสะพานหรือตัวกลางที่เชื่อมโยงระหว่างตัวมันเข้ากับสสารในโลกกายภาพ มิเช่นนั้นมันจะติดต่อและส่งอิทธิพลมาได้อย่างไร

แต่ปัญหาที่ตามมาคือ อะไรเล่าจะทำหน้าที่เป็นสะพานระหว่างวิญญาณกับโลกกายภาพ ที่ต้องมีคุณสมบัติของทั้งวิญญาณและโลกกายภาพเพื่อจะสามารถแตะต้องทั้งสองอย่างได้ แต่การมีคุณสมบัติแตกต่างกันเช่นนี้เป็นเรื่องที่ฟังดูย้อนแย้งพอๆ กับการพยายามทำให้ห้องสว่างจ้าและมืดมิดไปพร้อมกัน

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ เราอาจมองว่าวิญญาณอาจเป็นมวลสารหรือพลังงานในโลกกายภาพของเรา เพียงแต่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ละเอียดอ่อนพอจะตรวจจับได้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม
ด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดทำให้นักฟิสิกส์สามารถสร้างอุปกรณ์ที่ไวพอจะตรวจจับการมีอยู่ของอนุภาค W และ Z ที่สลายตัวไปอย่างรวดเร็วในระดับหนึ่งในสิบล้านล้านล้านล้านวินาทีได้, อุปกรณ์ชื่อ ‘ซูเปอร์-คามิโอคังเด (Super-Kamiokande, SuperK)’ ทำให้นักฟิสิกส์สามารถตรวจจับอนุภาคนิวตริโนจากดวงอาทิตย์ที่ทะลุผ่านร่างกายเรานับล้านล้านอนุภาคใน
1 วินาทีได้โดยไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ กับร่างกายเราเลย นอกจากนี้อุปกรณ์ทางฟิสิกส์ขนาดมหึมาที่มีชื่อว่า LIGO ยังสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวที่น้อยในระดับร้อยล้านล้านมิลลิเมตรได้ ฯลฯ

แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถตรวจจับการมีอยู่ของวิญญาณได้

ถ้าวิญญาณเป็นสิ่งที่เบาบางและละเอียดอ่อนราวกับไร้การมีอยู่ถึงขนาดนั้น ปัญหาเดิมที่ว่าแล้ววิญญาณที่แสนจะอ่อนกำลังสามารถส่งอิทธิพลต่อวัตถุในโลกกายภาพได้อย่างไรก็กลับมา

ปัญหาของวิญญาณที่กล่าวมานี้เป็นปัญหาเชิงปรัชญาที่เรียกว่า Mind-body Problem ซึ่งท้าทายการมีอยู่ของวิญญาณอย่างยิ่ง

จริงๆ แล้วปัญหาของวิญญาณยังมีอยู่อีก เช่น วิญญาณมีความเป็นสากลหรือไม่? กฎเกณฑ์หรือธรรมชาติของวิญญาณคืออะไร? และวิญญาณเกิดขึ้นได้อย่างไร? ฯลฯ

บางทีความเชื่อเรื่องวิญญาณอาจจะดำรงอยู่คู่ไปกับมนุษย์เราไปอีกยาว
แม้จะเป็นยุคอนาคตอันไกลโพ้นที่มนุษย์สามารถเดินทางไปตั้งอาณานิคมไกลถึงดาวเคราะห์ดวงอื่นได้แล้วก็ตาม

 

ชาวนากับงูเห่า
ทรัมป์เปรียบเหมือนชาวนาเลี้ยงงูเห่า ล่าสุดWilliam Barr รมว ยุติธรรมออกมาพูดว่า ไม่พบการโกงการเลือกตั้งในระดับที่จะสามารถพลิกผลไม่ให้ไบเดนชนะเป็นประธานาธิบดี ทำเนียบขาวรีบโต้แย้งว่า แล้วที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมมีการสอบสวนเรื่องการโกงการเลือกตั้งอะไรบ้าง หรือว่านั่งเฉยๆ เมื่อถูกแทงข้างหลังอย่างนี้ ทรัมป์คงต้องอุทานเหมือนซีซ่าร์ว่า "Barr คุณเอากับเขาอีกคนหรือ?"
ปรากฎว่านอกจากกระทรวงยุติธรรมแล้ว หน่วยงานอื่นๆไม่ว่าจะเป็นDepartment of Homeland Security, FBI หรือCIA ต่างก็ตีกรรเชียง ไม่ทำอะไรท่ามกลางการเลือกตั้งที่โกงมโหฬารที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีAndrew Jacksonถูกโกงในศตวรรษที่ 19
ทีมงานของทรัมป์มีแต่งูเห่าทั้งนั้น เพราะว่าตอนเข้ามารับตำแหน่งทรัมป์ไม่ได้แต่งตั้งทีมงานกับมือ แต่CFRและพรรครีพับบลีกันที่ตอนนี้ก็ทรยศทรัมป์ส่งรายชื่อครม ให้เข้าร่วมทีมงานกับทรัมป์
ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐไม่ได้ยิ่งใหญ่คับฟ้า เป็นแค่ตุ๊กตาตัวหนึ่งเท่านั้นของDeep State สรุปอีกครั้งว่าระบบประชาธิปไตยในสหรัฐและในโลกไม่มีจริง ประชาธิปไตยเป็นเพียงลัทธิที่หลอกลวงเพื่อให้มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย และสังคมแตกแยกทำให้Deep Stateสามารถควบคุมหรือปกครองได้ง่ายจากหลังฉาก และเราสามารถสรุปต่อไปได้ว่า คนที่ยอมตายเพื่อลัทธิประชาธิปไตยเป็นคนโง่

