พระครูอุดมวรเวท (ล.ป.สังข์ สุริโย)วัดนากันตม อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย คุรบรรลือ, 4 กันยายน 2010.

  1. คุรบรรลือ

    คุรบรรลือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +945
    [​IMG]
    หลวงพ่อสังข์ ในคราวปลุกเสกเหรียญรุ่นสาม

    ประวัติหลวงพ่อสังข์
    นามเดิมว่า สังข์ นามสกุล สดับศรี เกิดเมื่อ 30 มกราคม 2451ที่บ้าน คำเมย ตำบล. ดูน อำเภอ กันทรารมย์ จังหวัด ศรีสะเกษ คุณพ่อ ชื่อ เหลา คุณ แม่ชื่อ สิงห์ สดับศรี มีพี่น้องด้วยกัน 4 คน หลวงพ่อ สังข์ท่านเป็นบุตรคนโต พ่อแม่ของท่าน ประกอบอาชีพทำนาทำไร่ ต่อมาครอบครัวของท่านได้ย้ายมาอยู่มี บ้าน นากันตม หลังจากหลวงพ่อได้บวชเป็นพระสงฆ์แล้ว เมื่อเติบโตเข้าเรียนได้ก็เรียนหนังสือที่วัด จนอ่านออกเขียนได้

    พอจบก็ช่วยก็ช่วยเหลือพ่อแม่ของท่านประกอบอาชีพในการทำไร่ทำนาจนท่านอายุได้ 17 ปี พ่อแม่ของท่านก็พาไปฝากเจ้าอาวาสให้ท่านบวชเป็นสามเณร ด้วยตอนท่านอายุ 14 ปี ท่านป่วย พ่อแม่ของท่านได้บนเอาไว้ว่า ถ้าหายจากโรคจะพาไปบวชเพราะตอนนั้นท่านเกือยจะถึงแก่กรรมแล้วด้วยพาไข้ป่า ในที่สุดก็หายจึงพาไปบวชเป็นสามเณร บวชอยู่สองปีก็ลาสึกออกมาช่วยเหลือพ่อแม่ของท่านประกอบอาชีพทำนา

    ชีวิตในช่วงนี้ท่านกลับหันมาสนใจในด้านวิชาอาคม วิชาทางด้านคงกระพันชาตรี ทางมหานิยม แต่ในที่สุดท่านก็พบความจริงคะ อนิจจัง แต่ก็พยายามเสาะหาพระอาจารย์เล่าเรียนได้มาเหมือนกัน แต่ไม่มากมายอะไร คิดว่าเมื่อบวชเรียนแล้วจะก็หาพระอาจารย์ที่ดีขอเรียนวิชาเอาไว้ให้จงได้ จนท่านมีอายุครบจึงได้บวชเป็นพระที่วัดบ้านบก อำเภอกันทราภิรมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมีท่านพระอาจารย์โส เป็นพระอุปัชฌาย์ ภายหลังอุปสมบทได้รับฉายาว่า สุริโย” ศึกษาธรรมะ ปฎิบัติรับใช้พระอาจารย์โสอยู่สามพรรษา จึงเดินทางไปเรียนวิชากับพระอาจารย์อ้วน วัดหนองดินดำ พระอาจารย์อ้วนรูปนี้ ดังที่บอกไว้แต่แรกแล้วว่าเป็นพระที่เรืองวิชามาก สามารถเดินบิณฑบาตได้ไกลๆ
    ในปี พ.ศ. 2478 ท่านเดินทางไปสร้างวัดนากันตม แต่ก็ยังไปหาพระอาจารย์อ้วนเสมอๆ คอยช่วยงานก่อสร้างและซ่อมแซมวัดหนองดินดำจนสำเร็จสำหรับที่วัดนากันตมนั้น ท่านกสร้างของท่านตลอดมา และที่สำคัญมากคือ ท่านได้ทำการปลูกต้นไม้นานาชนิดที่ให้ผลผลิต มีทั้งมะม่วงพันธุ์ต่างๆ มะพร้าว น้อยหนา มะปราง ที่ใครรับประทานกันได้ เมื่อออกผลมาแล้วต้องเก็บให้พระฉันก่อนแล้วก็แบ่งปันให้ชาวบ้านไปรับประทาน กัน และยังแนะนำให้ชาวบ้านได้ปลูกกันทุกครอบครัว เพื่อจะได้ผลไว้ให้ลูกหลานได้รับประทาน

    ในยามว่างจากการงานการก่อสร้างท่านจะเดินธุดงค์ออกไปหาที่สงบเจริญภาวนา กรรมฐานในย่านกันทรลักษณ์ เขาพระวิหารแถบสุรินทร์ ท่านได้พบคนมีวิชาทดลองเสมอและท่านก็สามารถแก้ไขได้ เคยมีชาวบ้านออกไปหาของป่าหลงป่าสามวันหาทางออกไม่ได้หลวงพ่อสังข์ท่านได้พา ออกมา ท่านบอกว่า แถบนั้นทีหล้งอย่าเข้าไป ใต้พื้นดินมันมีของอาถรรพ์ผีแรงมาก ใครไปดีก็ดีไป ใครไม่ดีบุญเก่าไม่มีมันเอามึงตายแน่ ชาวบ้านที่หลวงพ่อพาออกมาพูดกันว่า เขาหลงป่าอยู่สามวันไม่ได้กินข้าวเลย แต่หลวงพ่อท่านอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องฉัน?ข้าว แสดงว่าท่านต้องเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้สำเร็จ ตอนท่านพาชาวบ้านออกจากป่านั้นท่านได้ปัสสาวะที่โคนกอไผ่ใกล้ทางเดิน มีช้างป่าติดตามมาโขลงใหญ่ แต่พอถึงต้นไผ่กอนั้นมันหลีกทางไปและไม่ติดตามเลย ตอนหลังมีการทำถนนใกล้ทางเดินนั้น ชาวบ้านจำได้ว่าท่านเคยปัสสาวะที่โคนไผ่ ต้นไผ่กอนั้นขึ้นมาเยอะ แต่ที่น่าอัศจรรย์มากคือ เป็นยอดด้วนท่านได้สั่งให้ชาวบ้านไปตัดไผ่ยอดด้วนนั้นมา แล้วท่านก็ให้ชาวบ้านตัดขนาดต่างๆ กันทำตะกรุด โดยการที่หลวงพ่อเป็นผู้จาระอักขระต่างๆ แล้วใครมาขอถึงจะได้ ตอนไปขอต้องมีดอกไม้ธูปเทียนเงินค่าครูหกสลึง ตะกรุดไผ่ยอดด้วนนี้มีคุณวิเศษมากทางคงกระพันชาตรี ทางป้องกันอันตราย ทั้งมหานิยม นอกจากไผ่ด้วนแล้วยังมีไผ่ฟ้าฝ่ากอ เมื่อฟ้าผ่ากอไผ่จะไหม้ แต่จะมีต้นไผ่ขึ้นมา ท่านก็จะไปดูแล้วให้ชาวบ้านตัดมาทำตะกรุดเหมือนกัน เหมือไผ่ยอดด้วน
    ของขลังที่สร้างชื่อเสียงให้หลวงพ่อดังอย่างมากมีหลายอย่างด้วยกัน กุมารทองของท่านดังและขลังไม้แพ้หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม นครปฐม เลยครับ และอีกอย่างหนึ่งคือ น้ำมันแก้ว ท่านสกัดจากว่านหลายชนิดเคี่ยวจนใสและหอม ท่านเอามาเสกจนเดือดและใช้ลงกระหม่อม ลงหน้าผาก ลงที่หลังมือ เมื่อลงเสร็จแล้วท่านจะบอกให้กลับบ้านทันที หากต้องการอะไรหรือมีธุระอะไรให้ไปพบวันอื่น น้ำมันแก้วของท่านมีคุณวิเศษอย่างมากในด้านแคล้วคลาดอันตราย ทางเหนียว ทางเมตตา ไปไหนจะไม่มีอันตราย

