น้ำเต้าตำรับ เจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม) วัดพลับ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Apichatk, 16 ธันวาคม 2013.

  1. Apichatk

    Apichatk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +49
    เนื้อไม้ทาสีทอง ขนาดแขวนที่บ้าน/ตั้งบูชา สูง 7 ซม. กว้าง 4 ซม. น้ำหนักเบา
    ราคา 350 บาทครับ (มีชิ้นเดียว เป็นของใหม่ ไม่ผ่านการใช้งาน) ค่าส่ง EMS อีก 50 บาท
    สร้างโดย พระครูสิทธิสังวร อาจารย์สอนกรรมฐาน วัดพลับ สืบต่อจากเจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม) ครับ
    หมายเหตุ ในภาพที่เห็นเป็นดวงขาว 2 ดวงคือแสงสะท้อนจากโคมไฟครับ (ภาพถ่ายเองจากของจริง)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2014
  2. Apichatk

    Apichatk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +49
    ประวัติ-ตำนาน น้ำเต้ากันไฟ ของเจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม) วัดพลับ

    อัตโนประวัติของ เจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม) ท่านเกิดที่บ้าน ต.เกาะท่าพระ อ.บาง กอกใหญ่ จ.ธนบุรี เมื่อวันพุธที่ 16 พ.ย. 2396
    ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ตรงกับปีฉลู จ.ศ.1215 ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
    ทรงประสูติเป็นบุตรของนายอ่อนและนางขลิบ เยาว์วัยได้เรียนอักขรสมัยในสำนักพระอาจารย์ทอง วัดราชสิทธาราม ตั้งแต่
    อายุได้ 10 ขวบ จนอายุ 13 ปี จึงบรรพชาเป็นสามเณรในสำนักพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ) และศึกษาเล่าเรียนในสำนักนี้
    ตลอดมา
    อายุ 21 ปี เข้าอุปสมบท มีพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านปลัดโต และพระสมุห์กลัด เป็นคู่กรรมวาจา
    จารย์ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่หลายปี แต่ไม่เคยสมัครเข้าสอบไล่หรือบาลีในสนามหลวง
    เมื่อแตกฉานแล้วจึงหันมาเรียนและขึ้นกรรมฐานกับพระอุปัชฌาย์ เริ่มจากวิชาธรรมกายจนถึงถอดรูปได้ เรียนอยู่นานจน
    พระอุปัชฌาย์เชื่อมือ และได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมด จนกระทั่งปีพ.ศ.2422 ได้เป็นพระใบฎีกา
    ฐานานุกรมของพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ)
    หลังพระอุปัชฌาย์มรณภาพ ท่านก็รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์สอนและบอกกรรมฐานพระเณรและคฤหัสถ์ทั่วไป และมี
    โอกาสได้ออกไปรุกขมูลและถือธุดงค์บ่อยครั้ง สถานที่ที่ท่านชอบไปคือแถบพระพุทธบาทห้ารอย จ.เชียงราย ไปจน ถึง
    เมืองหงสาวดีและย่างกุ้ง ในประเทศพม่า
    ถึงปีพ.ศ.2431 เลื่อนเป็นพระสมุห์ฐานานุกรมในพระสังวราฯ (เอี่ยม) ต่อมาในปีพ.ศ.2451 ได้รับพระราชทานเลื่อนเป็น
    พระราชาคณะที่ พระสังวรานุวงษ์เถร ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อจาก พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) รับพระราชทานนิตยภัตเพิ่มอีก
