คุณป่วย เพราะคุณบาป

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 25 มิถุนายน 2008.

  1. TupLuang

    TupLuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,143
    ค่าพลัง:
    +1,371
    <CENTER>คุณป่วย เพราะคุณบาป

    มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ </CENTER>


    สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกวันนี้ เริ่มจากอากาศที่วิปริตปรวนแปรไม่เป็นไปตามฤดูกาล สภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน อันมีผลให้รายจ่ายต้องทวีขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นอยู่ทางสังคมที่ประชากรมีความหนาแน่นมากมาย ทำให้เกิดการแก่งแย่งเพื่อการเอาตัวรอด สิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตทุกชีวิตต้องมีแต่ความดิ้นรนตะเกียกตะกายและแสวงหา ไมตรีจิตที่เคยมีต่อกันนับวันจะนัอยลง ทุกเพศทุกวัยล้วนต้องประสบชะตากรรมเหล่านี้ด้วยกันทั้งสิ้น

    สภาพที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวัน เด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งจะรู้ความต้องดิ้นรนช่วยเหลือตนเอง ตั้งแต่ ๒-๕ ขวบ ก็ต้องไปโรงเรียน เพื่อหาความรู้ที่จะนำมาแข่งกัน แก่งแย่งในอันที่จะต้องเข้าโรงเรียนดี ๆ บางรายพ่อแม่ต้องทุกข์ร้อนจากการกู้หนี้ยืมสิน เพื่อหาสถานศึกษาให้ลูกได้เรียน แม้วัยที่จบการศึกษาก็ต้องทุกข์ร้อนจากการหางานทำ ซึ่งนับวันจะหายากขึ้น เพราะมีจำนวนคนมากต่างกับอัตรากำลังที่จะรับเข้าทำงาน ความไม่สมหวังจากความไม่เป็นธรรมทางสังคมที่มีการเล่นพรรคเล่นพวกย่อมสร้างความทุกข์โทมนัสให้ สภาพสังคมที่มีผู้ว่างงานมาก ผู้ขาดการศึกษามาก มีการฉกชิงวิ่งราว ปล้น ฆ่า ย่อมสร้างความทุกข์อย่างแสนเข็ญให้กับผู้ต้องประสบเหตุการณ์นั้นๆ

    แม้สภาพในครอบครัวก็ต้องประสบความทุกข์เช่นกัน พ่อ แม่ บางรายต้องใช้เวลาส่วนใหญ่กับการหารายได้เพื่อพยุงฐานะ เวลาที่จะดูแลลูกก็น้อยลง นอกจากนี้อารยธรรมทางตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลต่อเด็กมากขึ้น เด็กสมัยนี้ส่วนใหญ่จึงดูเหมือนขาดความเคารพยำเกรงต่อผู้ใหญ่เช่นก่อน ความไม่สบอารมณ์จึงเกิดขึ้นทั้งในบ้าน นอกบ้าน ความวุ่นวายใจทั้งหลายที่ได้รับเป็นผลให้จิตใจของมนุษย์ที่ยังเป็นปุถุชนทั้งหลายยิ่งร้อนรน และ ทุรนทุราย ไม่มีความสุข

    เมื่อสุขภาพจิตเสื่อมลง ประกอบกับมลพิษทั้งหลายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ย่อมทำให้สภาพร่างกายทรุดเสื่อมลง เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา เพิ่มความทุกข์ในอันที่จะต้องแก้ไข เยียวยา และรักษาสุขภาพของตนเอง ผู้ป่วยทุกคนคงมีความหงุดหงิด จิตใจไม่ปกติ และโดยเฉพาะเมื่อต้องไปประสบกับโรงพยาบาลบางแห่งที่มีคนไข้มากมาย ความไม่สบอารมณ์ก็ยิ่งทำให้เกิดความทุกข์มากขึ้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนเคยประสบพบกันมา น้อยคนนักที่จะทำใจให้สงบได้