    วัวธนูของหลวงพ่อก็ดังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง นครปฐม ตอนหังศิษย์ของหลวงพ่อน้อยท่านก็เป็นพระชาวลาวเหมือนกันเลย หลวงพ่อน้อยท่านก็เป็นพระชาวลาวเหมือนกัน อีกทั้งการขับไล่ภูตผีที่สิงคน คนถูกคุณไสยไปรักษากับท่านจะหายทุกราย นี่แหละชื่อเสียงของท่าน

    หลวงพ่อได้รับนิมนต์ไปร่วมงานปลุกเสกพระเครื่องที่วัดกัลยาณ์ ฝั่งธนบุรี เมื่อปี พ.ศ 2500 มีพระอาจารย์ดังๆ จากทั่วประเทศได้กว่าพันรูป นอกจากพิธีนี้แล้วพิธีในกรุงเทพฯ อีกหลายพิธีที่ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปร่วม

    แม้แต่หลวงพ่อปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลียังนับถือท่านเลย ยกย่องเสมอๆ อีกทั้งหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ จังหวัดปทุมธานี ก็ยกย่องท่านหลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ศิษย์ของหลวงพ่อเทียน ท่านได้พบหลวงพ่อสังข์ในงานปลุกเสกพระเครื่องที่วัดระฆังและอีกหลายวัดเห็น อภินิหารของท่านและเคยพบพระลองวิชากับท่าน องค๋หนึ่ง พระรูนั้นลองวิชาหลวงพ่อสังข์ แต่ทำอะไรหลวงพ่อท่านไม่ได้ ซ้ำร้ายต้องเข้าไปขอขมาท่าน ทำให้ครั้งนั้นหลวงพ่อลมูลต้องเข้าไปกราบฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านและติดตาม ท่านไปถึงวัดนากันตม ศรีษะเกษ ได้ขอเรียนวิชาการทำกุมารทองและทางด้านเมตตามหานิยม ทางสีผึ้งและหลวงพ่อลมูลท่านได้สร้างพระเครื่องเนื้อผงเป็นพระสมเด็จพิมพ์ ใหญ่สามชั้น ด้านหน้าเหมือนกันคือตอนนั้นได้สร้างถวายหลวงปู่เทียน ถวายหลวงปู่โต๊ะและหลวงพ่อสังข์ เนื้อเหมือนกัน ด้านหน้าเหมือนกันผิดกันแต่ด้านเหลังเท่านั้นเอง พระเครื่องที่หลวงพ่อ ลมูลสร้างขั้นนั้นภายหลังได้รับความนิยม คนเดินทางไปขอกับหลวงพ่อท่านบอกว่าไม่มีแล้ว ให้คนไปจนหมดตั้งแต่สมัยที่พระเครื่องยังไม่มีราคาค่านิยมอะไร จะให้องค์ละหมื่นสองหมื่นบาทท่านก็ไม่มี

    ของขลังที่วิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ ลูกประคำ ลูกประคำของท่านสร้างขึ้นจากผงพุธคุณ เอาผงต่าง ๆ ร่วมทั้งว่านยา ว่านทั้งร้อยแปดมาบดผสมจนละเอียด เขียนสูตรเลขยันต์ต่างๆ แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ เวลาปั้นจะว่าคาถาไปด้วยตลอดเวลา

    วลาท่านมากรุงเทพฯ ไม่ว่าจะมางานปลุกเสกพระเครื่อง หรือใครนิมนต์มาก็ตาม หลวงพ่อสังข์ท่านมักเดินทางไปพักที่วัดสระเกศ กุฎิของท่านพระอาจารย์ บุญมี ปภัสโร ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อสังข์ จะเป็นมีดหมอลูกประคำ เหล็กจาร ด้ามทำด้วยงาช้างลงอักขระคาถาอย่างดีก็อยู่ที่ท่าน รวมทั้งไม้ขับผี ปีศาจ เต่าภายในบรรจุสีผึ้ง วัวธนู ตัวครูและอีกหลายตัวคาดว่าจะหมดไปนานแล้วเหลือแตตัวครูพระอุปคุต


    พระเครื่องและเครื่องรางของท่าน
    เท่าที่พอจำได้ พระสมเด็จเนื้อดิน ผสมว่าน พระนางพญา นางกวัก พระขุนแผน พระปิดตาลอยองค์ พระสาม พระตรีกายพิมพ์ใหญ่และเล็ก กุมารทอง เหรียญรูปเหมือน สามรุ่น ทรงไข่จะคล้ายกัน ตะกรุดไม้ไผ่ยอดด้วน ตะกรุดไม้ไผ่ผ่ากอ ตะกรุดโทน ผ้ายันต์ แหวนสวมนิ้ว วัวธนู สีผึ้ง เต่าเรือน ฯลฯ


    หลวงพ่อท่านย่นระยะทางได้มีคนเคยเห็นท่านบิณฑบาตในเวลาเดี่ยวกันทั้งใน กันทรารมย์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษแต่พอถามท่านเงียบไม่พูด สมันนั้นถนนหนทาง เงียบสงบน่ากลัวมาก ทั้งโจร ผกค ศิษย์ท่านจากกรุงเทพฯ ขับรถเก๋งไปขากลับโดนโจรปล้นแต่พอเข้าไปเห็นหลวงพ่อสังข์นั่งในรถด้วย โจรพวกนั้นต่างวิ่งหนีเข้าป่าไปเลย
    อาพาธ


    ในช่วงนั้นท่านนำชาวบ้านและตัวท่านเองออกไปช่วยก่อสร้างถนนยาวสี่กิโลเมตร ทำให้ฝุ่นปูนดินเข้าไปในปอดเป็นฝ้าเป็นแผล นับแต่นั้นมาท่านก็ล้มป่วยตลอด จนถึงวาระสุดท้ายของท่าน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2526 ก็จากไปด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา 11.00 น. ท่านรู้ตัวว่าจะมรณภาพนอนสงบนิ่งหันหน้าสู่พระพุทธ ยกมือขึ้นไหว้
    หลวงพ่อสังข์ สุริโย อดีตพระอาจารย์ผู้แก่กล้าวิชาอาคมขลัง เรืองเวท มากไปด้วย บุญญาอภินิหาร พระเครื่องของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองป้องกันอันตรายต่างๆได้ยอดเยี่ยม ใครที่ยังไม่มี พบเห็นที่ไหนอย่าปล่อยให้ผ่านมือไปล่ะครับรับรองว่าดีแน่นอนถ้าท่านมีไว้ติด ตัว

    ครูบาอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้หลวงปู่สังข์

    <?import namespace = g_vml_ urn = "urn:schemas-microsoft-com:vml" implementation = "#default#VML" declareNamespace /><g_vml_:shape style="LEFT: 0px; WIDTH: 568px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 1369px" coordsize = "5670,13700" filled = "f" fillcolor = "black" stroked = "t" strokecolor = "#dbdbdb" strokeweight = ".75pt" path = " m50,13710 l5665,13710 at5610,13610,5710,13710,5610,14110,6110,13610 e"><g_vml_:stroke opacity = "1" miterlimit = "10" joinstyle = "miter" endcap = "flat"></g_vml_:stroke></g_vml_:shape><g_vml_:shape style="LEFT: 0px; WIDTH: 568px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 1369px" coordsize = "5670,13700" filled = "f" fillcolor = "black" stroked = "t" strokecolor = "#dbdbdb" strokeweight = ".75pt" path = " m5660,0 l50,0 at0,0,100,100,124,-484,-484,124 e"><g_vml_:stroke opacity = "1" miterlimit = "10" joinstyle = "miter" endcap = "flat"></g_vml_:stroke></g_vml_:shape>

    [​IMG]
    หลวงพ่ออ้วน วัดบ้านหนองดินดำ

    หลวงพ่ออ้วน วัดบ้านหนองดินดำ ตำบลบก อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ (ต่อมาย้ายไปอยู่ วัดบ้านโนนค้อ อำเภอโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ ) ในสมัยนั้น คนเคารพนับถือกันว่า เป็นเกจิอาจารย์องค์หนึ่งที่มีชื่อเสียง คนเคารพนับถือมาก ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมความรู้ต่าง ๆ ให้ และหลวงพ่อเอง ก็มีความเคารพนับถือในพระอาจารย์อ้วนมาก ต่อมา ญาติโยมทางกันทรลักษ์ ซึ่งมี พ่อใหญ่อ่อนสา บุญพอ พ่อใหญ่โสภา บุญสร้อย พ่อใหญ่สี ด้วงทอง พ่อใหญ่ เทพ วารินทร์ เป็นต้น ได้ไปกราบไหว้ขออนุญาต พระอาจารย์อ้วน ให้หลวงพ่อสังข์ มาจำพรรษาที่วัดนากันตม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 เมื่ออนุญาตแล้ว พระอาจารย์อ้วนได้พูดสั่งเตือนกับญาติโยมว่า " ท่านยาครู สังข์ นี้ เป็นคนฮ้าย ( คนดุ ) เอาใจยากนะโยม แต่ท่านเป็นคนใจเด็ด จิตใจเข้มแข็ง พูดจริง ทำจริง ตรงไปตรงมา ขอให้ญาติโยม จงคอยเอาอกเอาใจท่านนะ จะได้คนดีมีวิชาอาคมไปอยู่ด้วย ได้พึ่งพาอาศัย และเป็นหลักมั่นคงในบวรพระพุทธศาสนา สืบไป "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กันยายน 2010
  2. คุรบรรลือ

    คุรบรรลือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +945
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    อุดมวรเวท หมายถึง ผู้ที่มากด้วยเวทมนต์ คาถาอาคม ชั้นเลิศ สมณศักดิ์ที่หลวงพ่อสังข์ ได้รับพระราชทาน นั้นช่างเหมาะสมกับท่านโดยแท้ สมณศักดิ์ นี้ไม่ใช่ว่าได้มาง่าย ๆ ท่านจะต้องพิสูจน์ให้ทางคณะสงฆ์และลูกศิษย์เห็นและสัมผัสได้จริง ๆ ว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์ ที่เหมาะสมจะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้ ก่อนที่จะมาเป็นเกจิอาจารย์นั้นท่านจะต้องศึกษาวิชาเกี่ยวกับทางด้านไสยศาตร์ มาอย่างเจนจบก่อน

    ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก

    ไสยศาสตร์ หรือ ศาสตร์มืด คือการทำ "คุณไสย" ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความ คุณไสย ว่า "เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร" เป็นศาสตร์ที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีคนเชื่อและผู้ปฏิบัติทั่วโลก ในแต่ละชุมชนจะมีรูปแบบของไสยศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สรุปแล้วไสยศาสตร์ก็คือการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยผิดแปลกจากกฏของธรรมชาติ เช่น ทำให้สามีภรรยาที่ดีกันทะเลาะและแยกทางกัน ทำให้สาวหลงรักหนุ่มที่เคยเกลียด ซึ่งปกติแล้วจะใช้ไสยศาสตร์มาใช้ในทางที่ชั่วร้าย โดยเฉพาะการทำ "คุณไสย" ที่เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายผู้ไม่เป็นมิตรด้วยการปลุกเสกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปในตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือการทำเสน่ห์ยาแฝด ลงนะ จากผู้ที่อ้างตัวว่ามีอาคม ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยการหลอกลวงผู้คน หรือที่เรียกว่า พวกสิบแปดมงกุฎ ถึงกระนั้นก็ตาม“คุณไสย” หรือ “มนต์ดำ” ยังมีผู้หลงงมงายมากมาย

    ไสยศาสตร์ถือเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และมีทั่วโลกแม้กระทั่งในเวลาปัจจุบัน แม้รูปแบบจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การทำอันตรายต่อผู้คนด้วยวิธีที่ลี้ลับ
    ลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอำนาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ทำการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ดำเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้

    ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์ ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
    1. ฤคเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์และสรรเสริญพระเจ้า
    2. ยชุรเวทย์ เป็นคำร้อยแก้วให้สำหรับท่องบ่นเวลาบวงสรวงบูชาพระเจ้า
    3. สามเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
    4. อาถรรพเวทย์ เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทยมนต์คาถาเรียกผีสาง เทวดาให้ช่วยป้องกันอันตรายให้ และให้มีการแก้อาถรรพ์ ทำพิธีสาปแช่งให้เป็นอันตรายได้ด้วย

    อาถรรพเวทย์ในคัมภีร์ไสยศาสตร์ แยกออกเป็น 2 นิกาย คือ
    1. นิกายไสยขาว (White System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางดี คือช่วยเหลือมนุษย์ให้มีสุขปลอดภัย
    2. นิกายไสยดำ (Black System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางชั่ว คือทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น

    คัมภีร์แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ทางเวทมนตร์ คาถาอาคม ของนิกายไสยขาว มี 8 ประเภท คือ
    1. พระเวทย์แก้โรคต่าง ๆ
    2. พระเวทย์ประสาน
    3. พระเวทย์สะเดาะ เช่น สะเดาะกุญแจและโซ่ตรวน
    4. พระเวทย์ป้องกันตัว เช่น คาถาแคล้วคลาด
    5. พระเวทย์แสดงปาฎิหาริย์
    6. พระเวทย์ทำอันตรายผู้อื่น
    7. พระเวทย์แก้ภูติผีปีศาจ เช่น คาถาสะกดวิญญาณ
    8. พระเวทย์ทำเสน่ห์ เช่น มนตร์เทพรำจวญ

    หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม นั้น เชื่อกันว่า ท่านเรียนวิชาไสยศาสตร์ มาจนเชี่ยวชาญแทบเรียกได้ว่าจบหลักสูตร ท่านน่าจะเก่งพระเวทย์ทั้ง 8 ประเภท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กันยายน 2010
  3. คุรบรรลือ

    คุรบรรลือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +945
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ตะกรุดไม้ไผ่ดอกนี้ ผมได้รับมาจากลูกศิษย์ของหลวงพ่อสังข์ เมื่อครั้งผมไปปฏิบัติงานที่อำเภอกันทรลักษ์ ราวประมาณปี พ.ศ.2535 - 2536 ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายยาในอำเภอกันทรลักษ์ ที่ได้รับมาจากมือของหลวงพ่อ 2 ดอก จึงแบ่งให้ผม 1 ดอก เขาเล่าประวัติการสร้างตะกรุดให้ผมฟังว่า การสร้างตะกรุดของหลวงพ่อสังข์ นั้น ท่านจะต้องสร้างจากไม้ไผ่ต้องอาถรรพ์ เท่านั้น กล่าวคือ จะต้องเป็นไม้ไผ่ที่เกิดจากไม้ที่เขาใช้หามผีตายโหง ที่ตายผิดธรรมชาติ เช่น ถูกยิงตาย ฟ้าผ่าตาย หรือตายจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งศพเหล่านี้โบราณเขาจะไม่ทำการเผาทันทีเพราะถือว่าเฮี้ยน แต่เขาจะทำการหามไปฝังไว้ในป่าช้า แล้วจึงจะทำการขุดขึ้นมาเผาอีกครั้งเมือฝังไว้ครบ 100 วัน 1 ปี หรือ 2 ปี ก็แล้วแต่ความเชื่อของญาติผู้ตาย ส่วนไม้ไผ่ที่หามผีไปป่าช้านั้น เขาจะไม่นำกลับเข้ามาในหมู่บ้าน แต่เขาจะทิ้งหรือเสียบไว้ข้างหลุมศพ เพื่อเป็นเครื่องหมายให้ทราบว่าศพฝังไว้ที่ตรงไหน เพื่อที่จะเป็นการง่ายในการขุดขึ้นมาเผาในโอกาสข้างหน้า ต่อมา เวลาผ่านไปเป็นเดือน ปี ไม้ไผ่นั้นก็จะงอกและแตกกิ่ง แตกแขนงขึ้นมา หลวงพ่อจึงจะไปทำการพลีเอากิ่งและแขนงที่แตกออกมา นั้นนำมาสร้างเป็นตะกรุด โดยลงเลขยันต์รอบกิ่งไผ่และปลุกเสกตามกรรมวิธีของหลวงพ่อ และ จะมอบให้แก่ลูกศิษย์ใกล้ชิดเท่านั้นครับ


    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
    ที่มา โดย สมนึก[​IMG]http://www.meeboard.com/view.asp?user=geetar&groupid=9&rid=332&qid=16
     
  4. คุรบรรลือ

    คุรบรรลือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +945
    [​IMG]



    ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อสังข์ ลงมากรุงเทพฯ มาพักที่วัดสระเกศ กุฎิของ พระอาจารย์บุญมีเช่นเคย ช่วงนั้นหลวงพ่อมีชื่อเสียงมากแล้ว พวกลูกศิษย์ที่เป็น คหบดี นายทหาร นายตำรวจ นายแพทย์ใหญ่ ๆ คุณหญิง คุณนาย ทั้งหลาย ต้องคอยฟังข่าวว่าหลวงพ่อลงมากรุงเทพ ฯ หรือยัง ถ้ามาแล้วก็จะมาพบที่กุฎิพระอาจารย์บุญมี เพื่อให้รดน้ำมนต์ สะเดาะห์เคราะห์ ลงกระหม่อม ปรึกษาหารือเรื่องราว ต่าง ๆ เช่น หาฤกษ์ยามปลูกบ้าน ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน รวมทั้งขอบูชา วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง เป็นต้น

    พระอาจารยบุญมี เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งมีคุณนายของนายพลตำรวจท่านหนึ่ง มาให้หลวงพ่อทำพิธีเรียกให้สามีกลับมาอยู่ด้วยกัน เนื่องจากช่วงนั้น สามีไปมีภรรยาน้อย และหลงภรรยาน้อยอย่างหนักแทบจะไม่กลับมาบ้านเอาเสียเลย ถ้ากลับมาก็หน้าตาเศร้าหมอง หงุดหงิดง่าย พอทะเลาะกัน ก็พาลหาเรื่องออกจากบ้านไปอยู่กับภรรยาน้อยอีก เธอร้องห่ม ร้องไห้อย่างหนักกลัวว่าจะเสียสามีไป หลวงพ่อสงสารจึงรับปากว่าจะช่วย และ ให้คุณนายเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของตนเองและสามีทิ้งเอาไว้ ยังไม่สามารถทำพิธีในวัน นั้นได้ เพราะต้องเตรียมอุปกรณ์สำคัญที่จะใช้ ประกอบพิธี 3 อย่างก่อน คือ

    1. ขี้ผึ้งปิดหน้า ผี อันว่าขี้ผึ้งปิดหน้าผีนั้น ในสมัยก่อนเมื่อมีคนเสียชีวิตโดยเฉพาะผีตายโหงซึ่งเสียชีวิตผิดธรรมชาติ เช่น ประสพอุบัติเหตุถูกรถชนหรือรถคว่ำตาย ถูกยิงตาย ฟ้าผ่าตาย เป็นต้น การเสียชีวิตลักษณะนี้ สภาพของศพจะไม่น่าดู ตามชนบทที่ห่างไกล ไม่มีหมอที่จะแต่งหน้าศพก่อนบรรจุหีบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุจาดตา เขาก็จะนำขี้ผึ้งมาโป๊ะหรือมาพอกหน้าศพเอาไว้ เขาจึงเรียกว่า ขี้ผึ้งปิดหน้าผี เมื่อสัปเหร่อจะทำการเผาเขาจึงจะทำการแกะออกมา

    2. ใบรัก ใบรักที่จะใช้ประกอบพิธีนั้น จะต้องเป็นใบรักซ้อน ห้ามใช้ใบรักลา ใบต้นรักที่เขาปลูกและนำดอกมาร้อยพวงมาลัยนั้นใช้ไม่ได้ เพราะนั่นเป็นรักลา จะต้องใช้ใบของต้นรักที่ดอกจะมีลักษณะซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งเขาเรียกกันว่าดอกรักซ้อนเท่านั้นจึงจะใช้ได้

    3. ด้ายสายสิญจน์ ต้องเป็นด้ายสายสิญจน์ที่ใช้จูงศพ หรือ ใช้ในพิธีศพ

    หลวงพ่อใช้เวลาเตรียมอุปกรณ์นานพอสมควร เนื่องจากหาขี้ผึ้งปิดหน้าผีของแท้ยาก มีคนเอาของปลอมมาให้ หลวงพ่อก็ทราบ เมื่อหาได้ครบแล้ว หลวงพ่อก็เตรียมอุปกรณ์โดยใช้ขี้ผึ้งปั้นหุ่น 2 ตัว เป็นหญิงและชาย จากนั้น ก็นำใบรักซ้อนมาเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของคุณนาย และ สามี ติดไว้ที่หุ่น อย่างละใบ และ ก็รอฤกษ์ยามที่จะทำพิธีซึ่งหลวงพ่อบอกว่า จะต้องทำพิธีเวลากลางคืนดึกสงัดเท่านั้น

