ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    เขาว่ากันว่าไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน คนเราก็จะพยายามรักษา ‘บ้าน’ เอาไว้ให้ได้ เห็นได้จากเมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเลือกแล้ว ‘บ้าน’ จะเป็นหนี้ก้อนสุดท้ายที่คนตัดสินใจ ‘หยุดผ่อน’ หรือปล่อยให้โดนยึด แล้วมันต้องลำบากขนาดไหน คนไทยถึงปล่อยให้กรมบังคับคดียึดมาปล่อยขายพุ่งกว่า 200%
    .
    ล่าสุด ‘ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์’ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดข้อมูล ‘ตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง’ ในไตรมาส 2/2568 พบว่า ‘บ้านมือสอง’ ถูกประกาศขายเพิ่มขึ้น 34.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
    .
    [ กรมบังคับคดี ประกาศขายพุ่งทะลุ 200% ]
    .
    โดยช่องทางที่มีบ้านมือสองประกาศขาย เพิ่มมากที่สุด คือ ‘กรมบังคับคดี’ ที่มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 210% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 213%
    .
    แม้ประกาศขายจาก บุคคลธรรมดาและตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ จะมีจำนวนมากกว่าเล็กน้อยด้วยจำนวนหน่วย 68,834 หน่วย แต่ประกาศขายของ ‘กรมบังคับคดี’ ก็มีจำนวนมากถึง 67,641 หน่วย หลังเพิ่มพรวดขึ้นมามหาศาลเมื่อเทียบกับปีก่อน
    .
    REIC วิเคราะห์สาเหตุว่า เกิดจากประเทศไทยอยู่ในภาวะหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้ประชาชนบางส่วนเริ่มผ่อนจ่ายบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์ไม่ไหว จนนำไปสู่กระบวนการบังคับคดี หรือเรียกง่ายๆ ว่า “โดนยึด” นำมาขายทอดตลาดนั่นเอง
    .
    หากมาดูเพิ่มเติมจะเห็นว่า ถึงจำนวนประกาศขายจะใกล้ๆ กัน แต่มูลค่าบ้านในประกาศขายของบุคคลธรรมดาและตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ กลับสูงกว่ามากถึง 508,179 ล้านบาท แต่มูลค่าบ้านในประกาศขายของ ‘กรมบังคับคดี’ กลับมีมูลค่า 120,301 ล้านบาทเท่านั้น
    .
    นั่นเพราะบ้านในประกาศขายของกรมบังคับคดี ส่วนใหญ่เป็นบ้านราคาไม่สูง โดยยังพบว่าประกาศขายของ บ้านในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท กับ บ้านราคา 1.01 - 1.50 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นประกาศจากกรมบังคับคดีมากที่สุด
    .
    [ บ้านเดี่ยว-ทาวเฮาส์ มีประกาศขายมากที่สุด ]
    .
    ในภาพรวมนั้นอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่มีการประกาศขายมากที่สุด ได้แก่ บ้านเดี่ยว (44.1%) ตามด้วย ทาวน์เฮาส์ (30.1%) ห้องชุด (21.1%) อาคารพาณิชย์ (2.9%) และบ้านแฝด (1.7%)
    .
    ส่วน ‘ราคา’ ที่มีการประกาศขายมากที่สุด ได้แก่
    .
    ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท (82.4%)
    ราคา 1.01 - 1.50 ล้านบาท (57%)
    ราคา 1.51 - 2.00 ล้านบาท (33.1%)
    ราคา 2.01 - 3.00 ล้านบาท (24.3%)
    ราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท (12.7%)
    ราคา 5.01 - 7.50 ล้านบาท (7.8%)
    ราคา 7.5 ล้านบาทขึ้นไป (14%)
    .
    ด้าน ‘พื้นที่’ พบว่า 10 อันดับแรกที่มีประกาศขายบ้านมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรีสมุทรปราการ ชลบุรีเชียงใหม่ ปทุมธานี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานีนครปฐม และระยอง
    .
    [ คนมองหาบ้านราคาเข้าถึงได้ ทำเลเดียวกับบ้านใหม่ แต่ถูกกว่า ]
    .
    ด้านการโอน ‘บ้านมือสอง’ ชะลอตัวถ้าเทียบกับปีก่อน แต่เทียบกับไตรมาสก่อนถือว่าเติบโตขึ้นจากการปรับอัตราการจดจำนองและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
    .
    โดยบ้านประเภทที่มีการโอนมากที่สุดคือ ‘บ้านเดี่ยว’ และราคาที่มีการโอนมากที่สุดคือ ‘ต่ำกว่า 1 ล้านบาท’ สะท้อนว่า คนมองหาบ้านที่ราคาเข้าถึงได้
    .
    นอกจากนั้น เมื่อเทียบระหว่างบ้านราคาไม่เกิน 7.5 ล้านกับเกิน 7.5 ล้านแล้วจะเห็นว่า ประกาศของบ้านราคาเกิน 7.5 ล้านลดลงทั้งจำนวนและมูลค่า สะท้อนว่ามีความต้องการบ้านราคานี้ ทำให้ถูกดูดซับออกจากตลาดเรื่อยๆ เพราะเป็นบ้านในทำเลดี แต่ราคาต่ำกว่าตลาด
    .
    ว่าง่ายๆ ว่า ‘บ้านมือสอง’ คือทางเลือกของคนที่ยังคงมีเงินในกระเป๋าในเวลานี้ เพราะได้ทำเลแบบเดียวกับบ้านใหม่ แต่ได้ในราคาที่ถูกกว่าในภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยช่วยพยุงไม่ให้การโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่อยู่อาศัยหดตัวรุนแรงนั่นเอง
    .
    #BrandInside #ธุรกิจคิดใหม่ #บ้านมือสอง #REIC

    https://www.facebook.com/share/16ay2d6ZmT/
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    วิกฤติข้าวในกัมพูชา
    กิโลกรัมละ 4 บาท

    บทสรุป สั้นๆ
    1. ปิดด่านการค้าชายแดน
    2. ความวุ่นวายในประเทศ
    3. ทางการปล่อยเกียร์ว่าง
    4. สายพันธุ์ข้าว ไม่รองรับกับตลาดโลก

    วันนี้ราคาข้าวในกัมพูชา ลดลงเหลือประมาณ 500 เรียลต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 4 บาทไทย หลังการเก็บเกี่ยวในจังหวัดบันเตียเมียนเจย ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 600 เรียล เทียบกับ 1,150-1,250 เรียลเมื่อปีที่แล้ว

    ชานนี่ทำเกษตรกรรมมานานกว่า 17 ปี และปลูกข้าวได้สามเฮกตาร์ในฤดูกาลนี้ ซึ่งสามารถให้ผลผลิตได้ห้าถึงหกตัน เช่นเดียวกับชาวนาหลายคนในหมู่บ้าน เธอต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อมาจ่ายต้นทุนการผลิต

    “ข้าวราคาถูก และไม่มีพ่อค้ามาซื้อ ชาวนาบ่นเพราะเป็นหนี้เยอะ” เธอกล่าว “ราคา 600 เรียลต่อกิโลกรัม ยังไม่พอค่าปุ๋ยและค่าเช่ารถแทรกเตอร์ด้วยซ้ำ”

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร Dith Tina เรียกร้องให้พ่อค้าแม่ค้าเสนอราคาข้าวที่เป็นธรรมในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวครั้งนี้

    กระทรวงฯ ยังกำลังขยายความร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น บริษัท วิเรก บุญธรรม ซึ่งรับซื้อผลผลิตในราคากิโลกรัมละ 950 เรียล เทียบกับราคาปัจจุบันที่ 600 เรียล ท่านชี้ให้เห็นว่ามีการเก็บเกี่ยวข้าวประมาณ 30,000 ตันต่อวัน และแม้ราคาข้าวในปัจจุบันจะตกต่ำ แต่จากการคำนวณแล้ว ผลตอบแทนที่ได้จะสูง

    พรรคฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์รากหญ้า (จีดีพี) แสดงความกังวลเกี่ยวกับราคาข้าวนาปรังที่ตกต่ำ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลออก “มาตรการงบประมาณพิเศษ” เพื่อรวบรวมและซื้อข้าวจากชาวนาในราคาที่เหมาะสม

    “[ราคาข้าวสาร] กำลังตกต่ำลงอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวนี้ ซึ่งกำลังก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต นับเป็นภาระหนี้เพิ่มเติมของเกษตรกรชาวกัมพูชา”

    เรียบเรียงจาก
    https://cambojanews.com/farmers-struggle-with-falling-rice-price-plea-for-govt-support/

