หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระเกจิ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ปาปมุต"

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Northernwind, 5 พฤษภาคม 2016.

  1. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    000.jpg
    เรื่องราวประวัติและปฏิปทาที่ผมจะลงให้ทุกๆท่านได้อ่านนี้ บางส่วนคัดลอกมาจากหนังสือประวัติของหลวงปู่ บางส่วนจากการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดและได้ปรนนิบัติ ตลอดจนถึงได้ร่วมบุญและได้ศึกษาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ทันหลวงปู่อย่างแท้จริง และหลายๆท่านก้อยังมีชีวิตอยู่จริง สามารถสอบถามได้ บางส่วนคัดลอกจากเวปหลักๆที่น่าเชื่อถือ อย่างที่เราๆหลายๆท่านได้ทราบกันดี ว่าหลวงปู่บุดดา ถาวโร นั้น ท่านเป็นพระภิกษุผู้เปี่ยมด้วยเมตตายิ่งนัก แต่หลายๆท่านคงยังไม่ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ ผมเองได้ใช้เวลาอยู่พอสมควรเพื่อศึกษาประวัติของหลวงปู่ ตลอดจนถึงรวบรวมวัตถุมงคลรุ่นต่างๆของหลวงปู่ ด้วยว่าปัจจุบันในวงการพระเครื่องและวัตถุมงคลยังไม่มีผู้ศึกษาและนำมาบอกกล่าวเผยแพร่ อีกทั้งวัตถุมงคลของหลวงปู่นั้น มีมากมายหลายรุ่น ด้วยว่าลูกศิษย์สายต่างๆ ได้ขออนุญาตหลวงปู่จัดสร้าง ผมจึงมีความประสงค์อยากที่จะเผยแพร่กิตติคุณของหลวงปู่ ให้เป็นที่ทราบแพร่หลายแก่ศิษยานุศิษย์รุ่นหลังๆ หรือเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของหลวงปู่ อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการเลือกสะสมวัตถุมงคลของหลวงปู่ในแต่ละรุ่น ที่กระผมได้ศึกษาค้นคว้าหาประวัติเท่าที่จะหาได้ เผยแพร่ให้กับทุกๆท่านได้ทราบและเลือกสะสมนำมาบูชาติดตัวเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่านเอง
    หากท่านได้เคยศึกษาประวัติหลวงปู่ บุดดา มาบ้าง จะรู้สึกว่าหลวงปู่เป็น พระดีที่น่าเลื่อมใส แต่คนอาจจะรู้สึกว่าท่านไม่ "ขลัง" ขาด "ความหวือหวาด้านอิทธิปาฏิหาริย์"
    ดังที่เกจิดังๆรูปอื่นมี ไม่ถูกใจ ถูกจริต ของนักเลงพระทั้งหลาย

    แต่จะเล่าประวัติบางแง่บางมุมของท่านที่ไม่เคยเปิดเผยในวงกว้างที่ไหนมาก่อน เพื่อให้ลูกศิษย์ผู้ศรัทธาของหลวงปู่ได้ทราบว่า ในความเงียบ ธรรมดาสามัญของครูบาอาจารย์รูปนี้ ที่จริงแล้วเหมือนคำกล่าวที่ว่า ยอดคนงำประกาย ที่มีความลึกซึ้งเฉียบคม ไม่แสดงอิทธิปาฎิหาริย์พร่ำเพรื่อจะแสดงก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็น อีกทั้งคำสอนและวัตรปฎิบัติก็มีแต่เรื่องเพื่อความเป็นวิมุตติหลุดพ้นทุกถ้อยคำและการกระทำ เป็นหลวงปู่ที่เรายกสิบนิ้วพนมก้มหัวไหว้ได้อย่างสนิทใจ และ เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับนับนับถือจาก "พระอริยผู้รู้" จากทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะเป็น มหานิกายหรือธรรมยุต

    ผมอยากให้ท่านลองเปิดใจศึกษาประวัติหลวงปู่ดู ซึ่งในที่สุดท่านอาจจะพบว่าหลวงปู่นี่แหละคือตัวแทนของ "พระ" ในแบบที่พระพุทธเจ้ายกย่อง คือเป็นผู้ที่เรียบง่าย อยู่ง่าย กินง่าย ไม่ยึดติดกับสิ่งใด เป็นผู้ปฎิบัติเพื่อเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้น มาดี ไปดี อย่างแท้จริง
     