 

#ชุดนักเรียน น่ารักของ #ไต้หวัน ผลโหวตกว่า 4 แสนคน โรงเรียนพาณิชย์หย่งผิง ชนะเลิศชุดนักเรียนน่ารักที่สุด 102,221 คะแนน โรงเรียนจากเมืองเถาหยวน กวาดตำแหน่งแชมป์ชุดนักเรียนที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรก

บล็อกเกอร์ชาวเมืองไถจงคนหนึ่ง เปิดเว็บไซต์จำหน่ายชุดนักเรียนมัธยมของโรงเรียน 160 แห่งทั่วเกาะไต้หวัน สร้างรายได้เดือนละ 2-4 หมื่นบาท เครื่องแบบนักเรียนนอกจากจำหน่ายให้กับเหล่านักเรียนในช่วงเปิดเทอมแล้ว เนื่องจากไต้หวันได้รับอิทธิพล “คอสเพลย์” ของญี่ปุ่นมาก ทำให้มีผู้ซื้อหาชุดนักเรียนไปสวมใส่ในเทศกาล เช่น วันคริสต์มาส วันวาเลนไทน์และ งานเลี้ยงของบริษัทต่างๆ

 

1 > ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science เปิดเผยว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับพฤติกรรมของไฟป่า ทำให้สัตว์มากกว่า 4,400 ชนิดทั่วโลกเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และในจำนวนนี้มีไม่น้อยที่เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างมากหรือเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์

2 > "พฤติกรรมของไฟป่า" ก็คือความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระยะหลังเพราะไฟป่าเป็นความเคลื่อนไหวหนึ่งของธรรมชาติ แต่ระยะหลังมีเหตุให้ไฟเกิดผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ นักวิจัยได้ระบุปัจจัยจากน้ำมือมนุษย์ 3 ปัจจัยหลักซึ่งทำให้ไฟป่าเกิดเพิ่มขึ้น ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก, การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และการรุกรานทางชีวภาพ

3 > โลกที่เปลี่ยนไปและไฟป่าที่มากขึ้นส่งผลให้นก 19% สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 16% และพืชตระกูลถั่ว 19% ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์

4 > จากการศึกษาพบว่าพื้นที่ทั้งหมดที่ถูกไฟป่าเผาผลาญถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น พื้นที่ทั้งหมดที่ถูกเผาในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกของออสเตรเลียระหว่างเดือนสิงหาคม 2562 - มีนาคม 2563 คือ 12.6 ล้านเฮกตาร์ซึ่งเป็นขนาดพื้นที่ที่ถูกทำลายแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

5 > ดร. ลุค เคลลี ผู้นำการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น กล่าวว่า "ไฟป่าล่าสุดได้เผาผลาญระบบนิเวศที่ไม่ค่อยจะเกิดไฟไหม้หรือไม่เคยเกิดขึ้นเลยมาก่อนในอดีต"

6 > นอกจากนี้ยังพบไฟป่ามีขนาดใหญ่และรุนแรงมากในพื้นที่ที่มีประวัติการเกิดไฟซ้ำมายาวนานและสอดคล้องกับการสังเกตพบฤดูไฟป่าที่ยาวนานขึ้นและการคาดการณ์ว่าจะมีไฟป่าที่เพิ่มขึ้นในป่าไม้ยืนต้นและพุ่มไม้ของออสเตรเลีย ยุโรปตอนใต้ และตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งล้วนแต่เป็นพื้นที่แแห้งแล้งและติดไฟง่าย

7 > ดร. เคลลี บอกว่าวิธีการสกัดกั้นภัยพิบัติจากไฟป่าที่เพิ่มมากขึ้นจะต้องมีการฟื้นฟูถิ่นที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ตามธรรมชาติ การนำสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเข้ามาอยู่ในพื้นที่ตามธรรมชาติอีกครั้ง การลดเชื้อเพลิง การสร้างพื้นที่สีเขียวที่ติดไฟได้ต่ำ และการปล่อยให้ไฟป่าลุกไหม้ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมหรือการเผาป่าแบบควบคุมนั่นเอง

8 > ถึงแม้ว่าการกระทำของมนุษย์จะเป็นต้นเหตุของไฟป่าที่เลวร้ายลง แต่บทบาทของผู้คนก็มีความสำคัญมาก เช่น การดูแลป้องกันอัคคีภัยของชนพื้นเมืองที่อาศัยในพื้นที่ป่าจะช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของมนุษย์เราในหลายพื้นที่ของโลก

อ้างอิงจาก
• Pippa Neill. (30 November 2020). "Increased wildfires are putting thousands of species at risk". Environment Journal.
• "4,400 species globally facing threats from changes in wildfires". (25 November 2020). IANS.
ภาพ Photograph used by permission of the USDA Forest Service.

 

SPACE: โผล่อีก! เสาโลหะปริศนา โผล่บนภูเขาในโรมาเนีย! ขณะเสาที่ยูทาห์หายไปแล้ว ไม่ทราบมาจากไหน ใครเอามันมา
.
ดูเหมือนว่าเรื่องปริศนายังไม่จบ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ในรัฐยูททาห์พบแท่งโลหะสูงราว 3-4 เมตร กลางทะเลทรายพื้นที่ห่างไกลขณะบินสำรวจเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และไม่ทราบที่มาของเสานั้น โดยมันดูคล้ายวัตถุในหนังเรื่อง 2001: A Space Odyssey ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาชมแท่งเสานี้ แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นมันก็ได้หายไปจากพื้นที่ดังกล่าว
.
ล่าสุดวัตถุที่คล้ายคลึงกันนี้ไปโผล่ที่ Batca Doamnei Hill ทางตอนเหนือของโรเมเนีย มันมีขนาดสูง 4 เมตร และไม่ทราบที่มาของมันเช่นกัน
.
Andrei Carabelea นายกเทศมนตรีเมือง Piatra Neamt คาดว่ามีผู้คนนำมันมาวางไว้ที่นี่ และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ถูกเลือกนำมันมาวางไว้ที่เมืองนี้ แต่จะดีกว่านี้หากมีการขออนุญาตก่อนติดตั้ง และหวังว่าจะดึงดูดผู้คนมาท่องเที่ยว
.
จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายว่าเสาโลหะที่ยูทาห์ และโรมาเนียเกี่ยวข้องกันหรือไม่ และมีความหมายอย่างไร และใครเอามันมา
.
Source
1. https://www.independent.co.uk/.../monolith-romania-utah...

