ส้น... -ีนไงล่ะ ... “ตัวโกรธมันเป็นอย่างนี้นะ”( หลวงปู่บุดดา)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 26 ตุลาคม 2020.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973

    ?temp_hash=20523204d108c2cc1bb3d4eddfe49b89.jpg





    ส้นตีนไงล่ะ

    “ตัวโกรธมันเป็นอย่างนี้นะ”



    เก็บธรรมะจาก
    คำสอนหลวงปู่บุดดา ถาวโร



    หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    จัดว่าเป็น “รัตตัญญู” คือเป็นผู้เก่าแก่และมีประสบการณ์มากรูปหนึ่งของคณะสงฆ์ไทย ด้วยท่าน มีอายุยืนนานถึง ๑๐๑ ปี ก่อนจะมรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ สมัยที่ยังหนุ่ม ท่านมีโอกาสพบปะครูบาอาจารย์ที่สำคัญ หลายรูป เช่น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) และ ครูบาศรีวิชัย ท่านหลังนี้เคยทักหลวงปู่บุดดา เนื่องจากเห็น ท่านไม่พาดสังฆาฏิว่า “เฮาเป็นนายฮ้อย ก็ต้องให้เขาฮู้ว่าเป็นนายฮ้อย ไมใช่นายสิบ” นับแต่นั้นมาหลวงปู่จึงพาดสังฆาฏิติดตัวตลอดเวลา จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของท่าน หลวงปู่บุดดาเป็นพระป่า ชอบธุดงค์ ไม่มีวัดเป็นหลัก แหล่ง จนเมื่ออายุ ๘๗ ปีจึงได้มาประจำที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี กระทั่งมรณภาพ
    แม้หลวงปู่บุดดาจะไม่ได้เล่าเรียนในทางปริยัติมาก แต่ ความที่ท่านเชี่ยวชาญในการปฏิบัติ จึงมีความสามารถในการสอนธรรมชนิดที่สื่อตรงถึงใจ มีคราวหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้ไป เทศน์คู่กับท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งซึ่งเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค ท่านเจ้าคุณรูปนั้นคงเห็นหลวงปู่เป็นพระบ้านนอกจึงอยากลอง ภูมิหลวงปู่ ได้ถามหลวงปู่ว่า “จะเทศน์เรื่องอะไร”
    หลวงปู่ตอบว่า “เรื่องตัวโกรธ กิเลสตัณหา”
    ท่านเจ้าคุณซักต่อว่า “ตัวโกรธเป็นอย่างไร”
    หลวงปู่ตอบสั้นๆ ว่า “ส้นตีนไงล่ะ”
    เท่านั้นเองท่านเจ้าคุณก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไมย่อมเทศน์ กับหลวงปู่ วันนั้นหลวงปู่จึงต้องขึ้นเทศน์องค์เดียว เมื่อเทศน์จบ แล้ว ท่านก็ไปขอขมาท่านเจ้าคุณองค์นั้น พร้อมกับอธิบายว่า
    “ตัวโกรธมันเป็นอย่างนี้เองนะ มันหน้าแดงๆ นี้แหละ มันเทศน์ไม่ได้ คอแข็ง ตัวโกรธสู้เขาไม่ได้ ขึ้นธรรมาสน์ก็แพ้เขา ใครจะเป็นนักเทศน์ต่อไปจดจําเอาไว้นะ ตัวโกรธน่ะ นักเทศน์ไป ขัดคอกันเอง มันจะเอาคอไปให้เขาขัด”
    หลวงปู่บุดดารู้จักตัวโกรธดี ท่านรู้ว่าตัวโกรธกลัวคนกราบ ท่านเล่าว่าตั้งแต่เริ่มบวช ท่านพยายามเอาชนะความโกรธด้วย การกราบ เวลาโกรธท่านจะลุกขึ้นกราบพระ ๓ ครั้ง โกรธ ๒ ครั้ง ก็กราบพระ ๖ ครั้ง โกรธ ๑๐๐ ครั้ง ก็กราบ ๓๐๐ ครั้ง ทำเช่นนี้ หลายครั้ง ความโกรธก็ครอบงำท่านไม่ได้