    และแล้วในคืนวันหนึ่ง พระอาจารย์บุญมี เข้าห้องจำวัดตามปกติ ตกกลางดึกต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงสวดมนต์ที่ยาวนานและดังพอ สมควร ฟังไปสักระยะหนึ่งจึงลุกขึ้นมาเพื่อจะไปปัสสาวะ จึงได้เห็นหลวงพ่อสังข์กำลังทำพิธีสวดมนต์และมีหุ่นขี้ผึ้งทั้งสองตัว วางอยู่ข้างหน้า เมื่อออกไปปัสสาวะเสร็จแล้วพระอาจารย์บุญมี กลับเข้ามาในห้องจึงถือโอกาสนั่งลงข้าง ๆ เพื่อดูหลวงพ่อทำพิธี และแล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า ทำให้พระอาจารย์แปลกใจและตื่นเต้นมาก เนื่องจากในขณะที่หลวงพ่อสังข์หลับตาสวดมนตร์มิได้หยุดอยู่นั้น เจ้าหุ่นทั้งสองตัวกระดอนจากพื้นไม้กระดานขึ้นลงเป็นจังหวะและค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าหากัน พระอาจารย์บุญมี อธิบายให้เห็นภาพว่า เหมือนเราขึ้นไปนั่งขย่มบนแคร่ไม้ไผ่ แล้วสิ่งของเล็ก ๆ ที่วางบนแคร่กระดอนขึ้นลงอย่างนั้น จนในที่สุด หุ่นทั้ง 2 ตัว ก็เคลื่อนเข้ามาจนติดกัน หลวงพ่อสังข์ จึงหยุดสวดมนตร์ และ ลืมตาขึ้น เสร็จแล้วหลวงพ่อจึงนำด้ายสายสิญจน์มาผูกหุ่นทั้งสองโดยพันรอบตัวหุ่นหลาย รอบและมัดติดกันจนแน่น ในขณะที่มัดหุ่นก็เสกคาถาไปด้วยจนเสร็จพิธี ต่อ มาในเช้ามืดวันนั้น หลวงพ่อสังข์ สั่งให้พระอาจารย์บุญมี นำหุ่นทั้งสองที่มัดติดกันอย่างแน่นหนาไปฝังดินไว้ แต่เนื่องจากวัดสระเกศไม่ค่อยจะมีบริเวณที่เป็นพื้นดินมากเท่าไรนักพระ อาจารย์บุญมีจึงนำไปฝังไว้ข้างกุฏิของพระมหาอะไร ผมก็จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว หลวงพ่อจึงให้พระอาจารย์ส่งข่าวให้คุณนายทราบ ว่าทำพิธีให้แล้ว เดี๋ยวสามีก็คงจะกลับมาแน่นอน อีกต่อมาไม่นาน คุณนายก็มากราบหลวงพ่อ มาถวายเพล ดูหน้าตาสดชื่น บอกว่าท่านนายพลสามีกลับมาแล้ว ขอขอบคุณหลวงพ่อมากที่ช่วยเหลือ หลวงพ่อก็อนุโมทนา คุณนายก็กลับไป

    หลังจากนั้นสักประมาณ 5 - 6 เดือน หลวงพ่อสังข์ กลับขึ้นไปวัดนากันตม จังหวัดศรีสะเกษแล้ว คุณนายก็มาที่กุฏิพระอาจารย์บุญมีอีก เล่าให้ฟังว่า ท่านนายพลกลับไปหาภรรยาน้อยอีกแล้ว คราวนี้ไม่กลับมาบ้านเลย จะมาขอให้หลวงพ่อสังข์ ช่วยอีกครั้ง ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น วันหนึ่ง พระอาจารย์บุญมี เห็นสุนัขมันคาบสิ่งของอยู่ในปากมีเชือกสีขาวคล้ายด้ายสายสิญจน์ลากเป็นทาง ยาว พอไล่มัน มันจึงคายของในปากจึงเห็นว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่หลวงพ่อสังข์ ให้ไปฝังไว้นั่นเอง สภาพที่เห็น หุ่นหักกลางแยกออกเป็นสองท่อน มีด้ายสายสิญจน์พันรอบอยู่และเห็นเพียงแค่ตัวเดียว อีกตัวหนึ่งไม่รู้ว่าหลุดหายไปไหน เมื่อตามไปดูที่จุดฝัง เห็นมีต้นฝรั่งปลูกอยู่แทนที่ สอบถามได้ความว่า พระมหาขุดหลุมปลูกต้นฝรั่งตรงจุดที่ฝังหุ่น ทำให้หุ่นถูกขุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจและสุนัขเห็นจึงคาบไปเล่นกระจุยกระจาย ขณะนั้น พระอาจารย์บุญมี รู้สึกใจหายแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร และแล้วไม่นาน คุณนายก็มาจริง ๆ พอพระอาจารย์บุญมี บอกว่าหลวงพ่อสังข์กลับไปศรีสะเกษแล้ว คุณนายก็ยืนยันว่าจะไปพบให้ได้ ขอให้บอกชื่อวัดและเส้นทางที่จะไปวัดให้ด้วย จะให้ตำรวจลูกน้องของนายพลพาไป ดูท่าทางคุณนายจะศรัทธาหลวงพ่อจริง ๆ ว่าจะช่วยได้

    หลังจากนั้นก็ไม่เห็นคุณนายมาพบอีกเลย พอเจอหลวงพ่อสังข์ ก็เลยสอบถามเรื่องนี้ หลวงพ่อสังข์ บอกว่า คุณนายให้ตำรวจพาไปหาที่วัดให้ทำพิธีให้ใหม่ คราวนี้ หลวงพ่อให้เอาหุ่นไปฝังไว้ที่ป่าช้าเลยทีเดียว และ หลังจากนั้นก็หายเงียบไปเลย คงจะสำเร็จสมใจคุณนายแล้ว


    พระ สมเด็จ หลังรูปเหมือน


    [​IMG]




    พระสมเด็จ หลวงพ่อสังข์ สุริโย วัดนากันตม พิมพ์ หลังรูปเหมือน ใต้ฐานฝังตะกรุด 3 ดอก ปี 2512 พระรุ่นนี้ พระครูสาทรพัฒนกิจ ( หลวงพ่อละมูล ) วัดเสด็จ ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เป็นผู้สร้าง


    [​IMG]







    หลวงพ่อสังข์ ได้มอบผงวิเศษทั้ง 5 ชนิด ที่หลวงพ่อได้ทำไว้ คือ ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ผงมหาราช ผงพุทธคุณ และ ผงตรีนิสิงเห ให้หลวงพ่อละมูล ไปเป็นส่วนผสม เนื่องจากหลวงพ่อละมูล ได้เคยมาเรียนวิชากับหลวงพ่อสังข์ ถึงวัดนากันตม และได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เมื่อถึงวันปลุกเสก หลวงพ่อละมูลก็ได้นิมนต์ หลวงพ่อสังข์ ให้ลงไปช่วยปลุกเสกที่วัดเสด็จด้วย