    เดือนละสามตำลึงเสมอด้วยชั้นราช รุ่งขึ้นอีกปีได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เพิ่มนิตยภัตขึ้นอีกเดือนละสองบาทรวมเป็น
    สามตำลึงครึ่ง
    เจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม) เป็นพระมหาเถระที่มีพรหมวิหารสี่ครบถ้วน จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในหมู่ชนอย่างมาก เมื่อครั้งที่ท่าน
    ยังมีชีวิต มีอุบาสกอุบาสิกาและประชาชนทั่วไปมาฟังธรรมในวัดและเล่าเรียนทางวิปัสสนาธุระกันมากต่อมาก เพราะท่านมี
    ความรู้ความสามารถจึงอบรมสั่งสอนถ่ายเทความรู้ให้จนหมดสิ้น
    ทั้งนี้ ท่านเป็นพระเถระรูปสุดท้ายที่ได้รับพระราชทานพัดหน้านางงาสานต่อจากเจ้าคุณเฒ่า หรือหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ซึ่ง
    หลังจากท่านแล้วก็ไม่มีรูปใดได้รับพระราชทานอีกเลย อาจจะเป็นเพราะไม่มีพระราชาคณะรูปใดเหมาะสม หรือเพราะ
    วัสดุและชิ้นส่วนงาสานนี้มีราคาแพงและหาได้โดยยาก จึงไม่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นอีก
    นอกจากนี้ ท่านเป็นพระอาจารย์ของ พระเกจิอาจารย์สำคัญทางฝั่งธนบุรีหลายรูป เช่น หลวงปู่นาค วัดระฆัง หลวงพ่อพริ้ง
    วัดบางปะกอก และหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นต้น
    เครื่องรางของขลังที่ถือกันว่ามีพุทธานุภาพ เข้มขลังในด้าน "ป้องกันอัคคีภัยตามเคหสถานบ้านเรือน" ก็คือเครื่องรางของ
    ขลังในรูปแบบของ "น้ำเต้า" และน้ำเต้าที่มีชื่อเสียงรู้จักกันแพร่หลายและมีประสบการณ์จนขึ้นชื่อลือชาที่สุดเห็นจะได้แก่
    น้ำเต้ากันไฟของ พระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) หรือ ท่านเจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 16 ของวัดราชสิทธาราม
    (วัดพลับ) เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
    พระอารามหลวงเก่าแก่แห่งหนึ่งซึ่งมีพระกรุ พระเก่ายอดนิยมที่นักสะสมพระเครื่องต่างหมายปอง และมีราคาเช่าหาที่แพงมิ
    ใช่น้อย อดีตเจ้าอาวาสที่มีชื่อเสียงก็คือ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) เจ้าอาวาสองค์แรก
    ท่านเจ้าคุณพระสังวรา (ชุ่ม) เป็นพระเถระที่เชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐาน และสร้างพระเครื่องที่มีความศักดิ์สิทธิ์เข้ม
    ขลังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเครื่องรางอย่าง "น้ำเต้ากันไฟ" ซึ่งท่านได้วิชานี้มาขณะออกเดินธุดงค์ โดยได้ไปพบศาลาพักร้อน
    กลางป่าหลังหนึ่ง ซึ่งโดยรอบศาลาถูกไฟไหม้เสียหายไปทั้งหมด แต่ตัวศาลากลับไม่ได้รับความเสียหาย เป็นที่น่าอัศจรรย์ จึง
    เดินดูรอบๆ พบบริเวณอกไก่ มีน้ำเต้าแขวนไว้ลูกหนึ่ง
    เมื่อเทออกดูพบคาถากันไฟบทหนึ่งบรรจุอยู่ภายใน ได้นำติดตัวกลับมาด้วย ภายหลังกลับไปพบว่าศาลาดังกล่าวถูกไฟป่า