    เมื่อความโกรธเป็นใหญ่เหนือใจไม่ได้ ความเมตตาและ อ่อนน้อมถ่อมตนก็ตามมา หลวงปู่บุดดาขึ้นชื่อในเรื่องนี้มาก คราวหนึ่งท่านกำลังจะเดินข้ามสะพาน ก็เห็นสุนัขตัวหนึ่งนอน ขวางทางอยู่บนสะพาน แทนที่ท่านจะเดินข้ามสุนัขตัวนั้น หรือไล่ มันให้พ้นทาง กลับเดินลงไปลุยโคลนข้างล่าง
    ท่านว่าไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับความขุ่นเคืองเพียงเพื่อ เห็นแก่ความสะดวกของตนเอง แม้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน ท่าน ก็ไม่ปรารถนาจะเบียดเบียน[1]
    นอกจากนี้คำสอนของท่านยังมีลูกศิษย์ที่ได้รวบรวมไว้ในวาระรำลึกถึงคุณของหลวงปู่บุดดา ทางสารธรรมนำใจได้ยกมาเพิ่มในที่นี้เป็นบางข้อ (จากหนังสือ ที่ระลึกหลวงปู่บุดดา อายุ ๙๙ ปี เก็บธรรม โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน) ท่านว่า หมา–แมวทุกตัว สัตว์ทุกตัวมีจิตเหมือนเรา บางตัวอาจดีกว่าเรา แต่กรรมก่อนตายบังคับให้เขามาเกิดอย่างนี้ อาจจะเป็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ในอดีตก็ได้ หากเราไปเตะเขา เบียดเบียนเขา ก็เท่ากับเตะญาติของตนเอง เมื่อเขาตายไปก็ไปเสวยกรรมดีต่อ อาจเป็นเทวดา พรหม แล้วบำเพ็ญบารมีต่อไปนิพพานก็ได้ ฉะนั้น เตะสัตว์ อาจมีบาปไม่มีประมาณก็ได้
    การตีลูก ตีหลาน ท่านให้ลองตีตัวเองดูก่อน ถ้ามันไม่เจ็บก็ดีได้ ถ้ามันเจ็บก็อย่าตี
    หลวงปู่นี่ไม่เคยยอมแพ้ใคร? ท่านตอบว่า ไม่เคยชนะใคร แล้วจะไปแพ้ใครล่ะ กีฬาของธรรมะนี้ดีเสมอ ไม่มีแพ้–ชนะใคร ไม่มีเบียดเบียนกัน ให้อภัยกันเสมอ (การเอาแพ้เอาชนะกัน คือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม กรรมยังเป็นสมมุติธรรม ใครยึดติดกับมันล้วนเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ไม่มีทางจะบรรลุ หรือหลุดพ้นจากบ่วงของมารไปได้เลย เพราะเป็นมิจฉาทิฎฐิ ยิ่งทำ ยิ่งเจริญ ก็ยิ่งห่างจากความดี)
    ผู้ถามอยากตามหลวงปู่ไว ๆ ตอบว่า “อยากตามไว ๆ ก็ตามปัจจุบันซิ คนโง่ชอบตามอดีต อนาคต ก็โค้งไปโค้งมา”
    “ที่เก็บอารมณ์ (ห้ามพูด) เฉพาะอุบาสิกา” เรื่องนี้ดูเหมือนจะมีคนไปถามหลวงปู่บุดดา ท่านตอบว่า “อ้ายคนไหนที่ไปห้ามมันพูด คนนั้นแหละมันพูดมากที่สุด” ให้คิดเอาเอง เหมือนพระนภดล ไปถามว่า ผู้หญิงจับหลวงปู่ได้ไหมเวลาป่วย ท่านตอบว่า ได้ เขาทำตามหน้าที่
    ถาม หลวงปู่จับผู้หญิงได้ไหม? ตอบ เขาจับเรา ไม่ใช่เราจับเขา ถาม ผมเห็นผู้หญิงบางคนมากราบหลวงปู่ หลวงปู่ใส่แป้งที่หัวเอามือลูบผมขนหัวเขาด้วย มันอยู่ที่เจตนาของใจ หากมีเจตนาจับผู้หญิงก็ผิด ตอบ นั่นมันไม่ใช่ผู้หญิงเขียนไว้ให้คิดเล่นแก้ง่วง (ท่านจับหนังหุ้มขี้) [2]
    คติธรรมคำสอนหลวงปู่บุดดา ถาวโร สอนศิษย์ ตีพิมพ์ (ในนิตยสารธรรมจักษุ ปีที่๗๘ ฉบับที่๑๑ ประจําเดือนมีนาคม ๒๕๓๘)



