ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย woraeak19, 8 เมษายน 2022.

  1. woraeak19

    woraeak19 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2019
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +30
    ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร
    แปลจากฉบับภาษาสันสกฤต โดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์
    ขอนอบน้อมแด่พระแม่ปรัชญาปารมิตาพระพุทธมารดา

    ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้

    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทับอยู่ ณ เขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์
    พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ และพระโพธิสัตว์จำนวนมาก
    ก็ในสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสแสดงธรรมโดยปริยายแล้ว
    ได้ทรงธำรงอยู่ในสมาธิชื่อว่า คัมภีรโอภาส

    ณ เวลาเดียวกันนั้นแล พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม) ผู้ทรงคุณอันประเสริฐพระผู้เป็นมหาสัตว์
    ได้บำเพ็ญอยู่ซึ่งปรัชญาปารมิตาภาวนาอันละเอียดลึกซึ้งจนหยั่งลงเห็นขันธ์ ๕
    โดยสภาวะความหมายแห่งความเป็นศูนย์

    ขณะนั้นแลด้วยพุทธานุภาพแห่งพระพุทธองค์
    ได้ดลบันดาลให้พระสารีบุตรกล่าวถามพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม) ผู้ทรงคุณอันประเสริฐว่า
    หากแม้นมีกุลบุตรกุลธิดาผู้ใดปรารถนาความรู้แจ้ง
    ประสงค์จะบำเพ็ญปรัชญาปารมิตาภาวนาอันลึกซึ้งนี้
    เธอผู้นั้นพึงฝึกฝนภาวนาอย่างไร?

    พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม)ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ
    พระผู้เป็นมหาสัตว์ได้กล่าวตอบพระสารีบุตรว่า
    ท่านสารีบุตร! หากกุลบุตรกุลธิดาผู้ใดปรารถนาความรู้แจ้ง
    ประสงค์จะบำเพ็ญปรัชญาปารมิตาภาวนาอันลึกซึ้งนี้
    เธอผู้นั้นพึงฝึกฝนภาวนาให้เกิดญาณหยั่งเห็นขันธ์ ๕
    เป็นสภาวะแห่งความหมายอันเป็นศูนย์ท่าน

    สารีบุตร! รูปนี้มีความหมายเป็นศูนย์ ความเป็นศูนย์นั้นแลปรากฏเป็นรูป
    ความเป็นรูปมีค่าไม่ต่างจากความเป็นศูนย์
    และความเป็นศูนย์ก็มีความหมายไม่ต่างจากความเป็นรูป
    รูปเป็นเช่นไร ศูนย์ก็เป็นเช่นนั้น
    ศูนย์มีความหมายอย่างไร รูปก็มีความหมายอย่างนั้น
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นเช่นเดียวกันนั้นแล

    ท่านสารีบุตร! สังขตธรรมทั้งปวงมีลักษณะเป็นศูนย์
    คือ ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีดับไป ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่พร่อง ไม่เต็ม
    ท่านสารีบุตร ! เพราะเป็นเช่นนี้แล
    ในศูนยตาวิหารธรรมจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ
    ไม่มีตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ
    ไม่มีรูป-เสียง-กลิ่น-รส-กายสัมผัส-ธรรมารมณ์
    ไม่มีจักษุธาตุ ไปจนถึงไม่มีมโนวิญญาณธาตุ
    ไม่มีวิชชาและไม่มีอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย
    ไม่มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
    ไม่มีญาณ ไม่มีการบรรลุและไม่มีการไม่บรรลุ

    ท่านสารีบุตร ! เพราะพระโพธิสัตว์ธำรงอยู่ในศูนยตาวิหารธรรมเช่นนี้แล
    จิตจึงปราศจากธรรมอันเป็นเครื่องห่อหุ้ม (อาวรณธรรม)
    และเมื่อจิตปราศจากธรรมอันเป็นเครื่องห่อหุ้ม
    จึงไม่มีความวิปลาสอันเป็นเหตุให้เกิดความหวั่นไหวหวาดกลัว ถึงแล้วซึ่งนิพพานอันมั่นคง

