111ชาตะกาล พระอรหันต์กลางกรุง เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย jummaiford, 9 พฤษภาคม 2009.

  1. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต
    ชีวิตเมื่อวัยเด็กจนกระทั่งรับราชการ
    ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรีกรุงรัตนโกสินทร์ของไทยสยาม ซึ่งเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่งของราชวงศ์จักรีที่มีบุญญาธิการแก่กล้า จนประชาชนชาวไทย ทั่วประเทศยกย่องพระองค์ท่านว่า "องค์พระปิยะมหาราช" ทรงเลิกทาสให้ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อยู่ร่มเย็นเป็นสุขมาตราบเท่าทุกวันนี้ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๐ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีระกา ซึ่งจริงๆเเล้วเป็นปี2441 ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันมาฆะบูชา บุตรชายคนหัวปีของพระคุณนรนาฏภักดีนายอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีก็ได้คลอดมาจากครรภ์มารดาลืมตามองดูโลกอันโสภี ยังความโสมนัสให้แก่ผู้เป็นบิดามารดา และประดาญาติเป็นอย่างยิ่งท่านนายอำเภอบางปลาม้าได้ตั้งชื่อบุตรชายคนหัวปีของท่านว่า "ตรึก"เมื่อทารกผู้ได้นามว่า "ตรึก" นี้เจริญวัยขึ้น ในฐานะเด็กน้อยเรือนร่างแบบบางผิวพรรณละเอียดอ่อนเปล่งปลั่งเป็นน้ำเป็นนวล อันเป็นลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นผู้มีบุญวาสนาสูง เมื่อวัยถึงขั้นสมควรเล่าเรียนหนังสือก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในพระนคร ต่อมาจึงเข้าเรียน ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนี้จนสอบได้ชั้นสูงสุดนาย "ตรึก" มีความปรารถนาที่จะเรียนเป็นนายแพทย์ต่อไป เพื่ออนาคตข้างหน้าจะได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ทางเจ็บไข้ได้ป่วยแต่ท่านบิดาซึ่งเป็นนายอำเภอนักปกครองต้องการให้บุตรชายเป็นนักปกครองเจริญรอยตามบิดา นาย "ตรึก" เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายและมีจิตใจสูงด้วยความเคารพต่อผู้มีอุปการคุณ จึงต้องทำตามความประสงค์ของบิดา นายตรึกจึงเข้าศึกษาต่อวิชารัฐศาสตร์ที่โรงเรียนกฏหมาย ซึ่งสมัยนี้ยังรวมอยู่กับจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย นายตรึกเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถเรียกสำเร็จรัฐศาสตร์เป็นรุ่นแรก ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับท่านเจ้าคุณสุนทรพิพิธ เมื่อนายตรึกได้เรียกสำเร็จรัฐศาสตร์แล้วก็หาได้ไปเป็นนายอำเภอและเจ้าเมืองสังกัดกระทรวงมหาดไทย ตามเจตนารมณ์ของท่านบิดา เพราะในระหว่างศึกษาวิชารัฐศาสตร์อยู่นั้น เป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้มีงานเลี้ยงเป็นพิธีในพระบรมมหาราชวัง เป็นงานใหญ่ที่จำนวนมหาดเล็กเด็กชายมีไม่พอ สำหรับตำแหน่งพนักงานเดินโต๊ะและรับใช้อื่นๆ นักเรียนรัฐศาสตร์ที่มีหน้าตาและหน่วยก้านดีจึงถูกเกณฑ์ไปช่วยในหน้าที่ดังกล่าว นักเรียนรัฐศาสตร์ที่ถูกเกณฑ์ไปในครั้งนี้ก็ได้มีนายตรึกรวมอยู่ด้วยผู้หนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้ทอดพระเนตรเห็นรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณและหน่วยก้านของหนุ่มน้อยตรึกเข้าก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วทรงไต่ถามถึงเหล่ากองพงศ์พันธุ์เมื่อพระองค์ทราบจะแจ้งดีแล้วก็ดำรัสว่า"เมื่อเรียนจบแล้วมาอยู่กับข้า"โดยเหตุนี้เองเมื่อหนุ่มตรึกเรียนสำเร็จรัฐศาสตร์แล้วแทนที่จะได้เป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทยตามวิชาที่เรียนสำเร็จ และเป็นไป ความประสงค์ของบิดาผู้เป็นนักปกครอง กับไพล่ไปเป็นข้าราชสำนักสังกัดกระทรวงวัง ในตำแหน่งหน้าที่มหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็ทรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก และพระราชทานนามสกุลให้ว่า "จินตยานนท์"หนุ่มตรึกรับราชการอยู่ใต้เบื้องยุคบาทเพียงไม่ทันถึงปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น "หลวงศักดิ์นายเวร" ต่อมาไม่ช้ามินานก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าหมื่นศรีสรรเพชร"พอ
    [​IMG]
    อายุ ๒๕ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น พระยาพานทอง ราชทินนามว่า "นรรัตนราชมานิต" ซึ่งเป็นพระยาหนุ่มที่สุดในสมัยนั้นพร้อมกับที่พระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาพานทองให้นี้ได้พระราชทานที่ดิน เพื่อให้ปลูกบ้านอยู่อาศัยแทนเช่าอยู่ ที่ดินที่พระราชทานให้นั้นมีจำนวนถึง ๔ ไร่ อยู่ตรงเชิงสะพานราชเทวี ตรงที่มีซอยชื่อ "ซอยนรรัตน" ปัจจุบันนี้ในการพระราชทานที่ดินให้นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้พระราชทานให้พร้อมกันถึง ๔ คน อีก ๓ คนคือท่านเจ้าพระยารามราฆพ พระยาอนิรุธเทวา พระยานรรัตนราชมานิต ได้รับตำแหน่งเป็นต้นห้องพระบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6


    ตรึก จินตยานนท์"จบ"รัฐศาสตร์ จุฬาฯ" เมื่อครั้งยังมีชื่อเป็น"โรงเรียนมหาดเล็กหลวง" เป็นรุ่นที่ "1" ด้วยคะแนนสอบได้เป็นที่ 1 ของรุ่นอีกด้วย[​IMG][​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    หน้าที่ของท่านคืออยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ในที่รโหฐานและเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กห้องพระบรรทมคนอื่นๆ ซึ่งมีอยู่หลายคนด้วยกันขณะที่รับราชการอยู่ใต้ เบื้องยุคลบาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระยานรรัตน์ราชมานิต ก็มิได้ปล่อยเวลาว่างจากรับหน้าที่ราชการค้นคว้าศึกษาวิชาต่างๆ อยู่เสมอ เช่นวิชาลักธิโยคี ทางดูลายมือและรูปร่างลักษณะบุคคล สั่งตำราจากอังกฤษ, อเมริกา มาค้นคว้าจนมีความชำนิชำนาญทางด้านดูลายมือและรูปลักษณะบุคคลและศึกษาภาษาฝรั่งเศส จากมองซิเออ.เอ.เค. จนกระทั่งแตกฉาน สามารถแปลตำราภาษาฝรั่งเศสได้อย่างแคล่วคล่อง ส่วนทางด้านภาษาอังกฤษนั้น พระยานรรัตนท่านมีความชำนิชำนาญเป็นพิเศษอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ จึงทรงโปรดปรานมาก และทรงชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์เอาเป็นธุระเรียกสถาปนิกฝีมือเยี่ยมจากอิตาเลียนผู้หนึ่งมาออกแบบ เพื่อทรงสร้างที่อยู่ให้แก่พระยานรรัตนซึ่งปล่อยที่ดินที่พระราชทานให้รกร้างหญ้าพงขึ้นเต็มที่ดิน มิเหมือนกับพระยาคนอื่นๆ พอได้รับพระราชทานที่ดินก็เริ่มก่อสร้างที่พักเสียจนหรูเพื่อประดับเกียรติ อย่างเช่นท่านพระยารามราฆพก็ได้สร้างคฤหาส์นอันโอ่อ่าด้วยหินอ่อนอิตาเลียน แล้วตั้งชื่อคฤหาส์นหลังนั้นว่า "บ้านนรสิงห์" (ปัจจุบันเป็นทำเนียบของรัฐบาล) พระยาอนิรุธเทวาก็ได้สร้างขึ้นอย่างโอฬารเหมือนกัน แล้วตั้งชื่อว่า "บ้านบรรทมสินธุ์" (ปัจจุบันเป็นบ้านสำหรับรองรับแขกเมืองของรัฐบาล) อีกท่านหนึ่งก็ได้สร้างขึ้นอย่างโอ่อ่าอีกหลังหนึ่งและให้ชื่อว่า "บ้านมนังคศิลา" มีแต่พระยานรรัตน์ฯ ผู้เดียวเท่านั้นที่มิได้ยินดียินร้ายต่อที่ดินที่พระองค์ท่านพระราชทานให้เลย พระองค์ท่านจึงยื่นพระหัตถ์เอาเป็นธุระ แต่พระยานรรัตนนฯ กลับปฏิเสธในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ โดยสิ้นเชิง ถึงแม้แต่พระองค์จะทรงกริ้วก็สุดแล้วแต่พระกรุณา จึงได้กราบบังคมทูลขอให้ยับยั้งพระราชประสงค์ หากทรงสร้างคฤหาสน์ขึ้นบนที่ดินที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ แม้จะเอาตัวท่านไปประหารชีวิต ท่านก็จะทูลเกล้าฯ ถวายคืนทั้งคฤหาสน์และที่ดินที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ล้นเกล้าฯ จึงต้องตามใจพระยานรรัตนฯพระยานรรัตนราชมานิตได้รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ด้วยความจงรักภักดีเรื่อยมาจนกระทั่งล้นเกล้าฯ เสด็จสวรรคตลงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ก็ขึ้นเถลิงราชสมบัติสืบต่อมา ก็มีพระราชประสงค์อยากจะได้ตัวพระยานรรัตนมานิตไว้ในราชการ จึงรับสั่งให้เจ้าคุณไพชยนเทพ (ทองเจือ ทองใหญ่) ไปติดต่อเพื่อขอชุบเลี้ยงเยี่ยงรัชกาลที่ ๖ แต่พระยานรรัตนราชมานิตผู้ยึดมั่นในคติที่ว่า "ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย" นั้นไม่ดีแน่ จึงได้กราบบังคมทูลแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ไปว่า" ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงชุบเลี้ยงอย่างใดก็เท่ากับเอาทองคำไปลงยาฝังเพชรเท่านั้น"ถึงแม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ จะทรงให้ใครมาติดต่อกับพระยานรรัตนฯ หลายครั้งหลายหน แต่พระยานรรัตนก็มิได้ตอบตกลงสักครั้งเดียว จนกระทั่งถึงวันถวายพระเพลิงพระมหาธีรราชเจ้ารัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ พระยาท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจึงได้สละทรัพย์สมบัติมอบที่ดิน ๔ ไร่ และทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดแก่วัดเทพศิริทราวาส ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพระยานรรัตนฯ อุปสมบทแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ผู้ทรงชุบเลี้ยงตนมาเป็นอย่างดีซึ่งยากจะหาบุคคลเยี่ยงพระยานรรัตนราชมานิตนี้อีกไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบันนี้ส่วนในด้านความรักนั้นเล่า พระยานรรัตนราชมานิตก็มิได้ผิดแปลกแตกต่างไปกว่าหนุ่มรุ่นเดียวกันไม่ พระยานรรัตนราชมานิตก็ได้มีสาวคนรักไว้ปลุกปลอบใจด้วยเหมือนกัน และก็ได้ทำพิธิหมั้นกันเรียบร้อยแล้วเสียด้วย แต่เนื่องด้วยพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๖ นั้นมากล้นเหลือคณา พระยานรรัตนราชมานิตสละได้เช่นกันสาวคู่หมั้นของพระยานรรัตนราชมานิตผู้มีนามว่า ชุบ เมนะเศวต ปัจจุบันรับอาชีพเป็นแม่พิมพ์ของชาติอยู่ที่โรงเรียนราษฎร์แถวสามย่าน พระนคร นี้เองและก็ได้มาฟังสวดพระอภิธรรมศพท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตอยู่เสมอ ซึ่งยังคงครอบเพศพรหมจรรย์ตลอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เพราะเธอได้ยึดมั่นในอุดมคติที่ว่า "รักเดียวใจเดียว" ซึ่งก็ยากจะหาหญิงใดมาเปรียบเทียบเสมอได้เช่นกันส่วนในด้านการปฏิบัติงานของพระยานรรัตนราชมานิต ข้าพเจ้าได้รับการบอกเล่าจากพระภิกษุ กมฺพโล วัย ๗๘ แห่งวัดมหาชยราม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ผู้ได้เคยรับราชการใต้เบื้องยุคลบาทของมหาธีราชเจ้ารัชกาลที่ ๖ พร้อมกับพระยานรรัตนราชมานิตมาแล้วได้บอกกับข้าพเจ้าว่า พระยานรรัตน-ราชมานิตเป็นผู้ที่เคร่งครัดต่อหน้าที่การงานยากที่ใครเสมอเหมือนได้ และเป็นผู้ทีค่ทำอะไรทำจริงไม่ถือตัว และแบ่งชั้นวรรณะแม้แต่เครื่องแต่งกายก็สวมใส่อย่างธรรมดาคือ เสื้อขาว กางเกงขาว มักจะชอบเดินไปไหนมาไหนเสมอ พระยานรรัตนราชมานิตให้ข้อคิดในการเดินว่า นั่นคือการออกเอ๊กเซอไซด์ไปในตัว บางครั้งพระยานรรัตนฯก็จะนั่งรถลาก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "รถเจ๊ก" สมัยนั่นคนจีนมีอาชีพรับจ้างลากรถเป็นส่วนมาก และถ้าวันไหนเกิดอารมณ์ดีนึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ขณะที่พระยานรรัตนฯ นั่งอยู่บนรถลากมองเห็นคนจีนลากรถเหนื่อยหอบท่านเจ้าคุณก็จะลงมาสับเปลี่ยนกับคนจีนลากรถแทนคนจีนลากรถเสียเอง ก็ยังมีความแปลกใจให้แก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่และผู้ที่พบเห็นทุกคน เลยกลายเป็นเสียงซุบซิบเล่าสู่กันฟังจนหนาหู แต่พระยานรรัตนฯ ก็มิได้สนใจต่อข่าวลือที่เป็นมงคล และอัปมงคลแต่ประการใดเลย
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  2. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    และในด้านโหราศาสตร์นั้นเล่า พระยานรรัตนราชมานิตก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญและทำนายทายทักได้อย่างแม่นยำมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายต่อมาภายหลังพระยานนรรัตนฯ ได้เผาตำหรับตำราโหราศาสตร์จนหมดเกลี้ยง พระภิษุกมฺพโล บอกกับข้าพเจ้าว่า เป็นเพราะไปทำนายทายทักอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อยให้แก่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ ๖ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น พระยานรรัตนราชมานิตจึงเลิกทำนายทายทักแต่นั้นเป็นต้นมาพระยานรรัตนราชมานิต มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน ๒ คน คนรองเป็นผู้หญิงชื่อ เลื่อน ปัทมะสุนทรคนสุดท้องเป็นชายชื่อ ตริ จินตยานนท์ น้องทั้งสองปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ต่อไปนี้คือข้อความในหนังสือพระราชทานบรรดาศักดิ์ ของพระยานรรัตนราชมานิต ตามต้นฉบับเดิมฉบับที่ ๑สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้าหมื่นสรรเพชภักดีเป็นพระยานรรัตนราชมานิตจางวางมหาดเล็ก ถือศักดินา ๓๐๐๐ ทำราชการตามตำแหน่งตั้งแต่บัดนี้ไปจงเว้นการควรเว้น หมั่นประพฤติการควรประพฤติ สมควร ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต แก่ตำแหน่งทุกประการ ตามอย่างธรรมเนียมข้าราชการทั้งปวง ขอให้มีสุขสวัสดิ์เจริญเทอญ.ตั้งแต่ ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๕ เป็นปีที่ ๑๓ ในรัชการปัตยุบันนี้ฉบับที่ ๒สมเด็จพระรามาธิบดีสินทรมหาวชิราวุธ เอกอัครมหาบุรุษบรมราธิราชพินิตประชานารถมหาสมมตวงษ์ อติศัยพงษ์วิมลรัตน์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชธิราชบรมนารถบพิตร์ พระมงกุฎเกล้าเจ้ากรุงสยามขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง ฤาผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะได้พบอ่านคำประกาศนี้ให้ทราบว่า เราได้ตั้งให้หัวหมื่น พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท.จ. จ.ม. บ.ช. ว.ม.ล. ว.ป.ร. ๓, เป็นที่รักใคร่ไว้วางใจของเราเป็นองคมมนตรี รับปฤกษาราชการในตัวเรา เพิ่มศักดินาขึ้นอีก ๑๐๐๐ เพื่อจะได้ช่วยเราคิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นคุณ เป็นประโยชน์ มีความเจริญสมบูรณ์ แลราษฎรทั้งปวงให้มีความสุขความเจริญขึ้นโดยชอบธรรมอันดี ขอจงตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตกตัญญูตะเวที ประพฤติให้ต้องตามพระราชบัญญัติแลข้อคำสาบาลทุกประการ ตำแหน่งยศที่ตั้งนี้ จงเป็นไปตลอดเวลาความประสงค์ของเราพระเจ้ากรุงสยามปัตยุบันนี้ และตามกฏหมายข้อพระราชบัญญัติซึ่งได้ตั้งไว้สำหรับองคมนตรีแลรัฐมนตรีทุกประการ ขอให้มีความเจริญสุขสวัสดิ์ทุกประการเทอญ.พระราชทานที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ณ วันที่ ๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็นปีที่ ๑๕ ในรัชกาลปัตยุบันนี้ ฉบับที่ ๓ สมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก มหันตเดชนดิลกรามาธิบดีเทพยปรียมหาราชรวิวงศ์ อสัมภินพงศพรีกษัตร บุรุษรัตนราชนิกโรดม จตุรันตบรมมหาจักรพรรดราชสังกาศฯ ปรมินทรธรรมมิกมหาราชาธิราชบรมนาถบพิตร พระปกเกล้าเจ้ากรุงสยาม ขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง ฤาผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะได้พบอ่านคำประกาศนี้ให้ทราบว่า เราได้ตั้งให้ จางวางตรี พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ป.ม. ท.จ. บ.ช. ว.ม.ล. ว.ป.ร. ๓ ซึ่งเป็นที่รักใคร่ไว้วางใจของเราเป็นองคมนตรี รับปฤกษาราชการในตัวเราเพิ่มศักดินาขึ้นอีก ๑๐๐๐ เพื่อจะได้ช่วยเราคิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นคุณประโยชน์มีความเจริญสมบูรณ์ และราษฎรทั้งปวงให้มีความสุขความเจริญขึ้นโดยชอบธรรมอันดี ขอจงได้ตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตกตัญญูกตะเวที ประพฤติให้ต้องตามพระราชบัญญัติแลข้อคำสาบาลทุกประการ ตำแหน่งยศที่ตั้งนี้ จงเป็นไปตลอดเวลาความประสงค์ของเราพระเจ้ากรุงสยามปัตยุบันนี้ แลตามกฏหมายข้อพระราชบัญญิตซึ่งได้ตั้งไว้สำหรับองคมนตรีทุกประการ ขอให้มีความเจริญสุขสวัสดิ์ทุกประการเทอญ.พระราชทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ณ วันที่ ๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๘ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
     
  3. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    ชีวิตในเพศบรรพชิตพระยานรรัตนราชมานิต
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25>MSG-060928002529389.gif </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ มีอายุครบ ๒๘ ปี ที่ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอุปัชฌาย์
    [​IMG] สมเด็จเมืองชล