2. https://time.com/5916286/utah-monolith-disappears/

3. https://www.theguardian.com/.../utah-monolith-mystery...

4. https://www.nytimes.com/.../utah-monolith-removed...

5. https://www.dailymail.co.uk/.../Now-mysterious-Arthur-C...

6. https://www.facebook.com/.../a.17838458.../2817142501899890/

7. https://www.cnet.com/.../another-mysterious-monolith-has.../

8. https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3236366639825094/?d=n

 

บ้านเรือนสก็อตแลนด์เตรียมใช้พลังงานไฮโดรเจน 100% เป็นที่แรกของโลก ใช้ให้ความอบอุ่น-ทำอาหาร ดันเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
.
บ้านกว่า 300 หลังใน Fife จะได้รับการติดตั้งเครื่องทำความร้อน และเครื่องครัวต่าง ๆ สำหรับใช้กับพลังงานไฮโดรเจนฟรี โดยพลังงานไฮโดรเจนนี้จะเป็นพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์
.
สก็อตแลนด์จะเริ่มเปลี่ยนมาใช้ก๊าซที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในสิ้นปี 2022 โดยไม่มีการเก็บค้าใช้จ่ายเพิ่มใด ๆ และเตรียมจะรวบรวมบ้านให้ได้จำนวนสูงสุด 1,000 หลังหากการทดลองใช้ระยะแรกสำเร็จ
.
การทดลองนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานด้านพลังงาน Ofgem เป็นจำนวน 24 ล้านเหรียญให้กับ SGN เพื่อพัฒนาโครงการรุ่นบุกเบิกนี้ เพื่ออนาคตที่ปล่อยคาร์บนต่ำลงของสหราชอาณาจักร โดยรัฐบาลได้สนับสนุนโครงการนี้เป็นเงินจำนวน 9.2 ล้านเหรียญ
.
พลังงานไฮโดรเจนสุดกรีนนี้เป็นส่วนสำคัญของแผนการรัฐบาลในการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิในสหราชอาณาจักรเนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์ในลักษณะเดียวกับเชื้อเพลิงฟอสซิลแต่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งโดยปกติแล้วกว่า 85% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในครัวเรือนของสหราชอาณาจักรนั้นเกิดจากก๊าซหุงต้ม
.
Source
https://www.theguardian.com/.../scottish-green-hydrogen-fife

 