  2. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    DSC_0282 copy.jpg DSC_0281 copy.jpg
    "ปาปมุต" ผู้พ้นจากบาป
    พระมหาเถระที่ยกให้เป็นปาปมุตกันก็เช่น สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร มหาเถรเจ้า (สุก ไก่เถื่อน) และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ทั้ง ๒ องค์นี้พระเจ้าแผ่นดินทรงยกให้เป็นปาปมุต
    ส่วนองค์ไหนได้สวดสมมติให้สติวินัยนั้นผมยังไม่ทราบ แต่บางท่านว่ามีหลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอริยเจ้าเมืองสิงห์ ท่านนี้ก็เป็นปาปมุตเหมือนกัน คือพ้นแล้วจากบาป บางครั้งท่านทำอะไรขึ้นมาคนเห็นก็คิดในทางปรามาส ว่าท่านละเมิดพระวินัย แต่จริงๆ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระวินัยแล้วคือมีสติคลุมรู้ตัวหมดว่าทำอะไร จึงพ้นทั้งบ่วงบาปบ่วงบุญ
    นี้เป็นบทความหนึ่งซึ่งหากผู้ที่เคยศึกษาประวัติและปฏิปทาของหลวงปู่มาบ้าง จะพึงทราบดี
    เถระประวัติหลวงปู่บุดดา ถาวโร "พระอริยเจ้าผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น"ปาปมุต"
    หลวงปู่บุดดา ถาวโร เกิดเมื่อวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ที่ตำบลพุคา อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี โยมบิดาของท่านชื่อ น้อย มงคลทอง โยมมารดาของท่านชื่อ อึ่ง มงคลทอง มีพี่น้องทั้งหมดรวม ๗ คน
    ชีวิตเมื่อครั้งตอนเยาว์วัย ของหลวงปู่ก็เหมือนกับชีวิตเด็กลูกชาวนาบ้านนอกทั่วๆไป ในสมัยนั้น ที่ไม่มีโรงเรียนใกล้เคียง จึงไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ มีแต่ทุนเดิมที่ได้ฝึกฝนอบรมมาดีในอดีตชาติ จึงเป็นผู้ระลึกชาติได้แต่เด็ก ท่าได้ไปพบเห็นสิ่งที่ปรากฏตามภาพนิมิต ของอดีตได้ถูกต้อง และได้มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง จนท่านต้องขุดกระดูกของท่านที่ถูกฝังไว้ในอดีต

    การเห็นภาพในอดีตนั้นท่านเห็นได้หลายภพ ในกรณีหลวงปู่บุดดา อดีตชาติท่านเกิดเป็นชายทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตัวหนังสือที่ใช้เป็นตัวหนังสือแบบเดียวกันกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง มิใช่ตัวหนังสือเดียวกับเมื่อหลวงปู่เป็นเด็ก ท่านจึงอ่านหนังสือไม่ออก แต่พอเป็นทหารท่านได้เรียนหนังสือ ท่านก็สามารถเรียนได้เป็นอย่างดี ทั้งๆที่มีหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติในการรับราชการเป็นทหารเกณฑ์นั้นหนักมาก ทั้งนี้น่าจะเนื่องมากจากสาเหตุสองประการ ที่ทำให้สามารถรู้หนังสือได้ดีเพราะท่านรู้หลักของหนังสือเดิมดีอยู่แล้ว พอเทียบตัวถูกท่านก็อ่านได้ และสมาธิจิตของท่านเข้าอันดับญาณจึงสามารถทำอะไรได้ง่าย
    พูดถึงเรื่องอดีตสัญญา หรือ อตีตังคสญาณ นั้น มีเรื่องเล่าจากปากหลวงปู่ถึงอดีตชาติของท่านว่า หลวงปู่มักจะปรารภเสมอๆว่า มันเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านรู้สึกเบื่อหน่าย เช่น เล่าว่านับถอยหลังปัจจุบันไป ๗ ชาติ ท่านได้เกิดเป็นบุรุษทุกชาติ และเสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่มาก รวมทั้งไม่มีครอบครัวเลย ตลอด ๗ ชาติ ที่ผ่านมาส่วนมากท่านเกิดฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงมากกว่าฝั่งขวา มีชาตินี้เท่านั้นที่ท่านมีอายุยืน พี่ชายของท่านในอดีตชาติทั้งรักและตามใจทุกอย่าง ตั้งแต่เด็กจะไปไหน ก็พาท่านไปด้วย ได้สัญญากับท่านไว้ว่าจะไม่ทิ้งเป็นอันขาด ท่านจึงเกิดเป็นบุตรในชาติปัจจุบัน
    ฉะนั้นเมื่อบิดาของท่านตีท่านในสมัยเด็ก ท่านเล่าว่า ท่านวิ่งออกไปนอกบ้านแล้วตะโกนว่า “พ่อโกหก ๆ ๆๆ” ไม่ยอมหยุดจนมารดาของหลวงปู่เห็นผิดสังเกต จึงไปปลอบถามว่า “พ่อโกหกเรื่องอะไร” ท่านจึงได้เล่าเรื่องอดีตสัญญาให้มารดาของท่านฟังว่า “พ่อไม่รักษาคำพูด” ผู้ใดสามารถเฉลยอดีตสัญญาแบบนี้ให้เป็นธรรมและยอมรับกันได้ทั่วไปบ้าง ?
    ก่อนที่จะอุปสมบท หลวงปู่ได้เข้ารับราชการทหาร ๒ ปี โดยมีหลักฐานการเป็นทหารปรากฏบนท้องแขนขวาดังนี้ ๒๔๕๘ ท.บ.๓ ล.๑๐ การเกณฑ์ทหารสมัยนั้น เมื่อผู้มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ถึงแม้ถูกเกณฑ์แล้วจับ ใบดำได้ไม่ต้องรับราชการทหารในปีนั้นแล้วก็ต้องถูกเกณฑ์ไปทุกปีจนกว่าจะอายุ ๓๐ ปี หลวงปู่เป็นทหารในกองทัพ ๓ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี

    ในสมัยนั้น เรื่องการเป็นทหารเกณฑ์ของหลวงปู่นั้น ท่านถูกเกณฑ์ทุกปีและในปีที่มีการคัดเลือกทหารอาสา ไปราชการสงคราม ณ ทวีปยุโรปในสงครามครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐ หลวงปู่ก็เคยเล่าว่า ท่านได้อาสาสมัครกับเขาเหมือนกันแต่ท่านกินเหล้าไม่เป็น เขาจึงไม่รับท่าน เนื่องจากผู้บังคับบัญชาบอกท่านว่า ในทวีปยุโรปอากาศหนาวจัดต้องดื่มเหล้า เพื่อช่วยให้คลายหนาวท่านจึงไม่ได้ไปราชการสงคราม ณ ทวีปยุโรป
    หลวงปู่เข้าอุปสมบทเมื่อ
    วันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๖๕ ที่วัดเนินยาว ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มีพระครูธรรมขันธสุนทร (ม.ร.ว. เอี่ยม บ้านเดิมท่านอยู่ กทม.) เป็นอุปัชฌาย์ และมีคณะสงฆ์ ๒๕ รูป เป็นพระอันดับ ซึ่งหลวงปู่บุดดา ถาวโร นับถือว่าเป็นอาจารย์ท่านทุกๆองค์
    พรรษาแรก ความมุ่งมั่นอดทนของพระใหม่
    เมื่อหลวงปู่อุปสมบทแล้ว ท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดเนินขาว จังหวัดลพบุรี ปฏิบัติอุปัชฌาย์ตามแบบแผนของภิกษุสมัยนั้น ไม่มีการศึกษาเล่าเรียนทั้งทางปริยัติหรือปฏิบัติ คงทำวัตรท่องหนังสือสวดมนต์และปาฏิโมกข์ แต่ท่านอ้างเสมอว่าอุปัชฌาย์ทุกองค์ท่านสอน ปัญจกรรมฐานให้แล้วในวันอุปสมบท (นั่นก็คือ อุปัชฌาย์ท่านสอนให้ว่า เกศา – ผม โลมา – ขน นักขา – เล็บ ทันตา – ฟัน และ ตโจ – หนัง และทวนกลับ) ว่าให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ในร่างกายของตนและคนอื่น ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนเป็นบ่อเกิดของทุกข์ทั้งกายและจิตใจ เป็นของหาที่ยึดถือเป็นตัวตนไม่ได้มานานแล้วทุกคน

    และในพรรษาที่หลวงปู่บวชนั้น ได้มีการสร้างศาลามุงสังกะสีขึ้น ซึ่งในการมุงหลังคาคราวนั้น มีเรื่องเล่าความมหัศจรรย์ทางอำนาจจิตของหลวงปู่ตั้งแต่สมัยบวชเดือนแรกทีเดียว เพราะในการมุงหลังคาและตามปกติในฤดูร้อน แดดก็ร้อนจัดในตอนบ่ายอยู่แล้ว และเมื่อเครื่องมุงเป็นสังกะสีด้วย ก็ยิ่งทวีความร้อนมากยิ่งขึ้น พอตกตอนบ่ายทั้งพระและชาวบ้านต่างทนความร้อนไม่ไหว ต้องลงมาพักกันหมด คงเหลือแต่หลวงปู่ ซึ่งเป็นพระบวชใหม่ยังไม่ครบเดือน มุงหลังคาอยู่ข้างบนองค์เดียวจนสำเร็จ

    เมื่อรับกฐินแล้วแต่พรรษาแรก หลวงปู่ท่านออกจาริกแสวงหาสถานที่วิเวกเจริญสมรธรรมตามอัธยาศัยองค์เดียว โดยไม่มีกลดมีมุ้ง แบบอุทิศชีวิตและเลือดเนื้อเป็นทาน (แก่ยุง) อยู่นาน จนเลือดแดงฉานติดจีวรและบินไปไม่ไหว
     
  3. รักษ์พระ

    รักษ์พระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ขออนุโมทนาด้วยครับ จะรอตามอ่านนะครับ หลวงปู่บุดดาท่านเป็นพระอริยะเจ้าที่ประเสริฐยิ่งนัก ได้รับการยกย่องนับถืออย่างสูงยิ่งจากหลวงพ่อฤาษีแห่งวัดท่าซุง หลวงปู่ดู่แห่งวัดสะแก หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก แห่งวัดทุ่งสามัคคีธรรม และจากครูบาอาจารย์อีกหลายท่านครับ
     
  4. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    "ขออนุโมทนาด้วยครับ จะรอตามอ่านนะครับ หลวงปู่บุดดาท่านเป็นพระอริยะเจ้าที่ประเสริฐยิ่งนัก ได้รับการยกย่องนับถืออย่างสูงยิ่งจากหลวงพ่อฤาษีแห่งวัดท่าซุง หลวงปู่ดู่แห่งวัดสะแก หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก แห่งวัดทุ่งสามัคคีธรรม และจากครูบาอาจารย์อีกหลายท่านครับ"
    ขออนุโมทนากับท่าน รักษ์พระด้วยครับ
     