    https://www.facebook.com/share/1JePczD6Gw/
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ภาคเอกชนส่วนใหญ่สนับสนุนแนวคิดขยายอายุเกษียณเพื่อรับมือกับสังคมสูงวัยและปัญหาแรงงานหดตัว แต่ย้ำต้องทำแบบ “ยืดหยุ่น–เฉพาะตำแหน่ง” ควบคู่การปฏิรูประบบออม บำนาญ และสวัสดิการ เพื่อสร้างความมั่นคงให้ผู้สูงอายุในระยะยาว
    .
    การขยายอายุเกษียณจาก 60 เป็น 65 ปีถูกหยิบยกเป็นนโยบายระดับชาติ เพื่อรองรับสังคมสูงวัยระดับสุดยอดในปี 2574 โดยประชากรอายุเกิน 60 ปีจะมีสัดส่วนถึง 28% ของประเทศ นักวิชาการ TDRI ระบุว่า การยืดอายุทำงานช่วยชะลอวิกฤติแรงงาน แต่ต้องเดินหน้าปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้านบำนาญ การออม และสวัสดิการ พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนวางแผนทางการเงินและเพิ่มการออมผ่านกลไกรัฐ เช่น กองทุนออมแห่งชาติ หรือหวยออมเกษียณ
    .
    ผู้นำภาคธุรกิจหลายสาขา เช่น หอการค้าไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และสมาคมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เห็นพ้องว่า ควรขยายอายุเฉพาะตำแหน่งที่อาศัยประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญ โดยให้เป็นระบบสมัครใจ ไม่บังคับทุกอาชีพ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างแรงงานสูงวัยกับแรงงานรุ่นใหม่ พร้อมเสนอแนวทางสร้างแรงงานสูงวัยที่มีคุณภาพ ผ่านการ Upskill–Reskill การทำงานแบบ Part-time และระบบ Co-payment ระหว่างรัฐ–เอกชน เพื่อให้แรงงานสูงวัยเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
    .
    ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและสังคมชี้ว่า หากไม่ปฏิรูประบบบำนาญและสวัสดิการควบคู่กัน จะทำให้เงินกองทุนประกันสังคมหมดภายในปี 2597 ซึ่งกระทรวงการคลังจึงเตรียมแนวทางขยายอายุสิทธิรับบำนาญ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลัง ขณะเดียวกันภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐจัดศูนย์แรงงานสูงวัยและใช้แรงจูงใจทางภาษี เช่น การหักรายจ่ายจ้างผู้สูงอายุ 2 เท่า เพื่อกระตุ้นการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้ผู้สูงอายุโดยไม่กระทบโอกาสคนรุ่นใหม่
    .
    #ขยายอายุเกษียณ #ตลาดแรงงาน #สังคมผู้สูงวัย
    FB_IMG_1762494707396.jpg
    https://www.facebook.com/share/1AcC5A85Fd/
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    การประชุม COP30 ที่เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล 10–21 พฤศจิกายน 2025 คือจุดชี้ชะตาอนาคตการรับมือโลกร้อน หลังผ่าน 10 ปีข้อตกลงปารีส เมื่อโลกเผชิญความท้าทายใหม่ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม
    .
    [เดิมพันแรก ช่องว่างของคำมั่น NDC]
    ประเทศต่าง ๆ ต้องยื่นแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (NDCs 3.0) ให้สอดคล้องกับเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศา แต่จนถึงขณะนี้มีเพียง 69 ประเทศยื่นแผนครบ ขณะที่ UN เตือนว่าการลดการปล่อยก๊าซรวมยังห่างไกลจากระดับที่จำเป็นถึง 6 เท่า
    .
    [เดิมพันที่สอง การเงินเพื่อภูมิอากาศ]
    ประเทศพัฒนาแล้วยังห่างจากเป้าหมายจัดหาเงินทุน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีให้ประเทศเปราะบาง แม้ COP29 จะตั้ง “Baku Finance Goal” 300 พันล้านดอลลาร์ ภารกิจของ COP30 คือหาทางเชื่อมช่องว่างด้วยการระดมทุนจากรัฐ เอกชน และธนาคารพัฒนา
    .
    [เดิมพันที่สาม พลังของธรรมชาติ]
    เบเล็ม เมืองประตูสู่ป่าแอมะซอน กลายเป็นสัญลักษณ์ว่าธรรมชาติคือหัวใจของการต่อสู้กับโลกร้อน โครงการ “Tropical Forest Forever” มูลค่า 125 พันล้านดอลลาร์ จะจ่ายตรงให้ประเทศและชนพื้นเมืองที่อนุรักษ์ป่าร้อนชื้น เพื่อเปลี่ยนแนวคิดจาก “ใช้ประโยชน์” เป็น “ปกป้องธรรมชาติ”
    .
    [เดิมพันที่สี่ ระบบอาหารและภาคเกษตร]
    เกษตรและอาหารปล่อยก๊าซคิดเป็นหนึ่งในสามของโลก บราซิลผลักดัน “COP30 Action Agenda” เพื่อเปลี่ยนระบบอาหารสู่ความยั่งยืน ผ่านการรวมพลังเกษตรกร เอกชน และผู้บริโภค พร้อมโครงการ “Na Mesa da COP30” ที่ใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรรายย่อยในงานประชุม
    .
    COP30 จึงเป็นบททดสอบสำคัญว่าโลกจะสามารถรักษาเป้าหมาย 1.5 องศาไว้ได้หรือไม่ ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจ การเมือง และความเหลื่อมล้ำทางทรัพยากรที่กำลังถ่างกว้าง
    .
    #COP30 #สภาพภูมิอากาศ #บราซิล

    https://www.facebook.com/share/p/1BjJs7jpaX/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    อินโดนีเซียสั่งแบนเสื้อผ้ามือสองนำเข้า! รัฐมนตรีกดดัน Shopee–Tokopedia–TikTok Shop ลบสินค้า – ปกป้อง MSME จาก “เศรษฐกิจเปราะบาง”
    — รัฐบาลอินโดนีเซียเดินหน้าเข้ม! สั่งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ทั้ง Shopee, Tokopedia และ TikTok Shop หยุดขายและโฆษณา “เสื้อผ้ามือสองนำเข้า” (imported used clothing) ทันที ตามคำสั่ง ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ที่ต้องการปกป้องผู้ประกอบการท้องถิ่น (MSME) กว่า 60 ล้านรายซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจประเทศ

    รัฐมนตรี Teten Masduki แห่งกระทรวง MSME เรียกประชุมด่วนสมาคมอีคอมเมิร์ซอินโดนีเซีย (idEA) เพื่อกดดันให้ทุกแพลตฟอร์มลบสินค้านำเข้า “ผิดกฎหมาย” ออกจากระบบ โดยข้อมูลจาก The Jakarta Post ระบุว่า อินโดนีเซียนำเข้าเสื้อผ้ามือสองกว่า 1 ล้านชิ้นต่อปี ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศขาดทุนกว่า 30%

    “การนำเข้าเสื้อผ้ามือสองเป็นสิ่งต้องห้าม แต่การขายของมือสองผลิตในประเทศยังทำได้ เราแค่ต้องหยุดการรุกของสินค้าราคาถูกจากต่างชาติที่ทำลายผู้ประกอบการของเรา” — Teten Masduki กล่าวในที่ประชุม

    โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “เศรษฐกิจปกป้องฐานราก” ของรัฐบาลปราโบโว ที่ต้องการสกัดสินค้าจากจีนและเวียดนามราคาต่ำทะลุตลาดออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Temu และ Shein โดยออกกฎใหม่ห้ามขายสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ผ่านอีคอมเมิร์ซ

    กระทรวงเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ค้ารายย่อย เช่น การจัดอบรม การเข้าถึงสินเชื่อ 50 พันล้านรูเปียห์ และจับคู่กับผู้ผลิตท้องถิ่น 12 ราย เพื่อเปลี่ยนสินค้าจากนำเข้าเป็นผลิตในประเทศแทน พร้อมเปิด “สายด่วนช่วยเหลือผู้ค้าถูกกระทบ” ที่ได้รับคำร้องแล้วกว่า 20 เคส

    แม้คำสั่งนี้อาจทำให้ผู้ค้าออนไลน์ตกงาน 10–20% แต่รัฐบาลเชื่อว่าผลระยะยาวจะช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศ และปกป้อง MSME ซึ่งคิดเป็นกว่า 60% ของ GDP อินโดนีเซีย

    จากเสื้อผ้ามือสองราคาหลักหมื่นรูเปียห์...สู่นโยบายปกป้องคนตัวเล็กในระบบเศรษฐกิจที่เปราะบาง — อินโดนีเซียประกาศชัด “เศรษฐกิจเรา ต้องเป็นของเราเอง.”

    7 พฤศจิกายน 2568 : คัดข่าว/หาดใหญ่

    ที่มา: The Jakarta Post, Tempo.co, VOI.id, Business of Fashion, ChemLinked, X Posts
    https://www.facebook.com/share/19xw26VEWt/
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    เก็บเงินไว้ อย่าพึ่งซื้อ อสังหาฯในไทยขาดิ่งทุกเดือน ปีนี้จะทรุดเกือบ -12% อสังหาฯ ทรุดดิ่งยาวนาน 3 ปีติดกัน ทีทีบีชี้ราคาบ้านพุ่งเกือบ 60% แต่รายได้คนไทยโตแค่ 15% สต็อกบ้านต้องรอ 5 ปีถึงจะขายหมด BTimes

    Nov 7, 2025 อสังหาวูบ! ตลาดอสังหาฯในไทยหมดาภาพแถมขาดิ่งทุกเดือน ปีนี้จะทรุดเกือบ -12% อสังหาฯ ทรุดดิ่งยาวนาน 3 ปีติดกัน ทีทีบีชี้ราคาบ้านพุ่งเกือบ 60% แต่รายได้คนไทยโตแค่ 15% สต็อกบ้านในไทยต้องรอ 5 ปีถึงจะขายหมด

    ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics เปิดเผยการคาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไทยปี 2568 มีโอกาสหดตัว หรือ -12 ไตรมาสติดต่อกัน หรือตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา สาเหตุจากความสามารถในการซื้อของประชาชนลดลงจากปัญหาหนี้ครัวเรือน การอาศัยระยะเวลาขายที่นานขึ้น สต๊อกคงค้างสูง และพื้นที่ศักยภาพในการพัฒนาที่อยู่อาศัยมีจำกัด

    ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยของไทยในปี 2568 ส่งสัญญาณแย่กว่าที่คาดการณ์ สะท้อนจากตัวเลขหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ครึ่งปีแรกปรับลดลง 10.8% ซึ่งหดตัวติดต่อกันถึง 10 ไตรมาส หรือ 30 เดือนต่อเนื่อง หากพิจารณาสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังจากตัวเลขหน่วยโอนของเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จะพบว่าสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงหดตัวที่ 11.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้สถานการณ์ในช่วงที่เหลือของปีมีความเป็นไปได้ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยทั้งปี 2568 ยังอยู่ภายใต้ภาวะซบเซา โดยอาจหดตัว หรือ -11.8% และเป็นการหดตัว 12 ไตรมาสติดต่อกัน หรือ 36 เดือนต่อเนื่อง จากแรงกดดันเดิมที่กระทบตลาดอยู่ในปีที่ผ่านมาและยังไม่คลายตัวลงด้วย

    ความสามารถในการซื้อลดลง จากภาวะไม่สมดุลของการปรับเพิ่มกำลังซื้อและราคาที่อยู่อาศัย ด้วยลักษณะของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยที่ผู้ขายเป็นผู้มีอำนาจกำหนดราคา และผู้ซื้อเป็นเพียงผู้รับราคาจากผู้ขาย ราคาทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวทั่วประเทศในปี 2566 เพิ่มขึ้น 57.2% และ 42.5% เมื่อเทียบกับปี 2556 ขณะที่รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนกลับเพิ่มขึ้นเพียง 15.2% ในช่วงเวลาเดียวกัน และด้วยภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีสัดส่วน 86.8% ต่อ GDP ในไตรมาส 2 ปี 2568 สะท้อนภาระผ่อนชำระหนี้ที่สูงขึ้น ลดทอนรายได้ที่ใช้จ่ายได้และทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าคงทนหรือสินทรัพย์ที่ต้องใช้เงินออม

    สต๊อกคงค้างสูง สะท้อนผ่านสถานการณ์ของอัตราดูดซับ ณ ครึ่งแรกปี 2568 ของที่อยู่แนวราบอยู่ที่ 10.1% และแนวสูงที่ 13.2% ต่อครึ่งปี หรือกล่าวคือบนกำลังซื้อของคนในปัจจุบันจะต้องใช้เวลากว่า 59 และ 45 เดือนในการระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูงคงค้างได้หมดตามลำดับ (มีต่อหน้า 2/2)