    แต่ท่ามกลางคนที่น้อยนั้น อาจมีท่านคนหนึ่ง ที่สามารถทำใจสงบนิ่งกับสิ่งเหล่านั้นได้ ถ้าได้เรียนรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร

    พระพุทธองค์ท่านทรงพระปรีชาสามารถ ตรัสรู้สิ่งที่ไม่เคยมีใครเคยพบมาก่อน ด้วยพระเมตตา และพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเวไนยสัตว์

    <DD<>ท่านจึงทรงแสดงธรรมเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นย่อมมีเหตุทั้งสิ้น ผลต่าง ๆ ที่เราได้รับ ล้วนมาจากเหตุที่เราสร้างกันมาเอง เหตุนั้นก็คือ "กรรม" ที่เราได้กระทำมาในอดีตชาติ ผลที่ได้รับก็คือ "วิบาก" ในปัจจุบันชาติ

    ซึ่งถ้าเปรียบแล้วชีวิตเราอุปมาได้กับชาวนา ที่ต้องมีหน้าที่ทำนา ในขณะที่ปีนี้เรากำลังหว่านข้าวหอมมะลิ ปีหน้าเราก็จะได้กินข้าวหอมมะลิที่หว่านนั้น แต่ขณะที่เรากำลังหว่านนั้นยังเอามากินไม่ได้ ก็ต้องกินข้าวที่ได้หว่านมาเมื่อปีที่แล้ว ถ้าปีก่อนเราหว่านข้าว ๕ % เราก็ต้องกินข้าว ๕% นั้น ฉันใดฉันนั้น ใครที่สร้างกรรมดีย่อมต้องได้รับผลดีจากการกระทำของเขาเอง ส่วนผลชั่ว (วิบากชั่ว) ที่เราได้รับ ก็คือผลที่เราได้รับจากการกระทำชั่วของเราเองทั้งสิ้น

    ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้นจึงมีเหตุเช่นเมล็ดข้าวคือเหตุ ส่วนผลคือต้นข้าวที่งอกและออกรวงเป็นเมล็ดข้าวใหม่ ต้นข้าวจะเจริญได้ก็ต้องอาศัยปัจจัย นั่นคือ ดิน น้ำ และ ปุ๋ย

    เช่นเดียวกับผลของกรรม หรือวิบากที่เราได้รับก็ต้องมีเหตุและปัจจัยเป็นตัวสนับสนุน ผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวมาบ้างแล้วว่า มีบุคคลที่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน แต่เมื่อเขาได้ไปนั่งสมาธิเจริญภาวนากับพระ เขาก็หายเป็นปกติ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการนั่งสมาธินั้นเป็นกุศล อันเป็นปัจจัยเร่งกรรมที่เป็นเหตุกุศลในอดีตชาติส่งผลให้เขาได้รับวิบากกุศลที่เขาได้กระทำมานั้น โรคภัยจึงได้บรรเทาหายลงได้

    ดั่งพระอัสสชิได้บอกอุปติสสปริพาชก (พระสารีบุตร) ถึงคำสอนของพระพุทธองค์ว่า

    "เย ธัมมา เหตุปปะภะวา เตสัง เหตุง ตะถาคะโต" แปลว่า "ธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ พระตถาคตตรัสบอกถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น"


    บางครั้งเราอาจพบว่า แม้ผู้ป่วยด้วยอาการเดียวกันก็ตาม แต่ชีวิตของเขาได้รับผลแตกต่างกัน ดั่งคำที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "สัตว์โลกต่างมีกรรมเป็นของตน"

    คนหนึ่งป่วย แต่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลชั้นดี อีกคนหนึ่ง ป่วยด้วยอาการเดียวกัน สามารถเข้าโรงพยาบาลชั้นดีได้ แต่หมอตรวจแล้วไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคอะไร ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับโรคนั้น อีกคนหนึ่ง ป่วยด้วยโรคเดียวกัน แต่ไม่มีเงินที่จะเข้ารับการรักษาได้ ต้องทนทุกข์และตายไปในที่สุด