    ไหม้เสียหายแล้ว เมื่อประจักษ์ในอภินิหารดังกล่าว ท่านจึงได้สร้างน้ำเต้าบรรจุคาถาแจกจ่ายแก่ศิษยานุศิษย์ จนมีชื่อเสียง
    ถึงทุกวันนี้
    น้ำเต้าของท่านจะเลือกเอาแต่น้ำเต้าตรงตามลักษณะที่ตำราบ่งบอกไว้และแก่จัดมากๆ มาควักเอาเนื้อในและเม็ดออกให้
    หมดแล้ว นำมาลงอักขระเลขยันต์ และปลุกเสกตามสูตรโบราณ ที่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากครูบาอาจารย์ ที่เคยพบบาง
    ลูกก็มีการถักเชือกและลงรักปิดทองไว้ บางลูกก็ไม่มี ไม่เป็นที่แน่นอนเสมอไป แต่ชาววงการมักจะนิยมและเล่นหาแบบถัก
    เชือกและลงรักมากกว่า
    ส่วนขนาดนั้นก็ไม่แน่นอนเนื่องจากการสร้างน้ำเต้ากันไฟนี้ถ้าจะสร้างให้ถูกต้องตามแบบโบราณนั้นสร้างยากมาก นับ
    ตั้งแต่หาวัสดุ จนถึงขั้นตอนการปลุกเสก เป็นผลให้น้ำเต้าของท่านเจ้าคุณสังฆ วรา (ชุ่ม) นี้มีจำนวนน้อยมาก นานๆ จะพบ
    สักลูกหนึ่ง
    สำหรับ "น้ำเต้ากันไฟ" ที่นำมาเสนอนี้เป็นน้ำเต้ากันไฟขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันภาษาวงการว่า "ใบครู" ซึ่งอยู่ในสภาพ
    สมบูรณ์มาก ทองเก่าที่ปิดเก่าซีดจนจะกลายเป็นสีเดียวกับสีพื้นของน้ำเต้าอีกทั้งมีการลงอักขระเลขยันต์บนน้ำเต้า จัดได้ว่า
    หาดูได้ยากยิ่ง
    มีเรื่องที่ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังเรื่องหนึ่งเมื่อท่านธุดงค์ไปสุพรรณบุรี เพื่อนมัสการหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์ โดยท่านกะว่าเมื่อ
    นมัสการแล้วจะออกไปแสวงหาวิเวกนอกเมือง ด้วยพระธุดงค์สมัยก่อนไม่นิยมการอยู่ในเขตบ้านเรือนหรือในเมืองเพราะ
    เป็นที่ไม่เหมาะแก่การเจริญภาวนา
    ครั้นไปถึงแล้วปรากฏว่าเป็นเวลาเย็น พระวิหารหลวงพ่อโตปิดลั่นดาลทั้งนอกและใน แล้วด้านหน้าใส่สลักดาล ด้านหลังใส่
    กุญแจ ท่านก็เที่ยวเดินหาคนที่คอยดูแลพระวิหาร แต่ไม่พบ จึงตั้งใจว่าจะกราบนมัสการข้างนอก โดยนึกในใจว่า วาสนา
    ของเราไม่มีในคราวนี้จักต้องไปที่อื่น คราวหน้าจะหาโอกาสมานมัสการใหม่ แล้วทรุดตัวลงนั่งกราบ พลันหูก็ได้ยินเสียง
    ดาลประตูลั่นดังแกร๊กจากทางด้านหน้า และประตูพระวิหารก็แง้มออกพอมีช่องให้เข้าไปได้
    ท่านจึงเดินเข้าไปผลักประตูออก แล้วเข้าไปนมัสการหลวงพ่อโตด้วยความอิ่มใจ และเดินดูจนทั่วพระอุโบสถว่าใครเปิด
    พระวิหารให้เข้าไป แต่ก็ไม่พบ เดินวนจนอ่อนใจจึงกราบนมัสการลาหลวงพ่อโต แล้วผลักบานประตูให้สนิทกัน พลันก็ได้
    ยินเสียงลั่นดาล เมื่อเอามือผลักดูก็พบว่าดาลข้างในปิดตายแล้ว ท่านว่าเทพยดานิมิตให้ได้เข้าไปนมัสการ
    เจ้าคุณสังวรา(ชุ่ม) ครองวัดราชสิทธารามอยู่ 12 ปีจึงมรณภาพ เมื่อปีพ.ศ.2470 รวมอายุได้ 74 ปี ในงานพระราชทาน
    เพลิงศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์ สิริวัฑฒโน) วัดราชบพิธฯ เสด็จเป็นประธาน
    พระราชทานเพลิงศพด้วย นับเป็นงานที่ใหญ่โต โดยสร้างเมรุลอยบนภูเขาจำลอง มีมหรสพสมโภชถึง 3 วัน 3 คืน
    ในงานมีเหรียญที่ระลึกแจก เป็นเหรียญเนื้อทองแดงรูปไข่ หูเชื่อม ซึ่งแม้จะเป็นเหรียญตาย แต่ปัจจุบันหายากมาก