  5. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    10365848_948825305202599_418512762147582794_n.jpg
    พรรษาที่ ๒ ธุดงค์เดี่ยว

    เมื่อกลับจากธุดงค์พอใกล้เข้าพรรษา ท่านเข้ามาจำพรรษาที่วัดผดุงธรรม จังหวัดลพบุรี พอออกพรรษา ท่านก็ธุดงค์ไปองค์เดียวอีก

    เหตุอัศจรรย์ผจญวัวป่า

    หลวงปู่ท่านเดินธุดงค์ไปหนองคาย โดยออกจากจังหวัดลพบุรีไปทางจังหวัดเพชรบูรณ์ ผจญเข้ากับวัวป่าฝูงหนึ่ง มันคงแปลกใจว่า เอ๊ะ ? อะไรนะ เป็นอันตรายกับพวกเขาหรือเปล่า หัวหน้าฝูงนั้นเข้ามาดม ๆ ดู แล้วก็ร้องมอ ๆ คล้ายกับจะบอกพรรคพวกว่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีอันตราย เข้ามาได้แล้ว ตัวอื่นก็เข้ามาดมจนครบทุกตัวแล้วก็เลยไป

    คุณธรรมของท่านนั้น แม้แต่เดรัจฉานก็ส่งภาษาใจให้ผู้รู้เรื่องกันได้ หลวงปู่พูดเสมอว่า "ภาษาธรรมนั้น ก็คือภาษาใจ อยู่ที่ไหนก็รู้กันได้ มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตรธรรม"
    พบซากศพตนเองในอดีต

    คราวนี้ท่านได้สอบดูนิมิตสมัยเด็ก ๆ ของท่านว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่นอกนครเวียงจันทร์ไม่ไกลนัก ซึ่งเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็นำเอาศพในอดีตชาติของท่านไปฝังไว้ และไม่ได้เผา ในนิมิตนั้นท่านเห็นกะโหลกศีรษะขาวโพลน โผล่ดินขึ้นมาตรงตอพุดซา ท่านจึงไปสอบดูตามนิมิต และได้พบกะโหลกศีรษะมนุษย์ ในภูมิประเทศคล้ายคลึงกัน แต่กะโหลกที่พบจริงไม่ขาวเท่าในนิมิต และตอพุดซาไม่มีแล้วท่านจึงได้เผากระดูกนั้นด้วยตนเอง
     
  6. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    00020.jpg
    พรรษาที่ 3 จารพระไตรปิฎก

    ขณะที่ไปสอบดูตามนิมิตก็ใกล้เข้าพรรษาแล้ว ท่านได้จำพรรษา ณ วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย และในขณะที่ข้ามไปเวียงจันทร์ ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์และวัดพระแก้วที่เวียงจันทร์ ท่านระลึกถึงอดีตชาติเมื่อเห็นตู้พระไตรปิฎกและจารด้วยตนเอง แต่สมัยเป็นสามเณรต่อมาเป็นภิกษุและเป็นสมภารเจ้าวัดในที่สุด ได้จารพระไตรปิฎก บรรจุไว้จนเต็ม 3 ตู้ ท่านว่าได้เป็นสมภารเจ้าวัดในฝั่งลาว 3 สมัย ตายตั้งแต่ยังไม่พ้นวัยกลางคน ที่ท่านไปพบตู้ที่สร้างไว้นั้นไม่มีพระไตรปิฎกแล้ว

    ขณะที่ท่านพักอยู่ ณ วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย คราวหนึ่งท่านต้องไปกิจนิมนต์ร่วมกับภิกษุหลายรูปด้วยกัน ไปทางเรือตามลำน้ำโขงปรากฏว่าเรือเกิดจมลง พระรูปอื่นต่างว่ายน้ำหนีจากเรือหมด เหลือแต่ท่านองค์เดียวในเรือ และน้ำท่วมเกือบถึงคอแล้ว พอดีชาวบ้านเอาเรือไปรับนิมนต์ท่านขึ้นเรือแล้วเรือก็จมหายไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2016
  7. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    DSC_0008.jpg RYU_2490 copy.jpg
    พบบิดาในอดีตชาติ

    พอออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ออกเดินทาง และในระหว่างทางนั้น ท่านได้พบกับหลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร ซึ่งออกจาริกไปตามป่าเขาทำนองเดียวกับท่าน