โลกมีหวัง งานวิเคราะห์ชี้ ข้อตกลงปารีสอาจสำเร็จได้ หลังหลายประเทศมุ่งคาร์บอน0 ภายในปี 2050 แต่ต้องมีแผนระยะสั้น คาดโลกจะร้อนขึ้น 2.1C ในปี 2100
.
งานวิเคราะห์ใหม่คาดการณ์ว่าเป้าหมายความตกลงปารีสของสหประชาชาตินั้น "อาจเอื้อมเข้าถึงได้" หลังหลายประเทศสัญญามุ่งสู่คาร์บอนศูนย์
.
ขณะนี้โลกกำลังเผชิญอุณหภูมิที่สูงขึ้นเฉลี่ย 1.1 องศา (หากเปรียบเทียบกับระดับอุณหภูมิเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรม ปี 1850-1900) ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนและสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ความร่วมมือของโลกในการลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นอาจทำให้อุณหภูมิที่จะสูงขึ้นมีหวังที่จะ "ไม่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้"
.
องค์กร Climate Action Tracker ที่ติดตามด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและอุณหภูมิโลก เผยว่าคำมั่นสัญญาใหม่ของหลากหลายประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างประเทศจีน และสหรัฐอเมริกา อาจทำให้เราสามารถควบคุมอุณหภูมิได้
.
จากข้อมูลวิเคราะห์เผยว่าหากคำมั่นสัญญาเหล่านี้นำไปสู่การปฏิบัติจริงจะทำให้อุณหภูมิสิ้นศตวรรษนี้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 2.1 องศาเซลเซียส (เทียบกับอุณหภูมิเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรม) ขณะที่การคาดการณ์ก่อนหน้านี้ชี้ว่าอุณหภูมิจะสูงไปถึง 3 องศาเซลเซียส และเผชิญผลกระทบมหาศาล
.
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญก็มีความกังวลกว่าการแก้ไขปัญหาระยะยาวอาจไม่สอดคล้องกับแผนการลดคาร์บอนไดออกไซด์ระยะสั้น
.
เป็นเวลามากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา นักวิจัยจาก Climate Action Tracker ได้ตรวจสอบและประเมินว่าเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นจะส่งผลต่ออุณหภูมิที่จะสูงขึ้นอย่างไร
.
โดยหลังจาก Copenhaen Summit ในปี 2009 ทางองค์กรได้คาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นมากกว่า 3.5 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้
.
แต่หลังจากมีความตกลงปารีสในปี 2015 ซึ่งเป็นความตกลงที่มีเพื่อให้ประเทศทั่วโลกลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดอันตรายของอุณหภูมิโลกที่จะสูงขึ้น (ควบคุมไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส) ทำให้ผลกระทบที่คาดการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ความตกลงนี้เป็นผลให้หลายประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงาน และมีคำมั่นสัญญาในการลดก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ หรือคาร์บอนเป็นกลางมากขึ้น
.
ซึ่งในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทางองค์กรสรุปว่าโลกของเราจะร้อนขึ้นประมาณ 2.7 องศาภายในปี 2100 ซึ่งสูงกว่าลิมิตที่ความตกลงปารีสต้องการควบคุมไม่ให้โลกร้อนเกิน 2 องศา (และเป้าหมาย 1.5 องศเซลเซียสก็ดูยังห่างไกลออกไป)
.
แต่การวิเคราะห์ในเชิงบวกล่าสุดคาดการณ์ว่าโลกจะร้อนขึ้น 2.1 องศาเซลเซียสในปี 2100
.
โดยการคาดการณ์ครั้งล่าสุดนี้เป็นผลจากที่หลายประเทศได้ให้คำมั่นสัญญามากขึ้นในไม่กี่เดือนมานี้ อาทิ จีนที่ตั้งเป้าคาร์บอนศูนย์ในปี 2060 ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ตั้งเป้าหมายเดียวกันนี้ให้บรรลุในปี 2050 ขณะ Joe Biden ผู้ได้รับเลือกตั้งจากสหรัฐอเมริกาก็ตั้งเป้าหมายนี้เช่นกัน
.
"ขณะนี้ประเทศใหญ่ๆปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 50% ของทั้งโลก และหลายประเทศก็มีเป้าหมายลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ในช่วงปี 2050" Bill Hare จาก Climate Analytics กล่าว
.
"เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมารวมกัน ประกอบกับสิ่งที่หลายๆประเทศอื่นๆกำลังทำ จะทำให้อุณหภูมิที่คาดการณ์ไว้คือ 2.7 องศา จะเข้าใกล้ 2 องศามากขึ้น ซึ้งแม้มันจะห่างจากเป้าหมายของความตกลงปารีส แต่ก็เป็นการพัฒนาที่ดี" Bill Hare กล่าว
.
อย่างไรก็ตามทางองค์กรก็มีข้อสังเกตและคำเตือนว่าหลายประเทศยังไม่มีแผนระยะสั้นที่จะนำไปสู่เป้าหมายใหญ่ที่เพียงพอ ซึ่งเป้าหมายใหญ่เป็นการกำหนดที่ง่าย เพราะมันห่างไกลออกไป แต่มาตรการระยะสั้นก็จำเป็นที่สุดที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะยากกว่า
.
ภายในสิ้นปีนี้ประเทศที่ลงนามความตกลงปารีสจะต้องมีแผนการลดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2030
.
ซึ่งขณะที่หลายประเทศกำลังตั้งเป้าหมาย แต่ก็มีอีกหลายประเทศที่ยังลังเล และประเทศกำลังพัฒนาก็ยังมองหาการลงทุนในพลังงานฟอสซิลอย่างถ่านหิน อาทิ Saudi Arabia, Brazil, Russia และหลายประเทศในเอเชีย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลและอาจทำให้การคาดการณ์ผิดพลาดไปได้
.
ซึ่งมาตรการการแก้ไขวิกฤตการระบาดโควิด-19 ก็เป็นโอกาสที่หลายประเทศจะสามารถหันสู่พลังงานหมุนเวียน ลดก๊าซเรือนกระจก และฟื้นฟูสีเขียวได้
.
Source
1. https://www.bbc.com/news/science-environment-55073169

2. https://climateactiontracker.org/.../global-update-paris.../

ร่มธรรม ขำนุรักษ์

 

POLICY - จีนเตรียมบังคับให้ภาคธุรกิจ ร้านค้า-อาหาร เดลิเวอรี่ อีคอมเมิร์ซ ต้องรายงานการใช้พลาสติก! และส่งแผนรีไซเคิล ดันการจัดการขยะ เตรียมแบนพลาสติกหลายชนิดขึ้น
.
ภาคธุรกิจ ร้านอาหาร แพลตฟอร์ม e-commerce บริษัทเดลิเวอรี่จะต้องรายงานการใช้ถุงพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งกับหน่วยงานภาครัฐ และส่งแผนการรีไซเคิลอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการการกระตุ้นการรีไซเคิล รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีนเสนอเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
.
มลพิษพลาสติกกลายมาเป็นความท้าทายใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของจีน โดยขยะจำนวนมหาศาลลงสู่หลุมฝังกลบ ถูกทิ้ง หรือตกอยู่ในสิ่งแวดล้อม และการที่ผู้คนบริโภคสินค้าเดลิเวอรี่ทั้งสินค้าและอาหารมากขึ้นก็จะเป็นปัญหามากขึ้น
.
ก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมารัฐมนตรีฯได้เผยว่าจะมีการแบนถุงพลาสติก และช้อนส้อมพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งในหลายเมืองภายในสิ้นปี ขณะหลอดแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งจะแบบทั่วประเทศ
.
Wang Wang ประธานสมาคม China Scrap Plastic Association เผยว่าการแบนนั้นจะแก้ปัญหามลพิษพลาสติกประเภทที่เห็นได้ชัดเท่านั้น และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการผลักดันการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกของประเทศ
.
ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา จีนได้มีการห้ามใช้ฟิล์มพลาสติกสำหรับพืชผลการเกษตรที่ใช้เพื่อให้มันคงความอบอุ่นและชุ่มชื้น เกษตรกรชาวจีนใช้พลาสติกเหล่านี้กว่า 1.5 ล้านตันต่อปี และทิ้งของเสียให้ทำลายดิน
.
นอกจากนี้กฎหมายขยะมูลฝอยใหม่ก็ได้ถูกบังคับใช้ในเดือนกันยายน ที่จะควบคุมการใช้พลาสติกอย่างเคร่งครัดมากขึ้น และได้เตรียมสร้างโรงงานรีไซเคิลแห่งใหม่
.
แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์ว่าจีนนั้นเร่งรีบมาตรการต่างๆเกินไป แต่ Wang เผยว่าจะมีผลกระทบไม่มากต่อภาคธุรกิจจากมาตรการดังกล่าว โดยภาคธุรกิจได้ทราบในเบื้องต้นแล้วว่าผลิตภัณฑ์หล่าวนี้จะถูกแบน
.
จีนสร้างขยะพลาสติก 63 ล้านตันในปี 2019 และมีอัตราการรีไซเคิลเพียง 30% พร้อมยังสร้างขยะประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งที่ย่อยสลายไม่ได้กว่า 20 ล้านตัน รวมถึงขยะถุงช้อปปิ้งกว่า 3 ล้านตัน
.
Antoine Grange ผู้บริหารการรีไซเคิลจาก SUEZ เอเชียเผยว่าการแบนนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่จีนก็ต้องพัฒนาศักยาภาพการรีไซเคิลด้วย "การแบนพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งดีต่อการศึกษา การสร้างความตระหนัก แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่เท่านั้น" เขาเผย
.
Source
1. https://www.reuters.com/.../china-to-force-firms-to...
.
ร่มธรรม ขำนุรักษ์