    สนนราคาเหรียญที่สวยๆ ประมาณหมื่นบาท ที่สำคัญ ปลุกเสกโดยสุดยอดพระคณาจารย์ดังในยุคนั้น อาทิ พระสังฆราชเจ้า
    กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เป็นต้น
    สำหรับวัตถุมงคลที่ท่านสร้างไว้มีด้วยกันหลายอย่าง เช่น ตะกรุดสามกษัตริย์,น้ำเต้ากันไฟ,พระพิมพ์เล็บมือ หรือพิมพ์ซุ้มกอ
    เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา,พระพิมพ์ห้าเหลี่ยม เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา และเนื้อสำริด, พระพิมพ์สองหน้า เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา,พระพิมพ์
    เนื้อเงิน และเนื้อทองฝาบาตร,พระปิดตา เนื้อตะกั่วอาบปรอท ทั้งนี้ ด้านหลังพระเนื้อตะกั่วแทบทุกพิมพ์ จะมีเหล็กจารตัว
    เฑาะ ขัดสมาธิ หรือลงอักขระขอมอ่านว่า "อิ กะ วิ ติ" มีตัว "นะ" อยู่ตรงกลาง ที่เรียกกันว่า ยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า
    ทางด้านพุทธคุณ กล่าวขวัญกันว่า ดีเด่นทางแคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุด บรรดาเซียนพระรุ่นเก่า และนักสะสมรุ่น
    อาวุโสล้วนมีวัตถุมงคลของท่านพกพาติดตัวอย่างน้อยหนึ่งองค์ และเคยได้ประสบการณ์มาแล้วมากต่อมาก บางท่านก็
    ภาวนาพระคาถาของท่านคือ "พระโสนามะยักโข เมตทันตปริวาสะโก อะสุณิหะเตโหตะโต ชยะมังคละ" พระคาถานี้ว่ากัน
    ว่าศักดิ์สิทธิ์นัก ท่านเจ้าคุณสังวราฯ(ชุ่ม) จารลงในใบลาน ใช้ป้องกันไฟ ป้องกันฟ้าผ่า กันคุณไสย อัปมงคลและสิ่งชั่วร้าย
    ทั้งมวล
    http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%9B
    %E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-
    %E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99-
    %E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%
    B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9F-
    %E0%B8%82%E0%B8%AD
    %E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%
    B8%E0%B8%93%E0%B8%AA
    %E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2-%E0%B8%8A
    %E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1-
    %E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E
    %E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • budd2308.jpg
      budd2308.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.6 KB
      เปิดดู:
      583
  3. Apichatk

    Apichatk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +49
    น้ำเต้าไม้มงคล ตำรับวัดพลับ

    น้ำเต้าไม้มงคลอุดมวลสารตำรับวัดพลับ
    มวลสารสมัยสมเด็จพระสังฆราชสุกเเละผงเก่าของวัดพลับ รวมทั้งบรรจุผงยันต์บังคับตามตำรับเดิมของพระสังวราชุ่ม
    ความคิดเห็นที่ 1 โอ้ รอมานาน จนแล้วจนรอด ก็เป็นท่านวังหน้าที่ได้สืบวิชา