    หลวงพ่อสงฆ์ผ่านพรรษา ๔ แก่กว่าหลวงปู่บุดดาหนึ่งพรรษา แต่อายุหลวงพ่อสงฆ์แก่กว่าท่านหลายปี เพราะท่านบวชภายหลังมีครอบครัวแล้ว และเมื่อท่านพบหลวงพ่อสงฆ์ ท่านก็ระลึกได้ว่า เคยเป็นบิดาของท่านในอดีตชาติ ท่านก็เรียกคุณพ่อสงฆ์ตั้งแต่แรกพบจนถึงที่สุดแห่งวาระของท่านเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2016
  8. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    ปากถ้ำภูคา.JPG ภายในถ้ำภูคา.JPG
    ถ้ำนี้มีคุณ
    หลังจากที่หลวงปู่บุดดา ถาวโร ได้พบกับหลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร ท่านทั้งสองก็ได้ร่วมจาริกแสวงหาที่วิเวกอันเหมาะแก่การเจริญภาวนาเรื่อยมา จนมาพบถ้ำเขาภูคา ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลหัวหวาย อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นถ้ำกว้างมีปล่องทะลุกลางเขาลูกย่อม ๆ อยู่ในดงยาง เป็นชัยภูมิร่มรื่น มีหนองน้ำใหญ่อยู่ห่างจากหน้าถ้ำไปทิศตะวันออกของทางรถไฟสายเหนือห่างประมาณ ๑ กิโลเมตร อยู่ระหว่างสถานีดงมะกุและสถานีหัวหวายห่างจากหมู่บ้านทั้ง 2 ตำบล ข้างละประมาณ ๒ กม. เศษ ปากถ้ำอยู่ทางตีนเขา ภายในถ้ำลมถ่ายเทได้ดี

    ท่านได้อาศัยภายในถ้ำนี้และแยกกันอยู่คนละฟาก ได้อาหารบิณฑบาตจากหมู่บ้านดังกล่าว ถ้ำภายในเขาภูคานี้เป็นที่สงบและวิเวกปากถ้ำเรียบเป็นดิน เชิงเขาลาดขึ้นพอบรรจบถึงเขาก็เป็นปากถ้ำพอดี กว้างราว ๖-๗ เมตร สูง 3 เมตรเศษ เป็นดินราบขึ้นไปจนถึงยอดมีแท่นราบตรงกลางปล่องตรงกับยอดเขาพอดี ปล่องถ้ำเหมือนรูปงอบใบใหญ่สูงกว่าปากถ้ำเล็กน้อย ขอบล่างลาดลงโดยรอบเป็นช่องและชอกมากบ้าง น้อยบ้าง
    สถานที่ท่านใช้พักผ่อนและจำวัด ปรากฏว่าตรงที่ท่านใช้ภาวนานั้น มีปล่องลมหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่จำวัดก็หลบเข้าไปในช่องไม่ถูกลมเลย ก่อนที่ท่านจะมาอยู่ในถ้ำนี้ มีแคร่ร้างตั้งอยู่ ซึ่งหมายถึงแสดงว่ามีบุคคลอื่นมาใช้สถานที่นี้ก่อนแล้ว
    สถานที่ท่านใช้เป็นที่เดินจงกรมในตอนบ่ายและพักผ่อนสนทนาธรรมกันตอนเย็นนั้นเป็นบริเวณสันเขาตอนใต้ เป็นทางลาดขึ้นปากถ้ำได้สะดวก ใช้ด้านตะวันออกเป็นที่ลาดเดินจงกรม มีต้นไม้และสันเขาช่วยกำบังแดดในตอนบ่าย
    กล่าวมาถึงตอนนี้ จะขอหยิบยกประวัติการสร้างวัดถ้ำเขาภูคา สอดแทรกลงในเถระประวัติของหลวงปู่สักหน่อยนะครับ
    วัดเขาภูคาจุฬามณี คือวัดเขาภูคา บ้างก็เรียกวัดถ้ำเขาภูคา ตั้งอยู่เลขที่ 1 หมู่ที่ 2 ตำบลหัวหวาย อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
    เป็นวัดมหานิกาย ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2513 โดยการดูแลของ พระอธิการสุชาติ อุชุโก
    ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส องค์ปัจจุบัน วัดเขาภูคามีถ้ำอันศักดิ์สิทธิ์น่าเที่ยวชม บนยอดจะประดิษฐ์พระเกศแก้วจุฬามณีพระพุทธรูปครึ่งองค์
    และรอยพระพุทธบาทพระสิทธัตถะ (เป็นพระพุทธบาทอันแท้จริงซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกแผ่นดินแล้ว)
    ซึ่งโดยรอบพระพุทธบาทจะครอบด้วยมณฑปขนาดใหญ่มีความสงบร่มเย็นเหมาะแก่การปฏิบัติเจริญสมาธิ จึงได้มีญาติโยม
    ในท้องถิ่นและชาวจังหวัดใกล้เคียงหลั่งไหลกันมาปฏิบัติธรรม และเยี่ยมชมสิ่งประดิษฐ์อันงดงาม ที่ธรรมชาติและบรรพบุรุษ
    ได้บรรจงสร้างให้แก่ชนรุ่นหลัง
    ตามประวัติของทางวัดถ้ำเขาภูคา ได้มีการบันทึกไว้เมื่อครั้งก่อสร้างใหม่ๆ ตามคำบันทึกจากพระครูพลอย ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก ซึ่งหลวงพ่อสังวาลย์นั้นก็ได้เป็นศิษย์ในหลวงปู่บุดดา ถาวโร และหลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร ตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลวงพ่อสังวาลย์ ได้อุปสมบทช่วงๆแรกๆ หลังจากที่หลวงพ่อสังวาลย์ได้ฝึกกรรมฐานอยู่ณ.ป่าช้าบ้านทึง เป็นเวลาถึง5ปีแล้ว หลังจากนั้นหลวงพ่อสังวาลย์ก็ได้ธุดงค์จาริกออกตามหาหลวงปู่บุดดา ถาวโร และหลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร เพื่อขอคำชี้แนะในเรื่องธรรมะและกรรมฐาน เมื่อครั้งที่หลวงปู่ทั้งสองธุดงค์จาริกอยู่ที่ เขาย้อย จ.เพชรบุรี ขอนุญาตตัดกลับเข้าประวัติวัดถ้ำเขาภูคากันต่อนะครับ
    เขาภูคา หรือเขาโภคา
    ตามตำนานท้องถิ่นกล่าวไว้ว่า เขาโภคาหรือบางท่านเรียกเขาภูคา เป็นเขาลูกเดียวที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเขาลูกอื่นๆ เดิมบริเวณนี้เป็นป่าต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6ได้ทรงโปรด
    ให้สร้างทางรถไฟสายเหนือ กรุงเทพ -นครสวรรค์ ซึ่งทางรถไฟที่สร้างนี้ อยู่ห่างจากภูเขาลูกนี้ประมาณ 800 เมตร นายช่างที่คุมการก่อสร้างได้เห็นว่ามีภูเขาหินอยู่ใกล้เช่นนี้จึงคิดจะเอาหินที่เขาลูกนี้มาใช้ ในการก่อสร้างทางรถไฟ จึงได้สร้างทางรถไฟน้อยแยกออกมาถึงเขาลูกนี้เพื่อเตรีมจะขนหินที่ระเบิดได้ไปใช้ แต่เมื่อช่างทำการเจาะหินระเบิดก็ได้ยินแต่เสียงระเบิดดังกึกก้องหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีหินแตกออกมาสักก้อน นายช่างพยายามที่จะระเบิดสักเท่าไรก็ทำไม่สำเร็จ จึงได้กลับไปเอาหินที่เขาช่องแคตามเดิม
    ความนี้ได้ทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงเห็นว่าเป็นเรื่องแปลก จึงสั่งให้ยุติการทำลายภูเขาลูกนี้พร้อมทั้งพระราชนามว่า "เขาโภคา" ซึ่งมีความหมายว่า "ภูเขาอันเป็นโภคสมบัติของแผ่นดิน" ที่สุดนายช่างที่ทำการก่อสร้าง ก็พาลูกน้องกลับไปเจาะระเบิดเอาหินจากเขาช่องแคมาใช้
    หลวงปู่สงฆ์ และหลวงปู่บุดดา มาธุดงค์
    วันหนึ่งได้มีพระธุดงค์รูปหนึ่ง(หลวงปู่สงฆ์) เดินทางมาถึง ณ ถ้ำแห่งนี้ ท่านได้เห็นว่าภูเขาลูกนี้มีถ้ำและป่าที่สงบ