 

FOREST: ปอดโลกพินาศ รายงานบราซิลชี้ ป่าแอมะซอนถูกทำลาย หนักสุดในรอบ 12 ปี! เสีย 7 ล้านไร่ เพิ่มจากปีก่อน 9.5% ปธน.หนุนทำเกษตรเหมืองในพื้นที่
.
งานวิจัยจากสถาบันวิจัยด้านอวกาศแห่งชาติบราซิล (INPE) เผย การตัดไม้ทำลายป่าดิบชื้นในบราซิลพุ่งสูงขึ้นที่สุดตั้งแต่ปี 2008
.
นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2019 ถึงกรกฎาคม 2020 พื้นที่ป่าฝนกว่า 11,088 ตารางกิโลเมตรถูกทำลาย ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 9.5% และนำว่ามีขนาดใหญ่กว่าลอนดอน 7 เท่า
.
แอมะซอนถือว่ามีความสำคัญเนื่องจากเป็นอ่างกักเก็บคาร์บอน หรือปอดของโลกที่ช่วยลดดูดซับก๊าซในชั้นบรรยากาศ และลดความเร็วของการเกิดโลกร้อน แต่ข่าวร้ายที่ตามมาคือ นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าแอมะซอนช่วยโลกได้ช้าลงตั้งแต่ Jair Bolsonaro เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของบราซิลตั้งแต่มกราคมปี 2019
.
ตั้งแต่ Bolsonaro เข้ามา เขาได้กระตุ้นให้ทำการเกษตร และขุดเหมืองในพื้นที่ป่าฝนที่ใหญ่ที่สุดของโลกดังกล่าว ล่าสุด มีข้อมูลจาก Inpe ที่ชี้ว่า มีพื้นที่ถูกบุกรุกมากขึ้นจากปี 2018 ปีก่อนที่ Bolsonaro จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง (เดิมมีพื้นที่ถูกบุกรุก 7,536 ตารางกิโลเมตร)
ซึ่งข้อมูลใหม่นี้จะเปิดเผยอย่างเป็นทางการในต้นปีหน้า
.
ในปี 2009 บราซิลเองเคยตั้งเป้าไว้แล้วว่าภายในปี 2020 นี้ บราซิลจะลดปริมาณการตัดไม้ทำลายป่าลงเหลือ 3,900 ตารางกิโลเมตรต่อปี แต่ก็ดูเหมือนส่ายังไม่สามารถทำตามเป้าได้
.
หนึ่งในสาเหตุอาจเป็นเพราะว่า Bolsonaro ได้กระตุ้นให้คนหันมาพัฒนาพื้นที่ป่าฝนผ่านการตัดงบองค์กรที่ทำหน้านี้เรียกเก็บเงินเจ้าหน้าที่ และผู้ที่ฝ่าฝืนกฎสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ และตำหนิว่า Inpe เผยข้อมูลการตัดไม้ที่ทำให้ประเทศเสียชื่อเสียง
.
ส่วนองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของบราซิล Climate Observatory ชี้ว่าข้อมูลของ Inpe สะท้อนให้ว่ารัฐบาลบราซิลสามารถทำลายความสามารถของรัฐ และหน่วยงานตรวจสอบที่ดูแลป่า และต่อสู้กับอาชญากรรมในแอมะซอน
.
แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ที่พูดถึงอัตราที่เพิ่มขึ้นว่ายังน้อยกว่าปีก่อนหน้า ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดี
.
รองประธานาธิบดี Hamilton Mourão กล่าวว่า “ถึงเราจะไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีกับข้อมูลนี้ แต่ข้อมูลดังกล่าวก็แสดงให้เห็นวาาความพยายามของเราเริ่มออกดอกออกผลแล้ว”
.
ปีที่แล้ว มีข้อมูลเปรียบเทียบให้เห็นว่าป่าของบราซิลถูกทำลายไปขนาดเท่าสนามฟุตบอลในทุก ๆ หนึ่งนาที แต่ในไม่ช้า ข้อมูลใหม่อาจจะมาแซง ในปีนี้ก็เห็นแล้วว่าไฟป่าที่ผ่านมาเป็นไฟที่รุนแรงที่สุดใน 10 ปี
.
ซึ่งหลายคนมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเมื่อ Jair Bolsonaro เข้ามาเป็นประธานาธิบดี เนื่องจากเขาต้องการสนับสนุนการทำเหมืองพอ ๆ กับการทำการเกษตรในพื้นที่ป่า เขาถึงกับเคยพูดถึงป่าแอมะซอนว่าเป็น “ตารางธาตุ” เพราะเต็มไปด้วยแร่ธาตุมากมาย
.
แต่นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมกล่าวว่า ต้นไม้กว่าพันล้านต้นมีความสามารถในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าไม่มีมัน อุณหภูมิของโลกอาจสูงขึ้นอย่างแน่นอน
.
Source
1. https://www.bbc.com/news/world-latin-america-55130304