    โสดาของทายก
    คณะอุบาสกอุบาสิกาและทายกของวัดหนึ่งพร้อมใจกันมากราบหลวงปู่ด้วยความปีติใจที่มาปฏิบัติค้างคืนที่วัด ๑ คืน หลวงปู่ได้เมตตาให้ธรรมะกับคณะทายกนี้ว่า
    “มาวัดก็เป็นโสดาเต็มวัด เต็มโบสถเต็มศาสนา พอออกจากวัดก็เป็นบ้านกูของกูหมด
    เออ ! โสดาหายหมด วิ่งมาวัดหมด โสดาเฉพาะมาอยู่วัดคืนเดียววันเดียว พอกลับไป
    บ้านเป็นคนหมด”



    ระวังจะโดนม้าเตะ
    หลวงปูู๋ท่านเมตตาให้ธรรมะกับชาวบ้านที่ตั้งใจมาขอหวย ชะรอยคนกลุ่มนี้คงจะเป็นนักพนันตัวยงหลวงปู่ได้เทศน์ว่า
    “คนดีต้องหนีบ้าซิ ! บ้ากับบ้าก็ไปต่อยกันซิ สนามมวยต่อยกัน ไม่รู้จักเจ็บจักตาย
    สนามม้าก็เหมือนกัน สร้างเสร็จหมดเงินตั้งแสนตั้งล้าน มีทุนเท่าไรไปทุ่มเทในสนามม้าหมด
    เราบอกมันตรงๆ ไม่เชื่อหรอก ไปสนามม้าบ่อยๆระวังม้าเตะนะ! ถุงขาดนะ กระเป๋าขาดนะ เงินหมดเลยเหลือแต่ร่างกาย”



    ห่วงและหวง
    มีโยมคนหนึ่งมาทําบุญที่วัดกลางชูศรีเจริญสุขแล้วก็ไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ยื่นกระป๋องแป้งให้แล้วบอกให้โยมคนนั้นให้เอาไปโรยให้หมาขี้เรื้อนในวัดตัวหนึ่งแล้วท่านก็บอกว่า
    “หมาตัวนี้มันเคยเป็นนคนสร้างวัดมาก่อน มันเคยเป็นเจ้าของวัด มันรักวัดมากใครมาทําให้วัดสกปรกมันจะเห่า” ขนาดเป็นหมาก็ยังรักวัดอยู่ห่วงและหวงวัด หญิงคนนั้นก็เลยคิดว่า หลวงปู่คงให้สติว่า “เวลาทําบุญ ก็อย่าหวงบุญของตนเอง”



    สํานึกบาป
    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่าขณะที่ท่านนั่งปฏิบัติอยู่ในถ้ําก็มีตะขาบตัวหนึ่งไต่ขึ้นภายในสบง ผ่านเอวแล้วผ่านหลังท่านขึ้นไป ท่านจึงต้องกลั้นลมหายใจ ปิดหูปิดตา ปิดปากหมดเจ้าตะขาบจึงเข้าไม่ได้
    หลวงพ่อสงฆ์เห็นหลวงปู่นั่งหลับตา มีตะขาบตัวใหญ่มากขึ้นไปขดอยู่กลางศีรษะของท่าน หลวงพ่อสงฆ์ต้องเอาผ้าอาบของท่านหย่อนลงให้ตะขาบไต่ขึ้นผ้าแล้วจึงเอาไปปล่อย พอรุ่งเช้า หลวงปู่ท่านไปดูที่หน้าถ้ํา เห็นมันกัดตัวมันเองจนขาดเป็นท่อน ๆกองอยู่ที่ปล่อยนั่นเอง “สงสัยตะขาบมันคงจะสํานึกบาป มันก็เลยกัดตัวมันเองจนตาย”


