ติดตามสถานะการณ์

3 ธ.ค.63 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกาว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เอ่ยปากเป็นครั้งแรกระหว่างการจัดปาร์ตี้วันคริสต์มาสที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นว่า อาจจะแพ้การเลือกตั้งครั้งล่าสุด แต่ก็จะลงเลือกตั้งชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐอีกครั้งในปี 2024

“มันเป็น 4 ปีที่น่าอัศจรรย์มาก เรากำลังพยายามทำอีก 4 ปี หรือไม่งั้นคุณอาจเจอผมอีกทีใน 4 ปีข้างหน้า”

แม้จะผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว 1 เดือน แต่ทรัมป์ก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้ให้แก่ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต ทั้งยังพยายามยื่นฟ้องร้องว่ามีการโกงการเลือกตั้งในหลายรัฐ แม้ว่า บิลล์ บาร์ อัยการสูงสุดจะยืนยันว่าไม่พบหลักฐานว่าเกิดการทุจริตการเลือกตั้งก็ตาม

นอกจากนี้ ในช่วงนี้ทรัมป์ยังพยายามเก็บตัวอยู่ในทำเนียบขาว ลดการปรากฏตัวต่อสาธารณะ และเข้าร่วมการประชุมอย่างเป็นทางการบ้าง แต่ยังคงทวีตข้อความกล่าวหาว่าถูกโกงเลือกตั้งในทวิตเตอร์อย่างต่อเนื่อง

ทว่า รายงานข่าวระบุว่า ทรัมป์กำลังเตรียมตัวก้าวลงจากตำแหน่งและพูดคุยหารืออถึงความเป็นไปได้ในการประกาศอภัยโทษล่วงหน้าให้ลูกๆ ทั้ง 3 คน ได้แก่ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์, เอริค และจาเร็ด คุชเนอร์ สามีของอิวองกา รวมทั้งรูดี จูลิอานี ทนายความส่วนตัว และพูดคุยกับจูลิอานีถึงการอภัยโทษให้ตัวเอง

หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงานว่า ทรัมป์กังวลว่ากระทรวงยุติธรรมในยุคของไบเดนอาจหาทางแก้แค้นตัวเองโดยพุ่งเป้าไปที่ลูกๆ ทั้ง 3 คนจากทั้งหมด 5 คน เนื่องจาก โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ เคยถูกสอบสวนเรื่องสัญญาที่ทำกับเจ้าหน้าที่รัสเซียเพื่อนำข้อมูลออกมาโจมตี ฮิลลารี คลินตัน ระหว่างการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 แต่บุตรชายบคนโตของทรัมป์ยังไม่เคยถูกตั้งข้อหา

ส่วนคุชเนอร์บุตรเขยเคยให้ข้อมูลเท็จกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลชั้นความลับของทางการ ขณะที่ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเอริคและอิวองกาจะถูกดำเนินคดีในประเด็นใด แต่การสอบสวนกรณีหลีกเลี่ยงภาษีของบริษัท Trump Organisation โดยอัยการในเมืองแมนฮัตตันอาจโยงกลับมาถึงอิวองกา

https://www.msn.com/.../trump-floats.../ar-BB1bxqb9

#RoundtableThailand
roundtablethailand.com

 

3 ธ.ค. 63 สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าวจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสว่า องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือ อินเตอร์โพล ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในฝรั่งเศส ได้ออกมาเตือนสมาชิกตำรวจของประเทศต่างๆ 194 ชาติ ว่า ขณะนี้ เครือข่ายองค์การอาชญากรรมมีเป้าหมายมาที่วัคซีนต่อต้านโควิด-19 โดยการผลิตวัคซีนปลอมออกมาวางจำหน่าย

ดังนั้นสำนักงานตำรวจทั่วโลก จะต้องเตรียมรับมือเครือข่ายอาชญากรรมให้ดี เพื่อป้องกันผลกระทบจากวัคซีนปลอม

นายเจอร์เกน สต็อก เลขาธิการองค์การตำรวจสากล เปิดเผยว่า ในระหว่างที่รัฐบาลหลายชาติ เตรียมผลิตวัคซีนต่อต้านโควิด-19 ออกมาเป็นจำนวนมาก แต่องค์กรอาชญากรรมก็มีแผนแทรกซึมและป่วนโซ่อุปทาน

นอกจากนี้ เครือข่ายอาชญากรรมยังมีเป้าหมายขายยาต่อสู้ไวรัสโควิด-19 ปลอมผ่านทางเว็บไซต์เถื่อน ซึ่งทำให้สุขภาพและชีวิตของประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างยิ่ง

ปัจจุบันหลายชาติกำลังเดินหน้าอนุมัติให้ใช้งานวัคซีนโควิด-19 จากหลายบริษัทยา นำร่องด้วยอังกฤษเป็นประเทศแรกในโลก ซึ่งได้นุมัติวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ผลิตโดย บริษัท ไฟเซอร์ และไบโอเอ็นเทค ให้ใช้งานได้ในสัปดาห์หน้า

https://www.reuters.com/.../interpol-warns-that-covid-19...

#RoundtableThailand
roundtablethailand.com

 

จากกรณีที่มีข้อเรียกร้องกลุ่มตัวแทนผู้ประกันตนในนามเครือข่ายกลุ่มต่าง ๆ ได้ยื่นข้อเสนอเรียกร้องให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) คืนเงินสมทบชราภาพบางส่วนให้แก่ผู้ประกันตนก่อนกำหนด หรือหาแหล่งเงินกู้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงโควิด-19 และนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน สั่งการให้สปส.หาแนวทางศึกษารายละเอียดข้อกฎหมาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกันตน โดยมีการตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาข้อเรียกร้องของกลุ่มแรงงานในการขอใช้เงินกองทุนประกันสังคม กรณีชราภาพก่อนกำหนด (เฉพาะกิจ) นั้น