    สงบ มีบ้านชาวบ้านอยู่รอบๆก็น้อย ท่านว่าเหมาะที่จะเป็นที่ปฏิบัติภาวนาจึงเลือกจะอยู่ที่นี้ เมื่อตาเห็นพระธุดงค์มาอยู่ที่ถ้ำนี้ก็บอกชาวบ้านมากราบไหว้ ชาวบ้านพอรู้ว่ามีพระธุดงค์มาปฏิบัติภาวนาที่ถ้ำแห่งนี้ก็นำอาหารมาทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ เช่น ต้นจำปา(ต้นลั่นทม) ซึ่งอยู่หน้าถ้ำปัจจุบันก็มีชาวบ้านนำมาบูชาแล้วก็ปักไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่ามีพระปฏิบัติอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ตาศีลาได้ปวารณากับหลวงปู่เพื่อคอยดูแล และปฏิบัติตลอดที่หลวงปู่ปฏิบัติธรรมอยู่ในถ้ำนี้ ภายในถ้ำหลวงปู่ได้เลือกชั้นที่ 2 เป็นที่นั่งวิปัสสนาตลอดทั้งวัน เมื่อตกตอนเย็นหลวงปู่จะออกมาเดินจงกลมบริเวณหน้าถ้ำ ตอนที่หลวงปู่เดินนั้นก็จะมีนกยูงมาลำแพนอยู่ตลอด
    ต่อมาหลวงปู่บุดดา ถาวโร ก็ได้เดินธุดงค์ตามหาหลวงปู่สงฆ์ แล้วมาพบกันยังถ้าภูคาแห่งนี้ หลวงปู่บุดดาได้เลือกชั้นที่ 1 ภายในถ้ำเป็นที่นั่งวิปัสสนา เมื่อหลวงปู่ทั้งสอง รูปมาพบกันแล้วท่านก็ทำความเพียรตลอด วันพระท่านก็มาโปรดญาติโยมที่มาทำบุญในถ้ำ หลวงปู่อยู่ปฏิบัติภาวนาอยู่ที่ถ้ำภูคาประมาณ 2 ปี วันหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่ทั้งสอง ทำความเพียรอยู่นั้น ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องอยู่บนเขาเหมือนกับเป็นเสียงตอบโต้กันไปมาอยู่พักใหญ่ แล้วก็เห็นแสงสว่างสาดส่องออกมายังปล่องถ้ำ จากนั้นเสียงนั้นก็เงียบหายไป แสงสว่างก็ไม่มี ณ วันนี้นี่เองชาวบ้านก็ยังหารู้ไม่ว่าเป็นวันที่หลวงปู่สำเร็จธรรมแล้ว หลวงปู่ทั้งสองก็จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำภูคาต่ออีกประมาณ 1 ปีเศษ ก็แยกย้ายกันไปจาริกธรรม
    หลังจากที่หลวงปู่ทั้งสองได้ไปจากถ้ำภูคาแล้วก็มีพระปฏิบัติมาตามหาหลวงปู่เพื่อที่จะปฏิบัติธรรมด้วยหลายองค์ เช่น หลวงปู่แหวน , หลวงปู่ชา , หลวงพ่อพรม , หลวงพ่อลี , อาจารย์อ่อน , อาจารย์กุมมา พระที่เดินทางมาที่ถ้ำแห่งนี้ต่างก็บอกกับชาวบ้านที่นี้ว่า หลวงปู่ทั้งสองนั้นได้สำเร็จธรรม ณ ถ้ำนี้แล้ว
     