    มีฉายาว่า ธมฺมวิตกโกหลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ธมฺมวิตกฺโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว ท่านก็ศึกษาปฏิบัติธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ไปตามท้องถนนเยี่ยงพระนวกะทั่วไปจนครบหนึ่งพรรษาครั้นย่างเข้าพรรษา ๒ ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจึงงดบิณฑบาตรโปรดสัตว์แต่นั้นเป็นต้นมา และเริ่มฉันจังหันเพียงมื้อเดียวเท่านั้น โดยมีญาติเป็นผู้นำปิ่นโตมาถวาย อาหารที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตฉันนั้นก็ล้วนเป็นอาหารเจทั้งสิ้นคือไม่มีเนื้อสัตว์ และสิ่งที่ขาดเสียมิได้ก็คือมะขามเปียกกับกล้วยน้ำว้า ครั้นพรรษาต่อไปท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต จึงได้งดฉันจังหันในวันพระทุกวันพระอีกด้วย ซึ่งท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ปฏิบัติเรื่อยมาเป็นประจำจนกระทั่งได้มรณภาพลง กิจวัตรที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะขาดเสียมิได้นั่นก็คือการลงอุโบสถทำวัตร เช้า-เย็นเป็นประจำ ท่านบอกกับภิกษุสงฆ์ในวัดเสมอว่า"ถ้าท่านขาดทำวัตรครั้งใด นั่นก็หมายความว่า ท่านต้องอาพาธหนัก หรือได้มรณภาพไปแล้ว"และก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ขาดลงอุโบสถ เพราะท่านเดินมาลงโบสถ์และเหยียบถูกงูเห่า งูจึงกัดที่เท้าท่าน ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ยังลงโบสถ์ทำวัตรต่อไป โดยมิยินดียินร้ายต่อเขี้ยวของอสรพิษแต่อย่างใด ถ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ก็จะต้องรีบเข้าสถานเสาวภาอย่างไม่มีปัญหา แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ กลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา โดยมิต้องวิ่งไปหาหมอหรือหาหยูกหายามาฉันเลยแม้แต่อย่างเดียวท่านกระแสร์จิตอันแก่กล้า ของท่านเท่านั้นที่ดับพิษร้ายของงูเห่าไม่ให้ทำอันตราย ต่อองค์ท่านได้ แต่ถึงกระนั้นก็เล่นเอาท่านแทบแย่เหมือนกัน เท้าข้างที่ถูกงูกัดบวมเต่งตึง จะนั่งลุกก็แสนจะลำบากเมื่อเวลาทำวัตรสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทรงเห็นเข้าจึง ได้ขอร้องให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ งดลงทำวัตรจนกว่าเท้าจะหายบวมด้วยความเกรงใจและระลึกเคารพต่อผู้มีพระคุณฝังจิตใจของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ อยู่นั้น ท่านเจ้าคุณจึงได้งดลงโบสถ์ ๑ วัน รุ่งขึ้นเท้าข้างที่บวมเต่งตึงก็อันตรธานหายไปอย่างปลิดทิ้ง เกิดความมหัศจรรย์แก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เสียงโจษจรรเล่าลือจึงระบือไปทั่วว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มีกระแสร์จิตแก่กล้าสามารถระงับพิษให้เหือดหายไปเอง โดยไม่ต้องไปหามดหาหมอและฉันยาแต่อย่างใดเลย และเคล็ดลับการปฏิวัติร่างกายให้แข็งแรง ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บนั้นก็ได้มีผู้ทราบว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เมื่อครั้งเป็นฆรวาสได้ปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ จนสามารถระงับโรคภัยไข้เจ็บมิให้เกิดขึ้นได้ ครั้นเจ้าคุณนรรัตนฯอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ผ่านไปเพียง ๑ พรรษาเท่านั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจึงได้เขียนหนังสือวิธีปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ ถวายแด่อุปัชฌาย์ท่านเจ้าคุณพระสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยมีใจความดังต่อไปนี้๒๕ มิถุน ๖๙ขอประทานกราบเรียน พระคุณเกล้าฯ ขอประทานถวายวิธีบริหารร่างกายประจำวัน ซึ่งเกล้าฯ มั่นใจว่าถ้าไม่มีอดีตกรรมตามสนองแล้ว การบริหารร่างกายที่ถูกต้องตามกฏของธรรมดาโดยสม่ำเสมอท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจริงๆ จะช่วยส่งเสริมให้รูปขันธ์นี้เป็นเรือนอันแข็งแรงมั่นคง และทนทาน เป็นที่อาศัยของนามขันธ์ได้อย่างวัฒนาถาวร ห่างจากโรคพยาธิ์มีโอกาสใช้ชีวิตช่วยยังประโยชน์ให้แก่โลกได้ยืดยาวจนสุดเขตชัยแห่งอายุเกล้าฯ เป็นเด็กขี้โรคมาแต่เดิม โยมผู้หญิงผู้ชายขี้โรค ทั้งเกล้าฯ ได้เคยกรากกรำอดหลับอดนอนจนร่างกายทรุดโทรมมาครั้งหนึ่งแล้วในระหว่างรับราชการ ถึงกับเป็นโรคเส้นประสาทอ่อน (Neurasthenia) มีร่างกายผอมซีดสามวันดีสี่วันไข้ จนสมเด็จพระบรมบพิต พระราชสมภารเจ้ารัชกาลที่ ๖ ทรงออกพระโอษฐว่า "เกรงจะเป็นฝีในท้อง Consumption เสียแล้ว" เกล้าฯ ต้องถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่การรักษาด้วยวิธีแลยาต่างๆ หลายอย่างหลายชนิดไม่เป็นผลเลย เกล้าฯ ได้พยาบาลบริหารร่างกายด้วยหันเข้าหากฏของธรรมดา ตามวิธีที่กราบเรียนถวายมานี้โดยสม่ำเสมออย่างที่เรียกว่า "เมื่อจะทำอะไรต้องทำกันจริงๆ" จนได้รับผลดี มีร่างกายสงบสบายเรื่อยมาจนบัดนี้ไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้องไต่ถาม หรือปรึกษาหมอในเรื่องโรคภัยส่วนตัวอีกเลยฯ

    [​IMG]

    ในรูปพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ผู้บวชถวายราชกุศล ร.6 ถ่ายภาพร่วมกับ พระภิกษุพระยาสีหราชฤทธิไกร ผู้บวชถวายพระราชกุศล ร.5 ณ วัดราชบพิตรเมื่อพ.ศ.2469
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  4. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตกำหนดบริหารร่างกายประจำวัน
    ๑. ตอนตื่นลุกขึ้นจากที่นอน ดัดตน ๔ ท่าดังนี้
    ๑. ยืด (Srretch)
    ๒.แขม่วท้อง (Pumping)
    ๓.เตะขึ้น(Kick up)
    ๔.บดท้อง (Ehuming)

    ๒. ลุกขึ้นจากที่นอนแล้ว
    ไปยืนที่หน้าต่างที่เปิดตรงช่องลม หายใจยาวสุดอากาศสดๆ (Fresh Air) เข้าปอดให้เต็มที่ ๔ ท่าดังนี้
    ๑.อัดลม (Paching)
    ๒.หายใจยาวสูดลมเข้าปอดตอนบน (Upper Chcst Breathing)
    ๓.หายใจยาวอัดลมดันให้ท้องโป่งพอง (Abdominal Breathing)
    ๔.หายใจยาวสูดลมเข้าอกให้ซี่โครงกาง (Bostal Breathing)
    ในขณะที่ทำท่าเหล่านี้ควรหลับตา และตั้งใจเป็นสมาธิอยู่ในท่าที่กำลังกระทำอยู่นั้น เมื่อจบท่าแล้วจึงลืมตา เวลาลืมตานั้นต้องลืมจริงๆ คือเพ่งมองไป แล้วค่อยๆ หลับกลอกไปกลอกมา ขึ้นข้างบน ลงข้างล่างกลอกข้างซ้ายกลอกขวา และกลอกเป็นวงกลมนี่เป็นการบริหารลูกตาอีกส่วนหนึ่งฯ


    ๓. ดื่มน้ำ ๑ ถ้วยแก้วเต็มๆ น้ำที่จะใช้ดื่มนี้ สำหรับผู้ที่จะมีอายุล่วงเข้าเขตปัจฉิมวัยแล้วไม่ควรดื่มน้ำเย็นในตอนตื่นตอนเช้าๆ ท้องว่างๆ ควรดื่มน้ำต้มเดือดแล้วอุ่นๆ ถ้าดื่มน้ำเปล่าๆ ไม่ได้ควรเลือกเจือชานิดหน่อยพอมีกลิ่นชวนให้ดื่มได้ แต่อย่าให้มากนักเพราะมีธาตุที่ให้โทษแก่ร่างกายอยู่บ้างไม่เหมาะสำหรับดื่มในเวลาท้องว่างตื่นนอนใหม่ๆ ตอนเช้า


    ๔. ไปถ่ายอุจจาระ ถ้าเราเกรงจะเสียเวลาช้าไป ควรเอาหนังสือติดมือไปอ่านด้วย ต่อไปนี้ลงมือทำงาน (Work) ได้

    ๕ เมื่อหยุดงานแล้ว ก่อนรับประทานอาหารควรดัดตน ๓ ท่าดังนี้
    ๑. ยืนกางแขนบิดตัว เอามือแตะปลายเท้าทีละข้าง (Ticklc toe)
    ๒. เขย่าตัว (Pep hop)
    ๓. จ้องดาวและบิดคอ (Star Gazer และ Hen peck)
    แล้วดื่มน้ำ ๑ ถ้วยแก้วก่อนรับประทานอาหารสัก ๑๕ นาทีเมื่อรับประทานอาหารแล้วใหม่ๆ ไม่ควรอ่านหนังสือหรือใช้สมองคิดเลย ควรคุยหรือเดิน หยิบโน่นหยิบนี่นิดๆ หน่อยๆ เป็นดี และไม่ควรดื่มน้ำรอไว้จนกว่าอาหารย่อยเรียบร้อยจนเบาท้อง แล้วจึงดื่มน้ำให้มากๆ

    ๖. ก่อนจะอาบน้ำเข้านอนตอนกลางคืน ควรดัดตนอีกครั้งหนึ่ง ๗ ท่า ดังนี้
    ๑. ยืด (Stretch)
    ๒.แขม่วท้อง (Pumping)
    ๓.เตะขึ้น (Kick up)
    ๔.บดท้อง (Ehuming)
    ๕.ยืดกางแขนบิดตัวเอามือแตะปลายเท้าทีละข้าง (Tickle toe)
    ๖.เขย่าตัว (Pep Hop)
    ๗.จ้องดาวและบิดคอ (Star gazer และ Heh Peck)ท่าดัดตนเหล่านี้ ถ้าทำให้มากเกินไปก็ให้โทษหรือไม่ให้คุณ ที่จะให้คุณจริงๆ คือพอควรอยู่ระหว่างกลาง ไม่ไปทางที่สุดโด่งทั้งสองข้างควรมิควรประการใดสุดแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ ธมฺมวิตกฺโกเมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้รับจดหมายรายงานการปฏิบัติแบบโยคะศาสตร์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ แล้วก็ได้นำไปปฏิบัติ เมื่อสงสัยในข้อหนึ่งข้อใดแล้วก็ทรงเรียกท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เข้าไปสอบถามเป็นส่วนตัวและฝึกหัดตามท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไปด้วย ผลที่สุดท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ก็เห็นผลปรากฏจากหลักวิธีโยคะศาสตร์ที่สามารถช่วยขจัดโรคภัยต่างๆ ได้จริงๆ ถ้าทำให้ถูกต้องและสม่ำเสมอ ขอพาผู้อ่านเข้าไปชมภายในกุฎิที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ พำนักซึ่งผิดแผกแตกต่างกับภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ อย่างฟ้ากับดินทีเดียว ยากที่จะหาภิกษุรูปใดในปัจจุบันนี้เสมอเหมือนเยี่ยงท่านเจ้าคุณนรรัตนฯหาได้ไม่ เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ท่านเป็นภิกษุสงฆ์ที่ถือสันโดษ ตัดกิเลสหมดทุกอย่าง แม้แต่เงินตราที่ใช้แลกเปลี่ยนตามกฏหมาย ในปัจจุบันนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิเคยเห็นและแตะต้องด้วยซ้ำไป เครื่องตบแต่งเพื่อประดับบารมีภายในกุฏิก็หามีสิ่งมีค่ามาตั้งโชว์ให้รกหูรกตาแม้แต่สิ่งเดียว สิ่งที่ประดับบารมีของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั้นก็คือตำหรับตำราและหนังสือธรรมวินัยต่างๆ เป็นจำนวนมาก ส่วนที่จำวัดนั้นก็เป็นเฉพาะองค์ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เท่านั้น โดยมีผ้าจีวรเก่าๆ ปูกับพื้นเพียง ๒-๓ ผืน และมีมุ้งหลังเล็กๆ อยู่หลังเดียวเท่านั้น และสิ่งที่สดุดตาและเตือนใจแก่ผู้พบเห็นนั่นก็คือโครงกระดูกและหีบศพ๑ หีบ หีบที่วางไว้ให้เป็นเครื่องขบคิดโครงกระดูกที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นำเข้าไปไว้ในกุฏิของท่านก็เพื่อไว้นั่งพิจารณาและปลงอนิจจัง ว่าสังขารของมนุษย์เรานั้นมันไม่เที่ยงแท้ มี เกิด, แก่,เจ็บ, ตาย ผลที่สุดก็เหลือแต่โครงกระดูก แล้วก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในที่สุดส่วนหีบศพนั้นเล่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้สั่งให้ญาติซื้อมาไว้เมื่อบวชได้พรรษา ๒ และท่านได้บอกกับญาติโยมให้ทราบว่า การที่สั่งให้ต่อหีบศพมาไว้นั้นก็เพื่อที่จะไว้ใส่ตัวท่านเอง เมื่อเวลาดับขัณฑ์จะมิต้องทำความยุ่งยากลำบากให้แก่ผู้อยู่ข้างหลังและหีบศพใบนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็เคยลงไปทำวิปัสสนากรรมฐานบ่อยครั้งนัก นับเป็นสถานที่ที่สงบแห่งหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ปฏิบัติธรรม
    [​IMG]

    ในกุฏิของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะหาไฟฟ้าใช้แม่แต่ดวงเดียวก็ไม่มี แม้แต่น้ำที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ใช้ดื่มฉันอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นแต่น้ำฝนทั้งสิ้น และภาชนะที่ท่านใช้ก็เป็นกะลามะพร้าวขัด ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ท่านชี้แจงว่าของสิ่งนี้เป็นของสูง ไม่มีมลทินอะไรติดอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ให้เหตุผลอย่างน่าฟังว่า "ธรรมชาติได้สร้างมนุษย์เราเป็นที่พอเพียงอยู่แล้วจะวุ่นวายกันไปทำไม ยิ่งเป็นภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติอยู่ในธรรมวินัยก็ยิ่งลำบาก น้ำฝนเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ดื่มฉันก็เกิดอาบัติน้อยมาก ยิ่งไฟฟ้าด้วยแล้วก็ถือว่าไม่เป็นสำคัญเลย เพราะดวงอาทิตย์ได้ให้แสงสว่างแก่โลกมุนษย์เราตั้งแต่ ๖ โมงเช้าถึง๖ โมงเย็น เราจะทำอะไรก็ควรรีบๆ ทำเสียเมื่อพระอาทิตย์สิ้นแสงแล้วก็หมดเวลาที่เราจะทำอย่างอื่นนอกเสียจากทำสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมญานแต่เดียวเท่านั้น"ด้วยเหตุนี้เองกุฏิของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงปิดเงียบมืดมิดผิดกว่ากุฏิพระภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯภิกษุผู้เคร่งครัดต่อธรรมวินัยรูปนี้เองได้มีประชาชนจำนวนมาก เลื่อมใส่ศรัทธาใคร่อยากจะพบปะสนทนาด้วย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิได้รังเกียจ เปิดโอกาสให้ญาติโยมพบปะสนทนาเป็นอย่างดี ตอนที่ท่านลงทำวัดเช้าและเย็นเสมอชั่วระยะเวลาหนึ่ง ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะไม่ยอมให้ใครเข้าพบเป็นอันขาดที่กุฏิของท่าน ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หรือกระยาจนเข็นใจคนใดทั้งสิ้น