2. https://www.reuters.com/.../deforestation-in-brazils...

 

#ดราม่าร้อน_จีนvsออสเตรเลีย
#นายกฯออสเตรเลียเดือดลั่นจีนต้องขอโทษ

ดราม่าระดับโลกวันนี้ เป็นการชนช้างระหว่างมุมแดง จีนแผ่นดินใหญ่ และ มุมน้ำเงิน ออสเตรเลียแดนจิงโจ้ เมื่อโฆษกต่างประเทศพันธุ์ดุของจีน จ้าว หลี่เจีย ได้โพสต์ทวิตเตอร์ พูดถึงคดีของทหารออสเตรเลียกำลังถูกไต่สวนข้อหาอาชญากรสงครามในช่วงสงครามอาฟกานิสถานว่า

"Shocked by murder of Afghan civilians & prisoners by Australian Soldiers. We strongly condemn such acts & call for holding them accountable.

"ช็อคโลกมากครับ กับคดีฆาตกรรมพลเรือน และนักโทษชาวอาฟกัน ที่กระทำโดยทหารออสเตรเลีย เราขอประณามอย่างรุนแรงในการกระทำครั้งนี้ และต้องมีการไต่สวนหาความจริงถึงที่สุด"

แต่ข้อความอันร้อนแรงของโฆษกรัฐบาลจีน ก็ยังไม่ช็อคเท่ากับภาพประกอบที่จ้าว หลี่เจียน โพสต์ขึ้นมาคู่กัน เป็นภาพทหารออสเตรเลียนายหนึ่งกำลังถือมีดจ่อคอหอยเด็กชายคนหนึ่ง ที่กำลังอุ้มลูกแกะอยู่

จึงกลายเป็นระเบิดดราม่าลูกโต ที่นายสก็อต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ออกมาตอบโต้โฆษกรัฐบาลจีนอย่างรุนแรง ให้ช่วยระบุต้นตอของภาพที่โพสต์ในทวิตเตอร์ด้วย ไม่อย่างนั้นถือว่าจีนมีเจตนาปล่อยเฟคนิวส์ ด้วยภาพตัดต่อโจมตีออสเตรเลีย และเรียกร้องให้จีนต้องประกาศขอโทษชาวออสเตรเลียอย่างเป็นทางการด้วย

แต่ทั้งนี้ ทางสถานทูตจีน ณ กรุงแคนเบอร่า เมืองหลวงของออสเตรเลีย ก็ออกมาปฏิเสธข้อเรียกร้องของนายกฯ ออสเตรเลีย โดยยืนยันว่าจะไม่ขอโทษ โดยให้เหตุผลว่า ทางออสเตรเลียตื่นตูมกับข้อความของโฆษกจีนมากเกินควร เพราะต้องการกลบเกลื่อนคดีอาชญากรรมสงครามของทหารชั้นสูงในกองทัพออสเตรเลีย

และดราม่านี้ ก็อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีน และออสเตรเลีย ที่ย่ำแย่อยู่แล้วตั้งแต่ช่วง Covid-19 ที่ออสเตรเลียออกมาเปิดประเด็นให้ไต่สวนต้นกำเนิดของไวรัส Covid-19 ว่ามาจากจีนหรือไม่ เลวร้ายลงไปอีก

โดยจีนเลือกที่จะสะกิดแผลสดของออสเตรเลีย เมื่อมีการเปิดเผยหลักฐานที่น่าเชื่อถือ จากการสืบพยานกว่า 400 คนว่า มีกลุ่มทหารยศสูงในกองทัพออสเตรเลียบางคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารพลเรือน นักโทษชาวอาฟกันไม่น้อยกว่า 39 คน ในช่วงที่ออสเตรเลียส่งกองทัพไปเสริมกำลังให้พันธมิตร ในช่วงสงครามอาฟกานิสถานระหว่างปี 2009 - 2013 ซึ่งเข้าข่ายคดีอาญากรรมสงคราม

เมื่อต่างฝ่าย ต่างจี้ใจดำกัน มันก็ระเบิดตูมกลาย
เป็นดราม่าเขม่นแรงข้ามโลก จนยากจะมองหน้ากัน ทั้งๆที่ก็เพิ่งเซ็นข้อตกลง RCEP ร่วมกันไปหมาดๆ

ก็เป็นเรื่องแปลกดีสำหรับยุคนี้ ที่ชาติมหาอำนาจพร้อมใจฉีกกฏด้านการทูตทุกตำรา แรงมา แรงกลับไม่โกง กะจะไม่เผาผีกันเลยหรือไงหนอ

แหล่งข้อมูล

https://www.abc.net.au/.../china-accuses-scott.../12939734
https://www.bbc.com/news/world-australia-54996581
https://edition.cnn.com/.../australia-china.../index.html