    ด่วนพิเศษ
    หลวงปูู่ท่านเอาของไปแจกที่ภาคใต้คราวที่ถูกพายุเกย์ขณะรถที่หลวงปู่นั่งไปนั้นกําลังแล่นไปตามถนนด้วยความเร็วสูงเกินอัตราจึงถูกตรวจจับเพราะฐานที่ขับรถเร็วหลวงปู่นั่งอยู่ในรถได้ยินการโต้ตอบกัน หลวงปูท่านก็เลยพูดกับตํารวจว่า “วิ่งเร็วยังไง ? วิ่งตั้งสองวันแล้วยังไม่ถึงที่แจกของเลย !”ตํารวจผู้นั้นหัวเราะรับ ทําความเคารพหลวงปู่แล้วก็ปล่อยรถของหลวงปู่ไป
    อดีตเมื่อ ๕๐๐ ชาติที่แล้ว
    ดิฉันพาเพื่อนบ้านอายุ๓๐ ปีกว่า ๆ ไปกราบหลวงปู่ เพราะเห็นว่าเพื่อนบ้านมีทุกข์เมื่อกราบแล้ว หลวงปู่ก็ชี้หน้าบอกว่า “โยมนี่ เคยเป็นแม่ของอาตมาเมื่อ ๕๐๐ ชาติที่แล้ว” หญิงคนนั้นก็ร้องไห้คงจะเสียใจว่าตนเองยังไม่เคยได้ธรรมะอะไรเลย ไม่รู้จักธรรมะและก็อาจจะตื้นตันดีใจ ที่ตนเองเคยเป็นถึงแม่ของหลวงปู่แต่ตนเองก็ยังวนเวียนอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา เธอร้องไห้แล้วก็ถามหลวงปู่ว่า
    “ดิฉันเคยเป็นแม่หลวงปู่แล้วทําไมดิฉันจึงยังต้องมีความทุกข์อยู่อย่างนี้เจ้าคะ” หลวงปู่ตอบว่า
    “ก็มัวแต่ไปอาศัยท้องคนอื่นเกิดบ้างแล้วก็ให้คนอื่นมาอาศัยเกิดบ้างก็เป็นอย่างนี้แหละ”
    ไม่ติดอะไรเลย
    มีคณะทัวร์มากันหลายคันรถ มากราบขอพรหลวงปู่คณะนี้มีทั้งพระและโยมมาด้วยกัน ตอนหนึ่งหลวงปู่ได้ให้ธรรมะว่า
    “อยู่บ้านอย่าติดบ้านนะ อยู่วัดอย่าติดวัดนะ อยู่ถ้ำก็อย่าติดถ้ำนะ ติดที่ไหน เป็นกิเลสที่นั่น”
    กรรมฐานอย่าเลือกกิน
    มีพระปฏิบัติธุดงค์กรรมฐานกลุ่มหนึ่ง มากราบหลวงปู่เพื่อขอโอวาท หลวงปู่ก็ให้โอวาทในตอนหนึ่งว่า
    “พระกรรมฐานอย่าเลือกกิน จะกินแล้ง กินแห้ง กินหวาน กินคาวมันก็เป็นอาหารทั้งนั้นข้าวเจ้าจะไปเลือกทําไม ? ข้าวเหนียวจะไปเลือกทําไม กินข้าวสุกต่างหากอย่ากินข้าวดิบเดี๋ยวกินเนื้อเดี๋ยวกินอย่างโน้น กินอย่างนี้นั้นกินตามสมมติกินอาหารตามมีตามได้ไม่ใช่กินผักกินเนื้อ”
    สามีของข้า ใครอย่าแตะ
    มีหญิงคนหนึ่งมาหาหลวงปู่ด้วยความกลัดกลุ้มใจ ทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส เนื่องด้วยสามีแอบไปมีเมียน้อยก็มากราบหลวงปู่แล้วก็เล่าให้หลวงปู่ฟัง หลวงปู่ก็พูดว่า
    “คนไทยนี่อะไรๆ ก็ไม่เสียดายหรือ ในโลกนี้ให้หมดนะ อามิสนะ !แต่มีข้อแม้ว่า…ผัวดิฉันนะ ! ใครแตะไม่ได้นะ !เอาตายเชียวนะ ! จะไปนิพพานจะเอาผัวไปด้วย ปัทโธ่ !
    เขาไปนิพพาน เขาเอาผัวเอาเมียไปด้วยที่ไหนกัน ? เขาเอาธรรมะไปต่างหากล่ะ ! “



    ฉันเกลียดแม่
    หญิงคนหนึ่งเล่าให้หลวงปู่ฟังว่า เธอเกลียดแม่ของเธอมากเพราะแม่ไปมีผัวใหม่แลแม่ไปรักผัวมากกว่าลูก หลวงปู่จึงบอกว่า
    “แม่ไปมีผัวใหม่ก็เรื่องของเค้าซิให้เอาเรืองที่เกี่ยวข้องกับเราที่เขาอุ้มท้องเรามา ๙ เดือนเราตอบแทนได้คุ้มค่าหรือเปล่าล่ะ มารดาบิดานั้นเป็นหลายอย่าง เป็นบุพการีแก่บุตรธิดาด้วยเป็นเทวดาธรรมด้วย อุปถัมภกธรรมด้วย มารดาบิดาเป็นเนยยะบุคคลเป็นอรหันต์ของลูกสาวลูกชาย อย่าข้ามสําหรับท่านอย่าข้ามหัวพระให้พระทั้งสององค์ก่อนให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนั้น” หลวงปู่บอกให้รักแม่นะหญิงคนนั้นก็นั่งร้องไห้น้ําตาไหล


    อยากขอของดี
    ความศรัทธาของญาติโยมที่มีต่อพระก็มีหลายแบบ ญาติโยมบางพวกก็ยังอยู่เฉพาะแต่กระพี้คือเช่นในครั้งหนึ่ง หลวงปู่ท่านไปธุดงค์ในถ้ําขากลับมา พวกญาติโยมก็พากันจะไปขอของดีจากท่าน เพราะเขาเข้าใจว่า พระธุดงค์ที่ออกมาจากถ้ําต้องมีของดีแน่ก็ถามหลวงปู่ว่า “มีของดีอะไรมาฝากบ้าง”
    หลวงปู่บอกว่า “ก็ได้ธรรมะมาฝากแล้วไงล่ะ”