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.นางบุปผา พันธุ์เพ็ง ผู้ตรวจราชการกรม ในฐานะรองโฆษก สปส. กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวว่า คณะกรรมการ (บอร์ด) ประกันสังคม ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาข้อเรียกร้อง ของกลุ่มแรงงานในการขอใช้เงินกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพก่อนกำหนด (เฉพาะกิจ) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ โดยให้คำนึงถึงข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบของแนวทางต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ประกันตน ซึ่งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจชุดนี้ ได้ร่วมประชุมหารือในเรื่องนี้ 2 ครั้ง

โดยในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีมติให้มีการดำเนินการ 2 ระยะ คือ ในระยะแรกให้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกันตนที่ได้รับความเดือดร้อน โดยให้ผู้ประกันตนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ ดอกเบี้ยต่ำ โดยผ่านสถาบันการเงิน ส่วนระยะยาว สปส.จะต้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถนำเงินกองทุนชราภาพของผู้ประกันตนมาใช้บางส่วนก่อนกำหนด โดยจะนำมติของคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเสนอคณะกรรมการประกันสังคมเพื่อพิจารณาต่อไป

#roundtablethailand
Roundtablethailand.com

ที่มา https://www.dailynews.co.th/politics/810602

 

ชุมชน ‘เกาะกลาง’ กับการจัดการขยะอย่างครบวงจร บนพื้นที่และสภาพภูมิประเทศที่จำกัด ท่ามกลางสังคมเมือง
.
ชุมชนเกาะกลาง เขตคลองเตย เป็นชุมชนเล็กๆ ในย่านพระโขนงที่ต้องเดินทางเข้าไปโดยเรือ การเดินทางใช้ระยะเวลาไม่นานเพียงไม่ถึง 2 นาทีดีก็ถึงที่หมาย
.
หลายๆ ครั้งที่เราพูดถึงคลองเตย เราคงนึกถึงภาพชุมชนแออัดไม่ศิวิไลเท่าไหร่นัก แต่ครั้งนี้เราอยากให้ทุกคนลบภาพนั้นไปก่อนแล้วตามมาเที่ยวชุมชนกับเรา
.
ชุมชนเกาะกลางเป็นชุมชนเก่าแก่กว่า 100 ปีตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่มีขนาดพื้นที่เพียง 3 ไร่ มีผู้คนอาศัยอยู่ 58 ครัวเรือน มีจำนวนประชากรอยู่ประมาณ 270 คน แต่เชื่อหรือไม่ว่า ชุมชนนี้ผลิตขยะเพียง 50 กิโลกรัมต่อวันเท่านั้น ด้วยสภาพชุมชนที่เป็นเกาะถึงแม้แทบจะไม่ได้ห่างไกลจากแผ่นดินของกรุงเทพ แต่แค่นี้ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วที่ทำให้การเข้ามารับขยะค่อนข้างจะลำบากกว่าที่อื่น โดยกทม.จะมารับขยะเพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น และด้วยเหตุนี้การจัดการขยะจึงเป็นเรื่องที่สำคัญของชุมชนเป็นอย่างมาก
.
ทั้งนี้ทาง DOW จึงได้ร่วมกับสำนักงานเขตคลองเตย และสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม TIPMSE ได้จัดอบรมความรู้วิธีการคัดแยกอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงกระบวนการรีไซเคิล วางระบบการคัดแยกให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ปรับปรุงพื้นที่ให้เหมาะสมแก่การคัดแยกขยะ รวมถึงประสานงานให้ให้องค์กรเข้ามารับซื้อขยะ ส่งเสริมให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มเติม
.
จากการช่วยกันวางแผนระหว่างทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนจึงได้ข้อสรุปของการออกแบบโครงสร้างการบริหารจัดการขยะ โดยแบ่งขยะเป็น 4 ประเภทตามที่ชุมชนสร้างขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วย ขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิลได้ ขยะทั่วไป และขยะอันตราย โดยชาวบ้านได้มีการนำขยะเหล่านี้นำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจัดจำหน่ายนำรายได้เข้าสู่ชุมชน และสำหรับขยะที่ไม่สามารถนำไปทำประโยชน์ได้ก็จะถูกส่งไปยังสำนักงานเขตคลองเตยเพื่อให้ถูกกำจัดอย่างถูกต้อง ขณะนี้ชุมชนเกาะกลาง เขตบางเตย เป็นชุมชนตัวอย่างให้แก่ชุมชนอื่นๆ ได้เข้ามาศึกษาการบริหารจัดการขยะอย่างเป็นระบบ
.
นอกจากชุมชนบ้านเกาะกลางจะมีการจัดการขยะอย่างเป็นระบบแล้วยังมีมุมให้ไปเดินตะลอนถ่ายรูปเล่นกันด้วย หรือถ้าใครเป็นทาสแมวก็แวะเวียนมาเยี่ยมน้องๆ กันได้
.
Writer : Mink Rujirat
Photographer : Mink Rujirat

 