    [​IMG]


    ใต้ฐานฝังตะกรุด 3 ดอกชัดเจน

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>ผมได้สอบถามข้อมูลจากพระอาจารย์บุญมี ปภัสโร วัดสระเกศ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อสังข์ ได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า จริง ๆ แล้ว หลวงพ่อละมูลวัดเสด็จ ก็เป็นเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงองค์หนึ่งอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ปทุมธานี แต่ต่อมาได้รู้จักกับหลวงพ่อสังข์ เมื่อครั้ง ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสโภ) แห่งวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เมื่อครั้งเป็นที่ พระพิมลธรรม ได้เปิดสำนักอบรมวิปัสนากรรมฐาน ขึ้นที่วัดมหาธาตุ ทำให้หลวงพ่อละมูลได้รู้จัก ได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ทำให้ศรัทธา หลวงพ่อสังข์ อย่างแรงกล้าจึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์และให้หลวงพ่อสังข์ลงกระหม่อมให้ด้วย ต่อมาได้นิมนต์หลวงพ่อสังข์ ไปปลุกเสกพระเครื่องที่วัดเสด็จหลายครั้ง อีกทั้งหลวงพ่อละมูลได้นำกฐินมาทอดที ่วัดนากันตม และ เรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมกับหลวงพ่อหลายครั้งที่วัดนากันตมด้วย
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    หลวงพ่อละมูล วัดเสด็จ จ.ปทุมธานี​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กันยายน 2010
  5. คุรบรรลือ

    คุรบรรลือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +945
    หลวงพ่อมีชื่อเสียงทางด้านเวทมนตร์ คาถาอาคมมาก จนคณะสงฆ์ ได้ขอพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระครูอุดมวรเวท ให้หลวงพ่อในปี พ.ศ. 2512 อุดม แปลว่ามากหลากหลาย วร แปลว่าเป็นเลิศ เวท แปลว่า วิชาที่ว่าด้วย เวทย์มนต์คาถาอาคม ซึ่งถ้าแปลรวมกันแล้ว แปลว่าพระผู้มากและหลากหลายในวิชาทางด้านเวทย์มนต์ และคาถาอาคมที่เป็นเลิศ

    แม้แต่เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษในขณะนั้น คือ พระเทพวรมุนี ยังได้เขียนไว้ในหนังสือ พิธีชีวิต ซึ่งพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงพ่อสังข์ ว่า



    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    เครื่งราง ของขลัง ของหลวงพ่อก็ต้อง พระโคโพธิสัตว์ ประการแรก มวลสารที่ใช้เป็นส่วนผสมในการสร้างครับ มวลสารที่สำคัญนั่นก็คือ ผงวิเศษ ที่หลวงพ่อเขียนผง ลบผง และปลุกเสกไว้ตามสูตร อันประกอบไปด้วย ผงปถมัง ผงอิติปิโส ผงอิทธิเจ ผงมหาราช และผงตรีนิสิงเห ซึ่งอย่าลืมว่า หลวงพ่อสำเร็จยันต์จึงเชี่ยวชาญในการทำผงมาก มวลสารที่สำคัญประการต่อมา คือ ผงว่าน 108 ซึ่งหลวงพ่อปลูกสะสมไว้ตามตำรากบิลว่าน เช่น การปลูก ต้องปลูกเดือน 6 วันอังคาร ซึ่งถือว่าเป็นวันแรงมีฤทธิ์ ก่อนจะปลูก จะต้องเอาแผ่นทองแดงลงยันต์ พุทธคุณอิติปิโสแปดทิศเอารองใต้ก้นกระถางก่อนกลบดินปลูก แล้วต้องรดน้ำว่านด้วยการเสกน้ำ ด้วยคาถาอาคมที่กำหนดตามสูตรอีก ส่วนการเก็บกู้จะต้องกู้ในเดือน 12 หรือวันเดือนอ้าย ข้างขึ้นวันอังคาร มีข้อห้ามอย่าให้ถึงฤดูการนกยูงหรือกาเหว่าร้องผสมพันธ์ และอย่าให้ไก่บินข้ามโดยเด็ดขาด มิฉะนั้น ว่านจะเสื่อมคุณสมบัติทันที คนโบราณเชื่อว่า ว่านอย่างหนึ่ง ปรอทอย่างหนึ่ง ถือเป็นของกายสิทธิ์ ดังนั้น การสร้างพระเครื่องสมัยโบราณโดยเฉพาะ ในชุดเบญจะภาคี 4 ใน 5 องค์ คือ พระรอด พระนางพญา พระกำแพงซุ้มกอ พระผงสุพรรณ ก็มีส่วนผสมที่สำคัญเป็นผงว่านและเกสรดอกไม้ทั้งสิ้น แม้กระทั่ง พระเครื่องศักดิ์สิทธิ์องค์สำคัญ คือหลวงปู่ทวดก็เป็นเนื้อว่านครับ


    ส่วนผสมที่สำคัญประการต่อมาคือครั่งครับ หลวงพ่อเลี้ยงครั่งไว้ใช้เองตามต้นไม้ใหญ่ในบริเวณรอบวัด เช่น ต้นจามจุรีหรือก้ามปู ชาวอีสานเรียกต้นฉำฉา ต้นพุทรา และอื่น ๆ ครั่งเป็นมวลสารสำคัญในการผสมเพื่อยึดโยงให้มวลสารต่าง ๆ เกาะติดเป็นเนื้อเดียวกันครับ ประการต่อมา รัก ครับ รักที่ใช้น่าจะเป็นรักน้ำเกลี้ยงครับ ใช้คลุกเป็นส่วนผสมหรือใช้เคลือบเพื่อปิดทองให้ความสวยงาม อีกทั้งใช้จุ่มเพื่อรักษาสภาพของเครื่องรางชนิดนั้น ๆ ให้คงทนถาวรไม่ผุกร่อนง่ายครับ


    ประการต่อมา วิธีคิดและออกแบบในการสร้างครับ หลวงพ่อสร้างพระโคตามตำนานพระโพธิสัตว์ครับ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดมาเป็นมนุษย์และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ท่านผ่านการบำเพ็ญบารมีมาหลายภพหลายชาติ โดยเสวยพระชาติเป็น พระฤาษี พระโค พญาวานร และพญานาค และอื่น ๆ อีกหลายชนิดเช่น นกคุ่ม เป็นต้น หลวงพ่อคิดและออกแบบที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน โดยสร้างแบบ FOUR IN ONE มี 4 หน้า ซ้อนกันอยู่เป็นเอกลักษณ์ของท่านใครดูก็รู้ว่าเป็นของหลวงพ่อสังข์ ดังนั้นพกเครื่องรางพระโคองค์เดียวได้ถึง 4 พุทธคุณ จึงครอบจักรวาล ฤาษีก็เป็นครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง พระโคหรือวัวธนู ก็ทั้งกันและแก้ และต่อสู้ศัตรูรวมทั้งคงกระพันแคล้วคลาด พญาวานร ก็ทั้งรบและรัก มีเสน่ห์ เมตตามหานิยมรวมถึงโชคลาภ พญานาคก็ คุ้มครอง ป้องกันภัยปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และอายุยืน ครับ