    หลงเขา หรือเปล่า
    ในวันหนึ่ง มีผู้แสวงหาธรรมะกลุ่มหนึ่ง เดินทางจากจังหวัดนนทบุรีเพื่อจะไปกราบหลวงปู่ เพื่อเป็นสิริมงคลและถามธรรมะข้อข้องใจ ทั้งคณะก็ทราบแล้วว่า หลวงปู่ท่านให้ธรรมะกับญาติโยมจนหมด บอกทางไว้หมดแล้วขึ้นอยู่กับโยมว่าจะปฏิบัติตามท่านได้หรือไม่ไปถึงก็ได้กราบท่าน ท่านก็นั่งอยู่บนเตียง นั่งเฉยโยมผู้หญิงคนหนึ่งก็เลยถามหลวงปู่ขึ้นว่า
    “หลวงปู่คะ คนเราเกิดมาทําไมคะ ?”
    หลวงปู่บอกว่า “เกิดตายเป็นตัวหลง ตัวโมหะถ้าไม่พ้นเกิด ไม่พ้นตายแล้วจะเกิดมาทําไม !เกิดเป็นทุกข์ตายเป็นทุกข์จะเอาอีกหรือ ? เกิดก็ไม่เที่ยง ตายก็ไม่เที่ยงแล้วเราจะมาเกิด จะมาตายทําไม ?กายนี้เขาทดสอบเราว่า ‘หลงเขาหรือเปล่า’ ถ้าหลงกายนี้ก็เกิดบ่อย ตายบ่อยเป็นทุกข์บ่อยๆ นะ”

    มีีอะไรก็ปวดอันนั้น
    มีหญิงชราผู้หนึ่งเดินทางมาจากจังหวัดในภาคเหนือและได้มีโอกาสมากราบหลวงปู่หญิงชราคนนี้แกก็ไประบายความกลุ้มใจของแกให้หลวงปู่ฟังอย่างยืดยาวว่า
    “ดิฉันชอบเป็นโรคปวดศีรษะ ปวดมากเลยเจ้าค่ะ”
    หลวงปู่ก็ฟังนั่งเฉยไม่พูดอะไรแม้แต่คําเดียว นั่งนิ่งมองดูอยู่เฉย ๆ หญิงชราผู้นั้นเห็นหลวงปู่ไม่พูดอะไรคงผิดหวังก็เลยขอลากลับ หลวงปู่จึงพูดว่า
    “ปูไม่มีหัว ปูมันปวดหัวหรือเปล่า ?งูไม่มีขา งูมันปวดขาหรอเปล่าล่ะ ?”


    ธรรมะของใคร
    ญาติโยมคณะหนึ่ง เป็นกลุ่มที่ชอบแสวงหาหลวงปู่หลวงพ่อองค์ไหน ๆ ที่ว่าดังเทศน์ดีปฏิบัติดีธรรมะดีโยมคณะนี้ก็จะพากันไปกราบไหว้ไปฟังเทศน์และปฏิบัติระหว่างทางก็พูดคุยวิจารณ์กัน เรื่องธรรมะของอาจารย์องค์นั้นองค์นี้เมื่อมาถึงวัดหลวงปูู่ทุกคนก็เข้าไปกราบหลวงปู่แล้วก็อยากจะฟังเทศน์ของหลวงปู่บ้าง
    หลวงปู่ก็พูดว่า “ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมะของเรานะ ธรรมะของเราจะมีอะไร ?”


    จะเลือกอย่างไหนดี
    วันหนึ่ง หลังจากว่างจากรับญาติโยมแล้วอุบาสิกาคนหนึ่งก็คุยให้หลวงปู่ฟังเรื่องนางงาม หลวงปู่ก็เปรยๆ ขึ้นมาว่า “เกิดมา ๙๐ ปีแล้วไม่เห็นมีนางงาม รูปเหม็น ๆเน่าๆ มีแต่ขี้ พระเอกนางเอกไม่มีหรอก มีแต่พระเอกขี้ นางเอกขี้ ขี้เต็มตัวเต็มหูเต็มตา จะไปเอานางเอกที่ไหน ? เลือกเอาแต่ธรรมะซี่.”



    อวดกิเลส
    ลูกศิษย์ของหลวงปู่ชี้ให้หลวงปู่ดูวรรณกรรมบนกระจกท้ายรถเขียนไว้ว่า “ทําดีได้ดีมีที่ไหนทําชั่วได้มีมีถมไป”
    หลวงปู่บอกว่า “อ้ายนั่นนะ ! มันไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันเอาแต่ข้อวัตรของมัน มันเอากิเลสมาอวด ปุทโธ่ ! พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้น”


    แย่งกระดูกกัน
    หลวงปูู่ท่านเปรย ๆ ขึ้นในวันหนึ่งถึงพวกญาติโยมที่ไปเผาศพพระอริยสงฆ์ทั้งหลายก็ชอบที่จะขอพระธาตุกันมาเก็บเอาไว้มากน้อยแล้วแต่ที่จะหาได้หลวงปู่ท่านพูดว่า
    “ธรรมะมันไม่เอา มันจะเอาแต่กระดูกจะรบราฆ่าฟันกันก็เพราะกระดูก น่าสังเวช !”