    (หน้า 2/2) ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics เปิดเผยต่อไปว่า อัตราดูดซับต่ำย่อมเป็นสัญญาณให้ผู้ประกอบการต้องออกโครงการใหม่ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากต้องแบกภาระทางการเงินที่ยาวขึ้น และเงินต้นบางส่วนต้องคงค้างในสต๊อกที่อยู่อาศัยรอขาย ส่งผลให้จำนวนพื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในครึ่งแรกปี 2568 ต่ำที่สุดในรอบ 15 ปีที่ 13.5 ล้านตารางเมตรซึ่งลดลงเกือบ 33% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2566

    พื้นที่ศักยภาพจำกัดลงอย่างต่อเนื่อง จากข้อจำกัดการเดินทาง โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยหลักในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากกำลังซื้อที่อยู่อาศัยเป็นกลุ่มวัยแรงงานส่งผลให้บริเวณที่อยู่อาศัยควรต้องอยู่ในรัศมีการเดินทางราว 1 - 1 ชั่วโมงครึ่ง ทำให้พื้นที่ในการพัฒนาเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยในปัจจุบันโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอิ่มตัว สะท้อนผ่านหน่วยโอนที่อยู่อาศัยที่หดตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 15.7% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 และตัวเลขพื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกที่หดตัวแรงถึง 36.6%

    รวมถึงบนข้อจำกัดของความด้อยค่าโดยเปรียบเทียบเรื่องทำเลที่ตั้งของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลรอบนอกย่อมมีศักยภาพในการทำการตลาดที่ต่ำกว่า กอปรกับในระยะที่ผ่านมาพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลรอบนอกในส่วนที่พัฒนาได้ก็มีการเข้าไปทำการตลาดแล้ว และด้วยอุปสงค์ที่เบาบางในพื้นที่นั้น เป็นผลให้ตลาดย่อมใกล้เกิดภาวะอิ่มตัว

    แรงกดดันด้านลบข้างต้นที่กระทบต่อโมเมนตัมในการฟื้นตัว จึงส่งผลให้แรงส่งต่างๆ ที่ภาครัฐพยายามกระตุ้นผ่านนโยบาย เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ล้านบาท และการปรับปรุงเกณฑ์ LTV (อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน) ให้กู้ได้สูงสุดถึง 100% ของราคาที่อยู่อาศัย ไม่ส่งผลเท่าที่ควร

    #อสังหาริมทรัพย์ #คอนโดมิเนียม #คอนโด #บ้านแฝด #บ้านเดี่ยว #ทาวน์เฮ้าส์ #ทาวน์โฮม #ห้องแถว #ตึกแถว #เศรษฐกิจ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/1DWUHRQscg/
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    เศรษฐกิจไทยเร่งไม่ขึ้น ติดหล่มหนี้เสีย ธุรกิจทุนเทา ฉุดรั้งกำลังขับเคลื่อนจีดีพีไทยพ้นภาวะวิกฤตได้จริง

    ปัญหาหนี้เสีย หนี้ภาคครัวเรือนในประเทศไทย เป็นเรื่องที่เราพูดกันมานมนานหลายปี ถึงการปรับแก้ที่โครงสร้าง หากต้องการจะรื้อฟื้นเศรษฐกิจที่ทิ้งดิ่งลงเหวลึกไปเมื่อช่วงโควิด-19 ให้กลับมาอยู่ระดับศักยภาพที่ควรจะโต

    แต่อีกหนึ่งปัญหาที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยไม่ให้ไปไหนไกล ยังมีเรื่อง"ทุนเทา" หรือธุรกิจนอกระบบ เงินทุนที่ไม่เสียภาษีและส่วนใหญ่มาจากธุรกิจที่ผิดกฎหมาย มีรายงานว่า กิจกรรมผิดกฎหมายกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากถึง 48.7% ของ GDP หรือกว่า 8.77 ล้านล้านบาท ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจยาเสพติด การพนัน สแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไปจนถึงการหลีกเลี่ยงภาษี ปล่อยกู้นอกระบบ และคอร์รัปชัน

    ขณะที่บัญชี “ความคลาดเคลื่อนสุทธิ” ในดุลชำระเงินกลับพุ่งขึ้นจาก 1.8 แสนล้านบาทในปี 2566 เป็น 5.3 แสนล้านบาทในปี 2567 สะท้อนเงินทุนสีเทาไหลเข้าประเทศมหาศาล ผ่านช่องทางคริปโทเคอร์เรนซี ทองคำ อสังหาฯ และหุ้น

    โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุถึงกรณีที่มีเงินไหลเข้าประเทศที่ไม่รู้ที่ไปที่มา หรือความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (Net Errors and Omissions: NEO) ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า Net Errors and Omissions อาจเป็นเงินสีเทา หรือมาจากการฟอกเงินได้ เหตุเพราะเป็นส่วนที่ ธปท. หาไม่เจอ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธปท. ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อย่างใกล้ชิด เพื่อพิสูจน์หาที่มาที่ไป

    คุณชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษก ธปท. ยืนยันว่า ค่าเฉลี่ย Net Errors and Omissions ของไทย ‘ต่ำกว่า’ ค่าเฉลี่ยกลุ่มประเทศเอเชียรายได้ปานกลาง ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.4-1.5% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ในช่วง 10 ปีย้อนหลัง (ระหว่างปี 2014-2023) และยังย้ำด้วยว่า ประเทศอื่นๆ ก็มี NEO สูงและเผชิญปัญหาเดียวกับไทย

    ล่าสุด นายกรัฐมนตรี คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ประกาศให้การปราบสแกมเมอร์และทุนเทาเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมรวมพลัง 15 หน่วยงานลงนาม MOU เพื่อปิดเส้นทางเงินเถื่อน เป้าหมายคือยึดทรัพย์ ปิดช่องทางการฟอกเงิน สร้างระบบข่าวกรองร่วม และใช้ AI ตรวจจับเส้นเงินมิจฉาชีพ ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ อีกด้วย

    แต่ถึงอย่างนั้น ในคณะรัฐมนตรีของคุณอนุทิน ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กลับเป็นที่จับตา จากการตั้งข้อสงสัยว่ากระบวนการทางการเมืองอาจใช้ “ทุนเทา” เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม

    คุณวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ประกาศยกระดับกระบวนการติดตาม และตรวจสอบธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันและเร่งแก้ไขปัญหาทุนเทา รวมทั้งสกัดกั้นการใช้ระบบการเงินในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ได้แก่การยกระดับการติดตามและการตรวจสอบ เพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (Customer Due Diligence) ซึ่งรวมถึงการให้ธนาคารพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัย ในการรับหรือโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก อาทิ บัญชีที่ใช้ในการพนันออนไลน์ บัญชีที่ถูกใช้โดย scammer และรายงานความผิดปกติให้ ธปท. ทราบ โดย ธปท. จะพิจารณาปรับปรุง/ออกคำสั่ง และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการให้ชัดเจนขึ้น และช่วยสนับสนุนภารกิจของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในระยะต่อไป

    การยกระดับการกำกับดูแล และตรวจสอบผู้ให้บริการทางการเงิน ภายใต้การกำกับของ ธปท.ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึง Authorized Money Transfer Agent, Authorized Money Changer, ผู้ให้บริการ e-Wallet และการตรวจสอบธุรกรรมทองคำ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบเส้นทางการเงินที่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตได้อย่างครอบคลุม ทันต่อรูปแบบภัยทุจริตทางการเงินที่ปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง

    นอกเหนือจากธุรกิจที่แอบแฝงมาจากการฟอกเงิน ปัญหาหนี้นอกระบบ ที่อาจจะคาบเกี่ยวว่าจะมีส่วนอยู่ในระบบธุรกิจสีเทาได้ด้วย ยังเป็นเรื่องที่รัฐพยายามจัดการอยู่ เฉพาะตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่เป็นทางการยังสัดส่วน 86.8% ต่อ GDP ในไตรมาส 2 ปี 2568 ยังไม่นับรวมหนี้นอกระบบ ที่ดอกเบี้ยสูงลิบลิ่ว ยากที่จะหลุดจากวังวนหนี้ได้ ขณะที่รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนกลับเพิ่มขึ้นเพียง 15.2% รายได้ไม่พอจ่าย การกระตุ้นให้คนออกมาใช้จ่าย จึงยิ่งเป็นเรื่องยาก แม้จะมีโครงการคนละครึ่ง เที่ยวดีมีคืน หรืออีกหลายโครงการในหลายรัฐบาลแล้วก็ตาม

    คุณผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) และประธานสมาคมธนาคารไทย บอกว่า วันนี้จะเห็นโครงสร้างล่าสุดของสภาพหนี้ของประเทศว่า พึ่งพาหนี้นอกระบบสูง โดยสัดส่วนของการที่มีหนี้มากขึ้นจากในปี 67 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 82.8% ซึ่งสัดส่วนหนี้ในระบบลดลง เพราะจีดีพีสูงขึ้น แต่ตัวปริมาณหนี้ยังคงอยู่ แต่หนี้นอกระบบสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับที่สูงถึง 114% แต่ถ้าดู net ประมาณ 101% โดยที่มีสัดส่วน 14% เป็นหนี้นอกระบบ หนี้ทั้งหมดในประเทศไทยมีผู้ให้บริการปล่อยกู้ถึง 9,723 ราย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องของมีผู้แข่งขันที่พอเพียง

    ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่า ทำไมคนยังต้องไปพึ่งพาหนี้นอกระบบอยู่ ซึ่งจะเห็นว่าผู้ประกอบการที่ไม่ใช่อยู่ในกลุ่มแบงก์ หรือธนาคารเฉพาะกิจมีมากกว่า 30% และ ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้มีข้อมูลอยู่ในระบบฐานข้อมูลเครดิตบูโร (NCB) โดยสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นในระยะต่อไป คือ การรวมศูนย์ข้อมูลลูกหนี้เข้าสู่ระบบกลาง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความรับผิดชอบ เท่าเทียมกัน

    อย่างไรก็ตามล่าสุด รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ด้วยการจัดตั้ง JV AMC แก้หนี้รายย่อยที่มี NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท คิดเป็นลูกหนี้ 3.4 ล้านราย และ มีหนี้รวม 1.22 แสนล้านบาท

    “ทั้งหมดนี้ติดกับดักหนี้ครัวเรือน เราจะทำอย่างไรให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ปิดหนี้ได้อย่างรวดเร็ว และ ที่สำคัญที่สุด คือ จะเป็นครั้งแรกที่ยึดลูกหนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ไม่ใช่ยึดแต่ละก้อนหนี้ แต่ละมูลหนี้ โดยที่ไม่ได้ดูองค์รวม ตลอดจนอยากให้เกิดความต่อเนื่องของมาตราการ เพื่อให้ลูกหนี้ออกจากกับดักหล่มหนี้ เรียนรู้ มีวินัย กลับมาฟื้นตัวได้เร็ว สามารถเข้าสู่หนี้ในระบบ เศรษฐกิจในระบบได้โดยเร็ว บนทักษะ และ ความสามารถ และ โอกาสในการสร้างแข่งขัน และ สร้างรายได้อย่างเหมาะสม” คุณผยง กล่าว

    ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย มีแผนที่จะจัดตั้ง JV AMC ในต้นปี 69 โดยกำลังพิจารณารูปแบบที่เหมาะสม ซึ่งธนาคารมีการศึกษาทุกแนวทาง และ อาจจะมีการจัดตั้งมากกว่า 1 แห่ง โดยรูปแบบ หรือหลักเกณฑ์แยกออกอย่างชัดเจน ซึ่งหากเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน และ มูลหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ก็จะโอนไปยัง SAM แต่หากเป็นหนี้ที่มากกว่า 1 แสนบาท และ มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ ก็จะเข้าเงื่อนไขที่จะจัดตั้ง JV AMC ของธนาคารเอง

    วิกฤตเศรษฐกิจของไทยนั้นมีมานาน อุปสรรคที่ได้กล่าวมานั้น ทั้งทุนสีเทา หนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ และยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เรายังไม่สามารถหลุดพ้นและฟื้นคืนชีพจากคำว่า "วิกฤต" ได้จริง เพราะตอนนี้การเริ่มแก้ที่ต้นทางหรือโครงสร้างนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...