    ประการต่อมาภายในพระโค หลวงพ่อสังข์ ท่านบรรจุกริ่งเป็นตะกรุดครับ ตะกรุดดอกนั้น ผู้รู้เล่าว่า ท่านจะทำจากเงิน ทองคำ หรือทองแดงซึ่งท่านนำมาจากประเทศลาว เพราะสมัยก่อนชาวลาวที่มีฐานะ จะทำต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง มาถวายวัดเป็นจำนวนมากเพราะถือว่าได้บุญมาก ก็แล้วแต่ท่านจะใส่ตะกรุดอะไรไว้ในองค์ไหน แต่ที่สำคัญที่สุดท่านจะจาร นะ คาถาหัวใจฤาษีและหัวใจสัตว์ ทั้ง 4 ชนิดไว้ในตะกรุดครับ สุดยอดนะครับ


    พระโคโพธิสัตว์ เนื้อผง พิมพ์ใหญ่อีกพิมพ์หนึ่งของหลวงพ่อสังข์ ครับ องค์นี้ ลงในหนังสือ คู่มือสะสม พระเครื่องเมืองอีสาน ฉบับอีสานใต้ ที่แจกเป็นรางวัลในการประกวดพระเครื่องเมืองศรีสะเกษ เมื่อ วันที่ 14 - 15 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมาครับ


    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>พระโคเนื้อผงพิมพ์เล็ก หลวงพ่อสังข์ วัดนากันตม


    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>มณฑปหลวงพ่อสังข์ วัดนากันตมมาครับ

    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER></CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER></CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>พระอุโบสถที่หลวงพ่อสร้างไว้ก่อนปี 2500 ครับ</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER></CENTER></CENTER></CENTER></CENTER></CENTER>
     
  6. อั๋นวัดสาม

    อั๋นวัดสาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    4,260
    ค่าพลัง:
    +9,022
    สาธุ.....ขอกราบพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยความเคารพยิ่ง
     
  7. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    37,989
    ค่าพลัง:
    +146,259
    อ่านมันส์มากครับ

    ปลาชะโดมีไหมครับ
     
  8. คุรบรรลือ

    คุรบรรลือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +945
    <?import namespace = g_vml_ urn = "urn:schemas-microsoft-com:vml" implementation = "#default#VML" declareNamespace /><g_vml_:shape style="LEFT: 0px; WIDTH: 568px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 2345px" coordsize = "5670,23460" filled = "f" fillcolor = "black" stroked = "t" strokecolor = "#dbdbdb" strokeweight = ".75pt" path = " m0,45 l0,23425 at0,23370,100,23470,-500,23370,124,23854 e"><g_vml_:stroke opacity = "1" miterlimit = "10" joinstyle = "miter" endcap = "flat"></g_vml_:stroke></g_vml_:shape><g_vml_:shape style="LEFT: 0px; WIDTH: 568px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 2345px" coordsize = "5670,23460" filled = "f" fillcolor = "black" stroked = "t" strokecolor = "#dbdbdb" strokeweight = ".75pt" path = " m50,23470 l5665,23470 at5610,23370,5710,23470,5610,23870,6110,23370 e"><g_vml_:stroke opacity = "1" miterlimit = "10" joinstyle = "miter" endcap = "flat"></g_vml_:stroke></g_vml_:shape><g_vml_:shape style="LEFT: 0px; WIDTH: 568px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 2345px" coordsize = "5670,23460" filled = "f" fillcolor = "black" stroked = "t" strokecolor = "#dbdbdb" strokeweight = ".75pt" path = " m5710,23420 l5710,45 at5610,0,5710,100,6110,0,5610,-500 e"><g_vml_:stroke opacity = "1" miterlimit = "10" joinstyle = "miter" endcap = "flat"></g_vml_:stroke></g_vml_:shape><g_vml_:shape style="LEFT: 0px; WIDTH: 568px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 2345px" coordsize = "5670,23460" filled = "f" fillcolor = "black" stroked = "t" strokecolor = "#dbdbdb" strokeweight = ".75pt" path = " m5660,0 l50,0 at0,0,100,100,124,-484,-484,124 e"><g_vml_:stroke opacity = "1" miterlimit = "10" joinstyle = "miter" endcap = "flat"></g_vml_:stroke></g_vml_:shape>
    เหรียญ รุ่นแรก

    [​IMG]




    [​IMG]


    เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสังข์ มีเม็ดตา




    [​IMG]




    [​IMG]


    เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อสังข์ ไม่มีเม็ดตา

    เหรียญ รุ่นแรก ออกปี พ.ศ. 2512 สร้างโดย พระอาจารย์บุญมี วัดสระเกศ จำนวนที่สร้าง 10,000 เหรียญ เนื่องจาก พระอาจารย์บุญมี เห็นว่า หลวงพ่อสังข์ มีชื่อเสียงทางด้านเวทมนต์และคาถาอาคม จากสร้างเครื่องราง ของขลัง ไว้ให้ลูกศิษย์ทำบุญมาหลายปีแล้ว และเมื่อลูกศิษย์นำไปใช้ปรากฏว่ามีประสพการณ์สูง จึงพากันไปเช่าหาที่วัดกันมาก ทำให้ไม่เป็นการพอเพียงกับความต้องการ เนื่องจากการสร้างเครื่องราง ของขลัง แต่ละชิ้นใช้ มวลสารและเวลามาก การสร้างแต่ละครั้งได้ปริมาณน้อยไม่พอแจกจ่ายให้ผู้ที่มีจิตศรัทธา อีกทั้งหลวงพ่อยังไม่เคยสร้างเหรียญ จึงได้ไปปรึกษาหลวงพ่อและทำเหรียญรุ่นแรกออกมา โดยหลวงพ่อ เป็นผู้ออกแบบยันต์ด้านหลังเหรียญด้วยตัวเอง จากการสอบถามพระอาจารย์บุญมี ยืนยันว่า มีบล๊อคเดียว คือมีเม็ดตาแต่เมื่อปั๊มไปนาน ๆ บล๊อคชำรุด ทำให้เม็ดตาหายไป และ มีรอยบล๊อคแตกที่ขอบเหรียญด้านล่างใต้ ง งู ครับ เมื่อสร้างเหรียญได้ครบตามจำนวนแล้ว พระอาจารย์บุญมี จึงได้นำไปให้หลวงพ่อสังข์ ปลุกเสกเดี่ยว ที่กุฏิของหลวงพ่อวัดนากันตม หลวงพ่อทำพิธีปลุกเสกตามวิธีการของหลวงพ่ออยู่นานจนครบสูตร จึงนำออกมาให้ทำบุญในสมัยนั้น เหรียญละ 20 บาท ครับ
     
  9. คุรบรรลือ

    คุรบรรลือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +945
    หลวงพ่อสังข์ ผู้ทรงอภิญญา รู้ภาษาสัตว์ ?