    “อยากได้บุญมากๆ”
    โยมคนหนึ่งเห็นว่า เงินทองเป็นสิ่งหามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน เวลาจะทําบุญ จึงนึกอยากเลือกทำบุญให้คุ้มค่าเหนื่อยถ้ามีโอกาสจะเลือกทํากับพระอริยบุคคลเพื่อหวังจะได้บุญมากๆ ฉะนั้นวันหนึ่งขณะที่ได้ถวายสังฆทาน กําลังอุ้มผ้าไตรถวายแด่พระคุณหลวงปู่ในใจ ก็นึกปกติยินดีว่าโอหนอ! วันนี้ฉันโชคดีจังเลยที่จะได้ทําบุญกับพระอรหันต์บุญที่ได้ย่อมมากเป็นพิเศษ แค่นึกในใจเท่านั้น หลวงปู่มองหน้าแล้วพูดว่า “ผู้รับหมดกิเลส ผู้ถวายก็ต้องหมดกิเลสด้วยนะจึงจะได้บุญมาก”
    โอโฮ ! ผู้ถวายสะอึกไปเลยคําพูดของหลวงปู่ประทับใจมาก ทําให้นึกว่าอย่างไรเสียเราจักต้องพยายามจัดการกับกิเลสของตนให้จงหนักเพื่อความสมปรารถนาแห่งใจตนไม่วันใดก็วันหนึ่ง สาธุ



    “เกาะชายจีวร”
    ในวันหนึ่งมีผู้ศรัทธาหลายท่าน ได้มากราบหลวงปู่มีผูู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปีกว่าเข้ามากราบหลวงปู่ด้วยความศรัทธา เธอนั่งพนมมือแล้วถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่เจ้าคะลูกจะขอเกาะชายจีวรหลวงปู่ไปนิพพาน ด้วยคนนะเจ้าคะ “
    หลวงปู่หันหน้ามาพูดตอบหญิงคนนั้นว่า “ขี้แทนกันได้หรือเปล่าล่ะ?”


    “ไปดูหนังกันดีกว่า”
    หญิงสาวกลุ่มหนึ่งมากราบหลวงปู่แต่ละคนก็แต่งกายสวยงามรัดกุม ตอนหนึ่งหลวงปู่เทศน์ให้ฟังว่า “อยากดูหนังก็ให้ดูหนังเรา มีให้ดูตลอดเวลาดูตามนี้ธรรมะดีขึ้น หนังเรามันดีลง จะไปติดอะไรกับหนัง จะไปเสียดายอะไรกับหนัง แค่กระดาษห่อขนมปังเท่านั้นเอง คนรู้น่ะ ! เขาทิ้งกระดาษห่อขนมปังทั้งนั้นแหละ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ท่านรู้อย่างนี้ท่านจึงไม่หลงไม่ลืม แล้วเราจะอวดดีไปหลงไปลืม ทําไม !”



    “สึกทําไม”
    พระภิกษุหนุ่มองค์หนึ่ง บวชเรียนธุดงค์กรรมฐานได้หลายพรรษาแล้วเกิดร้อนผ้าเหลืิองก็มีความปรารถนาอยากจะสึกมากเพราะต้องการที่จะไปแต่งงาน ก็มากราบลาหลวงปู่เพื่อขอพร บอกหลวงปู่ครับผมจะสึก หลวงปู่ก็ถามเหตุผล ภิกษุหนุ่มผู้นั้นก็อ้างเหตุผลต่าง ๆ นานาตอนหนึ่งหลวงปู่ก็ให้โอวาทว่า
    “สึกทําไม? พระเณรสึกทําไม? เปลืองข้าววัดไม่แล้วยังเปลืองข้าวพ่อแม่อีกโอ่โธ่! นึกว่าจะไปช่วยทํางาน กลับไปช่วยให้เสียเงินเสียทองอีก พวกโกหกตัวเองนี่ โกหกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยเพราะฉะนั้น อย่าหัดโกหกเลย ถ้าไม่รู้ว่าบวชเพื่ออะไรแล้วจะบวชทําไม? บวชโง่ๆ งั่งๆ บวชทําไมล่ะ! เกะกะบ้านเมืองเขา บวชแล้วต้องฉลาดซี่”