“โอบามา-บุช-คลินตัน” ร่วมใจเป็นหนูทดลองฉีด “วัคซีนโควิด-19” โชว์ให้อเมริกันเห็นว่าปลอดภัยจริง
.
.
.
.
เอเจนซีส์ – อดีตผู้นำสหรัฐฯ 3 คน บารัค โอบามา จอร์จ ดับเบิลยู บุช และ บิล คลินตัน ยืนยันเป็นอาสาสมัครฉีดวัคซีนไวรัสโควิด-19 เพื่อพิสูจน์ให้ประชาชนอเมริกันเห็นว่าปลอดภัยจริง เกิดขึ้นหลังโพลสำรวจล่าสุดชี้ มีอเมริกันถึง 42% ไม่เห็นด้วยกับวัคซีนโดยชี้ว่ามีความเสี่ยงจากการที่บริษัทยายักษ์ใหญ่ถูกเร่งรัดให้รีบออก
.
Wtsp สื่อสหรัฐฯรายงานวันนี้( 3 ธ.ค)ว่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ให้สัมภาษณ์ในรายการ เดอะ โจ แมดิสัน โชว์ (The Joe Madison Show)ทางสถานีวิทยุออนไลน์ SiriusXM โดย CNBC รายงานว่า การให้สัมภาษณ์ฉบับเต็มทีกำหนดจะออกอากาศในวันพฤหัสบดี(3) ว่า
.
“ผมจะรับมัน และบางทีผมอาจจะรับมันผ่านทางหน้าจอโทรทัศน์ หรือไม่ก็ให้มีการบันทึกภาพเอาไว้เพื่อให้ผู้คนได้รู้ว่าผมเชื่อในวิทยาศาสตร์”
.
CNN สื่อสหรัฐฯรายงานว่า นอกจากโอบามาที่ประกาศจะอาสาฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับประชาชนชาวอเมริกันแล้วพบว่า อดีตผู้นำสหรัฐฯ 2 คนคือ อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช และอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน ได้ประกาศอาสาฉีดวัคซีนโควิด-19 เช่นกัน
.
เฟรดดี ฟอร์ด (Freddy Ford) หัวหน้าคณะทำงานของบุชให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่า “ประการแรกวัคซีนนั้นจำเป็นต้องมีความปลอดภัยและสั่งจ่ายให้กับกลุ่มประชาชนที่มีความจำเป็นมากที่สุดเป็นอันดับแรก และดังนั้นแล้วประธานาธิบดีบุชจะรับวัคซีนตามหลังจากนั้นสำหรับของตัวเอง และมีความยินดีที่จะกระทำผ่านทางหน้ากล้อง”
.
ด้านแองเจิล ยูเรนา (Angel Urena) เลขาฝ่ายประชาสัมพันธ์ของคลินตันได้เปิดเผยกับ CNN ว่า “ประธานาธิบดีคลินตันย่อมจะรับวัคซีนโดยเร็วที่สุดหากว่าท่านสามารถเข้าถึงได้ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของกลุ่มผู้รับซึ่งตัดสินใจคือเจ้าหน้าที่การแพทย์สหรัฐฯ และเขาพร้อมที่จะรับในที่สาธารณะที่มีการจัดขึ้นหากว่ามันจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนอเมริกันทุกคนสามารถกระทำตามอย่างได้”
.
ทั้งนี้ได้มีการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งจะต้องถูกองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ FDA ทำการอนุมัติให้ใช้ก่อนที่จะถูกแจกจ่ายนั้น พบว่ามีชาวอเมริกันวิตกกังวลว่า การพัฒนาวัคซีนเกิดขึ้นอย่างรีบด่วนใช้เวลาหลายเดือนมากกว่าหลายปีตามที่ควรจะเป็นทำให้เกิดความกลัวในด้านความปลอดภัย
.
สำนักโพลแกลลัพ โพล (Gallup poll)ได้เปิดเผยผลสำรวจเมื่อวันที่ 17 พ.ย และพบว่ามีประชาชนอเมริกันถึง 42% ไม่เห็นด้วยกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ผ่านอนุมัติจาก FDA โดยคนจำนวนมากชี้ไปถึงการเร่งรีบในการคลอดวัคซีนออกมา อีกส่วนชี้ว่าต้องการการรับรองถึงความปลอดภัยหรือผลกระทบข้างเคียง ส่วนอีก 12 % ระบุว่าไม่ได้เชื่อมั่นในวัคซีนอยู่ก่อนหน้าแล้ว
.
ทั้งนี้แพทย์ใหญ่ทำเนียบขาว ดร.แอนโธนี เฟาชี ได้ออกมาหว่านล้อมประชาชนให้มีความหวาดกลัวลดลงโดยระบุว่า ไม่มีการเร่งรีบในกระบวนการหรือลดมาตรฐานความปลอดภัย รวมไปถึงไม่มีการประนีประนอมในหลักวิทยาศาสตร์
.
โดยเขากล่าวในรายงานสรุปเมื่อวันที่ 19 พ.ยที่ทำเนียบขาวต่อว่า “แต่มันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างน่าอัศจรรย์ของสิ่งเหล่านี้ที่เปิดโอกาสให้เราสามารถพัฒนาได้ภายในไม่กี่เดือนที่ในความเป็นจริงต้องใช้เวลาหลายปีก่อนหน้า”
.
ทั้งนี้พบว่าทั้งโมเดอร์นาและไฟเซอร์ได้ยื่นขอต่อ FDA เพื่อให้อนุญาตใช้วัคซีนเพื่อการฉุกเฉิน ซึ่งล็อตแรกคาดว่าจะถูกแจกจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่การแพทย์และผู้ป่วยระยะยาว

 

สหรัฐฯสั่งถอนกำลังเจ้าหน้าที่ทูตออกจากแบกแดด หวั่นโดน “อิหร่าน” ล้างแค้น
.
.
.
.เอเจนซีส์/เอเอฟพี – รัฐบาลสหรัฐฯสั่งถอนกำลังเจ้าหน้าที่การทูตอเมริกันอย่างน้อยครึ่งหนึ่งออกมาจากสถานทูตสหรัฐฯในกรุงแบกแดด หลังเกิดวิตกว่าอิหร่านอาจแก้แค้นและโจมตี หลังเตหะรานสูญเสียหัวหน้านักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์คนสำคัญและใกล้วันครบรอบการเสียชีวิตของพลตรีกอเซ็ม สุไลมานี แห่งกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่านที่ถูกโดรนฝ่ายสหรัฐฯสังหาร
.
โพลิติโก สื่อสหรัฐฯ รายงานเมื่อวานนี้(2 ธ.ค)ว่า ข่าวการสั่งถอนเจ้าหน้าที่การทูตอเมริกันออกจากสถานทูตสหรัฐฯในอิรักได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯและเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งในเวลานี้ตามทฤษฎีแล้วเชื่อว่าอาจจะเป็นการสั่งถอนออกมาชั่วคราว แต่ทว่าการสั่งถอนนั้นแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่ต่ำลงระหว่างสหรัฐฯและอิรักในช่วงท้ายของรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