    วิบากที่เขาได้รับแตกต่างกัน เพราะเขาทั้งสามได้สร้างเหตุที่แตกต่างกัน นั่นคืออาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่ได้รับของทั้ง ๓ คน ล้วนเกิดจากเหตุเดียวกัน คือ ได้ทำบาปด้วยการฆ่าสัตว์ และทรมานสัตว์ให้ตาย แต่ที่ได้รับผลต่างกัน เพราะคนที่ ๑ และ ๒ นั้น อดีตชาติเป็นคนชอบทำบุญด้วย โดยการทำทาน จึงส่งผลให้เขาทั้ง ๒ มีเงินมีทองพร้อมที่จะเข้ารักษาในโรงพยาบาลดี ๆ ได้ แต่

    คนที่ ๑ อดีตชาติยังชอบช่วยเหลือบุคคลอื่น ในปัจจุบันชาติเขาจึงได้รับการช่วยเหลือดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากหมอ ในขณะที่คนที่ ๒ แม้จะชอบทำทาน แต่อดีตได้เคยทำความชั่ว และปกปิดความชั่วที่ร้ายแรงของตนเองไม่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ จึงทำให้ปัจจุบันชาติของเขานั้นโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ หมอจึงไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นอะไร ส่วนบุคคลที่ ๓ เป็นคนที่ไม่ชอบทำทาน จึงทำให้ปัจจุบันชาติขาดแคลนเงินที่จะใช้รักษาตนเอง ไม่อาจเข้ารับการรักษาที่ดีได้ เช่น บุคคลดังกล่าวข้างต้น

    ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การเจ็บไข้ได้ป่วยของคนเรานั้น ล้วนเกิดจากบาปการฆ่าสัตว์ นั่นคือ "คุณป่วย เพราะ คุณบาป" นั่นเอง

    แต่ชีวิตของคนเราที่ผ่านมาจนถึงภพนี้ เราผ่านการมีชีวิตมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เป็นอนันตัง ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เราย่อมกระทำกรรมทั้งที่เป็นบุญ และเป็นบาปมาด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งปัจจุบันนี้ เราทุกคนล้วนต่างเสวยผลของบุญ และผลของบาปอยู่ตลอดเวลา แต่ส่วนใหญ่ขณะที่เราได้รับสิ่งดี ๆ เรามักจะไม่นึกว่า นี่คือผลของกรรม แต่จะไปนึกว่า เป็นผลของกรรม

    เมื่อได้รับผลไม่ดี และเกือบทุกชีวิตมักจะได้รับผลของบาปมากกว่าผลของบุญ จนดูเหมือนว่าชีวิตของคนเราเป็น "โครงสร้างของกรรม และถูกตอกย้ำด้วยผลของบาป" อยู่เกือบตลอดเวลา นั่นคือ เรามักจะได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดี (ผลของบาปอกุศล) มากกว่าสิ่งที่ดี (ผลของกุศล) และเป็นเหตุชักพาให้เราสร้างกรรมอยู่เสมอ

    ดังนั้นหนังสือ "คุณป่วย เพราะ คุณบาป" เล่มนี้ คงจะช่วยให้ท่านเข้าใจถูกเมื่อรู้ความจริงว่า สิ่งที่ท่านกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ เป็นผลที่เกิดจากท่านได้ทำเหตุอะไรไว้ ซึ่งเมื่อใดที่เรายอมรับความจริง อันเป็นสัจธรรมที่พระพุทธองค์ท่านได้ทรงแสดงไว้แล้ว เมื่อนั้นความสงบของจิตใจย่อมเกิดกับทุกคนที่สามารถเข้าถึงธรรมนั้นได้


    <DD><DD><DD><DD><DD><DD>บุษกร เมธางกูร


    <DD><DD><DD><DD><DD><DD>ประธานมูลนิธิอภิธรรมมมูลนิธิ <DD> <DD>

    http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=11188

    </DD>
     
  2. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


     
  3. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมทนาสาธุ


    *** ศีล-สมาธิ-ปัญญา คือ ทางปฏิบัติเพื่อความดับไปของทุกข์ทั้งปวง ***


    <O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...