    “เมื่อไรจะละสังขาร”
    มีญาติโยมที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ก็มักจะชื่นชมความอายุยืนของหลวงปู่และก็อยากจะให้หลวงปู่มีอายุยืนนานไปมากๆ ก็พยายามขอให้หลวงปู่มีอายุยืนกว่ารอยปีบางพวกก็สงสัยอยากทราบว่า หลวงปู่จะละสังขารเมือไร? ก็เลยกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ครับ หลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร? บอกได้ไหมครับ?”
    หลวงปู่ตอบว่า “ตายวันไหน ก็บอกวันนั้นซี่”



    “พระธุดงค์”
    มีพระกลุ่มหนึ่งจะออกธุดงค์ก็ได้มากราบขอพรหลวงปู่และขอคําแนะนําก่อนที่จะไปธุดงค์หลวงปู่ก็ให้โอวาทว่า “เข้าป่าก็ให้เข้าป่าเป็นปัญญา เข้าป่าโง่ๆ ก็เป็นถูดงค์ไม่ใช่ธุดงค์นะ”



    “ฟังธรรมะอย่างไรดี?”
    ในตอนหนึ่ง หลวงปู่ท่านได้เทศน์โปรดญาติโยมจากกรุงเทพฯ ทุกคนนั่งสมาธิหลับตาฟังกันอย่างสงบ หลวงปู่ก็กวาดสายตาไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้างแล้วก็เทศน์เป็นช่วง ๆ ก่อนจบหลวงปู่พูดว่า
    “ฟังธรรมะไม่ใช่ฟังเท ฟังทิ้งนะ ฟังธรรมต้องทําไปด้วยซี่”



    “ขี้ของกู”
    หลวงปู่ปรารภขึ้นลอย ๆ ในวันหนึ่งว่า “คนเรานี่มันบ้าขี้ออกไปจากตูดแล้วก็ยังยึดว่าขี้ของกูอีก”แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีชาย ๒ คน คนแรกเดินไปในทุ่งแล้วขี้กองเอาไว้อีกคนหนึ่งเดินมาเห็นขี้กองนั้น แต่ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ขี้ชายคนที่สองก็บ่นว่า
    “ขี้ของใครวะ?เหม็นตายห่า” พอดีเจ้าของขี้ได้ยินเข้าโมโหใหญ่พูดตอบว่า
    “มึงมาด่ากูขี้เหม็นทําไมวะ!” อีกคนก็ตอบว่า
    “กูไม่รู้นี่ว่าขี้ของมึง” ทั้ง ๒ คน ก็เลยทะเลาะกัน
    หลวงปู่บอกว่า “ดูซี่คนเราแม้แต่ขี้ของมันถ่ายออกไปแล้วใครมาว่ามันก็ยังโกรธ นั่นแหละความหลง”



    “เกิดบ่อยๆ ตายบ่อยๆ สนุกหรือ?”
    มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งชอบติดตามฟังธรรมของหลวงปู่เสมวันหนึ่งหลวงปู่บอกว่า
    “ขอให้เป็นผู้ช่วยเหลือดํารงค์พุทธศาสนาเอาไว้ด้วยนะให้มลมหายใจเป็นธรรมะยืนเดิน นั่ง นอนเป็นธรรมะลมหายใจเข้าออกอยู่กับธรรมะเกิดบ่อย ๆ ตายบ่อย ๆ สนุกหรือ? อย่าตายนะ ! จะได้ไม่เกิดคนที่ไม้ตายคือคนที่ตัดอาสวะได้ตัดกิเลสตัณหาได้เราพ้นจากอาสวะเดี๋ยวนี้ก็สําเร็จตลอดไป ไม่มีเสื่อมนะ”