    อภินิหารย์มหัศจรรย์ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    หลังจากที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ธมฺมวิตกฺโก ได้ครองเพศบรรพชิตเรื่อยมาด้วยการเคร่งครัดต่อธรรมวินัย และค้นคว้าศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานจนแตกฉานกระแสร์จิตแก่กล้า จนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา ของพระภิกษุสงฆ์ และประชาชนมาแล้วเมื่อครั้งถูกอสรพิษกัด ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็สามารถใช้กระแสร์จิตรักษาพิษร้ายของอสรพิษให้เหือดหายไปเองได้ โดยมิต้องไปหาหมอและฉันยาเลยแม้แต่อย่างเดียวต่อมาท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้ถูกโรคร้ายที่ประชาชน และนายแพทย์กลัวนักกลัวหนาเข้าคุกคามได้ นั้นก็คือโรคมะเร็ง ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้เป็นโรคมะเร็งกามช้างจนเน่าเฟะแต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯก็มิได้แสดงความเจ็บปวดรวดร้าว ให้ปรากฏแก่สายตาผู้ภิกษุสงฆ์ และประชาชนที่พบเห็นเลยแม้แต่น้อย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯมีอาการเป็นปกติธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้อุโบสถทำวัตรเช้า-เย็น เป็นประจำเสมอมิได้ขาดเลย แต่แล้วอยู่ๆ โรคร้ายที่เกาะกุมท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจน เป็นที่สังเวรแก่ผู้พบเห็นก็อันตรธานหายไปเอง โดยท่านเจ้าคุณนรรัตนฯมิได้ไปหาแพทย์ให้รักษาหรือฉันหยูกยาแต่ประการใดเลย"โรคมันเกิดขึ้นมาเอง มันก็ต้องหายไปเองได้เช่นกัน" ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯพูดอยู่เสมอแก่ผู้ที่ไต่ถามท่าน ยิ่งนับวันเสียงลือเสียงเล่าอ้างทางด้านอภินิหารต่างๆ ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตก็แพร่สะพัดไปทั่วทุกสารทิศว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นพระภิกษุสงฆ์รูปเดียวในปัจจุบันนี้ที่สำเร็จอรหันต์แล้ว จึงมีประชาชนจำนวนมากใคร่อยากจะเข้าพบเพื่อนมัสการ แต่ก็หาเวลาพบท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้เพียง ๒ เวลาเท่านั้น คือตอนทำวัตรเช้าและเย็น ซึ่งก็มีเวลาสนทนากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนมากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะคุยเรื่องธรรมะและอบรมสั่งสอนให้ประกอบและประพฤติในทางดีทั้งสิ้น ผู้ใดได้เข้าพบปะสนทนากับเจ้าคุณนรรัตนฯแล้ว ผู้นั้นจะรู้สึกจิตใจสดชื่นเบิกบานแจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก เสมือนกับได้เข้าพบกับพระอรหันต์ฉะนั้นเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันนี้เองที่ล่วงรู้ถึงหูชาวจีนผู้หนึ่ง ซึ่งยากจนข้นแค้นอยากจะเข้าพบนมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯบ้าง พยายามเพียรมาพบที่พระอุโบสถหลายครั้งแต่ก็เข้าไม่ถึงตัวท่านเจ้าคุณนรรัตนฯเลยสักครั้ง ท่านจีนผู้นั้นจึงได้ตัดสินใจมาดักพบที่กุฏิตอนเช้าก่อนที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจะลงทำวัตรเช้า เมื่อพบท่านเจ้าคุณนรรัตนฯชาวจีนผู้นั้นก็ก้มลงกราบที่หน้าประตูและกล่าวว่า "อยากจะมาขอพร เพราะอยากจนเหลือเกิน ทำมาค้าขายก็มีแต่ขาดทุน"ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ฟังชาวจีนพูดจบลงแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงเอากะลาขัดตักน้ำมาพรมให้ชาวจีน และพูดว่า " ไปได้คราวนี้จะรวยใหญ่" และก็เป็นจริงอย่างที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯให้พรทุกประการ เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาชาวจีนผู้นั้นก็ทำมาค้าขายเจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ดังได้กล่าวไว้แล้ว ผู้ที่เข้านมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มักจะได้ฟังแต่เรื่องธรรมะและคำตักเตือนสั่งสอนให้ประกอบแต่ความดี ผู้นั้นจะมีความสุข ข้าพเจ้าจึงขอเอาข้อเขียนของคุณ "ภิญโญ เอกอธิคมกิจ" ซึ่งได้รับฟังคำจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาลงไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นข้อยืนดังต่อไปนี้เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๑ คุณ ภิญโญ เอกอธิคมกิจ ยังเป็นนิสิตปีสุดท้ายได้พาเพื่อนนักศึกษา๓ คน เข้านมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯเมื่อตอนเย็นวันหนึ่งหลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ทำวัตรเย็น เสร็จเรียบร้อยแล้วและได้สนทนากันอยู่พักหนึ่งท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ไต่ถามคุณภิญโญ และเพื่อนว่ามีอาชีพอะไรเมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ทราบว่าทั้งสี่คนนั้นเป็นนิสิตปีสุดท้าย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็เริ่มอธิบายธรรมให้ฟังทันทีโดยเริ่มว่า"ที่มาหาพระที่นี่น่ะ, ดีแล้ว เพราะพระแปลว่า ดี หรือประเสริฐ ฉะนั้นการมาหาพระ คุยกับพระก็ได้ของดีของประเสริฐกลับไป"เพื่อนคนหนึ่งของคุณภิญโญได้เรียนถามถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ของพระเครื่องท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้อธิบายให้ฟังว่า"ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอยู่กับความศรัทธา อาศัยกำลังจิตเป็นสำคัญบางครั้งทหารที่ไปรบเวียดนามเชื่อมั่นคุณพระที่ห้อยคอไป อาจทำให้เกิดนะจังงังก็ได้ข้าศึกมองไม่เห็นตัว หรือยิงไม่ถูก"แล้วท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังได้ยกอุทาหรณ์ให้ฟังต่อไปอีกว่า เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ พระพุทธเจ้าหลวงเคยเสด็จออกเยี่ยมพสกนิกรที่ชนบทแห่งหนึ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นบ้านชาวจีนคนหนึ่งนำปุ้งกี๋มาไว้บูชาบนหิ้ง จึงได้รับสั่งถามชาวจีนผู้นั้นว่า เอามาบูชาเพื่ออะไร ชาวจีนผู้นั้นได้ทูลถึงความเชื่อมั่นของตน ซึ่งเริ่มต้นมาจากปุ้งกี๋จนทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมาได้ จึงนำมาไว้บูชาและเก็บไว้เป็นที่ระลึก พระพุทธเจ้าหลวงจึงได้ตรัสชมว่า "ดีแล้ว" นี่ก็แสดงว่า ความเชื่อมั่นเท่านั้นที่จะปรากฏผลให้เห็นเมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้อรรถาธิบายจบแล้ว เพื่อนอีกคนหนึ่งของคุณภิญโญจึงได้เรียกถามท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ต่อไปอีกว่า ตัวเขาทำไมจึงยากจนเหลือเกินไหนจะต้องหารายได้เพื่อมาเป็นทุนการศึกษา ไหนจะต้องหาเงินมาเลี้ยงแม่อีก จึงอยากจะมาขอพรจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เพื่อจะได้ทุกสักก้อนหนึ่งสำหรับไว้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เมื่อจบการศึกษาในประเทศไทยแล้วท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้กล่าวสรรเสริญเพื่อนของคุณภิญโญว่าเป็นการกระทำที่ดีแล้ว พร้อมกับอธิบายถึงความกตัญญูกตเวทิตาว่า"คนที่มีความกตัญญูกตเวทีแล้ว ไปไหนหรือจะทำอะไรย่อมไม่ตกต่ำและมักจะประสพความสำเร็จเสมอ เพราะคุณพระย่อมคุ้มครองคนมีที่คุณธรรมประจำใจ"ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังได้อธิบายต่อไปอีกว่า"คุณธรรมอันเป็นเครื่องนำไปสู่ความสำเร็จในกิจการทั้งปวง อันได้แก่ อิทธิบาทสี่ แปลว่า ทางที่นำไปสู่ความสำเร็จไม่ว่าจะทำอะไร อิทธิ ซึ่งหมายถึงหนทางที่จะไป มีอยู่ ๔ ประการ" คือ๑. ฉันทะ คือความพอใจในสิ่งที่เป็น วิลล์ออฟมาย หรือเป็นความตั้งอกตั้งใจที่จะทำจริง๒. วิริยะ คือความเพียรพยายามโดยไม่ท้อถอย๓. จิตตะ คือความเอาใจจดจ่อในสิ่งที่จะทำในกิจกรรมนั้นๆ โดยนึกอยู่เสมอ๔. วิมัสสะ คือการพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ชี้แจงต่อไปอีกว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร หากมีธรรม ๔ ประการนี้แล้ว ย่อมพบกับความสำเร็จอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเรียนหนังสือหรือการทำมาหากิน และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังย้ำต่อไปอีกว่า"จะไปนิพพานก็ได้นะ"หลังจากได้สนทนาธรรมกับเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นที่พออกพอใจแล้ว ทุกคนต่างก็จะกราบลากลับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้สั่งให้เพื่อของคุณภิญโญ ไปตักน้ำมนต์ในโอ่งหลังรูปปั้นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ๑ ถ้วย และรินใส่ถ้วยให้ดื่มทีละคนพร้อมกับให้ว่าคาถาตามท่านไปด้วย ดังนี้สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ อิทัง พลัง เอตัสสะมิง ระตะนัตตะ ยัสสะมิง สัมประสาทะ นะเจตะโสเมื่อทุกคนได้รับประทานน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เสร็จทั่วทุกคนแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้กล่าวเป็นประโยชน์สุดท้ายว่า" จงประกอบแต่ความดีนะ จะได้มีความสุข"คาถาของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ บทนี้ ผู้ใดใคร่จดจำไว้ ข้าพเจ้าคิดว่าคงเกิดประโยชน์ไม่น้อย ยิ่งผู้ที่มีเครื่องรางของขลังของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไว้บูชาด้วยแล้วก็คงเกิดพลังอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏขึ้นมาได้ ดังเช่นคาถาชินบัญชร ของสมเด็จพุฒจารย์โตดุจเดียวกันข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวการสนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาแล้ว ก็ใคร่จะขอนำ "โอวาท" ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพื่อเตือนสติแก่ผู้ที่กำลังประพฤติชั่ว หรือกระทำชั่วไปแล้วให้หันกลับมาประกอบกรรมแต่ความดี ละทิ้งความชั่วที่ทำหรือกำลังที่จะกระทำนั้นเสีย และผู้ที่ประกอบกรรมแต่ความดีก็ให้รักษาความดีนั้นไว้ หรือยิ่งประกอบกรรมดียิ่งๆ ขึ้นไป ดังต่อไปนี้โอวาทของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต๑. "PERSONAL MAGNET"เรื่องที่มีคนเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจนั้น เป็นเพราะ คุณธรรมความดี ของตนเอง หลายประการด้วยกัน เป็นต้นว่า วิริยะ อุตสาหะ บากบั่น เข้มแข็ง แรงกล้า และจิตใจเมตตากรุณา ไม่เย่อหยิ่งจองหอง เป็นเหตุให้ผู้ที่แวดล้อมอยู่เกิดความเมตตากรุณารักใคร่เห็นอกเห็นใจ คิดที่จะช่วยเหลือคนซึ่งมี กิริยามารยาทอ่อนโยน สุภาพนิ่มนวล ย่อมเป็นที่เสน่หารักใคร่ของคนที่ได้พบเห็นและพยายามที่จะช่วยเหลือ นี่เป็น Personal Magnet คือเสน่ห์ในตัวของตัวเอง เพราะฉะนั้น จงพยายามรักษาคุณสมบัติดังกล่าวนี้ไว้ จะเป็นเครื่องช่วยตัวเองให้บรรลุความสำเร็จสมประสงค์ทุกประการ ทุกกาลเวลา ทั้งปัจจุบันและอนาคต๒. เมตตาอย่ากลัว จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรทำอันตรายได้จงจำไว้ว่า ถ้าปรารถนาความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น ก็ควรส่งกระแสใจที่ประกอบด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจไปยังท่านเหล่านั้น แล้วก็จะได้รับความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากท่านเหล่านั้นเช่นเดียวกัน นี่เป็นกฏของจิตตานุภาพแล้วความสำเร็จทั้งหลายที่ปรารถนา ก็จะบังเกิดแต่ตนสมประสงค์ทุกประเด็นแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย.๓. สบายใจคำว่า "ไม่สบายใจ" อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป Let it go, and get ti out!" ก่อนมันจะเกิด ต้อง Let it go! ปล่อยให้มันผ่านไปอย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้ ถ้าเผลอไปมันแอบเข้ามาอยู่ในใจได้ พอมีสติรู้สึกตัวว่าความไม่สบายใจเข้ามาแอบอยู่ในใจ ต้อง Get it out! ขับมันออกไปทันที อย่าเลี้ยงเอาความไม่สาบายใจไว้ในใจมันจะเคยตัว ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอออดแอดทำอะไรผิดพลาดนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่สบายใจเคยตัว เพราะความไม่สบายใจนี้แหละเป็นศัตรู เป็นมาร ทำให้ใจไม่สงบประสาทสมองไม่ปกติ เป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ พลอยไม่สงบไม่สบายใจไปด้วย ทำให้สมองทึบไม่ปลอดโปร่ง เป็น habit ความเคยชินที่ไม่ดี เป็นอุปสรรคกีดกั้นขัดขวางสติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่งแจ่มใส ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ ทั้งก่อนที่จะทำอะไร หรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้ว ต้องหัดให้จิตใจแช่มชื่นรื่นเริงเกิดปิติปราโมทย์เป็นสุขสบายอยู่เสมอ เป็นเหตุให้เกิดกำลังกายกำลังใจ Enioy living มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงจะเบิกบาน จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจจำได้ง่าย เหมือนดอกไม้ที่แย้มเบิกบานต้อนรับหยาดน้ำค้าง และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้นพระพุทธเจ้าสอนว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"หมายความว่า ความสุขอื่นมี เช่นความสุขในการดูละคร ดูหนัง ในการเข้าสังคม Soial ในการมีคู่รักคู่ครอง หรือในการมีลาภยศได้รับความสุข สรรเสริญ และได้รับความสุขจากสิ่งเหล่านี้ ก็สุขจริง
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  5. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    น่าสงสารนะ...สมัยนี้ คนดีมักจะยากจน..!!?!"
    (พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต) <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    สันติสุขแต่ว่า สุขเหล่านี้มีทุกข์ซ้อนอยู่ทุกอย่าง ต้องคอยแก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอไม่เหมือนกับความสุขที่เกิดจากสันติความสงบ ซึ่งเป็นความสุขที่เยือกเย็นและไม่ซ้อนด้วยความทุกข์ และไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงตกแต่งมากเป็นความสุขที่ทำได้ง่ายๆ เกิดกับกายใจของเรานี่เอง อยู่ในที่เงียบๆ คนเดียวก็ทำได้ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมสังคมก็ทำได้ ถ้าเรารู้จักแยก ใจ หาสันติสุข กายนี้เพียงสักแต่ว่าอยู่ในที่ระคนด้วยความยุ่ง สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมาถึงใจ แม้เวลาเจ็บหนัก มีทุกข์เวทนาปวดร้าวไปทั่วกาย แต่เรารู้จักทำใจ ให้เป็นสันติสุขได้ ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ ใจ เดือดร้อนตามไปด้วยเมื่อ ใจ สงบแล้วกลับจะทำให้กายสงบ หายทุกขเวทนาได้ด้วยและประสบสันติสุข ซึ่งไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่าสันติสุขนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกเป็น ๓ ทาง คือ๑. สอนให้สงบกาย วาจา ด้วย ศีล ไม่ทำโทษทุจริตอย่างหยาบที่เกิดทาง กาย วาจา เป็นเหตุให้เกิดสันติสุขทางกาย วาจา เป็นประการต้น๒. สอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วย สมาธิ หัดใจไม่ให้คิดถึงเรื่องความกำหนัดความโกรธ ความโลภ ความหลง ความกลัว ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความลังเลใจ ทำให้ใจไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาด เมื่อละสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเหตุให้ใจสงบ เป็นสันติสุขทางจิตใจอีกประการหนึ่ง๓. ทรงสอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางทิฏฐิ ความเห็นด้วย ปัญญา พิจารณาให้เห็นว่าสรรพสิ่งทั้งหลายไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อมสิ้นแปรปรวน ดับไป เรียกว่าเป็น ทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อ้อนวอน ขอร้อง เร่งรัด ให้เป็นไปตามความประสงค์ ท่านเรียกว่า อนัตตาเมื่อเรารู้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้ จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็ง มั่นคง เด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ทั้งหลาย เพราะรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่แน่นอนมันคงอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง เสื่อมสิ้นดับไปไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาฝ่าฝืนของเราอย่าไปเร่งรัดให้เสียกำลังใจคงรักษาใจให้เป็นอิสระมั่นคงอยู่เสมอไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเหตุให้ใจตั้งอยู่ในสันติสุขเป็นอิสระเกิดอำนาจทางจิต Mind Power ที่จะใช้ทำกรณียะอันเป็นหน้าที่ของตนได้สำเร็จสมประสงค์"นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"It meeds a Peaceful Mind to support a Peaceful Body, and itneeds a Peaceful Body to support a Peaceful Mind, and, st it needs Both Pescaful Body and Mind to attain all succes that wbich you wish.๕. ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือคนไม่ทำอะไรเลย "DO NO WRONG IS DO NOTHING"จงระลึกถึงคติพจน์ ว่า "Do no wrong is do nothing!" "ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย!"ความผิดนี้แหละ เป็นครูอย่างดี ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเองที่ทำอะไรผิดพลาด และควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษ คือความผิด จะได้ตรงกับคำว่า "เจ็บแล้วต้องจำ!" ตัวทำเองผิดเอง นี้แหละเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ เป็น Good example ตัวอย่างที่ดี เพื่อจะได้จดจำไว้สังวรระวังไม่ให้ผิดต่อไป แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อเผลอประมาท อดีตที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านพ้นล่วงไปแล้ว แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังคงอยู่คอยกระซิบเตือนใจเสมอทุกขณะว่า "ระวัง! อย่าประมาทนะ! อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีกนะ!"ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมองเร่งระวังผิดสอง ภายหน้าสามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอยถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำอภัยไฉน!จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่า นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดีและทางผู้วิเศษที่เป็นศาสดาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดีล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรคความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนมาแล้วด้วยกันทุกท่าน๖. สติสัมปชัญญะ (ความระลึกได้ และความรู้ตัว)ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติ ถ้ามีสติคุ้มครองกายวาจาใจอยู่ทุกขณะจำทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติ คือ เผลอ เหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจน์ว่า " กุมสติต่างโล่ห์ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม" ธรรมดาชีวิตทุกชนิด ทั้งมนุษย์และสัตว์ตลอดทั้งพืชพันธุ์ พฤษาชาติ เป็นอยู่ได้ด้วยการต่อสู้ ตรงกับคำว่า "Life id fighting" "ชีวิตคือการต่อสู้" เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใจก็ต้องถึงที่สุดแห่งชีวิต คือ death ความตาย เพราะฉะนั้นยังมีสติอยู่ตราบใดถึงตายก็ตายแต่กาย เช่นกับชีวิตพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ท่านมีสติไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต ท่านจึงทำอะไรไม่ผิดและถึงซึ่งอมตธรรม คือธรรมที่ไม่ตาย ตรงกับคำว่า immortal จึงเรียกว่า ปรินิพาน คือนามรูปสังขารร่างกายที่เรียกว่าเบญจขันธ์ ขันธ์ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกดับไปเท่านั้น เพราะฉะนั้น ความฝึกฝนสติ (ความระลึกรู้ก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด) สัมปชัญญะ (รู้ตัวทุกขณะที่กำลังทำอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่) เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็มีสติตรวจตาพิจารณาดูว่าบกพร่องอย่างไร หรือเรียบร้อยบริบูรณ์ดี ถ้าบกพร่องก็รีบแก้ไขเพื่อให้สมบูรณ์ต่อไป ถ้าเรียบร้อยดีอยู่แล้ว ก็พยายามให้เรียบร้อยดียิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด๗. อานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยอนุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แล จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลางและอย่างละเอียดได้!๑. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเกิดกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกายวาจาได้ ด้วยศีลชนะความยินดียินร้าย หลงรัก หลงชัง ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ๒. ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ โดยพร้อมมูล บริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย! เพราะฉะนั้น จึงความสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ทุกเมื่อเทอญ. ๘. ดอกมะลิดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่ถูกรับรองแล้วว่าเป็นดอกไม้ที่หอมเย็นชื่นใจที่สุดและขาวบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหลายชีวิตมนุษย์ที่เป็นอยู่เช่นเดียวกับการเล่นละคร ขอให้เป็นตัวเอกที่มีชื่อเสียงที่สุด เช่นเดียวหรือลักษณะเดียวกับดอกมะลิ อย่าเป็นตัวผู้ร้ายที่เลวที่สุด และให้เห็นว่าดอกมะลินี้จะบานเต็มที่เพียง ๒-๓ ก็จะเหี่ยวเฉาไป ฉะนั้นขอให้ทำตัวให้ดีที่สุด เมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้หอมที่สุดเหมือนดอกมะลิที่เริ่มแย้มบานฉะนั้น."จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ"๙. ทำดี ดีกว่าขอพร "จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ นะ!ตือนให้เตรียมตัวไว้ดำเนินชีวิตต่อไปเป็นคำแทนคำอวยพรอย่างสูงสุดประกอบด้วยเหตุผล เมื่อทำกรรมดีแล้ว ไม่ให้พรก็ต้องดี เมื่อทำชั่วแล้วจะมาเสกสรรปั้นแต่งอวยพรอย่างไรก็ดีไม่ได้ ทำชั่วเหมือนโยนหินลงน้ำหินจะต้องจมทันที ไม่มีผู้วิเศษใดๆ จะมาเสกเป่าอวยพรอ้อนวอนขอร้องให้หินลอยขึ้นมาได้ ทำกรรมชั่วจะต้องเล่นจมป่นปี้เสียราศีเกียรติคุณชื่อเสียงเหมือนก้อนหินหนักจมลงไปอยู่กับโคลนใต้น้ำ ทำดีเหมือนน้ำมันเบาเมื่อเทลงน้ำย่อมลอยเป็นประกายมันปลาบอยู่เหนือน้ำ ทำกรรมดี อย่อมมีสง่าราศี มีเกียรติคุณชื่อเสียง มีแต่คนเคารพนนับถือยกย่องบูชา เฟื่องฟุ้งฟูลอยน้ำเหมือนน้ำมันลอยถึงจะมีศัตรูหมู่ร้ายจงใจเกลียดชังมุ่งร้ายอิจฉาริษยาแช่งด่าให้จมก็ไม่สามารถจะเป็นไปได้ กลับจะแพ้เป็นภัยแก่ตัวเอง ขอให้จงตั้งใจกล้าหาญพยายามทำแต่กรรมดีๆ โดยไม่มีความเกรงกลัวหวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ผู้ที่มีความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ผู้ที่มีโชคดี ผู้ที่มีความสุขและผู้ที่มีความเจริญประสงค์ใดสำเร็จสมประสงค์ ก็คือผู้ที่ประกอบกรรม ทำแต่ความดีอย่างเดียวนั่นเองพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตภิกษุกายทิพย์ดังได้กล่าวแล้วว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก เป็นภิกษุรูปเดียวที่เคร่งครัดต่อธรรมวินัย หาภิกษุใดในยุคปัจจุบันนี้เสมือนท่านเจ้าคุณนรรัตนหาได้ไม่ นั่นแต่ท่านบรรพชาอุปสมบทมา ๓๐ กว่าพรรษา ท่านเจ้าคุณนรรัตนยังมิเคยย่างกรายออกนอกเขตบริเวณวัดเทพศิรินทร์เลย แม้แต่ครั้งเดียว หลังจากได้บวชผ่านไปแล้ว ๑ พรรษา และไม่เคยรับนิมนต์จากญาติโยมคนใดทั้งสิ้น แต่แล้วก็ได้มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่มีผู้พบท่านเจ้าคุณนรรัตน ไปปรากฏองค์ท่านให้เห็น ทั้งในประเทศ และต่างประเทศซึ่งข้าพเจ้า จะขอนำเอาเหตุการณ์ ประหลาดเหล่านี้มาเล่าสู่คุณผู้อ่านดังต่อไปนี้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ตรงกับวันที่ ๑๗ พ.ย. ทางกรมการรักษาดินแดนได้จัดสร้างเหรียญ ร.๖ ขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนนำไปบูชาและได้ทำการพุทธาภิเศกตามวันดังกล่าวนี้ โดยนิมนต์พระคณาจารย์ที่มีชื่อเข้าร่วมทำพิธีปลุกเศก คือหลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร, หลวงพ่อปู่อาคม วัดสุทัศน์ฯ, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงปู่นาค วัดระฆัง, พระสุธรรมธีระคุณ วัดสระเกศ, หลวงพ่อคล้าย วัดจันดี, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, และพระอาจารย์ผ่อง จินดา วัดสามปลื้ม ยังได้กระทำพิธีอัญเชิญดวง พระวิญญาณของอดีตพระมหากษัตริย์ไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ ร.๑ ถึง ร.๘ มาประทับทรงในร่างของนายทหารและนายตำรวจ เพื่อทรงเป็นประธานและสักขีพยาในพิธีปลุกเศกนี้ด้วยในการกระทำพิธีพุทธาภิเศกเหรียญ ร.๖ ครั้งนี้ คณะกรรมการทุกคนจะลืมนินมต์ท่านเจ้าคุณนรรัตน เสียมิได้ เพราะท่านเจ้าคุณนรรตันเป็นภิกษุรูปหนึ่งที่จงรักภักดีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่๖ จนปวารณาตัวบวชไม่ยอมสึก และล้นเกล้ารัชกาลที่๖ ก็ทรงโปรดปรานเจ้าคุณนรรัตนเช่นเดียวกัน เมื่อมีการสร้างเหรียญ ร.๖ขึ้นครั้งนี้ คณะกรรมการจึงได้เดินทางไปนินมต์ท่านเจ้าคุณนรรัตนให้เข้าพิธีพุทธาภิเษกด้วย แต่คณะกรรมการ ก็ได้รับความผิดหวัง เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนไม่ยอมรับนิมนต์ออกนอกเขตวัดท่านเจ้าคุณนรรัตนได้บอกกับคณะกรรมการชุดนั้นว่า"อาตมาจะขอนั่งปรกปลุกเสกอยู่ในกุฏินี้เพื่อส่งกระแสร์จิตไปร่วมพุทธาภิเศกด้วยในครั้งนี้จนกระทั่งเสร็จพิธี"คณะกรรมการสร้างเหรียญ ร.๖ ชุดนี้จึงได้นำชื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนประกาศให้ประชาชนทราบทั่วกันว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนได้ส่งกระแสร์จิตเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเศกเหรียญ ร.๖ ในครั้งนี้ด้วยเมื่อประชาชนได้ทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนส่งกระแสร์จิตปลุกเศกเหรียญ ร.๖ ต่างก็ทะยอยมาสั่งจอง กันเป็นจำนวนมาก แม้บางรายยังไม่เคยเห็นรูปลักษณะเหรียญ ร.๖ เลยก็ยังสั่งจองกันมากมายชั่วเวลาเพียงไม่ถึงสิบวัน ก็มีประชาชนสั่งจองเหรียญ ร.๖ ถึง ๔ หมื่นเหรียญ และเมื่อเสร็จพิธีพุทธาภิเศกก็ได้นำออกแจกจ่ายให้ประชาชนบูชาเพียงไม่นานนักเหรียญ ร.๖ ก็หมดเกลี้ยงอย่างไม่มีใครคาดถึง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะบารมีกระแสร์จิตของท่านเจ้าคุณนรรัตนที่เข้าร่วมปลุกเศกด้วยนั่นเองเมื่อประชาชนจำนวนมากรับเหรียญ ร.๖ ไปพกติดตัว ต่างก็ปรากฏอภินิหารต่างๆ นานา ทั้งทางอยู่ยงคงกระพันและโชคลาภ จนโจษขานกันทั่วอยู่พักหนึ่ง ปรากฏการณ์สิ่งนี้เองที่มีประชาชนจำนวนมากได้ประจักษ์กันว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนมีกระแสร์จิตอันแก่กล้า สามารถส่งมาร่วมพิธีพุทธาภิเษกได้ แต่ไม่เพียงกระแสจิตเท่านั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนยังสามารถถอดกายทิพย์ออกไปให้ผู้อื่นพบเห็นได้อีกด้วยผู้ที่พบท่านเจ้าคุณนรรันไปปรากฏองค์ให้เห็น ก็คือมีนายทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความเลือมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรรัตนมาก เมื่อครั้งได้รับคำสั่งทางราชการให้เดินทางไปสมรภูมิเวียดนาม จึงได้เดินทางมาหา ท่านเจ้าคุณนรรัตนเพื่อขอศีลขอพร และให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เพื่อเป็นศิริมงคล ครั้นได้เดินทางไปประจำอยู่ในสมภูมิเวียดนาม ก็ได้ปะทะกับพวกเวียดกงหลายครั้ง บางครั้งอยู่ในภาวะคับขันหวุดหวิดจะได้รับอันตราย ก็ได้พบท่านเจ้าคุณนรรัตนมาปรากฏร่างช่วยเหลือคลี่คลายสถานการณ์จนพ้นภาวะคับขันไปได้ทุกครั้ง จนเป็นที่กล่าวขานกันอย่างมากมายในกลุ่มทหารกองพลเสือดำมาแล้วส่วนทางด้านสหรัฐอเมริกาก็ได้มีผู้พบเห็นท่านเจ้าคุณนรรัตนไปปรากฏมาแล้วเหมือนกัน กล่าวคือมีชาวอเมริกันผู้หนึ่งซึ่งได้เคยรู้จักกับ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ ได้เขียนจดหมาย เล่าเรื่องราวประหลาดมหัศจรรย์แก่ พ.ต.อ. ชลอ ว่า ได้มีเศรษฐีอเมริกันผู้หนึ่งอยู่ในนครนิวยอร์ค ได้ล้มป่วยด้วยโรคร้ายแรงโรคหนึ่ง ได้รักษาเสียเงินเสียทองมาแล้วอย่างมากมายโรคร้ายนั้นก็ไม่หาย แต่เศรษฐีอเมริกันผู้นี้เป็นผู้ใจบุญสุนทาน และประกาศตนเป็นพุทธมามะกะมาแล้ว เมื่อเสียเงินเสียทองรักษาตัวทางแพทย์ปัจจุบันมาแล้วหลายแห่ง โรคร้ายนั้นก็ไม่ยอมหาย จึงหันมาระลึกถึงพุทธคุณทางพุทธศาสนาอยู่เสมอปรากฏว่าวันหนึ่งได้มีพระภิกษุไทยรูปหนึ่ง ได้ไปเยี่ยมที่บ้านของเศรษฐีผู้นั้น และแสดงความจำนงค์ขอช่วยรักษาโรคร้าย ให้โดยการใช้กระแสร์จิตรักษา เศรษฐีผู้นั้นก็ยินยอมให้ภิกษุไทยรูปนั้นรักษาให้ และหลังจากพระภิกษุไทยรูปนั้นใช้กระแสร์จิตรักษาแล้ว ปรากฏว่าอาการป่วยของเศรษฐีผู้นั้นก็เริ่มทุเลาลงเป็นอันดับ พระภิกษุไทยรูปนั้นจึงได้บอกชื่อว่า พระภิกษุเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต พำนักอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ ประเทศไทย ทำให้เศรษฐผู้นั้นงุนงงเป็นอันมาก และหลังจากนั้นไม่นานนักอาการของเศรษฐีนั้น ก็ค่อยทุเลาและหายเป็นปกติ จึงได้บอกเพื่อนชาวอเมริกันที่คุ้ยเคยกับคนไทยในกรุงเทพฯให้ช่วยเขียนจดหมายมาถามดูว่าที่ในกรุงเทพฯ มีวัดเทพศิรินทร์ และพระภิกษุชื่อเจ้าคุณนรรัตนหรือไม่? เพื่อนของเศรษฐีอเมริกันผู้นั้นซึ่งคุ้นเคยกับ พ.ต.อ. ชลอ ก็ได้เขียนตอบไปแล้วว่ามีจริงดังที่ถามมาทุกประการอีกรายหนึ่ง ที่พบท่านเจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก ไปปรากฏร่างให้เห็นก็คือ พ.ต.ท. นายแพทย์สุภัค บรรฑุรัตน์ หัวหน้าแผนกนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ได้เล่าว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนเคยไปเยี่ยมถึงบ้าน และพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเป็นเวลานานจึงได้ลากลับ นายแพทย์สุภัคถึงกับงุนงง เพราะเป็นผู้หนึ่งที่เลื่อมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรรัตนมาก และก็ทราบว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนมิเคยย่างกรายออกจากวัดเทพศิรินทร์เลยแต่เหตุไฉนที่นเจ้าคุณนรรัตน จึงได้ไปเยี่ยมเยียนและพูดคุยกับตนถึงบ้านได้ ท่านเจ้าคุณนรรัตนต้องถอดกายทิพย์ไปอย่างแน่นอนเพื่อให้คุณผู้อ่านได้ทราบถึงเรื่องราวของ "กายทิพย์" ว่า มีจริงหรือไม่? ข้าพเจ้าก็ขอนำเอาข้อเขียนของ พ.ต.อ. ชลอ อุทกภาชน์ ธบ.น.บ.ท ผกก ตำรวจสันติบาล แผนก ๔ ผู้เชี่ยวชาญการค้นคว้าทางวิญญาณ และทางโยคะศาตร์ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ "แว่นส่องจักรวาล" มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วยก่อนอื่นที่จะกล่าวถึงกายทิพย์ของมนุษย์นั้น เราได้ศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ทางด้านกายภาพและชีวภาพกันมาแล้ว แต่ตามหลักวิชาวิทยาศาสตร์ทางฟิสิคดังกล่าวหาได้กล่าวถึงเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์ ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์แต่อย่างไรไม่ และนักวิทยาศาสตร์ทางจิตทั่วโลกก็หาได้กล่าวถึงเรื่องราวของกายทิพย์ของมนุษย์-แต่อย่างไรไม่ ในเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์นั้น คงมีกล่าวไว้ในโยคะศาสตร์เท่านั้น และเป็นวิชาสำคัญสาขาหนึ่งในโยคะศาสตร์ ซึ่งผู้ที่ศึกษา โยคศาสตร์ชั้นสูงจะต้องศึกษาวิชาว่าด้วย กายทิพย์อย่างละเอียดถี่ถ้วนส่วนในพุทธศาสนานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเรื่องกายทิพย์ของมุนษย์ ไว้เป็นหลักฐานวในสามัญญผลสูตร ซึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า "ผู้ที่สามารถถอดกายทิพย์ออกจากายหยาบของตนได้นั้น เสมือนหนึ่งการถอดไส้ของหญ้าปล้อง" ส่วนธรรมชาติของสภาวะของกายทิพย์นั้น ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าจากหลักฐานในพระไตรปิฏกตอนใดของพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงเรื่องราวของกายทิพย์ ของมุนษย์อย่างละเอียด อย่างที่ได้กล่าวไว้ในโยคะศาสตร์ ส่วนหลักโยคะศาสตร์นั้นได้เรียก"วิชากายทิพย์ของมนุษย์ว่า ฮูเลียราบัด" และแบ่งออกดังนี้
    ๑. กายทิพย์ของมนุษย์คืออะไร?
    ๒. กายทิพย์เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปฏิสนธิวิญญาณอย่างไร?
    ๓. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวสัมพันธ์กับปฏิสนธิวิญญาณอย่างไร?
    ๔. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับกฏแห่งกรรมอย่างไร?
    ๕. ทรรศนะของพุทธศาสนา ยอมรับเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์ว่าเป็นความจริง ดังกล่าวไว้ในหลักของโยคะศาสตร์ หรือไม่เพียงใดก่อนที่ข้าพเจ้าจะอธิบายวิชากายทิพย์ ตามหลักโยคะศาสตร์ โดยละเอียดนั้นข้าพเจ้าอยากจะกล่าวถึง ปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นแก่ชีวิตของท่านเองหรือญาติมิตรของท่าน แต่ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่มีผู้ใดตอบได้ตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ หากท่านได้ศึกษาโยคะศาสตร์มาบ้างแล้ว ท่านอาจตอบปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ทันที ทั้งนี้เพราะวิชากายทิพย์ของมุนษย์นั้น ตามหลักโยคะศาสตร์ถือว่าเป็นวิทยาการว่าด้วยสภาวะธรรมชาติส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ จึงจำต้องศึกษาค้นคว้าให้รู้ถึงธรรมชาติอย่างแท้จริงของมัน แต่วิชากายทิพย์นี้เป็นเรื่องยาก สำหรับประชาชนทั่วไปจะศึกษาค้นคว้าเข้าไปถึง ผู้ที่สามารถศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ก็จะต้องฝึกจิตทางสมาธิให้บรรลุฌาณสมาบัติขึ้นสูง หรือบรรลุชั้นญาณโยคีเสียก่อน จึงจะสามารถศึกษาค้นคว้าวิชาอันเร้นลับเหล่านี้ได้ หากผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตทางสมาธิเลย หรือฝึกจิตทางสมาธิเพียงขั้นต้นบุคคลเหล่านี้ก็ยังสามารถจะศึกษาสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ได้อนึ่งพวกเราชาวพุทธมักจะได้ยินข่าวเรื่องราวพระภิกษุบางรูป ซึ่งเป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงรู้วันมรณะกรรมของตัวเอง ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง และได้แจ้งวันเวลาเหล่านี้ให้ศิษย์หรือผู้ใกล้ชิดทราบล่วงหน้าตั้งแต่ ๓-๗ วัน ครั้นเมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าว ท่านก็มรณะภาพจริงๆ พระคณาจารย์เหล่านี้ตามประวัติของท่านแทบทุกองค์ล้วนแต่ได้ฝึกจิตทางสมาธิมาเป็นเวลาช้านาน และสามารถแสดงปรากฏการณ์ทางจิตได้หลายอย่างหลายประการจนกระทั่ง ได้รับการยกย่องจากประชาชนว่า ท่านเหล่านี้เป็นบุคคลชั้น"คณาจารย์" ซึ่งเป็นการแน่นอนเหลือเกินว่าพระคณาจารย์เหล่านี้ย่อมสามารถรู้สภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ของท่านเองท่านย่อมสามารถหยั่งรู้วันมรณะกรรมล่วงหน้าของท่านได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เพราะกายทิพย์ของคณาจารย์ผู้นั้นจะเป็นผู้แจ้งเหตุล่วงหน้าวันมรณะภาพให้คณาจารย์ผู้นั้นทราบหากผู้ที่มิได้ฝึกทางสมาธิ และยังมิได้บรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วกายทิพย์ของผู้นั้น จะบอกเหตุเกี่ยวกับการมรณะกรรมของบุคคลผู้นั้นให้ทราบเหมือนกัน แต่การบอกเหตุล่วงหน้าของกายทิพย์นั้นจะแสดงออกเป็นรูปปรากฏการณ์ต่างๆ เช่นดลใจให้บุคคลผู้นั้นกล่าวอำลาตายแก่ญาติมิตรหรือผู้ใกล้ชิด หรือกล่าวเป็นทำนองว่า จะต้องจากไปโดยไม่มีวันกลับมาอีก หรือดลใจให้ผู้นั้นรับประทานอาหารมากมายผิดปกติ ซึ่งคนไทยเราเรียกว่า กินสั่ง หรือแสดงปรากฏการณ์ทางใบหน้าของบุคคลผู้นั้น โดยทำให้สีหน้าของบุคคลผู้นั้นดำหมองคล้ำผิดปกติ และต่อมาอีก ๒-๓ วัน บุคคลผู้นั้นถึงมรณะกรรมโดยปัจจุบันทันด่วนโดยไม่มีผู้ใดนึกฝันมาก่อนเลย ปรากฏการณ์ของกายทิพย์ซึ่งแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว เป็นการแสดงออกของกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นแจ้งเหตุล่วงหน้า ให้แก่บุคคลผู้นั้นทราบในทางร้าย ชาวไทยเราเรียกว่า "ลางร้าย" หากผู้นั้นจะได้รับโชคลาภหรือตำแหน่งหน้าที่ กายทิพย์ก็จะบอกเหตุให้ทราบล่วงหน้าเช่นเดียวกัน เช่นแสดงอออกทางใบหน้า หน้าตาผู้นั้นจะแจ่มใส่เบิกบานหรือแสดงออกทางร่างกาย ผู้นั้นจะรู้สึกขนลุกซู่ซ่าบางขณะชั่วขณะหนึ่ง หรือแสดงออกทางฝ่ามือ เช่นจะได้รับโชคลาภผู้นั้นมักจะรู้สึกคัน ที่ฝ่ามือเป็นระยะๆ หรือจะปรากฏผุดแดงขึ้นในฝ่ามือเหล่านี้เป็นต้น ชาวไทยเราเรียก "ลางดี"ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ธรรมชาติของกายทิพย์ของมนุษย์นั้น มีสภาวะธรรมชาติเกี่ยวข้องกับชีวิตของบุคคลแต่ละบุคคล ตั้งแต่เข้าปฏิสนธิถึงวันมรณะ และจะแสดงให้ทราบถึง อดีตวิบากกรรม ทั้ง กรรมดี และกรรมชั่วโดยแสดงปรากฏการณ์ในลักษณะต่างๆ ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งท่านผู้อ่านทั้งหลายคงได้ประสบเหตุเหล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย เว้นแต่เราไม่สนใจในเรื่องราวเหล่านี้ จึงมองข้ามไปเสีย หากผู้ใดได้ศึกษาสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ของมุนษย์แล้ว เมื่อประสพการณ์ใดๆ ย่อมจะทราบได้ทันทีว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น แก่ตนเองหรือผู้อื่น เรื่องราวลึกลับของกายทิพย์ดังกล่าวมาแล้ว จึงได้เกิดวิชาพยากรณ์ชีวิตทางลายมือขึ้น และวิชาพยากรณ์ทางลายมือนี้ได้แผ่ขยายไปทั่วโลกในปัจจุบัน การปรากฏการณ์ในเส้นลายมือของบุคคลทุกคนในลักษณะแตกต่างกันนั้น กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะแสดงให้เห็นผลของอดีตกรรม, ปัจจุบันกรรม ประกอบกับทุกๆวัน ฉะนั้นหากผู้ใดสามารถศึกษาค้นคว้าสัญญาลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏในฝ่ามือของบุคคลย่อมจะสามารถพยากรณ์ชาตาชีวิต ของบุคคลแต่ละบุคคลได้ใกล้เคียงความจริง ดังตัวอย่างซึ่งข้าพเจ้าจะยกมากล่าวประกอบ เรื่องราวลึกลับของกายทิพย์ นักพยากรณ์ลายมือที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองความสามารถและยอมรับว่า วิชาพยากรณ์ลายมือนั้นเป็นศาสตร์ที่ลึกลับศาสตร์หนึ่งหาก ศึกษาค้นคว้าให้ทราบถึงหลัก อันแท้จริงแล้ว สามารถจะล่วงรู้เหตุการณ์ เกี่ยวด้วยชีวิตในอดีตและอนาคตของบุคคลๆ ได้ถูกต้องใกล้เคียงความจริง นักพยากรณ์ลายลักษณ์ในฝ่ามือผู้นี้คือ มร. ไคโรมร. ไคโร ผู้นี้นักวิทยาศาสตร์ได้พิมพ์มือบุคคลสำคัญ ๆในสหรัฐอเมริกาประมาณ ๓๐ ราย บางรายเป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงแต่ภายหลังได้ทำการฆาตกรรมภรรยา และต้องลงโทษตามคำพิพากษาของศาล ให้ประหารชีวิตไปแล้ว บางรายก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางรายก็เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสหรัฐฯ บางรายก็เป็นนักธุระกิจขั้นมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งรายมือเหล่านี้ไปให้ มร.ไคโร พยากรณ์โดยไม่บอกชื่อและประวัติของเจ้าของลายมือเลยแม้แต่รายเดียว ครั้นเมื่อได้รับคำพยากรณ์ลายมือเหล่านี้จาก มร.ไคโร แล้ว ได้นำมาสอบประวัติของเจ้าของรายมือเพื่อเปรียบเทียบกับ คำพยากรณ์ของ มร.ไคโร ปรากฏการณ์พยากรณ์ของ มร.ไคโร ถูกต้องใกล้เคียงความจริงกับชีวะประวัติของบุคคลเจ้าของลายมือ ประมาณร้อยละเก้าสิบห้า โดยที่ มร.ไคโร ไม่เคยรู้จักว่าบุคคลที่ตนพยากรณ์ไปนั้นเป็นผู้ใด แม้แต่นักโทษที่ถูกประหารชีวิตในบั้นปลายชีวิต มร.ไคโร ก็พยากรณ์ได้ถูกต้อง และนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตและตัวยังมีชีวิตอยู่ มร.ไคโร ก็พยากรณ์ได้ถูกต้องแม่นยำ การที่ มร.ไคโรสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของแต่ละบุคคลที่ถูกต้อง จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ยอมรับวิชาพยากรณ์ลายมือเป็นศาสตร์ๆ หนึ่งนั้น ก็เพราะ มร.ไคโรสามารถอ่านลายลักษณ์ต่างๆ ในฝ่ามือของบุคคลแต่ละคนซึ่งกายทิพย์ของบุคคลนั้น แสดงปรากฏการณ์ไว้อย่างละเอียดถูกต้อง
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  6. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    เมื่อเจ้าคุณนรรัตน์ "รู้ใจ" หลวงตามหาบัว

    เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี พระอรหันต์เจ้าผู้นำแห่งโครงการ”ช่วยชาติ”ที่ลือเลื่องที่สุดในยุคนี้ ได้เล่าไว้ด้วยองค์เอง เมื่อมีผู้มาพูดกับท่านว่า
    “ผมไม่เชื่อหรอกว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะท่านไม่ได้อยู่ป่า ไม่ได้เที่ยวธุดงค์ ไม่ได้ไปวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร และท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯก็ไม่เคยออกจากวัดไปไหนเลยด้วย....”
    เมื่อได้ฟัง หลวงตามหาบัวจึงตอบกลับไปว่า
    คนที่มีความรู้แค่ป.3 จะไปมีความรู้เทียบเท่าชั้นป.7 ไม่ได้ คนที่มีความรู้ป.7 จะมีความรู้เทียบเท่าคนที่จบปริญญาตรีไม่ได้ ฉะนั้น จะไปด่วนสรุปอย่างนั้นไม่ได้นะ...!!!!”
    และท่านหลวงตามหาบัวก็ยังได้ย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งอดีตให้ฟังอีกด้วยว่า ในสมัยก่อน เมื่อกว่า 30 กว่าปีที่แล้ว เมื่อหลวงตาได้เดินทางลงมายังกรุงเทพมหานคร และได้ไปพักที่วัดเทพศิรินทร์ หลวงตามหาบัวในฐานะเป็นพระอาคันตุกะก็ได้ลงโบสถ์ทำวัตรเช้าวัตรค่ำที่พระอุโบสถ วัดเทพศิรินทร์เช่นเดียวกับพระวัดเทพศิริทร์ด้วย
    เพราะด้วยเหตุที่ท่านได้ยินกิตติศัพท์ของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯมาก่อนหน้านี้แล้ว หลวงตามหาบัวจึงได้คิดว่า จะไปสนทนาธรรมด้วยท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯสักครา และในขณะที่ลงทำวัตรนั่นเอง เหมือนจะรู้ใจของหลวงตามหาบัวอย่างถ่องแท้มาก่อนล่วงหน้าแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯก็ได้หันมายิ้มให้กับหลวงตามหาบัวด้วย แต่ยังไม่มีโอกาสได้พูดสนทนาสิ่งใดกัน
    ครั้นเมื่อทำวัตรเสร็จ ก็เหมือนมีกรรมมาบัง เพราะบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของหลวงตามหาบัวก็เข้ามา
    กราบนมัสการหลวงตามหาบัวมากมายจนมืดค่ำถึงกว่า 3 ทุ่มเศษ และท่านธมฺมวิตกฺโกก็กลับกุฏิไปแล้ว ทำให้หลวงตามหาบัวท่านไม่มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯเลย
    ต่อมาวันรุ่งขึ้น หลวงตามหาบัวก็มีเหตุให้ต้องกลับจังหวัดอุดรธานีโดยเร่งด่วน ทำให้ไม่ได้พบกับท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโกอีกจนแล้วจนรอด แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็พลันบังเกิดขึ้นเมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯได้ถามหาหลวงตามหาบัว กับพระภิกษุที่หลวงตามหาบัวไปพักด้วยว่า
    ไหนว่าท่านมหาบัวจะมาสนทนากับผม ผมรอท่านตั้งนานไม่เห็นมา..????
    แม้นี้ ย่อมเป็นเครื่องแสดงให้แจ้งชัดอย่างไม่มีที่เหลือให้สงสัยว่า อันญาณรู้แห่งท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯนั้น สามารถล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของทุกผู้คน ไม่เว้นแม้แต่”จิตพระอรหันต์”ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จนหลวงตาท่านเองยังต้องปรารภไว้ในกาลต่อมาว่า
    ใครจะมารู้วาระจิตของเราได้ นอกจากจะต้องเป็นผู้มีภูมิธรรม ปัญญาธรรมเสมอกับเรา..??
    นั่นก็ย่อมหมายความอย่างตรงไปตรงมาที่สุดว่า ท่านหลวงตามหาบัว ก็ยอมรับว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) แห่งวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานครองค์นี้ ก็คือ”พระอรหันตเจ้า”ด้วยเช่นกัน จึงสามารถ”อ่านใจ”และ”รู้วาระจิต”ของท่านอย่างทะลุปรุโปร่งได้เห็นปานนี้
    และอย่างชัดเจนที่สุด หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนก็ได้เคยพูดถึงท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯกับท่านพระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก แห่งวัดป่านาคำน้อยในเวลาต่อมาว่า
    ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯเป็นอรหันต์กลางกรุง และเป็นพระที่สันโดษมาก....
    จากการทั้งหลายทั้งปวงดังที่ได้ยกขึ้นมาเล่าแจ้งทั่วกันดังกล่าวนี้ ย่อมแสดงให้เห็นชัดอย่างที่สุดถึงประโยคที่ว่า “อรหันต์ย่อมรู้ในอรหันต์” ย่อมมีความจริงแท้ อย่างมิจำต้องสงสัยใดๆอีกแล้ว....