    [​IMG]




    [​IMG]


    เหรียญพระครูสิริกันทรลักษ์ พระอุปัชฌาย์ของพระ




    พระอาจารย์ บุญมี ปภัสโร วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ( ภูเขาทอง ) ลูกศิษย์ใกล้ชิดของ หลวงพ่อสังข์ ผู้ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของหลวงพ่อ และ การสร้างเครื่องราง ของขลัง แก่ผู้เขียนมากที่สุด พระอาจารย์บุญมี ท่านเป็นชาวอำเภอกันทรลักษ์ บวชกับพระครูสิริกันทรลักษ์ ตั้งแต่เป็นสามเณร เมื่อครั้งที่พระครูสิริ ฯ อยู่ที่วัดศิริวราวาส อำเภอกันทรลักษ์ ต่อมา ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่วัดสระเกศ กรุงเทพ ฯ และกลับมาบวชเป็นพระกับพระครูสิริ ฯ อีกครั้งเมื่อท่านพระครูย้ายมาอยู่ที่วัดศรีขุนหาญ อำเภอขุนหาญ

    พระอาจารย์บุญมี เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ครั้งหนึ่ง ประมาณปี พ.ศ.2490 กว่า ๆ เมื่อครั้งที่พระอาจารย์บุญมี ยังบวชเป็นสามเณร อยู่ที่วัดศิริวราวาส ซึ่งพระอุปัชฌาย์ของท่านคือ พระครูสิริกันทรลักษ์ เป็นเจ้าอาวาส ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง (ซึ่งต่อมาจึงได้ทราบว่าท่านคือ หลวงพ่อสังข์ ) ได้มาพบพระครูสิริ ฯ ที่วัด แต่ช่วงเวลานั้นท่านพระครูไม่อยู่ที่วัด ไปปฏิบัติศาสนกิจนอกวัด แต่สั่งเณรว่า ไม่นานก็จะกลับมา ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูหนาวหลวงพ่อก็มานั่งผิงไฟแก้หนาวกับเณรข้างกุฏิเพื่อรอท่านพระครู หลวงพ่อสังข์ ได้สังเกตุเห็น สุนัขตัวหนึ่ง ลักษณะดี ท่าทางองอาจ เห่าเก่ง ไล่กัดกับสุนัขตัวอื่น ๆ อยู่โดยไม่กลัวใคร จึงถามเณรว่า เณรสุนัขตัวนี้เป็นของใคร เณรตอบว่า เป็นสุนัขของวัดอยู่กับพระครูตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่ทราบว่าใครนำมาปล่อยทิ้งไว้ เมื่อพระครูกลับมาถึงวัด หลวงพ่อสังข์จึงพูดกับพระครูว่า สุนัขตัวนี้มันสวยดี อยากจะขอไปเลี้ยงที่วัดนากันตมได้ไหม พระครูไม่ปฏิเสธ แต่ได้พูดเปรย ๆกับหลวงพ่อว่า สุนัขตัวนี้มันฮ้าย ( ดุ )นะ มันอยู่กับอาตมามาตั้งแต่เล็ก ๆ จนมันติดวัดแล้ว มันจะยอมให้จับมันไปอยู่ด้วยหรือ ? หลวงพ่อสังข์ บอกว่า จะลองดู จึงหันไปเรียกพระอาจารย์บุญมี ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ว่า เณร ขอข้าวเหนียวซักปั้น(ก้อน)ซิ เมื่อได้ข้าวเหนียวมาแล้ว หลวงพ่อก็นั่งยอง ๆ ลงกับพื้น ใช้มือทั้งสองข้างปั้นข้าวเหนียวคลึงไปมาพร้อมกับบริกรรมคาถามุบมิบเบา ๆ ซึ่งพระอาจารย์บุญมีก็ฟังไม่ออก ชั่วอึดใจก็เป่าเพี้ยงไปที่ก้อนข้าวเหนียว 3 ครั้ง แล้วก็เรียกสุนัขตัวนั้นเข้ามาหา เป็นที่น่าประหลาดใจแก่สามเณรบุญมีมาก มันวิ่งเข้ามาหาหลวงพ่อแสดงอาการดีใจ กระดิกหาง หมอบลงแทบเท้าหลวงพ่อ และยอมให้หลวงพ่อเอามือลูบหัว พอหลวงพ่อยื่นข้าวเหนียวก้อนนั้นให้ มันใช้ปากงับเอากับมือแล้วก็กิน หลวงพ่อสังข์ มองดูมันกินข้าวเหนียวด้วยความเอ็นดูอยู่พักหนึ่ง จึงได้ขึ้นไปบนกุฏิท่านพระครูเพื่อพูดคุยธุระการงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นเวลานานพอสมควร แต่พระอาจารย์บุญมี สังเกตุเห็นว่า สุนัขตัวนั้นไม่วิ่งหนีไปไหน คงหมอบอยู่ตรงข้างบันใดกุฏิ ตามองไปที่ประตูกุฏิตลอดเวลา เมื่อหลวงพ่อสังข์ เดินลงมา มันลุกขึ้นแสดงอาการดีใจ กระดิกหางและเข้าไปคลอเคลีย หลวงพ่อสังข์ จึงพูดขึ้นว่า ไปกลับวัดนากันตมด้วยกัน พอหลวงพ่อออกเดินไปขึ้นรถ สุนัขตัวนั้นก็วิ่งตามหลวงพ่อไปทันที และก็ไปอยู่ที่วัดนากันตมตั้งแต่นั้นมา

    พระอาจารย์บุญมี ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตลอด จึงได้แต่แปลกใจว่า หลวงพ่อสังข์ องค์นี้ ต้องเป็นเกจิอาจารย์ที่ไม่ธรรมดาแน่นอน อาจจะถึงขั้นสำเร็จอภิญญา รู้ภาษาสัตว์ก็ได้ ต่อมา เมื่อพระอาจารย์ย้ายมาอยู่วัดสระเกศ เวลาหลวงพ่อสังข์ลงมากรุงเทพ ฯ ก็มาพักอยู่ด้วย พระอาจารย์บุญมี จึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์และคอยปรนนิบัติรับใช้ จนกระทั่งหลวงพ่อสังข์ มรณะภาพในปี พ.ศ. 2526 พระอาจารย์บุญมี ก็ไปจัดการทำพิธีขอพระราชทานเพลิงศพให้ อีกทั้งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเงินก่อสร้างมณฑป เพื่อบรรจุอัฐิและอังคารของหลวงพ่อสังข์ ให้ลูกศิษย์ได้กราบไหว้มาจนทุกวันนี้<?import namespace = g_vml_ urn = "urn:schemas-microsoft-com:vml" implementation = "#default#VML" declareNamespace /><g_vml_:shape style="LEFT: 0px; WIDTH: 568px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 1959px" coordsize = "5670,19600" filled = "f" fillcolor = "black" stroked = "t" strokecolor = "#dbdbdb" strokeweight = ".75pt" path = " m50,19610 l5665,19610 at5610,19510,5710,19610,5610,20010,6110,19510 e"><g_vml_:stroke opacity = "1" miterlimit = "10" joinstyle = "miter" endcap = "flat"></g_vml_:stroke></g_vml_:shape>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กันยายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...