    “เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเอง”
    นักศึกษาท่านหนึ่งได้เรียนถามหลวงปู่ว่า “คนเราเกิดมาเพื่ออะไรคะ”
    หลวงปู่ตอบว่า”
    “เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเองซี่! ให้ละกามเด็ดขาดในภพนี้ตัดให้ขาดจากกามเป็นของคู่ปุถุชนเต็มขั้นหนาด้วยกิเลส ได้แต่ศึกษาไม่นํามาปฏิบัติแล้วจะรู้แจ้งได้อย่างไรเล่า ? เกิดมาทําไมให้ต้องวนเวียน เกิดแล้วตายไม่สิ้นสุดจะเอาอีกหรือ? เราชาวพุทธให้เร่งเจริญอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ศาสนอยู่ที่ขันธ์ ๕ มิใช่อยู่ที่อื่นเลยคนอื่นทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ของเรา ทดสอบเราทั้งดีทั้งชั่วเมื่อเรามีสังขารครบบริบูรณ์แล้วอย่าได้ทับโลกุตตรธรรมเลย อย่ามัวแบกทุกข์อวิชชาอยู่เลย อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจนะ ขอให้สํารวมในกายวาจาใจ ให้เต็มตา หูจมูกลิ้น กายใจให้ศรัทธามั่นในโลกุตตรธรรม จะได้รู้แจ้งธรรม พ้นเกิดแก่ เจ็บ ตาย”
    เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในคำสอนที่หลวงปู่บุดดา ถาวรโร พระสุปฏิปันโน ผู้ลุถึงธรรมที่ท่านได้เคยให้ไว้ในกาลต่างๆ และถูกรวบรวมไว้โดยลูกศิษย์หลากหลายนับเป็นคำสอนที่น่าเคารพนับถือบูชาและนำมาพิจารณาเตือนสติดียิ่งนัก ยังมีเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากในชีวประวัติของท่านเอาไว้ทางสารธรรมนำใจจะได้นำมาเสนอให้ทราบอีกต่อไป อย่าลืมติดตามอ่านกันได้ในตอนต่อๆ ไป รับรองท่านจะได้รู้ธรรมจากผู้ที่บรรลุธรรมโดยแท้หลวงปู่บุดดา ถาวรโร



    *รวบรวมและเรียบเรียงโดย สารธรรมนำใจ


    ขอบคุณที่มาข้อมูล:
    [1] ลําธารริม ลานธรรม เกร็ดชีวิตและปฏิปทาของพระดีพระแท้ เรียบเรียงโดยพระไพศาล วิสาโล
    [2] เว็บไชต์ http://www.tangnipparn.com
    [3] เว็บไชต์ http://www.fungdham.com/monk-history/history-budda.html
    (จากหนังสือ “หลวงปู่เล่าไว้: รวมประวัติและพระธรรมคําสอน ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร”)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,973
    GXUioC1-BQIxbdQSAWlmeWUWBHejqEwmCP4kCpwzKL92&_nc_ohc=HLxxQvxwp08AX8dS9O3&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg


    หวังเป็นพระโสดาบัน

    *********************
    [๘๒] อากงฺเขยฺย เจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ ติณฺณํ สํโยชนานํ ปริกฺขยา
    โสตาปนฺโน อสฺสํ อวินิปาตธมฺโม นิยโต สมฺโพธิปรายโนติ
    สีเลเสฺววสฺส ปริปูรการี ฯเปฯ พฺรูเหตา สุญฺญาคารานํ ฯ
    http://www.84000.org/tipitaka/read/pali_read.php?B=12&A=1159
    [๖๗] ภิกษุทั้งหลาย
    ๙. หากภิกษุพึงหวังว่า ‘เราพึงเป็นพระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ ประการสิ้นไป ไม่มีทางตกต่ำ มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า’
    ภิกษุนั้นพึงทำศีลให้บริบูรณ์ หมั่นประกอบธรรมเครื่องสงบใจภายในตน
    ไม่เหินห่างจากฌาน ประกอบด้วยวิปัสสนา เพิ่มพูนเรือนว่าง
    ................
    ข้อความบางตอนใน อากังเขยยสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=6
    ...ก็ในบทว่า พฺรูเหตา สุญฺญาคารานํ นี้ ภิกษุเรียนเอากัมมัฏฐานด้วยอำนาจสมถะและวิปัสสนา แล้วเข้าไปนั่งยังเรือนว่างตลอดวันและคืน พึงทราบว่าเป็นผู้เจริญสุญญาคาร. ส่วนภิกษุแม้กระทำความเพียรในปราสาทชั้นเดียวเป็นต้น ไม่พึงเห็นว่าเป็นผู้เจริญสุญญาคารเลย.
    ก็ด้วยคำเพียงเท่านี้ เทศนานี้แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเริ่มด้วยสามารถการยกอธิศีลสิกขานั้นแสดงก่อนก็ตาม ก็พึงทราบว่าเป็นเทศนาที่นับเนื่องในไตรสิกขาโดยลำดับ เพราะรวมสมถะและวิปัสสนาเข้าด้วยกัน เหตุที่สมถะและวิปัสสนามีศีลเป็นปทัฏฐาน เหมือนกับการเทศนาธรรมที่เป็นข้าศึกของตัณหา แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเริ่มด้วยสามารถการยกตัณหาขึ้นแสดงก่อน ก็พึงทราบว่าเป็นเทศนาที่นับเข้าในหมวด ๓ แห่งธรรมเครื่องเนิ่นช้าโดยลำดับ เพราะรวมมานะและทิฏฐิเข้าด้วยกัน เหตุที่มานะและทิฏฐิมีตัณหาเป็นปทัฏฐาน.
    ................
    ข้อความบางตอนในอรรถกถาอากังเขยยสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=73
     

แชร์หน้านี้

Loading...