    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกาลทั้งสาม เมื่อบำเพ็ญให้สมบูรณ์แล้วซึ่งปรัชญาปารมิตา
    จึงได้บรรลุถึงซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    เพราะฉะนั้น กุลบุตร กุลธิดา ผู้ปรารถนาความรู้แจ้งพึงรู้เถิดว่า ปรัชญาปารมิตานี้
    เป็นมหามนตรา
    เป็นมหาวิทยามนตรา
    เป็นอนุตรมนตรา
    เป็นมนตร์ที่ไม่มีมนตร์อื่นใดเสมอเหมือน
    เป็นมนตร์แห่งความเป็นจริงอันไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน ที่สามารถดับสลายทุกข์ทั้งปวงได้

    ดังนั้นจงบริกรรมภาวนาบทมนตร์แห่งปรัชญาปารมิตานี้ว่า

    โอม คเต คเต ปารคเต ปารสังคเต โพธิ สวาหา

    ท่านสารีบุตร ! พระโพธิสัตว์ผู้หวังรู้แจ้งพึงบำเพ็ญปรัชญาปารมิตาภาวนาอย่างนี้แล

    ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากคัมภีรโอภาสมาธิ
    แล้วได้ประทานสาธุการแก่พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรว่า
    สาธุ… สาธุ… ชอบแล้ว… ถูกแล้ว…
    กุลบุตรกุลธิดาผู้ปรารถนารู้แจ้ง พึงบำเพ็ญปรัชญาปารมิตาภาวนาอย่างนี้แล
    พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ย่อมอนุโมทนาสรรเสริญความหมายที่ท่านยกขึ้นมาแสดงไว้ดีแล้วนี้

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธดำรัสจบแล้ว
    พระสารีบุตร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พุทธบริษัททุกหมู่เหล่า
    พร้อมทั้งมนุษย์และเทวดา อสูร ครุฑ คนธรรพ์ ต่างมีจิตเบิกบาน
    
ชื่นชมพุทธภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้

    จบปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร

    แปลจากฉบับภาษาสันสกฤต โดย อ.ประมวล เพ็งจันทร์
    ขอนอบน้อมแด่พระแม่ปรัชญาปารมิตาพระพุทธมารดา

    ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้

    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทับอยู่ ณ เขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์
    พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ และพระโพธิสัตว์จำนวนมาก
    ก็ในสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสแสดงธรรมโดยปริยายแล้ว
    ได้ทรงธำรงอยู่ในสมาธิชื่อว่า คัมภีรโอภาส

    ณ เวลาเดียวกันนั้นแล พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม) ผู้ทรงคุณอันประเสริฐพระผู้เป็นมหาสัตว์
    ได้บำเพ็ญอยู่ซึ่งปรัชญาปารมิตาภาวนาอันละเอียดลึกซึ้งจนหยั่งลงเห็นขันธ์ ๕
    โดยสภาวะความหมายแห่งความเป็นศูนย์

    ขณะนั้นแลด้วยพุทธานุภาพแห่งพระพุทธองค์
    ได้ดลบันดาลให้พระสารีบุตรกล่าวถามพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม)ผู้ทรงคุณอันประเสริฐว่า
    หากแม้นมีกุลบุตรกุลธิดาผู้ใดปรารถนาความรู้แจ้ง
    ประสงค์จะบำเพ็ญปรัชญาปารมิตาภาวนาอันลึกซึ้งนี้
    เธอผู้นั้นพึงฝึกฝนภาวนาอย่างไร?

    พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม)ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ
    พระผู้เป็นมหาสัตว์ได้กล่าวตอบพระสารีบุตรว่า
    ท่านสารีบุตร! หากกุลบุตรกุลธิดาผู้ใดปรารถนาความรู้แจ้ง
    ประสงค์จะบำเพ็ญปรัชญาปารมิตาภาวนาอันลึกซึ้งนี้
    เธอผู้นั้นพึงฝึกฝนภาวนาให้เกิดญาณหยั่งเห็นขันธ์ ๕
    เป็นสภาวะแห่งความหมายอันเป็นศูนย์ท่าน

    สารีบุตร! รูปนี้มีความหมายเป็นศูนย์ ความเป็นศูนย์นั้นแลปรากฏเป็นรูป
    ความเป็นรูปมีค่าไม่ต่างจากความเป็นศูนย์
    และความเป็นศูนย์ก็มีความหมายไม่ต่างจากความเป็นรูป
    รูปเป็นเช่นไร ศูนย์ก็เป็นเช่นนั้น
    ศูนย์มีความหมายอย่างไร รูปก็มีความหมายอย่างนั้น
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นเช่นเดียวกันนั้นแล

    ท่านสารีบุตร! สังขตธรรมทั้งปวงมีลักษณะเป็นศูนย์
    คือ ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีดับไป ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่พร่อง ไม่เต็ม
    ท่านสารีบุตร ! เพราะเป็นเช่นนี้แล
    ในศูนยตาวิหารธรรมจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ
    ไม่มีตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ
    ไม่มีรูป-เสียง-กลิ่น-รส-กายสัมผัส-ธรรมารมณ์
    ไม่มีจักษุธาตุ ไปจนถึงไม่มีมโนวิญญาณธาตุ
    ไม่มีวิชชาและไม่มีอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย
    ไม่มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
    ไม่มีญาณ ไม่มีการบรรลุและไม่มีการไม่บรรลุ

    ท่านสารีบุตร ! เพราะพระโพธิสัตว์ธำรงอยู่ในศูนยตาวิหารธรรมเช่นนี้แล
    จิตจึงปราศจากธรรมอันเป็นเครื่องห่อหุ้ม (อาวรณธรรม)
    และเมื่อจิตปราศจากธรรมอันเป็นเครื่องห่อหุ้ม
    จึงไม่มีความวิปลาสอันเป็นเหตุให้เกิดความหวั่นไหวหวาดกลัว ถึงแล้วซึ่งนิพพานอันมั่นคง

    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกาลทั้งสาม เมื่อบำเพ็ญให้สมบูรณ์แล้วซึ่งปรัชญาปารมิตา
    จึงได้บรรลุถึงซึ่งอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    เพราะฉะนั้น กุลบุตร กุลธิดา ผู้ปรารถนาความรู้แจ้งพึงรู้เถิดว่า ปรัชญาปารมิตานี้
    เป็นมหามนตรา
    เป็นมหาวิทยามนตรา
    เป็นอนุตรมนตรา
    เป็นมนตร์ที่ไม่มีมนตร์อื่นใดเสมอเหมือน
    เป็นมนตร์แห่งความเป็นจริงอันไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน ที่สามารถดับสลายทุกข์ทั้งปวงได้

    ดังนั้นจงบริกรรมภาวนาบทมนตร์แห่งปรัชญาปารมิตานี้ว่า

    โอม คเต คเต ปารคเต ปารสังคเต โพธิ สวาหา

    ท่านสารีบุตร ! พระโพธิสัตว์ผู้หวังรู้แจ้งพึงบำเพ็ญปรัชญาปารมิตาภาวนาอย่างนี้แล

    ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากคัมภีรโอภาสมาธิ
    แล้วได้ประทานสาธุการแก่พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (กวนอิม)ว่า
    สาธุ… สาธุ… ชอบแล้ว… ถูกแล้ว…
    กุลบุตรกุลธิดาผู้ปรารถนารู้แจ้ง พึงบำเพ็ญปรัชญาปารมิตาภาวนาอย่างนี้แล
    พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ย่อมอนุโมทนาสรรเสริญความหมายที่ท่านยกขึ้นมาแสดงไว้ดีแล้วนี้

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธดำรัสจบแล้ว
    พระสารีบุตร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม) พุทธบริษัททุกหมู่เหล่า
    พร้อมทั้งมนุษย์และเทวดา อสูร ครุฑ คนธรรพ์ ต่างมีจิตเบิกบาน
    
ชื่นชมพุทธภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้

    จบปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...