  9. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    DSC_0282 copy.jpg RYU_2490 copy.jpg
    ตะขาบเจ้ากรรม

    ตอนอยู่ถ้ำภูคานี้ แม้จะสนทนา ก็ต่างองค์ต่างอยู่ในที่ของตน คราวหนึ่งเสียงของหลวงปู่บุดดาเงียบหายไป หลวงพ่อสงฆ์ผิดสังเกตจึงเดินไปดูก็เห็นหลวงปู่บุดดานั่งหลับตา มีตะขาบตัวใหญ่มากขึ้นไปขดอยู่กลางศีรษะของท่าน หลวงพ่อสงฆ์ต้องเอาผ้าอาบของท่านหย่อนลงให้ตะขาบไต่ขึ้นผ้าแล้วจึงเอาไปปล่อยนอกถ้ำ

    หลวงปู่บุดดาท่านเล่าว่า มันไต่ขึ้นภายในสบงผ่านเอวแล้วผ่านหลังท่านขึ้นไป ท่านจึงต้องกลั้นลมหายใจ ปิดหู ปิดตา จมูก ปากหมด เจ้าตะขาบจึงเข้าไม่ได้ เมื่อหลวงพ่อสงฆ์เอาไปปล่อย ปรากฏว่ามันกัดตัวเองจนขาดเป็นท่อน ๆ กองอยู่ที่ปล่อยนั่นเอง
    พรรษาที่ ๔ ตัดกิเลสบรรลุธรรม

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๘ พอใกล้เข้าพรรษา ท่านทั้งสองได้ไปจำพรรษา ณ วัดป่าหนองคู จ.นครสวรรค์ และพอออกพรรษาก็กลับมาร่วมปฏิบัติธรรม ณ ถ้ำภูคา จ.นครสวรรค์ โดยต่างเร่งความเพียรเจริญสมณธรรม อย่างเต็มที่เกือบจะไม่ได้พักผ่อน และในคืนวันหนึ่งเวลาประมาณระหว่าง ๒๐.๐๐ น. ถึง ๒๓.๐๐ น. ซึ่งเป็นเวลาสนทนาธรรมของทั้งสองท่าน หลวงพ่อสงฆ์ได้ถามหลวงปู่บุดดาว่า

    “...ยังถือวินัยอยู่หรือ”

    หลวงปู่ตอบว่า “...ไม่ถือวินัยได้ไง ถ้าเราจะเดินผ่านต้นไม้-ของเขียวก็ต้องระวัง...มันจึงเป็นอุปาทานทำความเนิ่นนานต้องช้ามาถึง ๔ พรรษา”

    หลวงพ่อสงฆ์ว่า “วินัยมันมีสัตว์-มีคนรึ”

    หลวงปู่บุดดาว่า “มีตัวซี ถ้าไม่มีตัวจะถือวินัยได้ยังไง...วินัยก็ผู้ถือนั่นเอง ...เสขิยวัตร ๗๕ เป็นตัวไม่ได้หรอก ...เนื้อหนัง กระดูก ตับไต ไสพุง มันไม่ใช่ตัวถือวินัย...ตัวถือวินัยเป็นธรรมนี่”