    น้ำเต้ากันไฟ ของท่านเจ้าคุณชุ่ม .... สาธุ
    รัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระเถระที่จะได้รับพระราชทานพัดยศด้มงานั้น
    ยากมาก ด้วยพัดยศ ด้ามงา นั้นจะพระราชทานถวาย ให้พระเถระผู้ชำนาญ
    ในพระวิปัสสนาธุระ แล พระคุณเจ้าองค์แรกที่ได้รับคือ
    หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง
    องค์ที่สองก็ท่านเจ้าคุณชุ่ม วัดพลับนี้แล
    หลวงปู่จวบซึ่งเป็นศิษย์ในท่านเจ้าคุณชุ่มได้เล่าให้ผมฟังว่า
    เมื่อคราท่านเจ้าคุณชุ่มไปธุดงค์นั้นได้พบวัดแห่งหนึ่ง ถูกอัคคีภัย
    คันธากุฏิ ศาลา ชะลอย ไหม้ด้วยเปลวเพลิง คงเหลือแต่หอระฆัง
    ที่ไม่ต้องด้วยอัคคีภัย ด้วยมีน้ำเต้าโบราณแขวนไว้อยู่ลูกหนึ่ง
    หลวงปู่ชุ่มจึงเข้าสมาธิ เล็งญาณดูถึงเหตุดังกล่าวว่าเพราะเหตุใด
    ท่านก็รู้ในจิตว่า น้ำเต้าลูกนี้ศักสิทธิ์ มีอานุภาพมาก แล ท่านก็อธิษฐาน
    กำนหดจิตถึงครูผู้ประสิทธิวิชาน้ำเต้าดังกล่าว เพื่อขอเรียนวิชา(ในสมาธิ)
    หลวงปู่ชุ่ม ท่านจึงได้วิชาน้ำเต้ากันไฟ มาสร้างน้ำเต้ากันไฟ
    อันเป็นสุดยอดวัตถุมงคล ดังกล่าว
    วิชาของสำนักวัดพลับ หลวงปุ่จวบเล่าให้ผมฟังว่า สมัยท่านเจ้าคุณชุ่ม
    ยังทรงขันธ์ มีพระเณร แล ฆราวาสจำนวนมากมาศึกษากรรมฐาน
    เวลาออกธุดงค์ ที ไปเป็นร้อย เป็นคณะใหญ่ หลวงปู่ท่านก็คุมองค์เดียว
    ตำนานและกิตติศัทพ์ของท่านเจ้าคุณชุ่มโด่งดัง มีครูบาอาจารย์หลายรูป
    มาฝากตัวเป็นศิษย์ แม้นหลวงปู่โต๊ะเองก็มาเรียนกรรมฐานที่วัดพลับด้วย
    พระยุคต้นของหลวงปู่โต๊ะนั้น ชุด สมเด็จยุคต้น 24 กว่า พิมพ์ปกโพธิ์ขาโต๊ะ
    ขุดแหวกม่าน วันทาเสมานั้น หลวงปู่โต๊ะ ก็มาขอผงวัดพลับจากหลวงปู่ชุ่ม
    ไปเป็นมวลสร้างพระ
    ผมเองก็ได้หาอ่านเกี่ยวกับการสร้างพระของหลวงพ่อสด
    คือเมื่อคราหลวงปู่สดจะสร้างพระของขวัญ
    สมเด็จวัดปากน้ำ ก็มาขอผงจากหลวงปู่โต๊ะ อีกที
    วิชาสายสำนักวัดพลับ ยังมีอีกหลายวิชา ที่หลวงปู่จวบเล่าให้ฟัง
    เช่น วิชาลูกสะกด คือ ผู้ฝึกกต้องเข้าสมาธิตามลำดับฌาน โดย
    ติดลูกสะกด(ตะกั่ว) แปะด้วยขี้ผึ่งไว้บนเล่มเทียน วางตั้งในบาตร
    หลวงปู่จวบ เล่าว่า ครูบาอาจารย์เวลาเข้าสมาบัติเข้าฌาน
    ฝึกวิชาลูกสะกด บางองค์พระธาตุเสด็จ จนสว่างแดงฉานไป
    ทั้งบาตรน้ำมนต์
    พระโลหะที่สร้างโดยหลวงปู่ชุ่ม จึงพบว่ามีการหล่อด้วยตะกั่วถ้ำชา
    คือ หลายท่านก็บอกว่าหล่อจากตะกั่วถ้ำชา แต่จริงๆ แล้ว ท่านนำลูกสะกด
    ที่ใช้ฝึกฌานสมาบัติ รวมๆ เข้ามาหล่อ มาเทเป็นองค์พระอีกที
    ลูกสะกดจึงเป็นมวลสารโลหะที่สำคัญ ที่ผ่านกระแส ผลจากการภาวนา
    เมื่อช่วงประมาณปี ๔๔ ผมได้พระสมเด็จตะกั่วหล่อมา หนึ่งองค์ แล้วนำไปถวาย
    ให้หลวงปู่จวบ พิจารณา ท่านถึงออกอุทานอย่างปิติ ว่า
    " โอ้ ไปหามาได้อย่างไร นี่ของท่านเจ้าคุณชุ่ม พระนี้ต้องสำเร็จวิชาลูกสะกด
    แล้วเอามาเทเป็นองค์พระอีกที " ... หลวงปู่จวบ
    นี่ ผมเองขออนุโมทนา แลเป็นมงคลยิ่งที่มีการสืบวิชา น้ำเต้ากันภัย