และยังไม่มีการยืนยันว่าจะส่งเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯกลับไปทำหน้าที่ในจำนวนที่เท่าเดิมเมื่อใด
.
โพลิติโกชี้ต่อว่า การสั่งลดจำนวนเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯลงครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อยที่ถูกชี้ว่าหลายสิบคนนั้นยังเป็นการทดสอบต่อว่าที่ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ โจ ไบเดน ในปัญหาตะวันออกกลางซึ่งทีมนโยบายการต่างประเทศของเขาเลือกที่จะไม่ให้ความสำคัญเนื่องมาจากเล็งไปถึงปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ “จีน” ในเวลานี้
.
โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่า ไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของเจ้าหน้าที่การทูตอเมริกันประจำสถานทูตสหรัฐฯในกรุงแบกแดดและเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯในจุดอื่นๆของอิรักจะเดินทางกลับออกมา โดยยืนยันตัวเลขหลายสิบคน โดยแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯไม่เปิดเผยตัวเลขหรือข้อมูลอื่น แต่กล่าวว่าการสั่งถอนกำลังดำเนินการ
.
ทั้งนี้การเสียชีวิตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์คนสำคัญของอิหร่าน มอห์เซน ฟาครีซาเดห์ (Mohsen Fakhrizadeh) ในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีการบ่งชี้ว่าอิสราเอลเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหมือนเป็นน้ำมันราดบนกองเพลิงให้กับความขัดแย้งมากขึ้นระหว่างวอชิงตันและเตหะราน และอีกทั้งเดือนหน้าจะเป็นครบกำหนด 1 ปีการเสียชีวิตของพลตรีกอเซ็ม สุไลมานี แห่งกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่านที่ถูกโดรนฝ่ายสหรัฐฯสังหารตามคำสั่งของทรัมป์
.
เตหะรานได้ประกาศจะล้างแค้นให้กับการเสียชีวิตของบุคคลทั้งสอง
.
ทั้งนี้อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่า แมทธิว ทูเอลเลอร์ (Matthew Tueller) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำอิรักนั้นยังคงประจำอยู่ที่สถานทูตสหรัฐฯในกรุงแบกแดดไม่ได้เดินทางกลับเข้าวอชิงตัน ซึ่งหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เป็นเจ้าแรกที่รายงานข่าวการสั่งถอนเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯในกรุงแบกแดดเมื่อวานนี้(2) โดยระบุว่าการสั่งถอนจะยังคงเกิดขึ้นไปจนถึงหลังจากการครบรอบการเสียชีวิตของสุไลมานีไปแล้ว
,
เอเอฟพีรายงานการให้สัมภาษ์ของแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงอิรักที่กล่าวถึงการลดจำนวนเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯว่า เป็นการสั่งถอนขนาดเล็กบนพื้นฐานการรักษาความมั่นคงจากฝ่ายของสหรัฐฯแต่ชี้ว่า “พวกเขาสามารถกลับเข้ามาใหม่ได้”
.
ทั้งนี้ในเดือนที่ผ่านมาสหรัฐฯประกาศจะลดจำนวนกำลังทหารในอิรักลงจาก 3,000 นาย ไปเหลือแค่ 2,500 นาย ภายในวันที่ 15 ม.ค 2021

 

‘ไบเดน’ยันเดิน‘นโยบายกร้าว’กับจีน ขณะสภาสหรัฐฯผ่านกม.บีบบริษัทแดนมังกรพ้นตลาดหุ้นมะกัน

ไบเดนยันไม่ยกเลิกนโยบายการค้าแข็งกร้าวกับปักกิ่ง ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติเอกฉันท์ผ่านร่างกฎหมายที่อาจบีบให้บริษัทจีนถอยออกจากตลาดหลักทรัพย์ในอเมริกา ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงชี้จีนพยายามหนักขึ้นในการสร้างอิทธิพลในคณะบริหารของชุดใหม่ โดยพุ่งเป้าที่คนใกล้ชิดทีมงานของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ที่นำออกเผยแพร่เมื่อวันพุธ (2 ธ.ค.) โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไปของอเมริกา เผยว่า เป้าหมายสำคัญอันดับแรกของคณะบริหารของเขาคือการผลักดันให้รัฐสภารับรองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนใหญ่ แม้ขณะที่เขายังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งก็ตาม

เกี่ยวกับนโยบายต่อจีน อดีตรองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตผู้นี้เผยว่า จะยังคงพุ่งเป้าเล่นงานแนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องของปักกิ่ง เช่น การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา การทุ่มตลาด การอุดหนุนธุรกิจในท้องถิ่นอย่างผิดกฎหมาย และการบังคับให้บริษัทอเมริกันถ่ายโอนเทคโนโลยีให้หุ้นส่วนจีน

นอกจากจะไม่ยกเลิกข้อตกลงการค้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำไว้กับจีน รวมถึงมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าแดนมังกรแล้ว ไบเดนยังย้ำความจำเป็นในการพัฒนาให้เกิดฉันทามติในประเทศ และส่งเสริมการลงทุนในด้านการวิจัยและการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน และการศึกษาที่จะช่วยให้บริษัทอเมริกันแข่งขันกับบริษัทจีนได้ดียิ่งขึ้น

ไบเดนสำทับว่า ยุทธศาสตร์รับมือจีนที่ดีที่สุดคือ การทำให้บรรดาชาติพันธมิตรเดินไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อเพิ่มอำนาจในการกดดันปักกิ่ง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ หัว ชุนอิง โฆษกหญิงของกระทรวงต่างประเทศจีน ตอบโต้ว่า การค้าระหว่างอเมริกากับจีนควรอิงกับหลักการแห่งการมีผลประโยชน์ร่วมกัน การเคารพซึ่งกันและกัน และความเท่าเทียม

ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงการค้าจีน-สหรัฐฯเฟส 1 ที่ลงนามเมื่อต้นปีนี้ จีนตกลงซื้อสินค้าและบริการจากอเมริกาเพิ่มอย่างน้อย 200,000 ล้านดอลลาร์ระหว่างปีนี้และปีหน้า อย่างไรก็ดี วอชิงตันยังคงเรียกเก็บภาษีศุลกากร 25% จากสินค้าอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนประกอบของจีนมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์ และจีนเรียกเก็บภาษีตอบโต้ระดับเดียวกันจากสินค้าอเมริกันมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์

ในอีกด้านหนึ่ง สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติด้วยคะแนนเอกฉันท์เมื่อวันพุธ (2) ผ่านร่างกฎหมายที่อาจบีบให้บริษัทจีนถอนตัวออกจากการจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหลายของอเมริกา หากพวกเขาไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การกำกับตรวจสอบของวอชิงตัน เนื่องจากร่างกฎหมายนี้ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ดังนั้นขั้นตอนต่อไปจึงเป็นการส่งให้ทรัมป์ลงนามบังคับใช้

ร่างกฎหมายฉบับนี้ซึ่งมีชื่อว่า The Holding Foreign Companies Accountable Act จะห้ามบริษัทต่างชาติที่ไม่ปฏิบัติตามกฎการกำกับตรวจสอบของคณะกรรมการกำกับดูแลการบัญชีบริษัทมหาชนของสหรัฐฯ เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นในอเมริกาเป็นเวลานาน 3 ปี รวมถึงบังคับให้บริษัทมหาชนต้องเปิดเผยว่า ตนเองเป็นกิจการที่อยู่ภายใต้การครอบครองหรือการควบคุมของรัฐบาลต่างชาติหรือไม่

แม้ร่างกฎหมายนี้ใช้บังคับกับบริษัทจากทุกประเทศ แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา เช่น อาลีบาบา, พินดัวดัว และปิโตรไชน่า

หัว โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวก่อนที่สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ จะลงมติว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นนโยบายเลือกปฏิบัติที่ต้องการกีดกันทางการเมืองต่อบริษัทจีน

ที่ผ่านมา ทางการจีนลังเลที่จะยอมให้ผู้คุมกฎต่างชาติเข้าตรวจสอบบริษัทจีน โดยอ้างข้อกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ

ขณะที่ ฉวน อู่ ผู้เป็นหุ้นส่วนในฮ่องกงของบริษัทกฎหมาย พอล แฮสติงส์ มองว่า มีแนวโน้มที่อเมริกาจะเข้มงวดกับบริษัทจีนมากขึ้น แม้กระทั่งในขณะที่ไบเดนกำลังจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีต้นปีหน้าก็ตาม

เขาสำทับว่า หากร่างกฎหมายนี้บังคับใช้ บริษัทจีนทั้งหมดที่จดทะเบียนซื้อขายหุ้นในอเมริกาอาจถูกตรวจสอบจากทางการสหรัฐฯ มากขึ้น ทำให้ต้องพิจารณาทางเลือกทั้งหมดที่มี ซึ่งอาจรวมถึงการย้ายไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงหรือประเทศอื่นๆ แทน

เมื่อวันพุธ ยังมีการประชุมที่จัดโดยสถาบันแอสเพน ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองในวอชิงตัน วิลเลียม อิวานินา แห่งสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่า ปักกิ่งกำลังพยายามมากขึ้นในการสร้างอิทธิพลในคณะบริหารชุดใหม่ โดยพุ่งเป้าที่คนใกล้ชิดทีมงานของไบเดน

อิวานินาเสริมว่า จีนยังพยายามแทรกแซงความพยายามของอเมริกาในการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสและการเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนที่แล้ว

ในงานประชุมเดียวกันนั้น จอห์น เดเมอร์ส ผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนของสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) สามารถระบุตัวนักวิจัยจีนที่เชื่อมโยงกับกองทัพปลดแอกประชาชน (พีแอลเอ) ของจีนจำนวนหลายร้อยคนในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา

เดเมอร์แจงว่า การสอบสวนเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการจับกุมนักวิจัยจีน 6 คนที่ปิดบังความเชื่อมโยงกับพีแอลเอ และหลังจากนั้นมีนักวิจัยจีนที่เกี่ยวข้องกับพีแอลเอกว่า 1,000 คนพากันเดินทางออกนอกอเมริกา

เดเมอร์สำทับว่า มีแต่จีนเท่านั้นที่มีทรัพยากร ศักยภาพ และเจตนารมณ์ในการจารกรรมข้อมูลทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมทั้งกิจกรรมประสงค์ร้ายอื่นๆ

 

เตือนสหรัฐฯเจอวิกฤตโควิดเลวร้ายที่สุด ‘ไบเดน’หวั่นตายอีก2.5แสนคนภายในเดือนมกราคม

ซีดีซี ซึ่งเป็นหน่วยงานต่อสู้รับมือโรคติดต่อของสหรัฐฯส่งเสียงเตือนภัย โควิด-19 จะทำให้อเมริกาต้องเผชิญวิกฤตสาธารณสุขเลวร้ายที่สุดต่อไปอีก 2-3 เดือน ด้านไบเดนสำทับว่า ยอดเหยื่อไวรัสมรณะนี้อาจเพิ่มขึ้นอีก 250,000 คนตั้งแต่ตอนนี้จนถึงเดือนมกราคม สอดคล้องกับสถาบันสุขภาพทรงอิทธิพลของมหาวิทยาลัยวอชิงตันซึ่งคาดว่า ถ้าประชาชนยังไม่ป้องกันตัวเองอย่างจริงจังมากขึ้น ยอดผู้เสียชีวิตของอเมริกาอาจพุ่งขึ้นเป็นเกือบ 450,000 คนในวันที่ 1 มีนาคม

น.พ.โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการควบคุมและการป้องกันโรคของอเมริกา (ซีดีซี) เรียกร้องในวันพุธ (2 ธ.ค.) ให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันไว้ก่อน เช่น การสวมหน้ากากป้องกัน การเว้นระยะห่างทางสังคม และการล้างมือบ่อยๆ เพื่อชะลอการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เวลานี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตวันละกว่า 2,000 คนในอเมริกา