    Website: https://btimes.biz
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3

    #เศรษฐกิจ #หนี้ครัวเรือน #หนี้นอกระบบ #ทุนเทา #สแกมเมอร์ #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/19ngJTLuzJ/
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ชายจีนสุดช็อก! บ้านราคากว่า 9 ล้านบาท ผ่อนไม่ไหวถูกยึดประมูล เหลือเงินกลับมาเพียง 580 หยวน



    ชายชาวจีนรายหนึ่งจากเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน เผยเรื่องราวสุดสะเทือนใจผ่านคลิปวิดีโอ หลังศาลโอนเงินส่วนแบ่งจากการประมูลบ้านให้เขาเพียง 580 หยวน (ราว 2,900 บาท) จากบ้านที่เคยซื้อในราคา 1.9 ล้านหยวน (ราว 9.6 ล้านบาท) เมื่อปี 2018

    เขาเล่าว่า เมื่อ 7 ปีก่อน เขาตัดสินใจซื้อบ้านขนาด 100 ตารางเมตร โดยมีเงินเก็บ 500,000 หยวน และกู้เพิ่มอีก 100,000 หยวน เพื่อรวมเป็นเงินดาวน์ 600,000 หยวน จากนั้นจึงกู้ธนาคารอีก 1.3 ล้านหยวน อัตราดอกเบี้ย 5.8% ผ่อนเดือนละประมาณ 7,700 หยวน

    ชายผู้นี้บอกว่า ตอนนั้นญาติและเพื่อนต่างพากันซื้อบ้าน เพราะเชื่อว่าที่อยู่อาศัยคือการลงทุนที่ทำกำไรได้ เขาจึงกัดฟันผ่อนมานานถึง 7 ปี แต่เมื่อเช็กบัญชีจึงพบว่า ในบรรดาเงินที่จ่ายธนาคารไป 650,000 หยวน มีถึง 550,000 หยวนเป็นดอกเบี้ย ทำให้เหลือเงินต้นที่จ่ายคืนเพียง 100,000 หยวน และยังคงติดหนี้อีกกว่า 1.16 ล้านหยวน

    เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำและถูกเลิกจ้าง เขาไม่สามารถส่งค่างวดต่อได้ บ้านจึงถูกธนาคารยึดและนำออกประมูล ระหว่างนั้นยังต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ค่าปรับ และดอกเบี้ยค้างรวมอีกหลายหมื่นหยวน สุดท้ายเมื่อการประมูลเสร็จสิ้น เขาได้รับเงินกลับมาเพียง 580 หยวน

    ชายคนนี้กล่าวอย่างสิ้นหวังว่า

    “ตอนเห็นเงินโอนเข้าบัญชี ผมแทบช็อก รู้สึกเหมือนฝันร้าย แต่ยังดีที่อย่างน้อยผมไม่กลายเป็นหนี้เสีย และไม่ต้องลากภรรยากับลูกเดือดร้อนไปด้วย”

    เขาปิดท้ายว่า คืนนั้นเขาและภรรยาได้นำเงิน 580 หยวนไปกินข้าวด้วยกัน เพื่อถือว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ พร้อมฝากข้อความเตือนว่า

    “ใครที่คิดจะซื้อบ้าน ขอให้ดูคลิปนี้ไว้เป็นบทเรียน — บ้านควรทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่เป็นภาระที่หนักกว่าเดิม.”

    ที่มา : https://x.com/truthmedia123/status/1987429274882875524?s=46

    https://www.facebook.com/share/1A3hrU78Ns/
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    “แซงก์ชันย้อนศร” — รถไฟรัสเซีย-อิหร่านวิ่งจริง! 62 ตู้ผ่านคาซัคฯ-เติร์กเมนฯ 12 วัน เปิดทาง INSTC หลบตะวันตก — เส้นบกใหม่ของโลกไม่ตะวันตกเริ่มทำงานแล้ว

    — โลกได้เห็น “รถไฟสายโต้แซงก์ชัน” วิ่งจริงเป็นครั้งแรก เมื่อขบวนสินค้ารัสเซีย 62 ตู้ เดินทางผ่านคาซัคสถานและเติร์กเมนิสถานสู่กรุงเตหะรานสำเร็จในเวลาเพียง 12 วัน ภายใต้โครงการ International North–South Transport Corridor (INSTC) เส้นทางยุทธศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “ตัดทะเลและตัดตะวันตกออกจากสมการโลจิสติกส์โลก”

    รถไฟชุดนี้บรรทุกเยื่อกระดาษและกระดาษจากรัสเซียเหนือ มุ่งหน้าไปยังอิหร่านและอิรัก โดยผ่านด่าน อินเชบอรูน (Incheborun) เข้าสู่ ท่าแห้งอับริน (Aprin Dry Port) ใกล้กรุงเตหะราน ซึ่งสื่ออาหรับ Al Mayadeen English ระบุว่า “นี่คือการพิสูจน์ว่า INSTC ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เริ่ม ‘ทำงานจริง’ แล้ว” — เส้นทางใหม่นี้ ตัดเวลาเดินทางจาก 45 วันเหลือเพียง 12–15 วัน และลดต้นทุนได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับเส้นทางเดินเรือผ่านยุโรป

    จาก “แซงก์ชัน” สู่ “แรงขับเคลื่อน”

    หลังถูกรุมคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 2022 รัสเซียถูกตัดจากเส้นทางขนส่งและท่าเรือสำคัญในยุโรปเหนือ จนต้องเร่งหาทางออกใหม่ร่วมกับอิหร่านและอินเดีย INSTC จึงถือกำเนิดในฐานะ “เส้นเลือดบกแห่งโลกไม่ตะวันตก” ที่เชื่อม ทะเลบอลติก–ทะเลแคสเปียน–เปอร์เซีย–มหาสมุทรอินเดีย เป็นวงจรเดียวกัน

    รายงานของ IRNA ระบุว่า เส้นทางนี้ถูกวางไว้ในแผนยุทธศาสตร์ร่วม “Roadmap 2025” ระหว่างรัสเซียและอิหร่านเมื่อต้นปีนี้ และรถไฟเที่ยวล่าสุดคือ “ผลทดสอบขั้นสุดท้าย” ก่อนเปิดให้ขนส่งสินค้าพลังงาน เหล็ก และปุ๋ยเต็มรูปแบบในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ อิหร่านกลายเป็นฮับโลจิสติกส์ใหญ่สุดของตะวันออกกลาง

    เศรษฐกิจหมุนใหม่โดยไม่ผ่านยุโรป

    Oman Observer วิเคราะห์ว่า INSTC จะเปลี่ยนโครงสร้างการค้าระหว่างรัสเซีย–อินเดีย–อิหร่านโดยสิ้นเชิง เพราะเดิมต้องอ้อมทะเลแดงและคลองสุเอซ ใช้เวลาเกือบสองเดือนและเสียค่าธรรมเนียมทางทะเลมหาศาลให้กับตะวันตก แต่เส้นทางใหม่นี้ “ทุกดอลลาร์จะหมุนในวงของเอเชียเอง”

    นั่นหมายความว่าในอนาคต ค่าขนส่ง (freight) ที่เคยเป็นรายได้ของบริษัทตะวันตก จะกลายเป็นรายได้ของประเทศใน BRICS — ตั้งแต่คาซัคสถานที่เก็บค่าผ่านแดน เติร์กเมนิสถานที่เป็นจุดพักขบวน จนถึงอิหร่านที่เก็บค่าศุลกากรและเชื่อมต่อสู่เปอร์เซียแหลม

    รัสเซียไม่ต้อง “อ้อน” เรือยุโรปอีกต่อไป

    Pravda EN เขียนเหน็บว่า “ยุโรปคว่ำบาตรรัสเซีย แต่กลับตัดท่อส่งรายได้ของตัวเอง” — เพราะ INSTC จะทำให้สินค้ารัสเซียสามารถเดินทางถึงอินเดียโดยไม่ต้องผ่านท่าเรือที่อยู่ภายใต้บริษัทประกันภัยหรือเรือบรรทุกของตะวันตกอีกต่อไป ทั้งยังทำให้รัสเซียมีทางออกใหม่สู่ทะเลอาหรับและมหาสมุทรอินเดีย ผ่านการขนส่งต่อไปยังท่า Chabahar Port ของอิหร่าน

    อินเดียเองก็เป็นผู้ได้ประโยชน์ The Indian Narrative รายงานว่า “INSTC จะเพิ่มการค้าระหว่างอินเดีย-รัสเซียอย่างน้อย 20% ภายในปี 2569” เพราะการขนส่งสินค้าจากมุมไบถึงมอสโกใช้เวลาเพียงครึ่งเดียวของเส้นทางทะเลเดิม

    บทสรุป: ตะวันตกคว่ำบาตร แต่กลับ “บังคับให้โลกสร้างถนนใหม่”

    เส้นทาง INSTC จึงไม่ใช่แค่ทางรถไฟ แต่คือ “แผนที่ใหม่ของอำนาจเศรษฐกิจโลก” — จากแรงบีบของแซงก์ชัน กลับกลายเป็นแรงผลักให้รัสเซีย อิหร่าน อินเดีย และชาติเส้นทางเอเชียกลางรวมตัวแน่นแฟ้นขึ้นในฐานะห่วงโซ่อุปทานใหม่

    และในระยะยาว...
    ทุกตู้สินค้าที่แล่นผ่านเส้นทางนี้ จะกลายเป็น ค่าต๋งที่ตะวันตกต้องจ่ายให้เอเชียตลอดกาล — เพราะโลกใบนี้ กำลังเปลี่ยนเจ้าของถนนขนส่งสินค้าไปอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง.