    เจ้าพระยา

    บันทึกยกเลิก
    โอ้ รอมานาน จนแล้วจนรอด ก็เป็นท่านวังหน้าที่ได้สืบวิชา
    น้ำเต้ากันไฟ ของท่านเจ้าคุณชุ่ม .... สาธุ
    รัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระเถระที่จะได้รับพระราชทานพัดยศด้มงานั้น
    ยากมาก ด้วยพัดยศ ด้ามงา นั้นจะพระราชทานถวาย ให้พระเถระผู้ชำนาญ
    ในพระวิปัสสนาธุระ แล พระคุณเจ้าองค์แรกที่ได้รับคือ
    หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง
    องค์ที่สองก็ท่านเจ้าคุณชุ่ม วัดพลับนี้แล
    หลวงปู่จวบซึ่งเป็นศิษย์ในท่านเจ้าคุณชุ่มได้เล่าให้ผมฟังว่า
    เมื่อคราท่านเจ้าคุณชุ่มไปธุดงค์นั้นได้พบวัดแห่งหนึ่ง ถูกอัคคีภัย
    คันธากุฏิ ศาลา ชะลอย ไหม้ด้วยเปลวเพลิง คงเหลือแต่หอระฆัง
    ที่ไม่ต้องด้วยอัคคีภัย ด้วยมีน้ำเต้าโบราณแขวนไว้อยู่ลูกหนึ่ง
    หลวงปู่ชุ่มจึงเข้าสมาธิ เล็งญาณดูถึงเหตุดังกล่าวว่าเพราะเหตุใด
    ท่านก็รู้ในจิตว่า น้ำเต้าลูกนี้ศักสิทธิ์ มีอานุภาพมาก แล ท่านก็อธิษฐาน
    กำนหดจิตถึงครูผู้ประสิทธิวิชาน้ำเต้าดังกล่าว เพื่อขอเรียนวิชา(ในสมาธิ)
    หลวงปู่ชุ่ม ท่านจึงได้วิชาน้ำเต้ากันไฟ มาสร้างน้ำเต้ากันไฟ
    อันเป็นสุดยอดวัตถุมงคล ดังกล่าว
    วิชาของสำนักวัดพลับ หลวงปุ่จวบเล่าให้ผมฟังว่า สมัยท่านเจ้าคุณชุ่ม
    ยังทรงขันธ์ มีพระเณร แล ฆราวาสจำนวนมากมาศึกษากรรมฐาน
    เวลาออกธุดงค์ ที ไปเป็นร้อย เป็นคณะใหญ่ หลวงปู่ท่านก็คุมองค์เดียว
    ตำนานและกิตติศัทพ์ของท่านเจ้าคุณชุ่มโด่งดัง มีครูบาอาจารย์หลายรูป
    มาฝากตัวเป็นศิษย์ แม้นหลวงปู่โต๊ะเองก็มาเรียนกรรมฐานที่วัดพลับด้วย
    พระยุคต้นของหลวงปู่โต๊ะนั้น ชุด สมเด็จยุคต้น 24 กว่า พิมพ์ปกโพธิ์ขาโต๊ะ
    ขุดแหวกม่าน วันทาเสมานั้น หลวงปู่โต๊ะ ก็มาขอผงวัดพลับจากหลวงปู่ชุ่ม
    ไปเป็นมวลสร้างพระ
    ผมเองก็ได้หาอ่านเกี่ยวกับการสร้างพระของหลวงพ่อสด
    คือเมื่อคราหลวงปู่สดจะสร้างพระของขวัญ
    สมเด็จวัดปากน้ำ ก็มาขอผงจากหลวงปู่โต๊ะ อีกที
    วิชาสายสำนักวัดพลับ ยังมีอีกหลายวิชา ที่หลวงปู่จวบเล่าให้ฟัง
    เช่น วิชาลูกสะกด คือ ผู้ฝึกกต้องเข้าสมาธิตามลำดับฌาน โดย
    ติดลูกสะกด(ตะกั่ว) แปะด้วยขี้ผึ่งไว้บนเล่มเทียน วางตั้งในบาตร
    หลวงปู่จวบ เล่าว่า ครูบาอาจารย์เวลาเข้าสมาบัติเข้าฌาน
    ฝึกวิชาลูกสะกด บางองค์พระธาตุเสด็จ จนสว่างแดงฉานไป
    ทั้งบาตรน้ำมนต์
    พระโลหะที่สร้างโดยหลวงปู่ชุ่ม จึงพบว่ามีการหล่อด้วยตะกั่วถ้ำชา
    คือ หลายท่านก็บอกว่าหล่อจากตะกั่วถ้ำชา แต่จริงๆ แล้ว ท่านนำลูกสะกด
    ที่ใช้ฝึกฌานสมาบัติ รวมๆ เข้ามาหล่อ มาเทเป็นองค์พระอีกที
    ลูกสะกดจึงเป็นมวลสารโลหะที่สำคัญ ที่ผ่านกระแส ผลจากการภาวนา
    เมื่อช่วงประมาณปี ๔๔ ผมได้พระสมเด็จตะกั่วหล่อมา หนึ่งองค์ แล้วนำไปถวาย
    ให้หลวงปู่จวบ พิจารณา ท่านถึงออกอุทานอย่างปิติ ว่า
    " โอ้ ไปหามาได้อย่างไร นี่ของท่านเจ้าคุณชุ่ม พระนี้ต้องสำเร็จวิชาลูกสะกด