คำเตือนนี้มีขึ้นหลังจากคนอเมริกันนับล้านๆ เพิกเฉยต่อคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินทางและการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าที่เพิ่งผ่านพ้นไป แม้ว่าโควิด-19 ยังคงระบาดหนักก็ตาม โดย โควิด แทร็คกิ้ง โปรเจ็กต์รายงานเมื่อวันพุธว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อเมริกามีผู้เสียชีวิตกว่า 2,700 คน สูงสุดนับจากเดือนเมษายน และจำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทะลุ 100,000 คนเป็นครั้งแรก

เรดฟิลด์เสริมว่า ระบบดูแลสุขภาพของอเมริกาใกล้ถึงจุดล่มสลาย โดยโรคติดต่อนี้กำลังแพร่กระจายไปทั่วประเทศ โรงพยาบาล 90% ถูกระบุเป็นพื้นที่อันตราย และอัตราการระบาดรุนแรงกว่าระลอกที่แล้ว เขาสำทับว่า นับจากเดือนนี้ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในประวัติศาสตร์สาธารณสุขของอเมริกา

ทางด้านว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มองแนวโน้มมืดมนพอๆ กัน โดยกล่าวระหว่างประชุมโต๊ะกลมกับแรงงานและเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตไวรัสว่า คริสต์มาสจะเป็นช่วงเวลาที่น่ากังวลมากขึ้น และมีแนวโน้มว่า อเมริกาจะมีผู้เสียชีวิตจากโควิดเพิ่มขึ้นอีก 250,000 คนตั้งแต่นี้จนถึงเดือนมกราคม

ปัจจุบัน มีคนอเมริกันกว่า 270,000 คนเสียชีวิตจากโรคนี้ และสถาบันชี้วัดและประเมินผลด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยวอชิงตันคาดว่า ยอดผู้เสียชีวิตสะสมของอเมริกาอาจพุ่งขึ้นเป็นเกือบ 450,000 คนในวันที่ 1 มีนาคม หากประชาชนยังไม่ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและการสวมหน้ากากอย่างเคร่งครัดมากขึ้น

ไม่ได้มีแค่อเมริกาเท่านั้นที่กังวลว่า โควิด-19 จะระบาดหนักขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปี วันพฤหัสฯ (3) อิตาลีประกาศห้ามประชาชนเดินทางออกนอกเขตระหว่างวันที่ 21 ธ.ค. ถึง 6 ม.ค. และห้ามออกนอกเมืองในวันที่ 25-26 ธันวาคม และ 1 มกราคม รวมทั้งแนะนำให้ประชาชนงดจัดงานสังสรรค์กับบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ใช่สมาชิกครอบครัว

อิตาลียังกำหนดให้ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอื่นต้องกักตัวนาน 10 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 เดือนนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นต้องการสกัดประชาชนไม่ให้เดินทางไปเล่นสกีในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป บางประเทศที่ยังเปิดให้บริการอยู่

ที่สเปน ซาลวาดอร์ อิลลา รัฐมนตรีสาธารณสุข ประกาศเมื่อวันพุธว่า จะจำกัดการสังสรรค์ในหมู่สมาชิกครอบครัวไม่เกิน 10 คนในช่วงคริสต์มาส

ขณะที่นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลของเยอรมนี สั่งปิดศูนย์วัฒนธรรม สนามกีฬา ฟิตเนส ร้านอาหาร และบาร์จนถึงวันที่ 10 มกราคม

มาตรการป้องกันไว้ก่อนเหล่านี้มีขึ้นท่ามกลางข่าวคราวความคืบหน้าเกี่ยวกับวัคซีนต้านไวรัสโคโรนา โดยเมื่อวันพุธ อังกฤษเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติการใช้วัคซีนที่ไฟเซอร์พัฒนาร่วมกับไบโอเอ็นเทค โดยคาดว่า จะเริ่มแจกจ่ายวัคซีน 800,000 โดสตั้งแต่สัปดาห์หน้า

ทางด้านอเมริกาที่เตรียมพิจารณาอนุมัติการใช้ฉุกเฉินให้วัคซีนของไฟเซอร์ รวมทั้งวัคซีนของโมเดอร์นา คาดหวังว่า จะสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชน 100 ล้านคนภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ขณะที่อิตาลีและญี่ปุ่นประกาศว่า จะฉีดวัคซีนให้ประชาชนฟรีหลังผ่านการอนุมัติ

ที่รัสเซีย ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน สั่งแจกจ่ายวัคซีน “สปุตนิก” ล็อตใหญ่ตั้งแต่สัปดาห์หน้า โดยขณะนี้มีประชาชนกว่า 100,000 คนได้รับการฉีดวัคซีนนี้แล้ว และปัจจุบัน สปุตนิกยังอยู่ในการทดลองทางคลินิกขั้นสุดท้ายกับอาสาสมัคร 40,000 คน

 

ผู้โดยสารงานเข้า!รวบ2สามีภรรยาสหรัฐฯ มีผลตรวจติดเชื้อโควิด-19แต่ยังขึ้นเครื่องบิน

สามีภรรยาคู่หนึ่งถูกจับกุมเมื่อวันอาทิตย์(29พ.ย.) ที่ผ่านมา ฐานเพิกเฉยคำสั่งห้ามขึ้นเครื่องบินของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ โดยสารเครื่องบินจากซานฟรานซิสโกกลับฮาวาย ทั้งที่ทั้งสองทราบผลว่าตนเองมีผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ออกมาเป็นบวก ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่นในวันพฤหัสบดี(3ธ.ค.)

https://mgronline.com/around/detail/9630000124361

 

หมอใหญ่สหรัฐฯขอโทษ หลังสงสัยUKเร่งรีบอนุมัติใช้วัคซีนโควิด-19เร็วไป

นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อระดับสูงของสหรัฐฯ ขอโทษในวันพฤหัสบดี(3ธ.ค.) ต่อกรณีที่เขาแสดงวคามคลางแคลงใจเกี่ยวกับความเข้มงวดของผู้ควบคุมกฎระเบียบสหราชอาณาจักรที่อนุมัติใช้วัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ อิงค์ ไปเรียบร้อยแล้ว ระบุเขาเชื่อมั่นคุณภาพการทำงานของผู้ควบคุมกฎระเบียบสหราชอาณาจักร

https://mgronline.com/around/detail/9630000124364

 

ภูเขาไฟเซเมรู (ชวาตะวันออกอินโดนีเซีย): การปะทุพร้อมสายฟ้าและการไหลของไพโรคลาสสิกที่งดงาม (ภาพ: @ harywp_ / twitter) อังคาร, 1 ธ.ค. 2020, 11:51 น.