    8 พฤศจิกายน 2568 : คัดข่าว/หาดใหญ่
    FB_IMG_1762684523794.jpg
    ที่มา: Al Mayadeen English, IRNA, Oman Observer, Pravda EN, Caspian News, Vietnam News Agency, X Posts

    https://www.facebook.com/share/1c5oxuYnuq/
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    อินโดนีเซียลุย “ตัดศูนย์รูเปียห์ 3 ตัว” ปี 2570 – ไม่กระทบมูลค่า, เสริมภาพลักษณ์เศรษฐกิจทันสมัย

    – รัฐบาลอินโดนีเซียเตรียมเสนอร่างกฎหมาย **“redenomination รูเปียห์”** หรือตัดศูนย์ออก 3 ตัวจากธนบัตรและเหรียญ โดยจะเริ่มใช้จริงในปี **2570** เพื่อ “ลดความซับซ้อนในการใช้เงิน – เพิ่มประสิทธิภาพระบบเศรษฐกิจ – และเสริมความน่าเชื่อถือของสกุลเงิน”

    **Bloomberg** รายงานว่า ร่างกฎหมายจะเข้าสู่สภาในปี 2569 หลังจากธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ศึกษาเรื่องนี้มานานกว่า 10 ปี ขณะที่ **Reuters** อ้างคำกล่าวของ *Perry Warjiyo* ผู้ว่าการ BI ว่า “นโยบายพร้อมเดินหน้า แต่ต้องอาศัยเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก”

    ### รายละเอียดการเปลี่ยนแปลง

    * **แผนตัดศูนย์ 3 ตัว**: เช่น 100,000 รูเปียห์ → 100 รูเปียห์ใหม่ โดย **ไม่กระทบมูลค่าจริง (non-devaluative)**
    * **ระยะเปลี่ยนผ่าน**: ใช้เวลา 5–10 ปี ให้ประชาชนและธุรกิจปรับตัว
    * **เป้าหมายหลัก**:

    1. ลดความยุ่งยากในการทำธุรกรรม
    2. ลดต้นทุนการพิมพ์ธนบัตรและทำบัญชี
    3. เสริมภาพลักษณ์รูเปียห์ให้ “ดูแข็งค่า” ในสายตานักลงทุนต่างชาติ

    **The Jakarta Post** รายงานว่า BI เตรียมออกเหรียญและธนบัตรรุ่นใหม่ในปีแรกของการเปลี่ยนผ่าน พร้อมรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนทั่วประเทศ

    ### เงื่อนไขความพร้อม

    BI ยืนยันว่าต้องควบคุมเงินเฟ้อให้ต่ำกว่า 4% และคงการเติบโตของ GDP อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 อินโดนีเซียมีอัตราเงินเฟ้อเพียง 2.5% ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 5 ปี

    **Antara News** ระบุว่า BI นำกรณีศึกษาจากตุรกี (ตัดศูนย์ 6 ตัว ปี 2548) และกานา (ตัด 4 ตัว ปี 2550) มาเป็นแบบจำลอง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น ต่างจากกรณีของเวเนซุเอลาที่ล้มเหลวเพราะเงินเฟ้อสูงเกินควบคุม

    | ประเทศ | ปี | จำนวนศูนย์ที่ตัด | ผลลัพธ์ |
    | ---------- | ---- | ---------------- | --------------------------------- |
    | ตุรกี | 2548 | 6 ตัว | เศรษฐกิจโต 7%, เงินเฟ้อลด |
    | กานา | 2550 | 4 ตัว | ธุรกรรมสะดวกขึ้น |
    | เวเนซุเอลา | 2561 | 5 ตัว | ล้มเหลว – เงินเฟ้อพุ่ง 1,000,000% |

    ผลกระทบและความคาดหวัง

    ประชาชนส่วนใหญ่ (ราว 60%) สนับสนุนนโยบายนี้ เห็นว่าเป็นการ “ยกระดับรูเปียห์ให้ดูทันสมัย” ขณะที่ภาคธุรกิจคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนด้านบัญชีและเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าช่วงแรกอาจเกิด “เงินเฟ้อจิตวิทยา” จากความสับสนของราคา BI จึงเตรียมดำเนินมาตรการเข้มงวดควบคุมตลาดควบคู่ไปกับการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง

    จาก “รูเปียห์ศูนย์เยอะสุดในอาเซียน” สู่ “สกุลเงินภาพลักษณ์ใหม่แห่งภูมิภาค” – อินโดนีเซียจ่อเปิดศักราช **รูเปียห์ใหม่ปี 2570** พร้อมลุ้นเศรษฐกิจดิจิทัลก้าวกระโดดในทศวรรษหน้า.

    7 พฤศจิกายน 2568

    ที่มา: Bloomberg, Reuters, The Jakarta Post, Antara News
    https://www.facebook.com/share/p/1JqhR8axVv/
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2025 เกิดเหตุชาวบ้านนับพันในหมู่บ้านชิงซาน (青山村) ตำบลจงถุน (中屯镇) อำเภอเจิ้นสง (镇雄县) เมืองเจาจง มณฑลหยุนหนาน รวมตัวประท้วงต่อต้าน “นโยบายบังคับเผาศพ” ของรัฐบาลท้องถิ่น และขัดขวางเจ้าหน้าที่ที่พยายามนำศพของผู้ตายไปเผา ชาวบ้านสามารถฝังศพตามประเพณีดั้งเดิมได้สำเร็จหลังการปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐ

    ต้นเหตุของเหตุการณ์มาจากนโยบาย “บังคับเผาศพ” ที่รัฐบาลอำเภอเจิ้นสงเพิ่งประกาศใช้ โดยกำหนดให้ผู้เสียชีวิตทุกคนต้องเผาศพ ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในหมู่ชาวบ้าน เนื่องจาก “การฝังศพ” ถือเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนและมีความหมายทางวัฒนธรรมและจิตใจ อีกทั้งชาวบ้านยังวิตกเรื่องค่าใช้จ่ายในการเผาศพที่สูง และการขาดความชัดเจนเรื่องเงินสนับสนุนหรือสถานที่เก็บอัฐิ

    เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกลับเลือกใช้วิธีรุนแรง โดยมีรายงานว่าได้ “ขุดศพ” ที่ฝังแล้วขึ้นมาเผาโดยพลการ เช่น เหตุในหมู่บ้านโถวถุน (头屯村) ที่ครอบครัวหนึ่งฝังศพญาติในเขตกุ้ยโจว เพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับเผา แต่เพียงห้าวันต่อมา ศพก็หายไปจากหลุมฝัง ก่อนครอบครัวจะได้รับโทรศัพท์จากสุสานให้ไป “จัดการขั้นตอนหลังเผา”

    ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ชาวบ้านจากหลายหมู่บ้านใกล้เคียงรวมตัวกันกว่าพันคนเพื่อปกป้องพิธีฝังศพ รัฐบาลส่งเจ้าหน้าที่จำนวนมากมาขัดขวางและพยายามแย่งศพไป ระหว่างขบวนแห่ มีการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มหญิงชาวบ้าน ก่อนที่ชายหนุ่มจำนวนมากจะช่วยกัน “หามโลงพุ่งฝ่าแนวกั้น” พร้อมตะโกน “ไม่เผาศพเด็ดขาด” วิดีโอเผยให้เห็นว่าชาวบ้านสามารถผลักแนวเจ้าหน้าที่ออกไปได้ และในที่สุดก็ฝังศพสำเร็จ หลังจากนั้น ครอบครัวผู้ตายต้องผลัดเวรเฝ้าหลุมศพเพื่อป้องกันการ “ขุดศพไปเผา” อีกครั้ง

    กรณีลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น ในปี 2024 ที่มณฑลกุ้ยโจว (เขตจินซาและผิงถัง) ก็มีชาวบ้านลุกฮือต่อต้านการบังคับเผาศพ และสามารถบีบให้ทางการยกเลิกนโยบายดังกล่าวได้ในที่สุด.

    ที่มา : จัวเทียน

    https://x.com/yesterdaybigcat/status/1987381088294154248?s=46
    FB_IMG_1762694822316.jpg FB_IMG_1762694824516.jpg FB_IMG_1762694826729.jpg FB_IMG_1762694828482.jpg FB_IMG_1762694830466.jpg FB_IMG_1762694832892.jpg FB_IMG_1762694834840.jpg FB_IMG_1762694836656.jpg
    https://www.facebook.com/share/16Kwpr9nkJ/
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    จีนออกหมายล่าข้ามชาติ “เสิ่น ป๋อหยาง” นักการเมืองไต้หวัน — ไต้หวันตอบโต้เดือด ย้ำเป็นการ “ข่มขู่ข้ามพรมแดน” ละเมิดกฎหมายสากล

    วันที่ 8 พฤศจิกายน 2025 สถานีโทรทัศน์กลางของจีน (CCTV) ได้เผยแพร่รายการพิเศษเกี่ยวกับคดีของ เสิ่น ป๋อหยาง (沈伯洋) สมาชิกสภานิติบัญญัติไต้หวัน โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนครฉงชิ่งได้รับ “เบาะแสจำนวนมาก” จากประชาชนเกี่ยวกับเสิ่น ป๋อหยาง และกำลังทยอยตรวจสอบเพื่อรวบรวมเป็นหลักฐานในคดีแบ่งแยกดินแดน

    ในรายการดังกล่าว เฉิง เหลย (程雷) ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยประชาชนแห่งประเทศจีน (Renmin University of China) ให้สัมภาษณ์ว่า “รัฐบาลจีนสามารถใช้ช่องทางของ องค์การตำรวจสากล (Interpol) ออกหมายแดง (Red Notice) เพื่อไล่ล่าจับกุมเสิ่น ป๋อหยางได้ทั่วโลก” พร้อมระบุว่าเป็นหนึ่งใน “มาตรการทางกฎหมาย” ที่จีนสามารถใช้ในระดับนานาชาติ (แม่งโม้ ไม่มีตำรวจสากลคนไหนรับทำคดีนี้หรอก)



    ทำไมจีนถึงต้องการจับ “เสิ่น ป๋อหยาง”

    ทางการจีนระบุว่า เสิ่น ป๋อหยางถูกตั้งข้อหา “ยุยงปลุกระดมให้แยกดินแดน (分裂国家罪)” และเป็นหนึ่งใน “บุคคลดื้อรั้นฝ่ายไต้หวันเอกราช” (台独顽固分子) ภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของจีน

    เสิ่นเป็นผู้ก่อตั้งองค์กร “Black Bear Academy (黑熊學院)” ซึ่งฝึกอบรมประชาชนไต้หวันให้รู้เท่าทันสงครามข้อมูลและปฏิบัติการจิตวิทยาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เขามักวิจารณ์นโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเปิดเผย และสนับสนุนแนวคิด “ไต้หวันเอกราชโดยสมบูรณ์”

    นอกจากนี้ เสิ่นยังเคยร่วมร่างข้อเสนอด้าน “การป้องกันภัยไซเบอร์และอิทธิพลจีน” ในสภาไต้หวัน ซึ่งปักกิ่งมองว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีน และเป็นภัยต่อ “เอกภาพแห่งชาติ”

    เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2025 ตำรวจนครฉงชิ่งได้ “ลงรับสำนวนสอบสวน” (立案侦查) ต่อเสิ่นอย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่าการกระทำของเขา “กระทบต่ออธิปไตยของชาติและความมั่นคงของจีน”



    กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันโต้เดือด

    วันที่ 9 พฤศจิกายน 2025 กระทรวงการต่างประเทศของไต้หวันออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที โดยระบุว่าการกระทำของจีนเป็น “การปราบปรามข้ามพรมแดน (cross-border repression)” ที่ร้ายแรงและ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงขัดต่อกฎหมายและบรรทัดฐานระหว่างประเทศ”

    กระทรวงฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การข่มขู่เช่นนี้ “เป็นการบ่อนทำลายระเบียบระหว่างประเทศ” และเรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามพฤติกรรมของจีน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลปักกิ่ง “หยุดคุกคามประชาชนไต้หวัน” ทันที



    ไต้หวันย้ำ “จีนไม่มีสิทธิเหนืออธิปไตย”

    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไต้หวันย้ำอย่างชัดเจนว่า

    “ไต้หวันเป็นรัฐเอกราช จีนไม่มีอำนาจศาลหรือสิทธิ์ทางกฎหมายใด ๆ เหนือประชาชนของเรา”

    ทางการไต้หวันยังประกาศว่าจะ เพิ่มมาตรการป้องกันภัยคุกคามข้ามพรมแดน โดยประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐต่าง ๆ รวมถึงสั่งการให้ สถานเอกอัครราชทูตและสำนักงานในต่างประเทศ เตรียมแนวทางรับมือ (SOP) เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของชาวไต้หวันที่พำนักในต่างแดน



    สรุป

    กรณี “เสิ่น ป๋อหยาง” สะท้อนความตึงเครียดระหว่างจีนและไต้หวันที่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกขั้น จีนพยายามใช้เครื่องมือทางกฎหมายและองค์กรระหว่างประเทศในการกดดันทางการเมือง ขณะที่ไต้หวันยืนยันว่าเป็น “การข่มขู่ข้ามพรมแดน” และไม่ยอมรับอำนาจศาลของจีน

    นักวิเคราะห์มองว่า หากจีนดำเนินการออกหมายแดงผ่าน Interpol จริง จะเป็นแบบอย่างของการ “ใช้กฎหมายเป็นอาวุธทางการเมือง” ที่กระทบต่อความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบ และอาจขยายผลสู่ความขัดแย้งในระดับภูมิภาค



    แหล่งที่มา: CCTV, RFI, HK01, กระทรวงการต่างประเทศไต้หวัน
    วันที่รายงาน: 9 พฤศจิกายน 2025

    #จีน
    #ไต้หวัน
    #เสิ่นป๋อหยาง
    FB_IMG_1762702027418.jpg FB_IMG_1762702030044.jpg FB_IMG_1762702032966.jpg
    https://www.facebook.com/share/p/1CzZ9UJQAF/
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    วิกฤตเสี่ยวหมี่ครั้งใหญ่: รถไฟฟ้า SU7–YU7 ราคาดิ่ง ผู้ค้าทั่วจีนขาดทุนย่อยยับ

    ในเวลาไม่ถึงครึ่งปี รถยนต์ไฟฟ้า Xiaomi SU7 และ YU7 ที่เคยถูกโปรโมตว่าเป็น “คู่แข่ง Tesla” และ “เหนือกว่า Porsche” กำลังกลายเป็นฝันร้ายของทั้งผู้ซื้อและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศจีน

    จากรถหรูพรีเมียม สู่รถขาดทุนติดดิน
    ในช่วงต้นปี 2025 รถรุ่น SU7 Max เคยถูกตั้งราคาขายกว่า 610,000 หยวน (ประมาณ 3.1 ล้านบาท) แต่ปัจจุบันราคาร่วงเหลือเพียง 440,000 หยวน (ประมาณ 2.2 ล้านบาท) ในตลาดมือสอง ขณะที่รถรุ่น YU7 Ultra ที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ก็ถูกเทขายจนไม่มีใครรับซื้อ แม้ลดราคาลงกว่า 100,000 หยวน (ราว 500,000 บาท)

    พ่อค้ารถมือสองหลายรายในกรุงปักกิ่งและนครเฉิงตูบ่นว่า “ไม่มีใครรับซื้อรถเสี่ยวหมี่อีกแล้ว” เนื่องจากชื่อเสียงของแบรนด์ถูกทำลายจากปัญหาความปลอดภัยและการตลาดเกินจริง

    สาเหตุหลัก: อุบัติเหตุร้ายแรง–ระบบขัดข้อง–สินค้าค้างสต็อก
    • เดือนมีนาคม 2025 เกิดเหตุรถ Xiaomi SU7 พุ่งชนกำแพงปูนในเมืองซีอานและเกิดไฟไหม้ มีนักศึกษามหาวิทยาลัยเสียชีวิต 3 ราย
    • เดือนตุลาคม เกิดเหตุอีกครั้งในเมืองเฉิงตู รถ SU7 อีกคันระเบิดไฟลุกหลังชนราวสะพาน คนขับเสียชีวิตเพราะ “เปิดประตูหนีไม่ได้” จากระบบล็อกอัตโนมัติ
    • ระบบขับขี่อัตโนมัติ (Smart Driving) มีข้อบกพร่องจนเกิดข้อสงสัยทั่วออนไลน์

    หลังเหตุการณ์ เหลย จวิน (Lei Jun) ผู้ก่อตั้งบริษัท ออกมาโพสต์ให้แฟนคลับ “หยุดใส่ร้ายแบรนด์” แต่กลับยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ยอดผู้ติดตามในโซเชียลจีนลดลงกว่า 400,000 คนในไม่กี่วัน

    ตัวแทนจำหน่ายน้ำตาตก
    ชายคนหนึ่งที่ลงทุนซื้อรถ Xiaomi มาขายกว่า 20 คันกล่าวว่า

    “ตอนแรกผมหวังจะทำกำไร ตอนนี้ผมขาดทุนทุกคัน รถบางคันจอดทิ้งมา 2 เดือน ไม่มีใครถามซื้อ ผมแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ”

    ตัวแทนอีกคนเล่าว่า รถที่ซื้อมา 620,000 หยวน (ราว 3.15 ล้านบาท) ตอนนี้ขายได้ไม่ถึง 500,000 หยวน (ประมาณ 2.55 ล้านบาท) ขาดทุนกว่าครึ่งล้านหยวนภายในไม่ถึง 7 เดือน

    จากรถใหม่สู่ฝันร้ายมือสอง
    ตลาดรถมือสองใน ปักกิ่ง และ กว่างโจว ปฏิเสธรับรถ Xiaomi โดยให้เหตุผลว่า “ภาพลักษณ์แย่มากและไม่มีคนกล้าซื้อ” ราคาตกเร็วกว่า “หุ้นในตลาดหลักทรัพย์” ผู้ค้าหลายรายถึงขั้นโพสต์คลิปขอร้องว่า

    “อย่าด่ารถเสี่ยวหมี่เลย ขอให้ขายออกก่อนเถอะ พวกเรากำลังจะเจ๊งแล้ว”

    ปัญหาผลิต–ส่งมอบ–และความเชื่อมั่น
    รายงานระบุว่า แม้เสี่ยวหมี่จะอ้างว่ายอดจองรถเกิน 200,000 คันใน 3 นาทีแรกของการเปิดขาย แต่เมื่อถึงเวลาส่งมอบจริงกลับล่าช้า บางคนต้องรอถึง 60 สัปดาห์ (เกือบ 1 ปี) และไม่สามารถขอคืนเงินมัดจำ 5,000 หยวน (ประมาณ 25,000 บาท) ได้

    มีลูกค้ากว่า 240 คนรวมตัวกันฟ้องร้องแบบกลุ่ม (Class Action) หลังบริษัทบังคับให้ “จ่ายเต็มจำนวนก่อนเห็นรถจริง” ซึ่งสร้างข้อสงสัยว่าบริษัทอาจกำลังประสบปัญหา กระแสเงินสดขาดสภาพคล่อง

    ปัญหาคุณภาพที่ลุกลาม
    ในโลกออนไลน์มีผู้ใช้รถโพสต์คลิปแฉปัญหามากมาย เช่น
    • เบรกขึ้นสนิมหลังใช้ไม่นาน
    • ประตูเปิดไม่ออกจากภายใน
    • ระบบหน้าจอสัมผัสค้าง
    • ช่วงล่างและล้อหักง่าย

    หนึ่งในผู้ใช้โพสต์ว่า

    “แค่เฉี่ยวเล็กน้อยแต่ประตูขาดทั้งบาน ถ้าขับเร็วหน่อยคนในรถอาจตายหมด!”