 

#สังเวย110ศพที่ไนจีเรีย

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่กว่า 110 ศพในเขตโบรโน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไนจีเรีย

เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวนา ชาวไร่ในพื้นที่ เมื่อมีกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธบุกเข้ามาในหมู่บ้านโคโชเบ ในเขตจังหวัดโบรโน ตั้งแต่ช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา แล้วก็กวาดต้อนชาวนาออกไปกลางทุ่ง ก่อนที่จะสังหารหมู่ชาวบ้านเหล่านั้นด้วยการเชือดคอรายคน และตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารชาวบ้านในหมู่บ้านไปแล้วไม่น้อยกว่า 110 ศพ และยังลักพาตัวสาวชาวบ้านไปอีกหลายสิบคน

ถึงแม้จะยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายคนไหนออกมาประกาศตัวว่าเป็นผลงานของตน แต่ก็เชื่อได้ว่าน่าจะเป็นกลุ่มก่อการร้าย โบโก ฮาราม และกลุ่มแบ่งแยกดินแดนรัฐอิสลามแห่งอาฟริกาตะวันตก หรือ ISWAP ที่เป็นเครือข่ายเดียวกัน ที่มีอิทธิพลอย่างมากในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรีย และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มก่อการร้ายที่โหดเหี้ยมที่สุดในโลก

วีรกรรมของกลุ่มโบโก ฮาราม และเครือข่ายร่วมสร้างความเดือนร้อนและทุกข์เข็ญให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่มานานหลายสิบปี โดยรวมกลุ่มติดอาวุธประกาศเขตปกครองตนเอง และเข้าปล้นผลผลิตของชาวบ้าน รีดไถเรียกค่าคุ้มครอง จับผู้หญิงในหมู่บ้านไปเป็นทาส ค้าประเวณี หากใครขัดขืนจะถูกลงโทษฆ่าหมู่

อย่างเช่นกรณีนี้ ก่อนเกิดเรื่อง มีนักรบโบโก ฮารามคนหนึ่ง เข้ามารีดไถ่ชาวนาในหมู่บ้านโคโชเบ หยิบเอาทรัพย์สินชาวบ้านไปตามแต่ใจ และบังคับให้ทำอาหารเลี้ยงอีกด้วย จนชาวบ้านทนไม่ไหว จึงใช้ช่วงจังหวะทีเผลอ ล้อมจับตัวไว้เตรียมส่งตัวให้ทางการ

แต่ทว่าทางการไนจีเรียส่งกองกำลังมาช่วยช้ามาก จึงเป็นโอกาสให้พวกกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธยกพวกมาโจมตีหมู่บ้าน เข่นฆ่าสังหารหมู่ชาวบ้านตายอย่างอเน็จอนาจกว่า 100 คน

และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ ตลอดช่วงสิบกว่าปีทีผ่านมา กลุ่มก่อการร้ายโบโก ฮาราม ก็ไล่ฆ่าคนล้างหมู่บ้านมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30,000 ศพ ที่ทำให้ชาวบ้านทนไม่ไหวต้องทิ้งบ้านหนี ลี้ภัยไปอยู่ที่อื่นแล้วนับล้านคน

แล้วทำไมทางการไนจีเรียถึงไม่ส่งกองกำลังของรัฐบาลเข้าพื้นที่ มาจัดการกลุ่มก่อการร้ายพวกนี้ให้สิ้นซากเล่า?

ปัญหานี้ รัฐบาลไนจีเรียก็เคยส่งกองทัพเข้ามาปะทะกับกลุ่มก่อการร้ายโบโก ฮารามแล้ว แต่ทว่าเพียงแค่ครึ่งปีแรก กองทัพไนจีเรียเสียทหารไปแล้วกว่า 800 นาย จนขวัญหนีดีฝ่อ รัฐบาลไนจีเรียจึงออกมาตรการใหม่ ให้ทหารปักหลักอยู่ใน "Super Camp" ฐานที่มั่น มีเรื่องตรงไหนค่อยยกทัพใหญ่ออกไปรบ เพราะไม่ต้องการให้สูญเสียทหารมากเกินไป การกระจายกำลังเป็นกลุ่มย่อยๆ จะเป็นเป้าหมายให้นักรบโบโก ฮาราม โจมตีได้ง่ายกว่า

เท่ากับว่า ทหารไนจีเรียถอยออกจากพื้นที่เสี่ยงหมด กว่ากองทัพจะยกมาช่วย กลุ่มก่อการร้ายก็เชือดคนในหมู่บ้านหมดแล้ว ไม่ทันเวลายิ่งกว่าหนังไทยที่ตำรวจมักมาตอนจบ ให้พอแก้ตัวได้ว่ามาช้าดีกว่าไม่มา แต่ที่ไนจีเรียนี่มาตอนเก็บศพ ไม่มาเสียยังดีกว่า

นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของชาวไนจีเรีย ที่ต้องมาเจอปัญหาแบบนี้ ที่ทำให้เราๆ ท่านๆ ที่อยู่คนละซีกโลก แทบไม่อยากจะเชื่อว่า ยังมีเรื่องที่แสนโหดร้าย ป่าเถื่อนเช่นนี้ เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมโลกของเราขนาดนี้เลยหรือ

แหล่งข้อมูล

https://www.aljazeera.com/.../at-least-110-civilians...

https://www.theguardian.com/.../nigeria-attack-boko-haram...

https://www.bbc.com/pidgin/world-55122560

https://www.france24.com/.../20201129-suspected-boko...