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    แพทย์ผู้ชันสูตรพระบรมศพ ร.8 เล่าเรื่องโครงกระดูกในกุฏิท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ

    "....เมื่อผมเป็นนักเรียนแพทย์ ผมได้ถูกชักชวนโดยอาจารย์ของผมสองท่านคือ ศาสตราจารย์คองดอน และท่านขุนกายวิภาควิศาล ให้สมัครทำงานเป็นนักเรียนผู้ช่วยในวิชานี้พร้อมกับเรียนแพทย์ไปด้วย ผมตกลงเพราะเกิดชอบในวิชานี้อยู่บ้างในการเป็นนักเรียนผู้ช่วยนั้น นอกจากช่วยสอนบ้างเล็กน้อยแล้ว งานส่วนใหญ่หนักไปทางเทคนิคเพื่อตระเตรียมเครื่องใช้ในการสอน สมัยนั้นโครงกระดูกที่นำมาใช้สอนต้องสั่งจากต่างประเทศ เป็นราคาค่อนข้างแพงและไม่ได้กระดูกเหมาะตามความประสงค์ เพราะเป็นกระดูกชาวต่างประเทศ และกระดูกที่ส่งมาก็มีบางส่วนชำรุด
    ศาสตราจารย์คองดอนจึงให้ผมลองประกอบโครงกระดูกขึ้นใช้เอง นับเป็นการฝึกฝนที่ผมพึ่งมารู้สึกเป็นประโยชน์ในภายหลังสองประการ หนึ่งช่วยให้ผมจำต้องศึกษาโครงกระดูกที่จะประกอบละเอียดถี่ถ้วนขึ้น ทำให้ผมมีความรู้ในเรื่องโครงกระดูกดีขึ้นกว่าเดิม สองทำให้ผมรู้จักใช้มือหัดเจาะ ร้อยโครงกระดูกเหล่านั้น และช่วยให้ผมรู้จักช่วยตัวเองไม่ให้ต้องพึ่งของจากต่างประเทศ
    ผมจำไม่ได้ว่าผมได้ใช้เวลาเท่าใดเกี่ยวกับเรื่องประกอบโครงกระดูก แต่จำได้ว่าผมประกอบไม่สำเร็จ เสร็จแต่เพียงกระดูกแขนขา หาวัตถุมาประกอบเป็นกระดูกอ่อนซี่โครงไม่สำเร็จ พอดีหมดกำหนดการเป็นนักเรียนผู้ช่วย ผมก็กลับไปเรียนแพทย์ต่อจนสำเร็จ พอสำเร็จก็ได้รับทุนมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ไปเรียนต่อในวิชากายวิภาคศาสตร์ ที่สหรัฐอเมริกาสองปี
    กลับมาผมก็กลับมาช่วยปฏิบัติงาน ซึ่งตอนนี้หนักไปทางสอน ปรากฏข้อบกพร่องของการสอนในสมัยนั้นก็คือ ขาดวัตถุประกอบการสอน ผมจึงลงมือทำขึ้นหลายอย่างร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ในแผนก
    วันหนึ่งมีคนมาติดต่อ แจ้งว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตมีความประสงค์อยากจะได้โครงกระดูกมนุษย์สักโครงหนึ่ง ไว้ช่วยในการปฏิบัติกิจของท่าน โดยท่านจะตอบแทนเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ครั้งแรกผมไม่กล้ารับปาก เพราะไม่แน่ใจว่าจะประกอบขึ้นสำเร็จหรือไม่ แต่ประการสำคัญก็คือโครงกระดูกเหล่านี้ความประสงค์เดิมใช้เฉพาะในการศึกษาเท่านั้น การจะนำไปใช้เป็นอย่างอื่นจะผิดประสงค์ของผู้อุทิศศพ แต่เนื่องจากผมได้ทราบประวัติของท่านเกี่ยวกับความกตัญญูที่ท่านแสดงกับล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ผมจึงอยากจะช่วยท่าน นอกจากนั้นก็ยังอยากได้เงินมาใช้จ่ายในการทำวัตถุที่ใช้ในการสอนด้วย เพราะการเงินในสมัยนั้นค่อนข้างจะฝืดเคือง เบิกมาใช้สอยได้ยาก
    ผมได้พยายามทำอยู่หลายเดือน สุดท้ายก็ประกอบสำเร็จขึ้นเป็นโครงสมบูรณ์ แต่ไม่เรียบร้อยเหมือนกับโครงที่ทำขึ้นใหม่ โดยฝีมือของคนงานแผนก จำได้ว่าเจาะกะโหลกตอนบนไม่ได้ศูนย์ เวลาแขวนโครงกระดูกหน้าง้ำมากเกินไป แต่ผมก็ไม่ได้แก้ไข แจ้งไปยังท่านว่าผมประกอบเสร็จแล้ว ขอให้กำหนดวันด้วย ผมจะได้เอาไปส่ง ขณะที่ผมจัดแจงแขวนกระดูกให้เข้าที่ ท่านก็ถามว่าโครงมนุษย์มีกระดูกเท่าใด ผมกราบเรียนท่านว่าจำนวนเท่าใดนั้นกระผมจำไม่ได้ แต่ถ้าจะให้กระผมนับจำแนกให้ท่านดูทีละส่วนกระผมจะนับให้ท่านดู และจะชี้ให้ท่านทราบว่าจำนวนกระดูกอาจจะไม่เท่ากันได้ ความจริงผมจำไม่ได้เอง เพราะตัวเลขกับผมนั้นเป็นปฏิปักษ์กัน ท่านได้มอบเงินมาให้ผม 300 บาท ซึ่งก็ได้ใช้จ่ายในกิจการเกี่ยวกับหาวัตถุใช้ในการสอน ในการทำพิพิธภัณฑ์กายวิภาคคองดอน บางชิ้นอาจเหลือเป็นประโยชน์ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ผมจึงรู้สึกในบุญคุณของท่านอยู่ แต่ไม่เคยกลับไปหาท่านอีกเลยจนท่านถึงแก่มรณภาพ
    เรื่องเกี่ยวกับโครงการดูกนี้ผมได้เล่าให้นักเรีนแพทย์ฟังอยู่หลายรุ่น และมักจะเอ่ยว่าท่านเจ้าคุณเป็นนักศึกษา มีความอยากรู้อยากเห็นในทุกสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้อง และที่สำคัญมีความกตัญญูเป็นเลิศ ควรถือท่านเป็นแบบอย่าง คนมีความกตัญญู ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ แม้จะมีอุปสรรคภัยอันตรายอย่างไรก็อาจพ้นอุปสรรคภัยอันตรายนั้นไปได้
    ผมพึ่งมาทราบ ความอยากรู้อยากเห็นอยากปรับปรุงแก้ไขกิจการงานที่ท่านได้รับมอบหมายจากหนังสือเล่มนี้เช่นเดียวกัน ตอนที่ทราบว่าท่านได้ไปหาเจ้าคุณดำรงแพทยาคุณ เพื่อขอศึกษาดูการผ่าศพ หาความรู้เส้นเอ็นต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ เพื่อปรับปรุงในหน้าที่ถวายอยู่งานนวดเวลาล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 บรรทม เนื่องจากล้นเกล้าฯ ทรงมีพระวรกายอ้วน เส้นสายอยู่ลึกจะต้องจับนวดแรง ๆ จึงจะถูกเส้น นับเป็นตัวอย่างอันดีในความประพฤติของท่านอีกประการหนึ่ง
    ผมต้องขอโทษที่เล่าเรื่องมาเสียไกล นอกออกไปจากเรื่องที่ผมอยากจะได้กระดูกมาไว้เกี่ยวกับประวัติของวิชากายวิภาคศาสตร์ ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมขอความกรุณาช่วยติดต่อให้ผมด้วย
    ในที่สุดนี้ผมขอแสดงความยินดีที่หนังสือต่าง ๆ ที่คุณพิมพ์มีประโยชน์ต่อบุคคลเป็นจำนวนมาก ขอกุศลที่คุณปฏิบัติจงช่วยให้คุณมีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    โดยความนับถือ
    (ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร)
    ภาควิชากายวิภาคศาสตร์
    คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    โครงกระดูกในกุฏิเจ้าคุณนรรัตน์" ที่ศาสตราจารย์นายแพทย์สุด แสงวิเชียรจัดทำถวายเมื่อครั้งกระนั้น <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เนื่องจากโครงกระดูกนี้ เป็นของเพศหญิง ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯจึงเคยกล่าวอย่างขำๆกับผู้ใกล้ชิดบางท่านว่า โครงกระดูกนี้เป็น"คุณหญิง"ของท่าน พร้อมกับว่า
    "ดีแท้ๆ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ไม่เคยพูดจาสิ่งใดให้กระทบกระเทือนหรือลำบากใจเลย..!!?!" <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25>p-222.gif </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- / message -->
     
  8. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff></TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25>jkn-071(2)(3).gif </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25>DSC0158412.gif </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=bot2 bgColor=#f9f9f9 height=25>pl-0151(2).gif </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์น๊ะ..!!!!"
    พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    สำหรับปฐมเหตุที่ทำให้ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯกล่าวความเช่นนี้ ก็เกิดมาจากการที่ท่านได้กล่าวเตือนญาติโยมบางรายที่ไปนมัสการว่า
    "การที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้น ไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ..!!?!" <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  9. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    ลับเฉพาะคนวงใน

    อาจารย์เจ้าคุณนรรัตน คือ หลวงพ่อทวด[​IMG]
    [​IMG]
    คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวของหลวงปู่มหาอำพัน พระอรหันต์สหธรรมมิกเจ้าคุณนรรัตน ท่านบอกไว้
    [​IMG]
    หัวนอนท่านเจ้าคุณนรรัตนมีรูปเหมือนหลวงพ่อทวดองค์เล็กๆบูชาเเละกราบไหว้ทุกวันนัยว่าเป็นอาจารย์กรรมฐานของท่าน[​IMG]
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  10. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    [​IMG]

    ในดวงของพระอริยเจ้าที่เชื่อว่าสำเร็จอรหันต์นั้น ดาวที่เกี่ยวกับคู่ครอง หรือ โลกียสุข อันได้แก่ ดาวเจ้าเรือนปัตนิ ดาวศุกร์ (๖) และ ดาวจันทร์ (๒) อันหมายถึง ภรรยา จะถูกเบียนอย่างยับเยิน และมักจะพบว่า ดาวพลูโต (พ) ซึ่งเป็นดาวเกี่ยวกับกรรมฐานนั้น มักจะทำมุมสัมพันธ์กับดาวเสาร์ (๗) ดาวครองใจ โดยที่ดาวเสาร์ (๗) นั้น มักจะทำมุมสัมพันธ์กับลัคนา หรือ ดาวเจ้าเรือนลัคน์เสมอ นี่เป็นกฎเกณฑ์ในการพิจารณาดวงพระอริยสงฆ์ผู้สำเร็จอรหันต์ในขั้นต้น

    ในดวงชะตาของท่านเจ้าคุณนรรัตน ฯ นั้นดาวเกี่ยวกับคู่ครองถูกเบียนอย่างยับเยินทุกดวง โดยเริ่มจาก อาทิตย์ (๑) เจ้าเรือนปัตนิ และ ดาวศุกร์ (๖) ดาวแห่งความรัก คู่ครอง การแต่งงาน อันเป็นปัตนิโลกธรรม ถูกเบียนโดยเรือน คือ ไปอยู่ในภพวินาศนะ อันเป็นภพทุสถานะ ซึ่งเรือน หรือราศีที่สถิตอยู่นั้น คือ ราศีมังกร มีเสาร์ (๗) คู่ศัตรูอันร้ายกาจของความรัก หรือ ดาวศุกร์ (๖) เป็นเกษตรเจ้าเรือน จึงให้โทษแก่อาทิตย์ (๑) ปัตนิ และศุกร์ (๖) ปัตนิโลกธรรมยิ่งนัก นอกจากจะถูกเบียนโดยเรือนแล้ว ยังถูกบาปเคราะห์ อังคาร (๓) ราหู (๘) เกตุ (๙) กุม ถูกมฤตยู (๐) กากบาท ถูกพุธ (๔) เจ้าเรือนมรณะกุม ถูกจันทร์ (๒) เจ้าเรือนอริเล็ง จึงส่งผลให้ท่านไม่ยินดีในกามสุข หรือโลกียสุข ไม่เคยข้องแวะกับอิสตรี ถือเพศพรหมจรรย์จนสิ้นอายุขัย
    มาพิจารณาดาวจันทร์ (๒) ดาวที่หมายถึง ภรรยา จะพบว่า จันทร์ (๒) เป็นเกษตร เจ้าเรือนอริถือว่า อยู่ในภพทุสถานะอันให้โทษเช่นกัน และยังถูกบาปเคราะห์ อังคาร (๓) ราหู (๘) เกตุ (๙) เล็ง ถูกพุธ (๔) มรณะ เล็ง ถูกมฤตยู (๐) กากบาท ถือว่าถูกเบียนด้วยบาปเคราะห์ไม่น้อย ท่านจึงออกบวช และบวชไม่สึก แม้จะมีคู่หมั้นหมายที่ดีพร้อม และอนาคตที่สดใสในราชการก็ตาม
    เมื่อท่านออกบวชแล้ว ท่านได้ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมกรรมฐานอย่างเคร่งครัด ทำกุฏิของท่านให้มีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากป่าช้า จะเห็นว่า ดาวพลูโต (พ) อันเป็นดาวเกี่ยวกับกรรมฐานนั้น ทำมุมเล็งกับดาวเสาร์ (๗) อันเป็นดาวครองใจ โดยที่ดาวเสาร์ (๗) นั้น นำหน้าดาวมฤตยู (๐) เจ้าเรือนลัคน์ และลอยเหนือศีรษะขณะเกิดในภพกัมมะ
    นอกจากนั้นแล้ว พลูโต (พ) ยังทำมุมสัมพันธ์กับดาวอังคาร (๓) มหาอุจ เจ้าเรือนกัมมะที่อยู่ในภพวินาศนะ จึงทำให้ท่านสนใจในศาสตร์เกี่ยวกับการแพทย์ และโหราศาสตร์ เพราะพลูโต (พ) เป็นดาวที่มีความหมายเกี่ยวกับการแพทย์และโหราศาสตร์โดยตรง