    เสื่อมศรัทธาในตัว “เหลย จวิน”
    ครั้งหนึ่ง เหลย จวินเคยเป็นไอคอน CEO แห่งยุคใหม่ของจีน มีผู้ติดตามกว่า 44 ล้านคน แต่ตอนนี้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความล้มเหลวทางการตลาด” ผู้สื่อข่าวจีนถึงกับเขียนว่า “เสี่ยวหมี่ล่มเพราะเหลย จวิน” หลังเขาใช้กลยุทธ์ “สร้างภาพให้แบรนด์ยิ่งใหญ่เกินจริง”

    หุ้นดิ่ง–มูลค่าหาย 280,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
    จากเดือนกันยายนถึงตุลาคม ราคาหุ้น Xiaomi Group ที่ตลาดฮ่องกงตกลงกว่า 27% มูลค่าตลาดหายไปกว่า 280,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 1.3 ล้านล้านบาท) ถือเป็นการร่วงหนักที่สุดนับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น

    สรุป: “รถไฟฟ้าเสี่ยวหมี่” จากความหวังสู่สัญลักษณ์แห่งความสิ้นหวัง
    สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “Tesla ของจีน” กำลังกลายเป็น “ฝันร้ายของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า” ทั้งปัญหาความปลอดภัย การตลาดเกินจริง การส่งมอบล่าช้า และนโยบายเรียกเก็บเงินล่วงหน้าโดยไม่แสดงรถจริง ทำให้ผู้บริโภคเริ่มหันหลังให้แบรนด์อย่างสิ้นเชิง

    หรืออย่างที่ผู้ค้ารถมือสองรายหนึ่งในเฉิงตูพูดไว้ว่า

    “ตอนนี้ไม่ใช่แค่คนไม่อยากซื้อเสี่ยวหมี่ แต่คนยังไม่อยากได้แม้จะให้ฟรี”

    แหล่งที่มา:


    #เสี่ยวหมี่
    #Xiaomi
    #LeiJun
    #รถยนต์ไฟฟ้าจีน
    #ตลาดรถจีน
    #ChinaObserver
    #วิกฤตเสี่ยวหมี่

    https://www.facebook.com/share/p/1EWDWnbBWo/
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    “ดี๋เหลียน” ของ BYD สั่นสะเทือนระบบการเงินจีน: เมื่อบริษัทรถยักษ์ใหญ่พิมพ์ “เงินตัวเอง” จนรัฐบาลต้องสั่งระงับ

    เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2025 ช่อง YouTube “เสี่ยวชุ่ย ข่าวการเมืองและเศรษฐกิจจีน” รายงานข่าวใหญ่ที่กำลังเขย่าทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์จีน — รัฐบาลกลางจีนสั่งให้บริษัท BYD (比亞迪) ค่อย ๆ “ยุติการใช้ระบบดี๋เหลียน (DChain)” ซึ่งเป็นระบบ “ซัพพลายเชนการเงิน” ที่ BYD ใช้มานานกว่า 9 ปี



    ดี๋เหลียนคืออะไร ทำไมถึงถูกมองว่าเป็น “ระบบพิมพ์เงิน” ของ BYD
    “ดี๋เหลียน (DChain)” คือระบบการเงินที่ BYD สร้างขึ้นเองตั้งแต่ปี 2016 ใช้แทนเงินสดในการชำระเงินกับซัพพลายเออร์ โดยออก “ใบสัญญาอิเล็กทรอนิกส์” แทนเงินสด เรียกว่า “ดี๋เหลียน” ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนเงินตรา — สามารถจ่ายชำระหมุนเวียนได้ในหมู่ผู้ผลิต และนำไปแปลงเป็นเงินสดได้ในตลาดการเงิน

    ผู้ประกอบการรายหนึ่งกล่าวว่า

    “BYD ไม่ได้จ่ายเงินสดให้เรา แต่ให้ดี๋เหลียนแทน เป็นเหมือน IOU (ใบสัญญาเงินกู้) ของบริษัท”

    ปัญหาคือดี๋เหลียน ไม่ได้จดทะเบียนในระบบธนาคารกลางจีน (PBoC) และ ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายตั๋วเงิน ทำให้มีความเสี่ยงสูง หาก BYD ขาดสภาพคล่อง ผู้ถือดี๋เหลียนอาจ “ไม่มีใครรับผิดชอบ”



    แหล่งข่าวเผย: รัฐบาลจีนสั่ง BYD “ตัดขาดดี๋เหลียน” ภายใน 1–2 ปี
    ตามรายงานของสื่อจีนแผ่นดินใหญ่ที่ภายหลังถูกลบไปอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจีนได้สั่งให้ BYD ค่อย ๆ ยุติการใช้ดี๋เหลียนใน 1–2 ปี เริ่มจากการคืนเงินสดให้ “ซัพพลายเออร์ขนาดเล็ก” ก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของธุรกิจรายย่อย

    ก่อนหน้านี้ BYD เคยประกาศเมื่อปี 2023 ว่ามูลค่ารวมของดี๋เหลียนทะลุ 4 แสนล้านหยวน (ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท) ซึ่งกลายเป็นหนี้สิน “นอกงบดุล” ขนาดมหาศาล

    หากต้องนำกลับมาใส่ในบัญชี บริษัทจะมีหนี้พุ่งสูงขึ้นทันที — จากอัตราส่วนหนี้สิน 71% อาจพุ่งถึง 93% ของสินทรัพย์ทั้งหมด นั่นหมายความว่า BYD อาจ “ระเบิดทางการเงิน” ได้ทุกเมื่อ



    ทำไม “ดี๋เหลียน” ถึงอันตรายระดับประเทศ
    1️⃣ BYD ใช้ดี๋เหลียนเหมือนพิมพ์เงินเอง
    ดี๋เหลียนทำหน้าที่เหมือนสกุลเงินภายใน โดยใช้ชื่อเสียงของบริษัทเป็น “หลักประกัน”

    “ถ้ารัฐบาลพิมพ์เงินได้เพราะมีแบงก์ชาติ BYD ก็เหมือนพิมพ์เงินด้วยเครดิตตัวเอง” — ผู้เชี่ยวชาญอธิบาย

    2️⃣ ดอกเบี้ยแปลงเงินสูงผิดปกติ
    ในตลาดใบตั๋วเงินทั่วไป ดอกเบี้ยแปลงเงินอยู่ราว 1% แต่ดี๋เหลียนต้องจ่ายสูงถึง 5–10% เพราะความเสี่ยงสูง

    3️⃣ ระบบดี๋เหลียนหลุดออกนอกการควบคุมของรัฐ
    ดี๋เหลียนถูกนำไปหมุนเวียนในตลาดการเงินเอกชน จนมี “ตลาดซื้อขายมือสอง” เกิดขึ้นเอง รัฐบาลจีนมองว่าเท่ากับ BYD สร้าง “ระบบเงินคู่ขนาน” แข่งกับระบบของรัฐ



    ผลกระทบต่อซัพพลายเออร์: จากคู่ค้า กลายเป็น “ลูกหนี้บังคับ”
    ซัพพลายเออร์จำนวนมากไม่สามารถรับเงินสดจาก BYD ได้ ต้องถือดี๋เหลียนแทนเงิน ทำให้เกิดต้นทุนทางการเงินสูง บางรายต้องยอม “ขายดี๋เหลียน” ในราคาต่ำกว่าเพื่อเอาเงินสดมาหมุน

    เจ้าของโรงงานชิ้นส่วนในมณฑลกวางตุ้ง (Guǎngdōng) กล่าวในรายการว่า

    “เราเหมือนทำงานให้ BYD ฟรี เพราะยังต้องเอาเงินตัวเองไปจ่ายดอกเบี้ยจากดี๋เหลียน”

    รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งเริ่มไม่พอใจ เพราะการล้มของผู้ผลิตรายย่อยส่งผลต่อการจ้างงานและรายได้ภาษี



    ⚙️ ทำไม “จักรพรรดิ” ถึงลงมือจัดการตอนนี้
    • ขณะนี้รัฐบาลกลางเริ่ม “หมดความไว้ใจ” ต่อบริษัทรถเอกชน
    เดิมที สี จิ้นผิง (Xí Jìnpíng) เชื่อว่า BYD, Li Auto, และ Xpeng จะนำพาอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ แต่ล่าสุดเริ่มหันกลับมาพึ่ง รัฐวิสาหกิจ มากขึ้น
    • มีรายงานว่า บริษัทรัฐหลายแห่งร้องเรียนว่า
    “พวกเรากู้เงินจากธนาคารอย่างถูกกฎหมาย ต้องเสียดอกเบี้ยและรายงานบัญชี แต่ BYD ใช้ดี๋เหลียนระดมทุนฟรี มันไม่ยุติธรรม!”
    • BYD เองอาจรู้ตัวว่าถูกเพ่งเล็ง จึงเริ่มทยอยเปลี่ยนการชำระเงินเป็น “เช็คธนาคาร” หรือ “เงินสด” แทนดี๋เหลียน เพื่อเลี่ยงวิกฤตการแห่ถอน



    ทางรอดของ BYD มีเพียง 3 เส้นทาง
    1️⃣ กู้เงินจากธนาคารเพื่อชำระหนี้ซัพพลายเออร์
    แต่ธนาคารอาจไม่ยอมปล่อยกู้ เพราะบริษัทมีความเสี่ยงสูง

    2️⃣ หากำไรเพิ่มจากธุรกิจใหม่
    BYD ต้องขยายตลาดให้มีกำไรพอชดเชยการสูญเสียจากดี๋เหลียน แต่ยอดขายรถเริ่มชะลอตัว

    3️⃣ “เกาะชายผ้าเหลืองจักรพรรดิ” — พึ่งนโยบายรัฐ
    หากเปลี่ยนจากรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาสู่ “หุ่นยนต์อัจฉริยะ” หรือโครงการเทคโนโลยีที่รัฐสนับสนุน ก็อาจรอด

    แต่ปัจจุบัน “จักรพรรดิไม่โปรด” เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว



    ⚠️ สรุป
    BYD อาจกลายเป็น “หังต้าเวอร์ชันรถยนต์” หากดี๋เหลียนถูกตัดขาดไม่สำเร็จ เพราะหนี้นอกงบดุลระดับ 2 ล้านล้านบาท สามารถระเบิดระบบซัพพลายเชนได้ทั้งวงการ

    “ทำเอง เจ็บเอง” — ผู้บรรยายสรุปตอนท้าย
    “BYD เอาเปรียบคู่ค้าจนไม่มีใครรอด แล้ววันนี้สิ่งที่กำลังระเบิด คือสิ่งที่บริษัทสร้างเอง”



    แหล่งที่มา:


    #BYD
    #ดี๋เหลียน
    #ข่าวจีน
    #เศรษฐกิจจีน
    #หนี้บริษัทจีน
    #รถยนต์ไฟฟ้าจีน
    #LiAuto
    #Xpeng
    #XiJinping
    #ChinaFinanceCrisis

    https://www.facebook.com/share/p/17Uq8TxXK8/
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    Nov 12, 2025 ถนัดดั้ม!จีนเปลี่ยนเป้าหมายเทของถูกต่ำทุนเข้ายุโรป แบงก์ชาติยุโรปเผยจีนดั้มสินค้าถูกตั้งแต่ก่อนสงครามภาษีสหรัฐจะเริ่มต้น เศรษฐกิจภายในประเทศจีนตกต่ำยาว ดันกำลังการผลิตส่วนเกินล้นตลาด

    ธนาคารกลางยุโรป หรืออีซีบี (ECB) เปิดเผยว่า สภาวะเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับสองของโลกยังคงอยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่อง ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบที่เกิดขึ้นของมาตรการสงครามภาษีสหรัฐอเมริกา แต่กลับมาจากปัจจัยสำคัญ คือความต้องการบริโภคของประชาชนชาวจีนอ่อนแอลงอย่างชัดเจน ดังนั้น ประเทศจีนทำการระบายสินค้าล้นตลาดจีนที่ล้นตลาดภายในประเทศออกไปยังตลาดยุโรปในราคาต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตสินค้าภายในยุโรปอย่างมาก