    แล้วเอามาเทเป็นองค์พระอีกที " ... หลวงปู่จวบ
    นี่ ผมเองขออนุโมทนา แลเป็นมงคลยิ่งที่มีการสืบวิชา น้ำเต้ากันภัย
    เจ้าพระยา
    ความคิดเห็นที่ 2 หากผู้ที่ ได้ศึกษาตำนานสายวัดประดู่ทรงธรรม กรุงเก่า
    คงต้องทราบว่า ก๋งจาบ คือ ฆราวาส ผู้เรืองวิชา สายวัดประดู่ฯ
    จริงๆ แล้ว วิชาสำนักวัดพลับนั้น หาใช่มีเฉพาะบรรพชิต ที่เข้ามาศึกษา
    หมายรวมถึงฆราวาส ด้วย ดังหลวงปู่จวบได้เล่าให้ฟังว่า สมัยนั้น
    ท่านเองก็ศึกษา วิชาของวัดพลับ จากฆราวาสที่เป็นศิษย์ใน
    ท่านเจ้าหลวงปู่ชุ่ม เช่นกัน ฆราวาสนั้นชื่อ ท่านปู่โทน
    ผมเองก็ไม่สามารถสืบค้นถึงฆราวาสท่านนี้ได้อีกเลย
    วิชาของสำนักวัดพลับ ที่พอทราบ หาใช่มีแต่วิชากรรมฐานแบบลำดับ
    พรหมวิหารบัวบาน แล ส่วนหนึ่งก็สืบทางพิชัยสงคราม
    มีอุปเท่ห์พุทธวิชาไปในทางการศึกการเข้ารณยุทธ ด้วย
    คงไม่แปลกที่ ที่เมื่อคราพระอธิการ(สุก)
    ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน
    ท่านเองก็ได้นำตำราวิชาจากกรุงเก่ามายังกรุงรัตนโกสินทร์
    แล สมเด็จพระสังฆราช(สุก) เองก็ทรงเป็นพระอาจารย์กรรมฐาน
    ของล้นเกล้า ร.๑ แล หากท่านใดมีโอกาสได้เข้าไปนมัสการ
    พระอุโบสถวัดพลับ จะเห็นเจดีย์ ๒ องค์
    มีสังวารประดับ ซึ่งมีเฉพาะเจดีย์
    ของพระราชนิกูล วรรณกษัตริย์
    ที่ฐานเจดีย์ มีอักขระขอมเขียนไว้
    ผมเองไม่ได้จดมา แต่พอทราบว่า
    เจดีย์ทั้ง ๒ นี้ มีความเนื่องกับล้นเกล้า
    รัชกาลที่ ๒, ๓
    แลพอกล่าวได้ วิชาน้ำเต้ากันไฟ จึง เป็นหนึ่งในยอดวิชา
    สำนักวัดพลับ ใน พระสังวรานุวงศ์ (ชุ่ม) แลเป็นมงคล
    ยิ่งที่ได้สักการะมีไว้บูชา
    คราหนึ่งประมาณ ปี ๒๕๔ กว่า หลวงปู่จวบได้สร้างน้ำเต้ากันไฟ
    ขึ้นมา ได้จารอักขระยันต์กำกับ บรรจุในน้ำเต้า มีศิษย์ท่านหนึ่ง
    ได้ไปสักการะบูชา ปรากฏว่า ได้ซื้อสลากกินแบ่งถูกรางวัลที่ ๑
    ขออภัยนะ ไม่ใช่จะเชียร์เรื่องการซื้อ ฉลากกินแบ่ง
    แต่ต้องบอกว่าอานุภาพ ของน้ำเต้า ใช่มีกฤษตยานุภาพด้าน
    กันภัย ด้วยกำลังอานุภาพวัฏฏกะปริตร ตลอดยันต์หัวใจต่างๆ
    แล ยังมีอานุภาพด้านอดิเรกลาภสักการะด้วย ... สาธุ
    เขียนมา ๒ ตอน สองวาระ เราท่านมีศรัทธา
    ก็ ร่วมทำบุญกันเถิด เจ้าพระยา(กรุงเก่า)
    บันทึกยกเลิก
    หากผู้ที่ ได้ศึกษาตำนานสายวัดประดู่ทรงธรรม กรุงเก่า
    คงต้องทราบว่า ก๋งจาบ คือ ฆราวาส ผู้เรืองวิชา สายวัดประดู่ฯ
    จริงๆ แล้ว วิชาสำนักวัดพลับนั้น หาใช่มีเฉพาะบรรพชิต ที่เข้ามาศึกษา
    หมายรวมถึงฆราวาส ด้วย ดังหลวงปู่จวบได้เล่าให้ฟังว่า สมัยนั้น
    ท่านเองก็ศึกษา วิชาของวัดพลับ จากฆราวาสที่เป็นศิษย์ใน
    ท่านเจ้าหลวงปู่ชุ่ม เช่นกัน ฆราวาสนั้นชื่อ ท่านปู่โทน
    ผมเองก็ไม่สามารถสืบค้นถึงฆราวาสท่านนี้ได้อีกเลย
    วิชาของสำนักวัดพลับ ที่พอทราบ หาใช่มีแต่วิชากรรมฐานแบบลำดับ
    พรหมวิหารบัวบาน แล ส่วนหนึ่งก็สืบทางพิชัยสงคราม