    <!-- / message -->
     
  11. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    การอธิษฐานจิตของท่านเจ้าคุณนรฯ


    [​IMG]

    [​IMG]


    พระเถระผู้ทรงคุณธรรมเป็นพิเศษในอดีตเป็นอันมาก เมื่อจะถือกำเนิดในครรภ์โยมมารดานั้น มักจะสำแดงนิมิตให้ปรากฏแก่โยมบิดาและโยมมารดาต่าง ๆ กัน เป็นต้นว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสองค์สำคัญยิ่ง ซึ่งเป็นสมเด็จอุปัชฌาย์ของ "ท่านธมฺมวิตกฺโก" และเชื่อกันว่าท่านเป็นพระอริยบุคคลรูปหนึ่งนั้น เมื่อปีที่ท่านจะเกิดโยมบิดาก็ฝันไปว่ามีผู้นำช้างเผือกมาให้ หรือเมื่อตอนที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แต่ครั้งยังเป็นสามเณร จะย้ายเข้าไปอยู่วัดระฆังโฆสิตาราม เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมนั้น ก็เล่ากันว่าพระอาจารย์ของท่านฝันในคืนวันที่ท่านจะไปถึงว่ามีช้างเผือกเชือกหนึ่งเข้าไปกินคัมภีร์พระไตรปิฎกในตู้จนหมด ฯลฯ
    โดยเหตุที่เคยมีเรื่องราวเล่ากันมาดังกล่าวนี้ จึงทำให้ผู้เขียนสนใจสืบถามนิมิตเมื่อตอนที่ท่านธมฺมวิตกฺโกจะถือกำเนิดอยู่เหมือนกัน เพื่อจะได้ "เกร็ด" ประวัติตอนสำคัญของท่านมาเผยแพร่ แต่ก็มิได้ความกระจ่างแต่อย่างไร เคยมีผู้สนใจซักถามโยมบิดาของท่าน (พระนรราชภักดี-ตรอง จินตยานนท์) ว่าประพฤติตนเช่นไร สวดมนต์อย่างไร ท่องคาถาบทไหน ฯลฯ จึงได้มีบุตรที่ดี (หมายถึงท่านธมฺมวิตกฺโก) เช่นนี้ โยมบิดาของท่านก็ได้ตอบไปว่า เห็นจะเป็นด้วยเหตุที่ท่านได้ใส่ใจภาวนา สวดพระคาถามงคลสูตรอยู่เสมอนั่นเอง
    อันพระคาถามงคลสูตรนี้ ตัวท่านธมฺมวิตกฺโกเองก็นิยมท่องบ่นเจริญภาวนาอยู่เสมอเช่นกัน ตลอดทั้งได้แนะนำผู้ใกล้ชิดบางคน เช่น คู่หมั้นของท่าน ให้หมั่นสวดภาวนาทุกวัน ทั้งเวลาเช้าตื่นนอน และเวลาค่ำก่อนเข้านอน
    โดยท่านได้ให้อรรถาธิบายว่า
    "มงคลคาถานี้ เป็นพระสูตรที่คัดมาจากพระไตรปิฎก ผู้ใดเล่าบ่นหรือสวดและปฏิบัติตาม ย่อมเป็นสิริมงคลอันประเสริฐ จึงเรียกว่าคาถามงคลสูตร"
    ในตอนปีท้าย ๆ ก่อนที่จะถึงแก่มรณภาพนี้ รู้สึกว่าท่านธมฺมวิตกฺโกได้ตั้งใจอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่องมากมายเป็นพิเศษ ยิ่งในปี 2513 ด้วยแล้ว ถึงกับมีพิธีสวดอธิษฐานจิตครั้งใหญ่ในวัดเทพศิรินทราวาสถึงสองครั้งสองหน คือเมื่อเสาร์ห้าตรงกับวันที่ 25 เมษายนครั้งหนึ่ง กับวันที่ 5 ธันวาคมอีกครั้งหนึ่ง เฉพาะวันที่ 5 ธันวาคมซึ่งเป็นพิธีสวดอธิษฐานจิตครั้งสุดท้ายของท่านนั้น ได้มีผู้นำพระเครื่องพระบูชา และวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ไปให้ท่านอธิษฐานจิตให้อย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ มงคลวัตถุเหล่านั้นวางเต็มอาสนะสงฆ์ในพระอุโบสถ จนดูแทบจะทานน้ำหนักไม่ไหว มีผู้กล่าวกันว่าน้ำหนักสิ่งของทั้งหมดที่นำไปให้ท่านอธิษฐานจิตในวันนั้น คะเนรวมแล้วเห็นจะไม่ต่ำกว่า 3 ตัน !
    นอกจากนี้ยังมีการถวายให้อธิษฐานจิตและแผ่เมตตาย่อยครั้งละไม่กี่นาที ในพระอุโบสถบ้าง ข้างกุฏิท่านบ้างอีกนับครั้งไม่ถ้วน จนเกือบจะไม่มีการยกเว้นว่าบุคคลใดจะเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาสก็แล้วแต่ หากมีประสงค์จะสร้างพระเพื่อหารายได้ไปใช้ในการกุศลแล้ว ท่านก็จะอนุโลมตามความปรารถนา อธิษฐานจิตให้ทุกรายไป
    เป็นเรื่องที่บุคคลบางคนเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะแต่ก่อนมานั้นท่านไม่ยอมอธิษฐานจิตสิ่งของให้แก่ใครได้ง่าย ๆ เป็นเรื่องนอกลู่นอกทาง มิใช่แนวของพระพุทธศาสนาโดยตรง
    เชื่อกันว่าการที่ท่านยอมอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่องอย่างมากมายในระยะหลัง ๆ นี้ก็เพื่อเป็นสิ่งของที่ระลึก เป็นเครื่องหมายแทนตัวท่านสืบต่อไปในอนาคตอีกนานแสนนาน เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะดึงคนให้หันเข้ามาสู่ศาสนา เข้าสู่หลักธรรมคำสั่งสองของสมเด็จพระบรมศาสดา
    เพราะคนที่นิยมสะสมพระหรือที่ชอบเรียกกันติดปากว่า "เล่นพระ" นั้นในที่สุดก็หันมาปฏิบัติธรรมด้วยกันทั้งสิ้น โดยมีพระเครื่องนั้นเป็นสื่อจูงใจในเบื้องต้น
    นอกจากนี้ท่านยังเคยกล่าวว่า
    "ให้เขาได้ทำบุญทำกุศลกันเสียบ้าง ดีกว่าเอาเงินไปสุรุ่ยสุร่าย เที่ยวตามบาร์ตามไนท์คลับกัน"
    เพราะเงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายพระเครื่องเหล่านี้ ท่านผู้สร้างก็นำไปใช้จ่ายในการกุศล สร้างโรงเรียน สร้างโบสถ์ เป็นทุนการศึกษาของพระภิกษุสงฆ์สามเณร ฯลฯ อันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่การศึกษาและการศาสนาทั้งสิ้น
    อีกประการหนึ่ง สถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกโดยรอบประเทศของเรา ในระยะนั้นก็มีแต่ความคับขันและอันตรายรอบด้าน ต้องส่งทหารไปร่วมรบในสมรภูมิสาธารณรัฐเวียดนาม สถานการณ์ในลาวและเขมร ประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศเรา กำลังผจญกับสงครามอย่างหนัก อันจะส่งผลกระทบกระเทือนมาถึงประเทศชาติของเราด้วย และการคุกคามของผู้ก่อการร้าย ซึ่งกำลังแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ฯลฯ บางครั้งก็รุนแรงน่าสะพึงกลัวเป็นอันมาก
    ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ที่ทำให้ท่านธมฺมวิตกฺโก ยอมอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่องให้แก่บุคคลต่าง ๆ เป็นอันมากในระยะหลัง ๆ นี้ จึงเกิดอภินิหารเป็นที่ปรากฏประจักษ์แก่มหาชนอย่างกว้างขวาง จนพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาให้นั้นกลายเป็น "พระเครื่องยอดนิยม" เป็นที่กล่าวขวัญและแสวงหาของชาวพุทธทั่วเมืองไทยในยุคนี้
    มีคนเป็นอันมากเชื่อว่าการที่ท่านอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่องเป็นการใหญ่ในระยะหลัง ๆ นี้ แสดงว่าท่านจะต้อง "สำเร็จ" อย่างหนึ่งอย่างใดแล้วแน่นอน
    หากการอธิษฐานจิตลงในพระเครื่องเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ไม่สามารถประจุพลังศักดิ์สิทธิ์ลงสถิตในองค์พระปฏิมาขนาดเล็กนั้นได้จริง ท่านก็จะไม่ยอมแผ่เมตตาให้โดยเด็ดขาด
    ท่านได้ทุ่มเทศึกษาทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจจิต การทำสมาธิทั้งวิชาฝ่ายโยคะและพระพุทธศาสนามาตั้งแต่วัยหนุ่มและกระทำมาตลอดชีวิตของท่าน ท่านได้เคยใช้พลังจิตผจญกับโรคร้าย ความเจ็บไข้ ตลอดจนอสรพิษ ได้ผลจนเป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ผู้ที่ได้พบเห็นหรือที่ทราบเรื่องมาแล้ว
    ฉะนั้นท่านจึงยินยอมอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่องให้
    คราวหนึ่งเมื่อพิธีสวดอธิษฐานจิตในพระอุโบสถ วันเสาร์ห้า 25 เมษายน 2513ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ท่านได้หันไปหาพระมหาเสริม อนุจโย ซึ่งเป็นพระสวดพุทธาภิเษกในวันนั้นว่า
    "เรื่องของขลังนี้ ท่านมหาเชื่อไหม ?"
    "เกล้าเชื่อ" เป็นคำตอบจากพระมหาเสริม
    อีกคราวหนึ่ง ท่านได้บอกกับนายสุวัฒน์ ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มเชื้อจีน อยู่ร้านตัดเสื้อแถวสี่แยกวัดตึกที่มีความเคารพท่านมาก เคยฝันเห็นท่านมาก่อนระหว่างเจ็บป่วย จึงได้เพียรพยายามมาดูตัวจริง จนได้พบท่านแล้วก็เกิดศรัทธาเคารพมั่นในองค์ท่านยิ่งขึ้น เมื่อทราบว่าเขามีการสร้างพระเครื่องถวายให้ท่านอธิษฐานจิตก็พยายามหาเช่าไว้บูชาเป็นอันมาก วันหนึ่งเมื่อได้มีโอกาสพบท่าน ท่านก็ได้กล่าวเป็นเชิงสั่งสอนว่า
    "คุณ พระนี่ช่วยได้นะถ้าไม่จำเป็นอย่าไปปล่อย"
    ที่ท่านว่า "อย่าไปปล่อย" ก็เพราะท่านคาดว่าจะเอาพระเครื่องนั้นไปให้คนอื่นเช่าต่อ หรือขายต่อให้คนอื่นไป
    การที่ท่านกล่าวดังนี้ แสดงว่าท่านเชื่อมั่น ท่านทราบได้อย่างแน่ชัดปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ว่าพระเครื่องต่าง ๆ ที่ท่านอธิษฐานจิตนั้น จะต้องมีความศักดิ์สิทธิ์จริง คุ้มครองให้แคล้วคลาดจากอุปัทวันตรายได้จริง สามารถเสริมส่งให้ผู้เคารพบูชาประสบความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้จริง
    แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ท่านสั่งสอนให้คนหันมาลุ่มหลงงมงายอยู่กับเรื่องพระเครื่องของขลังต่าง ๆ คราวหนึ่งท่านได้เคยพูดกับนายอธึก สวัสดิมงคล นายกยุวพุทธิกสมาคมชลบุรี ภายหลังจากถวายของให้ท่านอธิษฐานจิตแล้ว เป็นคติน่าฟังมาก
    "ทั้งหมดนี่" ท่านกล่าวขึ้น พร้อมกับชี้มือไปยังหีบพระเครื่องต่าง ๆ ที่ท่านอธิษฐานจิตแล้ว "สู้ธรรมะไม่ได้"
    แสดงว่าท่านยกย่องการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของสมเด็จพระบรมศาสดานั้นว่า มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สำคัญยิ่งกว่าการมีพระเครื่องไว้ประจำตัว
    อีกคราวหนึ่งในปี 2513 หลังจากพิธีสวดอธิษฐานจิตเมื่อวันเสาร์ห้าผ่านไปเพียงเล็กน้อย นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์ ได้นำพระเครื่องพิมพ์นาคปรกเนื้อนวโลหะที่ท่านเจ้าคุณอุดมฯ สร้างเพื่อจำหน่ายหารายได้สมทบทุนสร้างโรงเรียนนวมราชานุสรณ์ นครนายกนั้น ราว 4-5 องค์ไปถวายให้ท่านอธิษฐานจิตซ้ำอีก ก่อนที่ท่านจะยินยอมอธิษฐานจิตให้ ได้ถูกท่านเทศนาสั่งสอนอย่างเจ็บ ๆ อยู่นานร่วม 1 ชั่วโมง
    "หมอนี่เรียนมาเสียเปล่า มาหลงงมงายอะไรกับเรื่องพรรค์นี้ !"
    ท่านได้ว่ากล่าวสั่งสอน มิให้ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับเรื่องของขลังและอภินิหาร เพราะอภินิหารต่าง ๆ นั้น มิได้ช่วยให้ทุกคนรอดพ้นจากภัยอันตรายได้ทุกครั้งอยู่เสมอไป
    ตลอดเวลาที่ท่านเทศนาว่ากล่าวอยู่นานโขนั้น นายแพทย์สุพจน์ ได้โต้แย้งท่านอยู่ไม่หยุดเช่นกัน โดยปกตินั้นท่านชอบคนโต้เถียงท่านด้วยเหตุผลอยู่เหมือนกัน
    การที่นายแพทย์สุพจน์โต้เถียงท่านในเรื่องอภินิหารนั้น ก็เป็นด้วยนายแพทย์ผู้นี้ได้เคยเอาพระเครื่องกรุเก่า มาทดลองยิงด้วยปืนพกด้วยมือของตนเองมาหลายครั้งหลายหน จนกระสุนหมดไปหลายกล่อง ปรากฏผลเป็นที่น่าทึ่งมาก โดยใช้วิธีอาราธนาพระไว้ที่ตัวปลาหมอ ในระยะที่ยิงได้แม่นยำอย่างสบาย แล้วก็ระเบิดกระสุนใส่เข้าไป !
    ผลของการทดลอง ปรากฏว่าจากการยิงพระนางพญากรุพิษณุโลก ราว 7-8 องค์ ส่วนใหญ่ยิงถูกแต่ไม่เข้า (คงกระพัน) บางองค์ยิงไม่ถูก (แคล้วคลาด) มีอยู่องค์หนึ่งยิงไม่ออก (มหาอุด) และพระปิดทวารของหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง พิมพ์ใหญ่ชนิดสองหน้า ที่เรียกกันว่าพิมพ์พระประกับนั้น ยิงไม่ออก เป็นยอดมหาอุดจริง ๆ
    จากประสบการณ์ดังกล่าวนี้เอง ทำให้นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์ เชื่อมั่นในอภินิหารของพระเครื่องเป็นยิ่งนัก และเอาเรื่องนี้มาโต้แย้งกับท่านธมฺมวิตกฺโก ที่ท่านกล่าวหาว่ามาหลงงมงายอยู่กับอภินิหารไม่เข้าเรื่อง !
    "เรื่องอภินิหาร พระเดชพระคุณว่ามีจริงไหม ?" นายแพทย์สุพจน์ เอ่ยขึ้นตอนหนึ่ง
    "จริง" ท่านตอบ จากนั้นท่านกล่าวสืบต่อไปว่า
    "หมอเคยเห็นเคยได้ยินข่าวเรื่องโจรผู้ร้ายที่แขวนพระไว้เต็มคอ แต่แล้วก็กลับถูกตำรวจยิงตาย หรือไม่ก็ถูกจับได้ ต้องติดคุกไปบ้างไหม? ถึงแม้จะมีพระอยู่เต็มคอก็ช่วยอะไรไม่ได้ใช่ไหม?"
    แล้วท่านกล่าวสำทับในที่สุดว่า "อภินิหารนั้นหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น"
    เมื่อถูกท่านขนาบด้วย "ไม้ตาย" เช่นนี้ ก็ทำเอานายแพทย์สุพจน์ ต้องนิ่งงันสงบปากไม่อาจจะกล่าวโต้แย้งในเรื่องอภินิหารใด ๆ กับท่านได้อีกต่อไป
    ตามที่กล่าวมานี้ จะเป็นที่เห็นได้ชัดว่า แม้ท่านธมฺมวิตกฺโกจะตั้งใจอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่อง ด้วยความเชื่อมั่นว่า มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถปกป้องคุ้มครองผู้สักการะบูชาได้ก็จริง แต่ผู้มีพระเครื่องไว้คุ้มครองนั้น ก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา เจ้าของที่มาแห่งองค์พระปฏิมานั้นด้วย
    <!-- google_ad_section_end -->
    <!-- / message -->
     
  12. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]

    [​IMG]

    หลวงปู่เจ้าคุณนรท่านเป็นหนึ่งเสมอ<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- / message -->
     
  13. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]


    "จะไปทำมันทำไม Death is my friend อันความตายนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอะไรเลยเหมือนกับพวกคุณกลับจากที่ทำงานแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า"