    กลุ่มสหภาพยุโรป (EU) เผชิญกับแรงกดดันใหญ่ทั้ง 2 ทาง ได้แก่ สินค้าจากจีนไหลทะลักพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาษีศุลกากรของสหรัฐไม่เพียงกดดันสินค้าของยุโรป แต่ยังกดดันให้จีนต้องหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้าที่ไม่สามารถขายในประเทศ หรือขายในตลาดอเมริกาไดด ที่สำคัญ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น อาจทำให้การส่งออกสินค้าจากจีนไหลเข้าสู่ตลาดยุโรปมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางยุโรป เปิดเผยต่อไปว่า การส่งออกจีนที่เพิ่มขึ้นไปยังยุโรปได้เกิดขึ้นก่อนที่ความขัดแย้งทางการค้าครั้งล่าสุดจะเริ่มต้น และสอดคล้องกับช่วงที่เศรษฐกิจภายในจีนเริ่มชะลอตัวจากความต้องการภายในประเทศที่อ่อนแรง

    ภาวะเศรษฐกิจจีนตกต่ำและอ่อนแอลงต่อเนื่องเป็นผลมาจากตั้งแต่ปี 2021 ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนเข้าสู่ภาวะถดถอย และซบเซาต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ส่งผลให้การลงทุนในที่อยู่อาศัยลดลง ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนได้เร่งลงทุนในภาคการผลิตเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิด กำลังการผลิตส่วนเกิน และการแข่งขันตัดราคาที่รุนแรงในตลาดภายในประเทศ จนบริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องหันไปขายสินค้าในต่างประเทศ ดังนั้น เพื่อขยายตลาดในต่างประเทศ บริษัทจีนต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งมักทำได้โดยการลดต้นทุนและราคาขายในระยะสั้น หรือยอมลดอัตรากำไรลง บางรายถึงขั้นยอมขาดทุน

    #จีน #ยุโรป #ของถูก #ดั้มตลาด #เศรษฐกิจ #BTimes
    https://www.facebook.com/1000444135...vcx3Jyru2oeFUj4MJ48pNE3GgZal/?mibextid=NOb6eG
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    อิชิบะเตือนแรง! “สงครามกับจีน = สิ้นชาติ” — ญี่ปุ่นรู้ตัวช้า แกร่งแค่เทคโนโลยี แต่แพ้ในเกมทรัพยากร

    — “สงครามกับจีนคือหายนะ—ญี่ปุ่นจะสิ้นชาติ”
    คำเตือนจาก อิชิบะ ชิเกรุ (Shigeru Ishiba) อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและอดีตรัฐมนตรีกลาโหม ที่ออกมาสั่นวงการการเมืองโตเกียวอีกครั้ง หลังชี้ตรง ๆ ว่า

    “ญี่ปุ่นยุคนี้ไม่มีวันชนะจีนได้ ไม่ว่าจะในสนามรบหรือสนามเศรษฐกิจ”

    เขาเตือนเพื่อนร่วมพรรค LDP ว่า

    “จีนวันนี้ไม่ใช่จีนเมื่อ 20 ปีก่อน” — GDP ใหญ่กว่า 4 เท่า กองทัพเรือมี 370 ลำ เทียบกับญี่ปุ่นแค่ 150 ลำ และขีปนาวุธ DF-17 ที่ญี่ปุ่น “ยิงสกัดไม่ได้เลย”
    แต่สิ่งที่อิชิบะกลัวที่สุดไม่ใช่ขีปนาวุธ หากคือ “ความอดอยาก” — เพราะญี่ปุ่นนำเข้าอาหาร 60% และพลังงาน 95%
    “ถ้าจีนปิดทะเล ญี่ปุ่นจะอยู่ไม่ถึง 3 เดือน” เขากล่าวใน Asahi Shimbun วันที่ 10 พ.ย.

    อิชิบะ—อดีตผู้นำ LDP ที่เคยขึ้นชั่วคราวปี 2567—ย้ำว่า “สงครามสมัยใหม่คือสงครามทรัพยากรและความยืดหยุ่นของสังคม” ซึ่งญี่ปุ่นยังไม่พร้อม ทั้งระบบระดมพลที่หละหลวม และสังคมที่ยังเชื่อว่าทุกอย่างต้องอาศัยสหรัฐฯ 100% “ถ้าวันหนึ่งทรัมป์ถอนทหาร ญี่ปุ่นจะเหลือแค่เรือและความหวัง”

    แต่คำเตือนนี้ไม่ใช่เสียงของ “คนอ่อนแอ” — อิชิบะเป็นคนเดียวใน LDP ที่เคยเสนอสร้าง “นาโต้เอเชีย” เพื่อถ่วงดุลจีนร่วมกับอินเดีย ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ ทว่าในปีนี้ เขากลับหันมาเรียกร้อง “อย่ารบ ให้เจรจา” พร้อมสนับสนุนงบกลาโหมเพิ่มเป็น 2% ของ GDP ไม่ใช่เพื่อรบ แต่เพื่อ “ป้องกันการบุกรุกเกาะเซนกากุ”

    ฝั่งปักกิ่งตอบโต้ทันควัน — ลิน เจียน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน แถลงว่า “คำพูดของอิชิบะคือการยั่วยุทางจิตวิทยา จีนไม่ต้องการสงคราม แต่พร้อมปกป้องดินแดน” พร้อมเหน็บว่า “ญี่ปุ่นควรเรียนรู้จากประวัติศาสตร์”

    สื่อจีน Global Times ถึงขั้นระบุว่า “อิชิบะคือเสียงเตือนที่หลงเหลืออยู่ใน LDP ที่เต็มไปด้วยเหยี่ยวสงคราม”

    ขณะที่ภายในญี่ปุ่นเอง พรรค LDP แตกเป็นสองขั้ว — ฝ่ายแข็งนำโดย ทาคาอิจิ ซานาเอะ นายกฯ ปัจจุบัน เพิ่มกำลัง F-35 และขยายฐานโฮกไกโด 20% ส่วนฝ่ายสันติอย่างพรรคประชาธิปไตย (CDP) สนับสนุนอิชิบะว่า “การหลีกเลี่ยงสงครามคือการปกป้องชาติ”

    บนโซเชียล ชาวญี่ปุ่นกว่า 60% เห็นด้วยกับอิชิบะ แต่ก็ยังมีอีก 40% ที่สวนทันทีว่า “อย่ากลัว ต้องสู้เพื่อเซนกากุ”

    นักวิเคราะห์สรุปสั้น ๆ ว่า “อิชิบะคือเสียงเหตุผลสุดท้ายในประเทศที่กำลังลืมว่าความพ่ายแพ้คืออะไร”
    และถ้าทรัมป์ถอนกำลังจริง ญี่ปุ่นอาจต้องเลือกระหว่าง “ยอมจำนน” หรือ “ตายอย่างภาคภูมิ”

    คำเตือนของอิชิบะจึงไม่ใช่แค่เสียงเตือนต่อเพื่อนร่วมพรรค แต่คือเสียงสะท้อนจากประเทศที่เคยเป็น “เสือแห่งเอเชีย” — และวันนี้เริ่มรู้ตัวว่า ถ้าเดินหมากผิดอีกครั้ง “เสืออาจกลายเป็นเงา”

    12 พฤศจิกายน 2568 : คัดข่าว / หาดใหญ่

    ที่มา: Asahi Shimbun, Global Times, CSIS, Yomiuri Shimbun, X
    https://www.facebook.com/share/p/1aUFieibTp/
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    ทหารเขมรจัดฉากแล้วป้ายสีใส่ทหารไทย
    .
    มีรายงานล่าสุดว่า นายเนธ พักตรา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศกัมพูชา พร้อมด้วยสื่อหลักและสังคมออนไลน์ของกัมพูชา ได้โพสต์และแชร์คลิปวิดีโอและภาพอย่างกว้างขวาง โดยกล่าวหาทหารไทยว่า เป็นผู้เปิดฉากยิงใส่ชาวบ้านกัมพูชาที่หมู่บ้านเปรยจัน ตำบลโอเบยโจน อำเภอโอชรอฟ จังหวัดบันเตียเมียนเจย จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. วันที่ 12 พ.ย. 2025 ซึ่งหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและหน่วยงานความมั่นคงของกัมพูชาได้เร่งเข้าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและตรวจสอบสถานการณ์ทันที
    FB_IMG_1762941499139.jpg FB_IMG_1762941501578.jpg FB_IMG_1762941503814.jpg FB_IMG_1762941505866.jpg FB_IMG_1762941508275.jpg FB_IMG_1762941510609.jpg FB_IMG_1762941513204.jpg FB_IMG_1762941515998.jpg
    https://www.facebook.com/share/v/1P98cjcKK9/
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    16:00 น - มีเสียงปืนฝั่งกัมพูชา ตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้ว นาน 10 นาที ฝ่ายไทย เตรียมพร้อม แต่ไม่ได้ตอบโต้ คาดเขมร สร้างสถานการณ์

    https://www.facebook.com/share/p/1A2bBjpGzH/
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    “เฮง รัตนา” ผอ.ศูนย์กำจัดทุ่นระเบิดกัมพูชา โวย สื่อไทย กล่าวหา “กัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่” อ้างไม่มีมูลความจริง ขอไทยอย่านำมาเป็นประเด็นการเมือง เพื่อระงับกปฏิญญาสันติภาพ
    .
    (อ่านต่อในคอมเมนต์)

    “เฮง รัตนา” ผอ.ศูนย์กำจัดทุ่นระเบิดกัมพูชา โวย สื่อไทย กล่าวหา “กัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่” อ้างไม่มีมูลความจริง ขอไทยอย่านำมาเป็นประเด็นการเมือง เพื่อระงับกปฏิญญาสันติภาพ
    .
    https://news.ch7.com/detail/838674
    .
    ติดตามข่าวช่อง 7HD ทุกช่องทางออนไลน์ที่ : https://linktr.ee/ch7hdnews

    #Ch7HDNews #ข่าวออนไลน์7HD
    https://www.facebook.com/share/p/19ndHsyLbv/
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    223,572
    ค่าพลัง:
    +97,152
    "ปลอดประสพ" คาดอีก 15 วันข้างหน้า น้ำที่ระบายออกจาก 4 เขื่อนใหญ่ถึงกรุงเทพฯ พร้อมเปิด 8 ข้อที่ "น้ำท่วม เอาไม่อยู่" ทั้งที่ปริมาณน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2554 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์

    #ข่าวทั่วไทย #ไทยรัฐออนไลน์

    https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2895008

    https://www.facebook.com/share/1DeGKLRk8N/
     

แชร์หน้านี้

Loading...