    มีอุปเท่ห์พุทธวิชาไปในทางการศึกการเข้ารณยุทธ ด้วย
    คงไม่แปลกที่ ที่เมื่อคราพระอธิการ(สุก)
    ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน
    ท่านเองก็ได้นำตำราวิชาจากกรุงเก่ามายังกรุงรัตนโกสินทร์
    แล สมเด็จพระสังฆราช(สุก) เองก็ทรงเป็นพระอาจารย์กรรมฐาน
    ของล้นเกล้า ร.๑ แล หากท่านใดมีโอกาสได้เข้าไปนมัสการ
    พระอุโบสถวัดพลับ จะเห็นเจดีย์ ๒ องค์
    มีสังวารประดับ ซึ่งมีเฉพาะเจดีย์
    ของพระราชนิกูล วรรณกษัตริย์
    ที่ฐานเจดีย์ มีอักขระขอมเขียนไว้
    ผมเองไม่ได้จดมา แต่พอทราบว่า
    เจดีย์ทั้ง ๒ นี้ มีความเนื่องกับล้นเกล้า
    รัชกาลที่ ๒, ๓
    แลพอกล่าวได้ วิชาน้ำเต้ากันไฟ จึง เป็นหนึ่งในยอดวิชา
    สำนักวัดพลับ ใน พระสังวรานุวงศ์ (ชุ่ม) แลเป็นมงคล
    ยิ่งที่ได้สักการะมีไว้บูชา
    คราหนึ่งประมาณ ปี ๒๕๔ กว่า หลวงปู่จวบได้สร้างน้ำเต้ากันไฟ
    ขึ้นมา ได้จารอักขระยันต์กำกับ บรรจุในน้ำเต้า มีศิษย์ท่านหนึ่ง
    ได้ไปสักการะบูชา ปรากฏว่า ได้ซื้อสลากกินแบ่งถูกรางวัลที่ ๑
    ขออภัยนะ ไม่ใช่จะเชียร์เรื่องการซื้อ ฉลากกินแบ่ง
    แต่ต้องบอกว่าอานุภาพ ของน้ำเต้า ใช่มีกฤษตยานุภาพด้าน
    กันภัย ด้วยกำลังอานุภาพวัฏฏกะปริตร ตลอดยันต์หัวใจต่างๆ
    แล ยังมีอานุภาพด้านอดิเรกลาภสักการะด้วย ... สาธุ
    เขียนมา ๒ ตอน สองวาระ เราท่านมีศรัทธา
    ก็ ร่วมทำบุญกันเถิด เจ้าพระยา(กรุงเก่า)
    ความคิดเห็นที่ 3 นับว่าเป็นโชคดีเเละบุญใหญ่สำหรับเราๆท่านๆที่จะได้บูชาน้ำเต้า ตำรับพระสังวราชุ่ม เเละครั้งนี้ได้รับมอบตำรับพระสังวราชุ่ม จากพระครูสิทธิสังวร ซึ่งตัวของท่านเองได้รับมอบตำรานี้จากหลวงปู่สำอางค์ องค์พระอาจารย์กรรมฐานในกาลก่อน
    บันทึกยกเลิก
    นับว่าเป็นโชคดีเเละบุญใหญ่สำหรับเราๆท่านๆที่จะได้บูชาน้ำเต้า ตำรับพระสังวราชุ่ม เเละครั้งนี้ได้รับมอบตำรับพระสังวราชุ่ม จากพระครูสิทธิสังวร ซึ่งตัวของท่านเองได้รับมอบตำรานี้จากหลวงปู่สำอางค์ องค์พระอาจารย์กรรมฐานในกาลก่อน
    ความคิดเห็นที่ 4 เรื่องน้ำเต้าตำรับพระสังวราชุ่มนี้ มีอิทธิคุณในเรื่องกันไฟเเละโชคลาภ ซึ่งสองเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องเด่นที่สุดเพราะจากตัวพระคาถาเเละยันต์ที่เสกก็จะรู้จริงๆว่าตำรับนี้สุดยอดจริงๆ
    น้ำเต้าไม้มงคล ตำรับวัดพลับ - เครื่องราง - WangNa Amulet - Wunjun Group
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • img122801.jpg
      img122801.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.3 KB
      เปิดดู:
      891
    • img1241y.jpg
      img1241y.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.9 KB
      เปิดดู:
      1,474
  4. Apichatk

    Apichatk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +49
    up krab

    ดันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...