    ครั้งเดียวในชีวิต

    ผมได้ข้อมูลเรื่องเล่าถึงท่านเจ้าคุณนรฯเรื่องนี้มาจากตอนหนึ่งในหนังสือที่บุคคลท่านหนึ่งพิมพ์เป็นอนุสรณ์อายุครบ๖๐ปี บุคคลท่านนี้ชื่อคุณวิม อิทธิกุล เรื่องมีอยู่ว่าขณะนั้นชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านเจ้าคุณนรฯนั้นเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายหลังจากที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ตีข่าวถึงวัตรปฏิบัติและอิทธิปาฏิหารย์เกี่ยวกับท่าน คุณวิมก็เป็นบุคคลหนึ่งที่อยากเข้าไปพบเพื่อกราบนมัสการท่านสักครั้ง รอโอกาสอยู่นานแต่ไม่รู้จะเข้าไปหาท่านได้อย่างไร บังเอิญว่าน้องเขยของคุณวิมทราบเรื่องจึงบอกว่าตัวเองเคยบวชที่วัดเทพฯและอาสาจะพาไปพบท่าน ในวันนั้นซึ่งอยู่ในช่วงกลางปี๒๕๑๓ คุณวิมพร้อมน้องเขยได้ไปรอพบท่านที่โบสถ์วัดเทพฯหลังจากที่ท่านทำวัตรเย็นเสร็จ เมื่อไปถึงได้กราบพระประธานในโบสถ์และนำพวงมาลัยไปสักการะรูปเหมือนของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพฯที่เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรฯแล้วก็ต้องใช้เวลารอประมาณสิบกว่านาทีกว่าพระสงฆ์จะสวดมนต์เสร็จ ภาพแรกของท่านเจ้าคุณนรฯที่จำได้ติดตาคือท่านเป็นคนที่มีรูปร่างสันทัด ผิวพรรณอิ่มเอิบผ่องใส เสียงที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรนั้นดังกังวานระรื่นหูเป็นเสียงสวดนำคือในบางบทบางตอนที่ยากๆจะได้ยินเสียงสวดจากท่านเพียงองค์เดียวที่ฟังได้ชัดเจนจับใจยิ่งนัก หลังจากที่พระสงฆ์สวดมนต์เสร็จคณะของคุณวิมได้เข้าไปหาท่านซึ่งท่านก็ยิ้มด้วยความเมตตาเป็นการต้อนรับ ท่านได้นำพวงมาลัยที่เอามาถวายท่านไปบูชาองค์พระประธานเสร็จแล้วท่านได้ถามขึ้นว่า "มีธุระอะไรจ๊ะ" คุณวิมได้เรียนตอบท่านว่าผมมาที่นี่เพื่ออยากให้ท่านตอบปัญหาธรรมะให้สักข้อ ท่านหยุดนิ่งชั่วขณะก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยความเมตตาว่า "คุณเรียนมาชั้นไหน" หลังจากที่ได้บอกวุฒิของความรู้ของตัวเองและท่านอนุญาตให้ถามได้แล้วคุณวิมจึงถามขึ้นว่า "อยากจะทราบว่าตัวจิตนั้นมันเป็นตัวอะไร" ท่านเจ้าคุณนรฯได้ตอบเป็นภาษาอังกฤษปนไทยว่า "จิตคือ Though , Good though แปลว่าคิดดี Bad though แปลว่าคิดไม่ดี แต่ต้องระวังอย่าไปปนกับคำว่า Soul ของฝรั่ง ซึ่งมีความหมายไปคนละทาง" หลังจากนั้นก็เกิดความอัศจรรย์ในหลายครั้งระหว่างการสนทนากล่าวคือไม่ว่าคุณวิมคิดจะถามท่านหรือขอคำแนะนำเรื่องใดเป็นอันว่าไม่ได้อ้าปากถามเพราะท่านจะอธิบายเรื่องที่อยากรู้ขึ้นมาในทันที(ข้อนี้เป็นการบ่งบอกถึงญาณสมาบัติที่ท่านมีได้ด้วยท่านจะต้องสำเร็จในเจโตปริยญาณจึงล่วงรู้วาระจิตของผู้อื่นได้อย่างเป็นแน่แท้) ส่วนใหญ่เรื่องที่ท่านสอนก็จะเป็นเรื่องแนวทางการปฏิบัติว่าให้หาที่สงบเพื่อทำจิตให้เป็นสมาธิ ในการพิจารณาถึงความเป็นจริง คุณวิมจำได้ว่าประโยคที่ท่านย้ำเตือนจนฟังขึ้นใจคือ "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนะจ๊ะ ขอให้จำไว้" แม้ว่าการสนทนาธรรมที่บางตอนจะเป็นภาษาอังกฤษล้วน บางส่วนท่านจะแปลศัพท์ธรรมะที่ยากให้หรือย้ำเตือนเป็นพิเศษดังกล่าวจะดำเนินอย่างมีอรรถรสเป็นเวลาหลายชั่วโมงจนไม่รู้สึกหิวข้าวก็ตาม แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งที่คอยก่อกวนคือยุงที่มีอย่างชุกชุมในโบสถ์ เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มียุงไปกัดท่านเลยในขณะที่ฝ่ายผู้ฟังต้องคอยปัดไล่อยู่เรื่อยๆ คำถามที่สำคัญข้อหนึ่งที่ได้ถามท่านไปมีใจความว่าในการปฏิบัติทางจิตอย่างผมนั้นควรจะใช้วิธีใดดีที่สุด ท่านตอบว่า "อย่างคุณนั้นใช้สติสัมปทาตัวเดียวก็พอถมไป" เรื่องนี้ตอนที่คุณวิมได้ฟังก็รู้สึกงงๆยังไม่เข้าใจในความหมายเพราะคิดว่าท่านน่าจะให้คำตอบเป็นอานาปาณสติหรือไม่ก็วิธีการเจริญสมาธิไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มากระจ่างแจ้งภายหลังเมื่อได้มีโอกาสถามผู้รู้ที่เป็นอาจารย์ทางพุทธธรรมท่านหนึ่งที่อธิบายว่าท่านเจ้าคุณนรฯท่านเน้นเรื่องตัวสติซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะถ้าไม่มีตัวนี้ทำสมาธิแบบไหนก็ไม่มีวันสำเร็จได้ เท่ากับว่าท่านเตือนไม่ให้ประมาท(ซึ่งตรงกับพระปัจฉิมโอวาทของสมเด็จพระบรมศาสดาก่อนจะปรินิพพานที่ประทานให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย) เมื่อเวลาจวนจะสองทุ่มก่อนที่จะลากลับน้องเขยของคุณวิมได้นำขวดใส่น้ำสะอาดมาถวายให้ท่านทำน้ำมนต์รดให้ ครั้งแรกนั้นท่านก็ตำหนิเอาว่าบวชเรียนรู้ธรรมมาก็แล้วยังมาขอน้ำมนต์ ดูเป็นเรื่องของคนใจอ่อนแอต้องหาที่พึ่ง แล้วท่านก็หันมาถามคุณวิมว่า "แล้วคุณล่ะ คุณเชื่อน้ำมนต์ไหม" คุณวิมได้กราบเรียนกับท่านไปว่า "กระผมคิดว่าดี สิ่งใดที่เป็นของดี ของบริสุทธิ์ ชาวบ้านเขาเชื่อถือก็ขอให้เขาได้ยึดเอาไว้เป็นที่พึ่งเถิด ดีกว่าไปเชื่อผีสางนางไม้หรือคอมมิวนิสต์" ท่านพยักหน้าอย่างพอใจเหมือนว่าเห็นด้วยในความคิดแล้วจึงรับเอาขวดน้ำมนต์ไปไว้ในมือโดยมิได้มีการบริกรรมด้วยคาถาเหมือนพระอาจารย์องค์อื่นเพราะท่านแค่ประคองไว้ในมือและหลับตาเข้าสมาธิเพียงชั่วครู่เท่านั้น(คุณวิมเคยตั้งข้อสังเกตว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลของท่านไม่เหมือนใคร ได้ถามกับเจ้าคุณอุดมผู้สร้างวัตถุมงคลถวายให้ท่านอธิษฐานจิตได้ความว่าเหรียญของท่านรุ่นหนึ่งไม่ได้ใช้เวลาในการบริกรรมปลุกเสกนานแต่อย่างใด เพียงท่านนั่งหลับตาเอามือแตะเหรียญในพานอยู่ชั่วครู่เท่านั้น ความศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ที่ได้ไปบูชา) เมื่อท่านลืมตาขึ้นได้เรียกผู้ที่อาวุโสที่สุดเข้าไปก่อนซึ่งก็คือคุณวิมนั่นเอง ท่านให้นั่งพนมมือลืมตาเงยหน้าอ้าปากเมื่อท่านหยอดน้ำมนต์แต่ละอึกก็ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ตามลำดับ คุณวิมสังเกตเห็นก้อนเนื้อที่คอท่านซึ่งบวมออกมาเป็นก้อนจึงถามท่าน ท่านว่าหมอตรวจพบก้อนนุ่มๆอยู่ภายใน แนะนำให้ผ่าตัดออกเพราะเป็นเนื้อร้ายหรือที่เรียกกันว่ามะเร็ง ท่านว่า "จะไปทำมันทำไม Death is my friend อันความตายนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอะไรเลยเหมือนกับพวกคุณกลับจากที่ทำงานแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า" ท่านยังเล่าให้ฟังถึงสมเด็จพระอุปัชฌาย์และโยมที่บ้านซึ่งเป็นห่วงในเรื่องนี้ ท่านจึงให้ช่างไม้ต่อโลงไว้ให้หนึ่งใบแต่แล้วบุคคลที่มีพระคุณที่เป็นห่วงท่านกลับสิ้นบุญไปก่อน เมื่อคุณวิมกราบลาท่านและบอกว่าโอกาสหน้าผมจะมาหาท่านใหม่ ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความกรุณาปราณีนั้นกลับตอบอย่างยิ้มๆว่า "โอกาสหน้าไม่มีอีกแล้วไม่ต้องมาหรอก" และก็เป็นดั่งที่ท่านได้พูดไว้จริงๆเพราะนั่นเป็นโอกาสดีครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของคุณวิมจริงๆ ที่มีโอกาสได้กราบนมัสการและได้รับการกรอกน้ำมนต์จากมือท่านธมฺมวิตกฺโก "พระอรหันต์เจ้าแห่งป่าคอนกรีต"
    <!-- / message -->
     
  14. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]

    "เจ้าคุณนรฯชี้ชะตาโลกล่วงหน้าถูกต้องอย่างมหัศจรรย์"

    ชี้ชะตาโลกล่วงหน้า

    ข่าวนี้ผมได้มาจากหนังสือพิมพ์เก่าในปี๑๘ จึงขอคัดลอกมาบันทึกไว้ให้ได้อ่านกันดังนี้ครับ ข่าวนี้ลงหน้าหนึ่งพร้อมภาพท่านเจ้าคุณนรฯนั่งพับเพียบที่เป็นท่านั่งเอกลักษณ์ของท่านไว้ว่า "เจ้าคุณนรฯชี้ชะตาโลกล่วงหน้าถูกต้องอย่างมหัศจรรย์" เนื้อข่าวก็มีอยู่ว่า...รู้แม้ด้านตะวันออกกลางว่าถนนมิตรภาพจะเป็นพังพาบ เผยอำนาจจิตของท่านเจ้าคุณนรฯหยั่งรู้สถานการณ์และความเป็นไปของโลกและประเทศไทยในอนาคตที่ "รวมไทย" ได้ค้นพบอีกประการหนึ่งซึ่งยังไม่เคยปรากฏว่ามีใครทราบมาก่อน เป็นปรากฏการณ์อันน่ามหัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง จากการสืบทราบของ "รวมไทย" ว่าก่อนที่พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตแห่งวัดเทพศิรินทราวาสหรือที่เรียกกันติดปากโดยทั่วไปว่า "เจ้าคุณนรฯ" จะถึงแก่กาลมรณภาพคือประมาณปลายเดือนธันวาคม๒๕๑๓ ได้มีผู้เข้าไปพบและสนทนากับท่านในโบสถ์วัดเทพฯ ซึ่งท่านมักเปิดโอกาสให้ผู้มีศรัทธาถวายสักการะได้ภายในบริเวณโบสถ์เป็นประจำ แต่หากว่าท่านกลับกุฏิแล้วจะไม่ยอมรับแขกเลยจะปิดประตูเงียบ ดังนั้นถ้าใครอยากจะพบก็ต้องไปคอยดักพบที่โบสถ์ดังกล่าว มีอยู่วันหนึ่งเป็นวันพุธปลายเดือนธันวาคม๑๓ คณะที่เข้าถวายสักการะซึ่งเป็นคณะศิษย์ที่ใกล้ชิดมากประกอบด้วยปลัดโกศล และคุณจำเนียร ปัทมะสุนทร (หลานชายและหลานสะใภ้) น.ท.วรสนธิ วรเสียงสุขา ร.อ.ชลิต ชัยสิทธิเวช พ.ต.นพ.ไพบูลย์ บุษปะธำรงค์และ ร.อ.ประยูร คณานนท์ เป็นต้น วันนี้ท่านเจ้าคุณนรฯผู้ซึ่งคนนับหมื่นนับแสนคนที่เชื่อมั่นว่าท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ รู้จักกิตติคุณและให้ความเคารพศรัทธาในท่านกันเป็นอย่างมากดังกล่าวภายหลังจากทำวัตรเย็นแล้ว ก็ให้โอกาสแก่ผู้ที่จะมาถวายสักการะเช่นเคย เมื่อท่านได้ให้ธรรมะแก่ทุกๆคนแล้วได้พูดต่อไปถึงเหตุการณ์บ้านเมืองว่า "ประเทศไทยจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นในปี๒๕๑๔หน้านี้ แต่จะไม่มีการเสียเลือดเนื้อเกิดขึ้น" ต่อมาในปีดังกล่าว(ท่านมรณภาพแล้ว)ก็ได้เกิดปฏิวัติขึ้นจริงๆเป็นปฏิวัติเงียบคือจอมพลถนอมทำการปฏิวัติตัวเองโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อนั่นคือข้อหนึ่ง ในส่วนเหตุการณ์รอบๆบ้านท่านได้กล่าวว่า "ประเทศเพื่อนบ้านของเราต่อไปนี้จะมีเรื่องน่าสมเพชน่าทุเรศเกิดขึ้น" ก็ปรากฏเหตุการณ์ในลาว-เขมรดังที่เราๆท่านๆได้ทราบข่าวคราวกันมาโดยตลอด มีการสังหารหมู่กันเป็นพันเป็นหมื่นคนมีการตัดคอทื้งจับแก้ผ้ายิงอย่างน่าทุเรศจริงๆ จนชาวลาวและเขมรต้องหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในไทย ยอมละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตนแล้วนี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง ท่านได้พูดถึงปัญหาตะวันออกกลางซึ่งหมายถึงประเทศอิสราเอลกับกลุ่มประเทศอาหรับ ตอนนั้นมีทีท่าจะบานปลายไปกันใหญ่ว่า "ตะวันออกกลางเขาไม่มีอะไรมาก ในที่สุดเขาก็จะตกลงกันได้ สามารถจะพูดกันรู้เรื่อง แต่เหตุการณ์รอบๆบ้านเรานี่สิน่าจะวิตก เพราะประเทศเขมรจะเป็นผู้จุดชนวนสงครามขึ้นในประเทศแถบนั้น ทำให้เกิดสงครามใหญ่โต" ซึ่งคำพูดเหล่านี้พูดไว้ตั้งแต่ปลายปี๑๓ นับถึงบัดนี้ก็เข้า๕ปีแล้วทุกอย่างล้วนมีเค้าแห่งความจริงทั้งสิ้น ท่านได้พูดถึงถนนมิตรภาพอันมีสัญญลักษณ์การจับมือกันอย่างแนบแน่นระหว่างประเทศไทยกับอเมริกันที่ทางแยกสระบุรีว่า "ถนนมิตรภาพต่อไปจะเป็นถนนพังพาบ" จากคำพูดอันนั้นไม่กี่ปีต่อมาประเทศอเมริกันถูกเหยียบย่ำในประเทศไทยอย่างไม่เคยปรากฏมีมาก่อน จนต้องถอนทหารออกไปจากไทยเป็นทิวแถว ต้องพ่ายแพ้ต่อสงครามในญวน ลาวและเขมรด้วย แบบ "พังพาบ" ทีเดียว นอกจากนี้ท่านยังได้พูดถึงประเทศจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ว่า "เราอย่าไปดูถูกเขานะต่อไปเราจะต้องคบกับเขา แล้วเขานั่นแหล่ะจะช่วยเรา" คำพูดประโยคนี้สำหรับเวลานั้นดูไม่มีทีท่าเลยแม้แต่น้อยว่าจะเป็นไปได้เพราะใครไปประเทศจีนแดงตอนนั้นจะถูกตั้งข้อหาเป็นพวกคอมมิวนิสต์ สินค้าจีนแดงก็มีไม่ได้ในประเทศไทย ขณะนั้นจอมพลถนอมเป็นนายกฯคำพูดประโยคหลังของท่านนี้ทำให้ผู้รับฟังคนหนึ่งซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้จักท่านเพียงพอ พอเสร็จสิ้นการสนทนาลุกออกจากโบสถ์กันไปแล้วผู้ฟังผู้นี้ได้พูดกับเพื่อนที่มาด้วยกันว่า "สงสัยพระองค์นี้จะเป็นคอมมิวนิสต์" ทว่าเดี๋ยวนี้เขานับถือท่านเป็นที่สุดชนิดพูดถึงชื่อท่านแล้วจะต้องยกมือขึ้นประณมท่วมหัวเพื่อขอขมาทุกครั้ง ก็เพราะต่อมาสิ่งที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาได้เป็นนายกฯและได้เดินทางไปผูกสัมพันธไมตรีกับประเทศจีนแดงถึงโน่น ได้รับการต้อนรับอบอุ่นเกินความคาดหมายจนเป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วโลก สถานการณ์รอบบ้านเรากลายเป็นประเทศรัสเซียหนุนหลังประเทศเพื่อนบ้านให้รุกรานไทย แต่ประเทศจีนแดงกลับคอยช่วยกันช่วยขวางให้ไทย อนึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้นี้เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับท่านไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐตอนต้นปี๑๔หลังท่านมรณภาพได้ไม่นานว่าเคยได้ข่าวคนเขาลือกันว่าท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วบังเอิญได้พบท่านที่วัดเทพฯ อาศัยที่เคยรู้จักกับท่านมาตั้งแต่สมัยครั้งยังเป็นมหาดเล็กหลวงเป็นเวลากว่า ๕๐ ปีแล้ว ดังนั้นจึงกล้าถือวิสาสะกรากเข้าไปกราบเรียนถามท่านเอาดื้อๆว่า "เขาลือกันว่าใต้เท้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจริงหรือครับ" ปรากฏว่าท่านดึงหู ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เข้าไปใกล้ๆและกระซิบว่า "ไอ้บ้า"
    เนื้อข่าวจากหนังสือพิมพ์รวมไทย ปีที่๒ ฉบับที่๖๙ วันที่ ๒๐-๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๘<!-- google_ad_section_end -->
    <!-- / message -->
     
  15. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]


    "I am sending you a supply of metal force or power, which will invigorate and heal you"