 

ด่วน! พบผู้ติดเชื้อ #COVID19 ใน จ.เชียงใหม่ เพิ่ม 1 คน เพศชาย ทำงานเป็นดีเจที่โรงแรม 1G1 จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา
.
ลักลอบเข้าไทยวันที่ 30 พ.ย. 63 โดยพักที่ อ.แม่สาย 1 คืน และ อ.เมืองเชียงราย 1 คืน ก่อนขับรถมอเตอร์ไซค์ไปตรวจหาเชื้อ #โควิด19 ที่ จ.เชียงใหม่
.
อ่านต่อ : https://news.thaipbs.or.th/content/298935 #ThaiPBS

 

น้ำท่วม ตลาดไชยา จ.สุราษฎร์ฯ ทำเศรษฐกิจแย่
.
ไชยายังอ่วม! น้ำเหนือไหลบ่าท่วมขังสูง 10-20 ซม. ในพื้นที่ตลาดไชยา เทศบาลตำบลตลาดไชยา และ ต.เวียง อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจทางด้านทิศเหนือของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งเเต่วันที่ 2 ธ.ค. 2563 เนื่องจากอิทธิพลมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ตอนบน
.
เเม้กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศระบุอิทธิพลมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อนลง ทำให้พื้นที่ภาคใต้มีฝนตกลดลง แต่พื้นที่ อ.ไชยา ยังคงมีน้ำท่วมอยู่ อย่างไรก็ตาม ชาวเรือยังต้องระมัดระวังในการออกทะเล ส่วนเรือเล็กงดออกจากฝั่ง เพราะคลื่นยังคงมีความสูง 2-3 เมตร
.
ขณะที่ผู้ค้าในตลาดต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า น้ำท่วมรอบนี้ แม้จะไม่หนักเท่าปี 2554 แต่ได้รับผลกระทบมาก เพราะไม่มีลูกค้ามาจับจ่ายสินค้า หลายร้านจึงต้องตัดสินใจปิดชั่วคราว
.
#ภัยพิบัติ #น้ำท่วม #ไชยา #สุราษฎร์ธานี #ศูนย์พัฒนาการสื่อสารด้านภัยพิบัติ #DXCLive #DXCOnline #ThaiPBS

 

โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทาบทามให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อเข้าร่วมงานในคณะทำงานป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 พร้อมทั้งเปิดเผยว่าจะร้องขอให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยนาน 100 วัน นับตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

อ่านต่อ https://news.thaipbs.or.th/content/298926 #ThaiPBS #โควิด19

 

Update!! สถานการณ์น้ำท่วม จ.นครศรีธรรมราช ผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่ระหว่างการลงพื้นที่ อ.ปากพนัง และ อ.เชียรใหญ่ ซึ่งมวลน้ำกำลังไหลบ่าลงมา ชาวบ้านในพื้นที่ต้องอพยพสัตว์เลี้ยง และถนอมอาหารไว้รับประทาน เนื่องจากถนนถูกตัดขาด
.
#น้ำท่วม #นครศรีธรรมราช #ศูนย์พัฒนาการสื่อสารด้านภัยพิบัติ #รู้สู้ภัย #ภัยพิบัติ #DXCOnline #ThaiPBS

 

มวลน้ำป่าที่หลากเข้าตัวเมืองนครศรีธรรมราช ส่งผลกระทบต่อสถานีขนส่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้จำนวนผู้โดยสารลดน้อยลง จนต้องปรับลดเที่ยวเดินรถ ล่าสุดรถทัวร์และรถตู้ ยังไม่สามารถเข้ามาจอดที่ท่ารถได้ #ข่าวค่ำมิติใหม่ทั่วไทย #ThaiPBS #น้ำท่วมภาคใต้ #น้ําท่วมภาคใต้

 

ความพยายามครั้งแรกของจีน ในการเก็บตัวอย่างวัตถุจากนอกโลก ประสบความสำเร็จ
.
1/ จีนประสบความสำเร็จ เป็นประเทศที่ 3 ของโลกต่อจากสหภาพโซเวียตและสหรัฐฯ ที่ส่งยานสำรวจลงจอดบนดวงจันทร์สำเร็จ
.
2/ ยานสำรวจฉางเอ๋อ-5 ของจีน ลงจอดบนดวงจันทร์เมื่อคืนวันที่ 1 ธันวาคม และเริ่มภารกิจเก็บตัวอย่างดินและหิน ภารกิจสำเร็จด้วยดี และยานเอ๋อ-5 ส่งภาพตัวอย่างดินและหินกลับมายังโลกให้ได้ชมกัน
.
3/ ภาพถ่ายและวิดีโอถูกเผยแพร่โดยองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน เผยให้เห็นภาพยานสำรวจฉางเอ๋อ-5 ขณะกำลังทำการเก็บตัวอย่าง รวมถึงสภาพพื้นผิวบนดวงจันทร์ | ชมวิดีโอ ได้ที่นี่ครับ: www.youtube.com/watch?v=4noY9K4hDiY
.
4/ สำหรับตัวอย่างดินและหินจากดวงจันทร์ ถูกนำมาใส่ภาชนะและปิดผนึกเรียบร้อย รอขั้นตอนการส่งกลับมายังโลกต่อไป
.
5/ ย้อนกลับไป 24 พ.ย. ยานสำรวจถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศ และลงจอดบนดวงจันทร์ในวันที่ 1 ธ.ค. บริเวณแอ่งขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่า มหาสมุทรพายุ บริเวณดวงจันทร์ด้านที่หันมายังโลก
.
6/ เป็นความพยายามครั้งแรกของจีนในการเก็บตัวอย่างวัตถุจากนอกโลก และภารกิจก็สำเร็จด้วยดี
.
ขอบคุณ ภาพ จาก... China Xinhua News ครับ
.
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ยานสำรวจดวงจันทร์ 'ฉางเอ๋อ-5' ของจีน
.
- 2 ธ.ค. | ชาติที่ 3 ของโลก ยานฉางเอ๋อ-5 ของจีน ลงจอดบนดวงจันทร์สำเร็จ |
.
- 24 พ.ย. | เริ่มแล้ว ภารกิจครั้งแรกในรอบ 44 ปี เก็บหิน-ดินจากดวงจันทร์ |
.