 

ผู้เชี่ยวชาญเผยวัคซีนโควิดในฮ่องกง เริ่มมิ.ย.-ก.ค. ปีหน้า

เมื่อวานนี้ (1 ธ.ค. 20) ได้มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มในฮ่องกง 82 ราย รวมยอดสะสมทั้งหมด 6,397 ราย รักษาหาย 5,361 ราย และมีผู้เสียชีวิต 109 ราย

จำนวนผู้ติดเชื้อเมื่อวานนี้ มี 10 รายที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และอีก 82 รายเป็นเคสติดเชื้อจากในฮ่องกง โดยในจำนวนนี้มี 32 รายที่มาจากกลุ่มเต้นรำ ตัวเลขล่าสุดที่ติดเชื้อมาจากกลุ่มเต้นรำ คือ 552 ราย

ทั้งนี้ได้พบโควิดระบาดเพิ่มที่ไซต์ก่อสร้าง ที่ Lohas Park ซึ่งในขณะนี้พบผู้ติดเชื้อโควิดที่นั่นอย่างน้อย 11 ราย และส่งผลให้คนงานมากกว่า 900 คน ต้องเข้ารับการตรวจโควิด และมีผู้คนอาศัยแถวนั้นราว 70,000 คนที่ใช้บริการรถ MTR และทางออกเดียวกัน

นอกจากนี้ Yuen Kwok-yung, นักจุลชีววิทยาจาก University of Hong Kong เผยว่าประชาชนควรเตรียมรับมือกับการระบาดของโควิดอีกหลายระลอก เนื่องจากวัคซีนโควิดจะพร้อมใช้ในฮ่องกงในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมปีหน้า และทุกคนในฮ่องกงจะได้รับวัคซีนไม่เกินธันวาคม 2021

ทางด้าน Travel bubble ระหว่างฮ่องกง-สิงคโปร์นั้นได้เลื่อนไปเปิดอีกครั้งปีหน้า เนื่องจากสถานการณ์การระบาดในฮ่องกงที่ยังแย่อยู่ และจะมีการหารือกันอีกครั้งในเดือนหน้า

***ติดตามอัพเดทสรุปประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าในฮ่องกงได้ที่กระทู้ปักหมุด***
https://www.facebook.com/119537452088669/posts/494989721210105/?d=n

Source :https://www.coronavirus.gov.hk/eng/index.html, https://asiatimes.com/.../virus-outbreak-at-hong-kong.../?

#ข่าวฮ่องกง #khaohongkong

 

7-8 ธันวาคม 2020 ลมสุริยะครั้งใหญ่ส่งผลกระทบต่อโลก ดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง โลกคือจุดสีเหลือง

December 7-8, 2020 major solar winds to impact Earth. Sun in center, Earth is the yellow dot.

 

Dec 2, 2020 เลิกบินทันที ทุกเที่ยวบินต่างชาติห้ามเข้าเวียดนาม เจอติดโควิดรายแรกใน 89 วัน ล่าสุด ติดพุ่งอีก 2 ในประเทศ
.
นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ประกาศคำสั่งยกเลิกเที่ยวบินของทุกสายการบินที่จะบินเข้าประเทศเวียดนาม หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เวียดนาม เปิดเผยว่า พบชายชาวเวียดนามติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เมืองโฮจิมินห์ หรือไซ่ง่อน เมืองเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ส่งผลให้เป็นการพบการระบาดโรคโควิด-19 ในชาวเวียดนามในประเทศเป็นคนแรกในช่วงเวลา 89 วันที่ผ่านมา นับเป็นผู้ป่วยโรคระบาดโควิด-19 รายที่ 1,347 ของประเทศเวียดนาม
.
การสอบสวนประวัติของผู้ป่วยคนดังกล่าว พบว่าเป็นผู้ชายอายุ 32 ปี มีอาชีพเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่เมืองโฮจิมินห์ โดยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากการสัมผัสใกล้ชิดกับเพื่อนที่ทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ซึ่งบินกลับมาจากประเทศญี่ปุ่นถึงเวียดนามเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พนักงานชายต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินเวียดนาม แอร์ไลน์ส คนดังกล่าวได้เข้าสู่การกักตัวจนถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน และทำการตรวจเลือด 2 ครั้ง พบว่าเป็นผลลบ จึงอนุญาตให้ไปกักตัวต่อที่บ้านพัก ในขณะที่กักตัวที่บ้าน ได้มีการสัมผัสกับแม่ และเพื่อน 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่พบการติดโรคโควิด-19
.
กระทรวงสาธารณสุข เวียดนาม เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 6.00 น. วันนี้ 2 ธันวาคม พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มอีก 4 ราย ในจำวนดังกล่าว พบ 2 ราย เป็นชาวเวียดนามที่ติดเชื้อในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม โดยรายที่ 1,348 เป็นเด็กชายอายุ 1 ขวบ และรายที่ 1,349 เป็นผู้หญิงอายุ 28 ปี ทั้ง 2 รายติดเชื้อจากครูสอนภาษาอังกฤษที่เป็นผู้ป่วยรายที่ 1,347
.
ทั้งนี้ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เวียดนาม มีคำสั่งให้ใช้มาตรการกักตัวกับพนักงานให้บริการบนเครื่องบินของทุกเที่ยวบินขั้นเด็ดขาด นอกจากนี้ ประกาศให้กรุงฮานอน เมืองโฮจิมินห์ เมืองดานัง และอีก 2 เมืองสำคัญ เพิ่มมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นเกี่ยวกับการสวมใส่หน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่าง การฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัสในสถานที่สาธารณะทุกแห่ง
.
#เวียดนาม #โฮจิมินห์ #ไซ่ง่อน #ฮานอย #โควิด19 #เวียดนาม #misterban