    เรื่องเล่าจากพระเถระที่ท่านรักเหมือนน้อง


    ถ้าท่านเคยอ่านหนังสือเรื่องราวประวัติของท่านเจ้าคุณนรฯท่านน่าจะได้ผ่านตาชื่อของพระเถระในวัดเทพฯรูปหนึ่งที่ชื่อว่าพระมหาอำพัน บุญ-หลงแห่งคณะ น.3 อยู่บ้าง ถ้าจะถามว่าความสัมพันธ์ของพระเถระทั้ง2รูปนี้เป็นอย่างไรนอกจากบวชอยู่ที่วัดเดียวกันเป็นศิษย์ในพระอุปัชฌาย์เดียวกันแล้วผมขอเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าพระมหาอำพันนี้บวชที่วัดเทพฯในระยะเวลาก่อนท่านเจ้าคุณนรฯประมาณ9เดือน มีความเคารพนับถือในองค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรณ์เป็นอย่างมากตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสเหมือนที่ท่านเจ้าคุณนรฯก็นับถือพระแก้วมรกตมาตั้งแต่รับราชการอยู่ในวังเช่นกัน เหตุการณ์ที่เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นช่วงที่เกิดภาวะสงครามโลกครั้งที่2 ผู้คนในละแวกหัวลำโพงทั้งพระเถระในวัดย่านนั้นรวมถึงวัดเทพฯต้องอพยพลี้ภัยไปพำนักที่อื่นเนื่องจากหัวลำโพงเป็นจุดยุทธศาสตร์ของการทิ้งระเบิด อย่างที่ทราบล่ะครับก็มีท่านเจ้าคุณนรฯนี่ล่ะที่มีใจเด็ดเดี่ยวมองเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาแม้เห็นเครื่องบินที่มาทิ้งระเบิดท่านยังทักออกไปด้วยความเป็นมิตรว่า "Do you kill me,my friend?" ท่านเจ้าคุณนรฯยังคงพำนักและเจริญสมณธรรมด้วยความเพียรอยู่ในกุฏิ ก.5 ต่อไปอย่างไม่ลดละในตอนกลางคืนก็ลงไปจำวัดในโลงศพที่ใช้พิจารณามรณกรรมฐานเพื่อที่ว่าเกิดพลาดพลั้งโดนระเบิดเข้าคนที่เก็บศพท่านจะได้ไม่ลำบาก พูดถึงการลงทำวัตรสวดมนต์อันเป็นกิจวัตรของสงฆ์นั้นท่านก็กระทำอย่างเคร่งครัด(แม้ว่าจะโดนงูกัดหรือเจ็บไข้ได้ป่วยก็พยายามไม่ให้ขาดได้) พระเถระอีกรูปที่ลงโบสถ์ทำวัตรสวดมนต์ด้วยกันในตอนนั้นก็มีพระมหาอำพันนี่ล่ะครับ จากหนังสือที่ระลึกงานศพและหนังสือครบรอบ๑๐๐ปีท่านมหาอำพันที่ผมเคยได้อ่านมีเรื่องที่เล่าถึงท่านเจ้าคุณนรฯอยู่มากทีเดียวครับจึงอยากเล่าต่อให้ได้ฟังกัน พระมหาอำพันนับถือพระเถระที่เป็นครูบาอาจารย์อยู่๓รูปคือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(สมเด็จพระอุปัชฌาย์) ท่านธมฺมวิตกฺโกและหลวงพ่อฤาษีลิงดำแห่งวัดท่าซุง กล่าวถึงท่านเจ้าคุณนรฯแล้วพระมหาอำพันยกย่องด้วยความเลื่อมใสว่าเป็นแบบอย่างแห่งการปฎิบัติเพราะเป็นพระเถระที่แม้พำนักอยู่ใจกลางกรุงแต่มีปฏิปทาที่ยากจะทำได้เหมือนไม่นับเรื่องปาฏิหารย์ที่เล่ากันไม่รู้จบ ลูกศิษย์ลูกหาที่มาพบท่านจะให้ไปกราบขอโอวาทจากท่านเจ้าคุณนรฯเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัว แม้เมื่อท่านเจ้าคุณนรฯได้ดับขันธ์มรณภาพไปแล้วทุกครั้งที่มีลูกศิษย์มาเยี่ยมเยียนท่านต้องให้ไปไหว้ที่อนุสาวรีย์ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านว่า "มาวัดเทพฯต้องไปไหว้ท่านเจ้าคุณนรฯ ของดีวัดเทพฯนะ" ตัวท่านเองเวลาเดินผ่านมณฑปเก็บอัฐิ กุฏิท่านเจ้าคุณนรฯ หรือทุกแห่งหนที่มีรูปจำลองของท่านเจ้าคุณนรฯประดิษฐานอยู่ท่านจะต้องหยุดเพื่อแสดงการคารวะด้วยความนอบน้อมทุกครั้งไปและในทุกวันศุกร์ที่เป็นวันมรณภาพของท่านเจ้าคุณนรฯท่านจะต้องทำสังฆทานอุทิศให้ท่านเจ้าคุณนรฯผู้เป็นทั้งสหธรรมิกและครูบาอาจารย์ต่อเนื่องกันเป็นประจำ ในด้านกิจวัตรประจำวันทางโลกสิ่งที่ได้รับมาจากการสอนของท่านเจ้าคุณนรฯคือเรื่องการทำความสะอาดร่างกายหลังตื่นนอนตอนเช้า ท่านเจ้าคุณนรฯใช้วิธีอมเกลือเอานิ้วถูเหงือกเป็นการทำความสะอาดปากและรักษาฟัน ท่านว่าน้ำยาฝรั่ง(ยาสีฟัน)นั้นมันเป็นสารเคมีที่แรงเกินไปมักจะกัดปาก สู้ของธรรมชาติแบบเกลือไม่ได้คิดดูสิขนาดปลาเค็มที่ใช้เกลือถนอมไว้ยังไม่เน่าเลย นอกจากนี้ก็เป็นการล้างตาและบริหารตาด้วยการลืมตาในน้ำสะอาดทุกๆเช้า(ท่านเจ้าคุณนรฯไม่ใช้น้ำประปาแม้ว่าหลายกุฏิจะมีการต่อท่อไปแล้ว ท่านว่าน้ำฟ้านี่ล่ะดีที่สุดใช้ได้ทั้งอุปโภคบริโภคและพิจารณาจากความเป็นจริงของสภาพแวดล้อมจะพบว่าสมัยนั้นในเมืองหลวงแห่งนี้ยังไม่มีมลพิษเท่าที่ควร) นี่เป็นตัวอย่างของมรดกทางการปฏิบัติทางโลกที่พระมหาอำพันได้รับมาจากการสอนของท่านเจ้าคุณนรฯ ในด้านทางธรรมนั้นมีหลายเรื่องด้วยกันอย่างเรื่องพื้นฐานง่ายๆคือความกตัญญูกตเวที พระมหาอำพันท่านนำไปใช้สอนลูกศิษย์ตามคำสอนของท่านเจ้าคุณนรฯที่ว่าเกิดเป็นคนต้องมีความกตัญญูต่อบุพการีและผู้ที่มีพระคุณ หากขาดคุณธรรมข้อนี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากหมา ท่านยังพูดเป็นคำภาษาจีนเลยว่า "เกิดเป็นคนต้องเกียวห่าวนะ" ครั้งหนึ่งมีนายทหารเดินทางมาหาเพื่อขอคำแนะนำเรื่องการดำเนินชีวิตในหน้าที่การงาน พระมหาอำพันได้พาไปกราบท่านเจ้าคุณนรฯและก็ได้รับโอวาทปริศนาธรรมมาให้ขบคิดว่า "ต้นไม้ใหญ่โคนต้องเย็น" ในเรื่องนี้นั้นท่านสอนว่าให้มีความเมตตากรุณาปราณีต่อบริวารผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเนื่องจากการเป็นนายคนถ้าลูกน้องมีความสุขความพึงพอใจในการปฏิบัติหน้าที่การงานแล้วย่อมจะส่งผลให้ผู้บังคับบัญชามีความเจริญก้าวหน้าเติบโตในหน้าที่การงานต่อไป ดุจดังเวลาเราปลูกดอกไม้สักต้นเราต้องเอาฟางมาสุมรอบๆโคนไว้กักเก็บความชุ่มชื้นจากหยดน้ำ ดอกไม้นั้นก็จะงอกงามออกดอกสดสวยเป็นที่เจริญตาเจริญใจ ในเรื่องคุณธรรมข้อที่ว่าความขันติคือการอดทนอดกลั้นนั้นท่านเจ้าคุณนรฯแสดงออกมาทางการปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นการนั่งทนยืนทนและที่สำคัญที่สุดคือทุกขเวทนาจากโรคาพยาธิที่ร้ายแรงที่สุดคือก้อนเนื้อมะเร็งร้ายขนาดเท่าไข่เป็ดที่ลำคอของท่าน ซึ่งท่านเรียกของท่านว่าฝีสบายคือแตกเมื่อไหร่ท่านก็ไปสบายแน่ ตั้งแต่ก้อนเนื้อที่ผุดขึ้นจากการอธิษฐานของท่านว่ารู้สึกเหมือนมีอะไรวิ่งเป็นริ้วๆอยู่แถวบริเวณตับว่าขอให้มาปรากฏภายนอกให้ได้เห็นเป็นตัวอย่างของการศึกษาทางการแพทย์ ก้อนเนื้อนี้ก็ขยายขนาดตั้งแต่ขนาดไข่จิ้งจกกลายเป็นไข่เป็ดและท้ายที่สุดฝีที่คอท่านก็แตกก่อนมรณภาพไม่นาน ตลอดเวลาที่ถูกรบกวนด้วยเนื้อร้ายนี้ท่านไม่เคยต้องพึ่งหยูกยาแม้สักเพียงครึ่งเม็ด (แม้กว่าจะให้ทำแผลได้หมอก็ต้องอธิบายว่าไม่ได้เป็นการทำลายคือฆ่าเชื้อโรคแค่เป็นการบรรเทาและทำความสะอาดเท่านั้น)ไม่เคยอนาทรร้อนใจรู้สึกเจ็บปวดจนเป็นที่น่าเวทนาทั้งๆที่ควรจะเป็นจนเป็นเรื่องที่แพทย์ฉงน เรื่องนี้พระมหาอำพันพูดสั้นๆว่าเห็นมีท่านองค์เดียวนี่ล่ะที่เป็นมะเร็งแล้วไม่มีอาการทุรนทุรายจากความเจ็บปวด ทั้งยังลงทำวัตรสวดมนต์เสียงดังแจ่มใสกังวานไพเราะชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าพระทุกรูปในโบสถ์วัดเทพฯด้วยซ้ำ เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ใจจริงๆ สำหรับเรื่องการฝึกจิตวิปัสสนากรรมฐานพระมหาอำพันได้รับแนวทางการฝึกกสิณขาวจากท่านเจ้าคุณนรฯ วิธีการนี้ท่านเจ้าคุณนรฯฝึกตามโยมพ่อมาตั้งแต่สมัยเป็นมหาดเล็กของล้นเกล้ารัชกาลที่6 ท่านจะใช้เวลาว่างนอกเวลาราชการฝึกนั่งเพ่งกระดาษขาวที่ตัดเป็นรูปวงกลมจนสามารถจดจำรูปภาพนี้ได้ติดตาแม้ขณะหลับตาอยู่จนถึงสามารถเพิ่มจำนวนวงและย่อขยายขนาดภาพกสิณนี้ได้ตามใจปรารถนาตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส(ขณะที่มหาดเล็กคนอื่นใช้เวลาว่างหาความสำราญจากความบันเทิงนานาชนิดแต่ท่านเจ้าคุณนรฯจะเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อฝึกจิตหรือไม่คราวเสด็จประพาสก็จะปลีกตัวไปนั่งสมาธิในป่าช้า) เรื่องกสิณขาวนี้ท่านเจ้าคุณนรฯใช้ประกอบการดูลายมือตามหลักโหราศาสตร์คือใช้ดูให้ละเอียดลึกลงไปขณะท่านฝึกวิชานี้ตั้งแต่ก่อนบวช(เลิกหลังบวชได้ไม่นาน) จึงไม่แปลกเลยที่คำทำนายของท่านจะแม่นยำดังตาเห็นจนใครๆก็ไม่กล้าแบมือให้ดูเพราะกลัวว่าจะล่วงรู้เรื่องลับที่ไม่ดีที่แอบไปทำมา นอกจากนี้ท่านเจ้าคุณนรฯยังสอนให้ฝึกปราณแบบโยคะ (ท่านอ่านจากตำราที่ชื่อว่า Scienec of Breath ของโยคีรามจักร) ท่านยังเคยเสนอวิธีการบริหารร่างกายประจำวันเป็นจดหมายถวายต่อสมเด็จพระอุปัชฌาย์แม้ในขณะที่ท่านชราภาพท่านจะใช้ท่าโยคีมุทรา(การทำโยคะด้วยมือ)เพราะเป็นท่าที่ไม่ต้องออกแรงมากจึงเหมาะกับผู้สูงอายุ หนึ่งในผลแห่งการฝึกปฏิบัตินี้ช่วยให้ท่านคงวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดที่ว่าไม่ขอพึ่งหยูกยาและพบหมอยามเจ็บไข้ได้ป่วยในหลายๆคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งหนึ่งหลังจากเพิ่งฟังพระเทศน์ในวันพระเย็นนั้นขณะท่านกำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนของกุฏิ ท่านรู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายหมดแรงไปดื้อๆพาให้ท่านต้องทรุดลงหมดแรงเหมือนการเป็นอัมพาตชั่วขณะ ท่านได้ใช้มือขวาคลำหัวใจเพื่อตรวจชีพจรพบว่ายังคงเดินตามปกติ ท่านได้ใช้วิธีการเดินลมปราณมายังซีกซ้ายด้วยวิธีการ Directing the circulation ที่ท่านได้อ่านมาจากตำราของโยคีด้วยการหายใจให้มีจังหวะอัตราเร็วเท่าอัตราการเต้นของชีพจร ต่อมาท่านเริ่มรู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายอบอุ่นขึ้นและสามารถพ้นผ่านวิกฤติแห่งโรคภัยครั้งนี้ได้ เรื่องนี้ท่านเล่าให้พระมหาอำพันฟังเสียดายว่าท่านมหาอำพันไม่ได้ถามไว้ให้ละเอียดว่าการหายใจให้เร็วเท่าชีพจรนั้นทำอย่างไร หลายครั้งหลายคราในตอนเย็นหลังเสร็จกิจการลงทำวัตรสวดมนต์เย็นพระเถระทั้ง2รูปจะเดินชมบริเวณวัดด้วยกันก่อนแยกย้ายไปที่กุฏิ ท่านทั้งสองเคยสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษ(ท่านเจ้าคุณนรฯมีความชำนาญในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นอย่างมากขณะที่ท่านมหาอำพันเคยสอบชิงทุนไปเรียนเมืองนอก) เล่าเรื่องนี้พาให้นึกถึงเรื่องที่มีพระฝรั่งชาวต่างชาติมาขอคำแนะนำเรื่องการระงับกามวิตก ซึ่งท่านมหาอำพันได้ฟังแล้วชอบใจจึงขอท่านให้บอกเพื่อจดเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย จากนั้นพระมหาอำพันจะนำเรื่อง "หน่ายกาม" นี้มาใช้สอนลูกศิษย์ลูกหาทั้งยังกำชับว่าถ้าทำได้ก็จะได้เป็นพระอนาคามี(ระดับก่อนถึงพระอรหันต์ไม่มีการกลับมาเกิดอีก) พูดถึงเรื่องพระอนาคามีก็จะมีเรื่องที่ท่านกล่าวไว้กับสมเด็จพระญาณวโรดม เจ้าอาวาสวัดเทพฯองค์ปัจจุบันว่าพระอนาคามีไม่มีสุกกะ(อสุจิ)แล้วเพราะตัดกามตัณหาได้หมด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีในพระไตรปิฎกแต่ท่านล่วงรู้ได้ด้วยจิตของท่านเองซึ่งเป็นการระบุถึงธรรมะอย่างน้อยที่ท่านได้บรรลุเป็นอย่างดี ความเมตตาเป็นอย่างมากของท่านเจ้าคุณนรฯที่มีต่อพระมหาอำพันนี้มีเรื่องเชิงปาฏิหารย์อยู่เรื่องหนึ่งคือตอนที่ท่านมหาอำพันเป็นโรคเกาต์ไม่สามารถไปลงโบสถ์ได้ พระมหาอำพันท่านรู้สึกด้วยตัวเองว่าเหมือนมีกระแสพลังมาเยียวยาให้ท่านหายจากทุกขเวทนานี้ในระยะเวลาไม่นาน ครั้นพอเดินได้ท่านได้ไปพบท่านเจ้าคุณนรฯและได้ถามข้อสงสัย ท่านเจ้าคุณนรฯได้บอกว่า "I am sending you a supply of metal force or power, which will invigorate and heal you" แปลความเป็นไทยง่ายๆได้ว่าผมกำลังส่งพลังอำนาจจิตไปยังท่านเพื่อช่วยให้ท่านมีกำลังและรักษาท่าน และด้วยความเมตตาอย่างล้นเหลือพระมหาอำพันก็หายจากโรคนี้ได้ด้วยอำนาจอิทธิแห่งกระแสจิตของท่านเจ้าคุณนรฯนั่นเอง เรื่องราวความมหัศจรรย์ของท่านเจ้าคุณนรฯที่พระมหาอำพันและลูกศิษย์ได้ประสบมายังมีอีกครับ นายตำรวจผู้หนึ่งได้เคยมาขอเหรียญจากท่านเจ้าคุณนรฯ(ซึ่งท่านไม่เคยมีพระเครื่องไว้แจก) ท่านว่า "รูปเอาไปก็ทำหาย เอานามไปสิ" ต่อมานายตำรวจผู้นี้ไปต่อสู้กับผู้ร้ายที่ตรอกไข่แล้วโดนเชือดคอเป็นแผลฉกรรจ์แต่ยังคงระลึกถึงท่านด้วยการภาวนาฉายานามทางธรรมของท่านคือธัมมะวิตักโกอยู่โดยตลอด นายตำรวจได้เห็นจีวรแวบผ่านตาไปขณะอยู่ที่โรงพยาบาลพร้อมได้ยินเสียงลึกลับที่บอกให้สวดแผ่เมตตาแก่วิญญาณที่เคยนอนเตียงนี้ เมื่อมีกำลังพอพูดได้มีสติจึงร้องขอแอมโมเนียตามคำแนะนำที่ได้ยินเพียงคนเดียวหลังจากนั้นก็รอดจากเหตุร้ายนี้มาได้ เรื่องการภาวนาคำว่า ธัมมะวิตักโก นี้พระมหาอำพันเน้นมากใช้สอนลูกศิษย์ให้ภาวนาท่านว่าเป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ถ้าภาวนากลางฝนก็เหมือนได้รับน้ำมนต์จากท่านเจ้าคุณนรฯ เพราะครั้งหนึ่งที่มีคนไปขอรูปจากท่านเจ้าคุณนรฯท่านยังว่ากายเน่าเอาไปทำไม เอานามสิ ท้ายที่สุดนี้มีเรื่องคำทำนายของท่านมาเล่าให้ฟังครับคือว่าท่านทำนายไว้ว่าพระมหาอำพันจะได้สร้างโบสถ์และเมื่อสร้างเสร็จจะมรณภาพ เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นจริงแม้ขณะนั้นท่านเจ้าคุณนรฯได้มรณภาพไปแล้ว ด้วยบารมีแห่งท่านเจ้าคุณนรฯจึงทำให้มีผู้มาบูชาพระและทำบุญกับพระมหาอำพันจนสามารถสร้างโบสถ์วัดสนามรัตนาวาส จ.ระยอง จนสำเร็จสวยงาม โบสถ์นี้ตั้งอยู่บนเขาท่ามกลางป่าไม้ร่มรื่นงดงามเป็นโบสถ์หินอ่อนที่ตรงส่วนของหน้าบรรณจารึกฉายานามของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์และท่านเจ้าคุณนรฯไว้ ภายในโบสถ์ประดิษฐานรูปหล่อของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ภายในบรรจุอัฐิของท่านที่แปรสภาพเป็นพระธาตุ)และรูปเหมือนของท่านเจ้าคุณนรฯที่บรรจุฟัน1ซี่(มอบให้พระมหาอำพันไว้) ผ้าซับรอยเท้าท่านเจ้าคุณนรฯ1ผืนและบุพโพกับเศษจีวรที่ได้จากการอธิษฐานขอ (หลังสมเด็จพระราชินีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเก็บอัฐิและอังคารจากเตาเผาให้หมดแล้วปรากฏว่าตอนที่ท่านมหาอำพันเข้าไปตรวจสอบดูได้พบบุพโพกับเศษจีวรชิ้นเล็กๆตามที่ปรารถนา) เมื่อโบสถ์เสร็จท่านมหาอำพันก็ถึงวาระกาลมรณภาพไปจริงๆ เหลือทิ้งไว้ซึ่งคุณงามความดีให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้และปูชนียสถานที่สร้างเสร็จ ทั้งหมดนี่คือเรื่องเล่าจากพระเถระรูปหนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเป็นพระบวชใหม่ที่สนิทกับท่านเจ้าคุณนรฯมากเพราะบวชในเวลาใกล้เคียงกัน ท่านเจ้าคุณนรฯมีความเมตตาเคยพูดไว้ไม่ให้บอกใครก่อนท่านมรณภาพว่า "ถึงท่านจะบวชก่อนผมแต่ท่านอายุน้อยกว่าผม5ปีผมก็รักท่านเหมือนน้อง" และครั้งหนึ่งขณะพระมหาอำพันได้เป็นพระครูใหม่ๆท่านเจ้าคุณนรฯยังพูดล้อเล่นด้วยว่า "ไม่อยากเข้าใกล้พระครู เหม็นสาบจีวรไม่ได้ซัก" นี่คือเรื่องที่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์(อำพัน บุญ-หลง)ได้บันทึกไว้ครับ

    อ้างอิงจากข้อความบางตอนในหนังสือที่ระลึกครบรอบ๑๐๐ปีหลวงปู่มหาอำพัน ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๔
    <!-- / message -->
     
  16. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]
     
  17. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]
     
  18. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    <HR style="COLOR: #cccccc" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]
     
  19. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    พระพ่อแม่ธรณีปฐมวีธาตุ
    ของ ท่านเจ้าคุณนรฯ ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  20. jummaiford

    jummaiford เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    10,501
    ค่าพลัง:
    +38,931
    กุฏิท่านเจ้าคุณนรรัตน์

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...