 

อินโดนีเซีย : คืนวันพฤหัสบดี 20.00น.(3 ธ.ค.) ที่ท่าเรือ Lewoleba ติมอร์
ปรากฏการณ์ ปลากระโดนขึ้นฝั่งเป็นจำนวนมากยังไม่ทราบสาเหตุ ชาวบ้านต่างสนุกในการจับปลา ได้หลายกระสอบ คล้ายกับปรากฎการณ์นี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 20ปีก่อน ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ปลาทั้งหมดที่ชาวบ้านจับได้จะถูกนำไปปรุงแจกคนที่อพยพจากเหตุหนีภูเขาไฟระเบิด

 

สหรัฐ : Cape Cod คาบสมุทรทางตะวันออกสุดของรัฐแมสซาชูเซตส์
ช่วยชีวิตเต่าน้อย ไม่หนาวตายที่หาด Great Hallow Cape Cod เจ้าหน้าที่ได้เข้าช่วยเหลือเต่าริดลีย์ที่อยู่ในภาวะช็อกเนื่องจากอากาศเย็น ในชายฝั่งสหรัฐตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป อุณหภูมิจะหนาวเย็น และเย็นจัดในเวลากลางคืน ทำให้เต่าทะเลร่างกายหยุดทำงานเกิดอาการหนาวสั่น ตัวแข็งชาว่ายน้ำไม่ได้ คลื่นจะซัดพวกมันเข้าฝั่งเกยตื้นตามชายหาด มีหลายตัวได้ตาย และหลายตัวถูกกู้ภัยช่วยชีวิต ไปรักษาอาการหนาวสั่น บางตัวปอดติดเชื้อ หรือปอดบวม รักษา อนุบาลกว่า 40-90วัน แล้วปล่อยคืนสู่ทะเลในปีนี้พบแล้ว 150 ตัว พบมากสุดช่วงวันขอบคุณพระเจ้า
กว่า 30 ตัว
ภาพ : AFP / TPBS
: Wellfleet Bay Wildlife Sanctuary

 

*** สุดยอดความลับของ Covid19 VS ประเทศไทย กำลังจะเปิดเผยทีละนิดๆ ... แต่ก่อนอื่นรัฐบาลไทยควรรีบประกาศให้ใส่มาส์กถ้วนหน้าได้แล้ว โดยไม่ต้องสน 0 ต่อเนื่องลวงๆ (Fake 0 อีกต่อไปได้แล้ว ก่อนจะสายเกินไป) ...

หลายบริษัท หลายหน่วยงานรัฐ หลายโรงเรียน หลายมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ มีคน มีเด็กไปงานฟาร์มเฟสติวัล กลับไปไม่รายงานตัว ไม่กักตัว แต่ไปทำงาน ไปเรียน ไปสอบตามปกติ

แถมไม่มีมาตรการอะไรเพิ่มเติม

มีผู้อ่านฟ้องมาแล้ว

............

หรือ ต้องรอมีเด็กติดเชื้อ พาไปกระจายให้พ่อแม่ปู่ย่าตายาย แล้วผู้สูงอายุป่วยหนักเข้า รพ. ก่อน

ถึงตามตรวจย้อนกลับมาว่า ติดทั้งครอบครัว เริ่มจากลูกป่วยคนแรก โดยติดจากเพื่อนที่โรงเรียนที่ไปงานฟาร์มเฟสติวัลมา !!

...........

ระบาดในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยแค่ที่เดียว อำเภอนั้นๆ จังหวัดนั้น จังหวัดใกล้เคียงก็โดนถล่ม โดน Lockdown อีก 1-3 เดือนได้เลย

.........

ความลับของ 0 ต่อเนื่อง อาจโดนเปิดก็ตอน

1. สุ่มตรวจ Antibody ซึ่งแน่นอน ตรวจรายเคสยังแทบไม่ตรวจเลย สุ่มตรวจแบบวิจัยมาตรฐานคงหวังไม่ได้

2. ทุก รพ. หวาดระแวง กับเข้าสู่ Mode ชักเสียวจะติด Covid19 จากคนไข้หวัด Flu Like Symptom ก็หันมาเริ่มตรวจ PCR มากขึ้น ... ซึ่งแน่นอน จะเจอแบบเคสกำแพงเพชรนั่นแหละ เจอโดยบังเอิญ

อ้าว เป็นไข้หวัดธรรมดา ไม่มีคนรอบข้างไปภาคเหนือเลย ติดเชื้อได้ไง

ก็เป็นการระบาดเวฟแรก ที่ระบาดเบาๆ เงียบๆ ช้าๆ แบบที่กระทรวงเขาออกตัวว่า เราเป็น Endemic (โรคประจำถิ่น) ไง

แต่ตอนที่ 0 ต่อเนื่อง คนไม่ค่อยตรวจ ก็ไม่เจอ หรือเจอก็เนียนๆ เงียบๆ กัน

พอตอนนี้ ตรวจ PCR มากขึ้น ก็เลยเจอได้

.