    ....เถียงกันไป เถียงกันมาชั่วระยะหนึ่ง... พอปัญญา-บารมีเกิดขึ้นตกลงกันได้ว่า

    “เอ๊ะ ! ไม่มีจริง ๆ เน้อ ...ผู้ถือไม่มี มีแต่ระเบียบของธรรมเท่านั้น ไปถือมั่น-ยึดมั่นไม่ได้นี่”
    พอหยุดความลง ทันใดนั้นเองหลวงพ่อสงฆ์เพ่งมองดู เห็นหลวงปู่บุดดา จู่ ๆ ก็นิ่งเงียบนัยน์ตาลืมค้างอยู่ ไม่กระพริบตา เบิกตาโพลงอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานอยู่ประมาณสองชั่วโมงกว่าถึง กลับมาพูดได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลวงปู่บุดดาได้ใช้ปัญญาตัดกิเลสได้แล้วในขณะที่นั่งลืมตา ซึ่งหลวงปู่บอกว่า ถ้าเกิดปัญญาขึ้นในอิริยาบถทั้ง ๔ ซึ่งขณะนั้น ถ้าลืมตาตัด ก็ต้องลืมตาตัด ถ้านั่งตัด ก็ต้องนั่งตัด ถ้ายืนตัด เดินตัดหรือนอนตัดก็ต้องยืนตัด-เดินตัด หรือนอนตัด ขึ้นอยู่ว่าใครจะตัดกิเลสได้ขณะไหน... อย่างพระอานนท์ตัดได้ตอนเอนกายขณะกำลังจะนอนนั่นเอง...

    สำหรับหลวงปู่บุดดา ขณะมีอายุได้ ๓๒ ปี พรรษาที่ ๔ ซึ่งถ้ายังใช้กรรมไม่หมด ก็ไม่ถึง โลกกุตระ แต่พอใช้หนี้กรรมหมดแล้ว ก็เป็นอโหสิกรรม ขณะนั่งลืมตาอยู่ก็บรรลุธรรมได้

    หลวงปู่บุดดาบอกว่า

    “ขณะนั้นอวิชาดับหมด รู้สึกสว่างแจ้งขึ้นมาเอง ความไม่มีตัวตนเห็นได้ชัดเจนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัว เป็นปรมัตถธรรม ธรรมทุกอย่างเป็นธรรมชาติส่วนกลาง คงอยู่ในจิตของตนเอง กิเลสหลุดไปเอง แต่ชีวิตยังคงอยู่มีความเป็นปรกติทุกอย่าง ทั้งกายสังขาร-จิตสังขารก็หยุด รูปก็หยุดหมด ไม่มีสัตว์เกิดสัตว์ตาย กิเลสไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ขันธ์ของกิเลสก็ไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ...สุดชาติของอาสวะของสังโยชน์ ๑๐ อนุสัย ๗ ออกวันเดียวกันและเวลาเดียวกันนั่นแหละ...”

    หลวงพ่อสงฆ์ท่านนั่งเฝ้าหลวงปู่บุดดาอยู่นานกว่าสามชั่วโมงแล้วจึงออก

    “นิมนต์เถอะครับ...แน่นอนแล้ว”

    พอรุ่งเช้าถึงเวลาออกบิณฑบาต หลวงพ่อสงฆ์บอกว่า

    “โลกกุตระธรรมแล้ว ขอนิมนต์ให้หลวงปู่บุดดาเดินหน้า”

    แต่หลวงปู่บุดดาว่า

    “หน้าก็หน้าคุณธรรม แต่พรรษาอ่อนกว่าต้องเดินหลังซี !”

    ตกลงหลวงปู่บุดดาคงเดินตามหลังหลวงพ่อสงฆ์เหมือนเดิม

    ต่อมาอีกไม่กี่วัน หลวงพ่อสงฆ์ ซึ่งเร่งปรารภความเพียรมาอย่างหนักก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ณ ถ้ำภูคาเช่นเดียวกัน ท่านไม่ถือทั้งนามและรูป เพราะการหลงนาม หลงรูป มันก็หลงเกิด หลงตาย ไม่มีสิ้นสุด (ในช่วงบั้นปลายของชีวิตหลวงพ่อสงฆ์นั้น ท่านได้มาพักจำพรรษาที่วัดอาวุธวิกสิตาธรรม เขตบางพลัด กทม. ตลอดมา จนถึงแก่มรณภาพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙)
     
  10. chopper1972

    chopper1972 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +13,153
    ขอโมทนาสาธุการครับ ผมศรัทธาในองค์หลวงปู่บุดดาเช่นกัน รอติดตามครับผม
     
  11. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    สาธุ อนุโมทนาด้วยครับ
    ผมจะลงให้ได้อ่านและศึกษากันทุกๆวันนะครับ หากเพื่อนๆท่านใดมีประสบการณ์ตรง หรือมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงปู่ ก้อแลกเปลี่ยน เล่าสู่กันฟังได้นะครับ
     
  12. รักษ์พระ

    รักษ์พระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ผมขอเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ของผมที่ได้พบหลวงปู่บุดดาเป็นครัังแรกนะครับ เรื่องนี้เกิดนานมากแล้ว ยังไม่รู้จักเรื่องราวของท่านมากนัก รู้เพียงว่าเขาว่ากันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่บุดดาจะมาร่วมพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลที่วัดบุปผาราม ฝั่งธนบุรีก็อยากไปดูท่าน ด้วยที่ไม่รู้หมายกำหนดการผมไปถึงที่วัดเป็นเวลาเย็นแล้ว พอดีกับที่พิธีเสร็จหมด พระที่เข้าร่วมพิธีก็ทะยอยเดินออกมาจากโบสถ์ เห็นคนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมหลวงปู่บุดดาอยู่ หลวงปู่ท่านก็เมตตาแจกเหรียญรูปเหรียญท่านให้กับญาติโยมคนละเหรียญ ผมก็แทรกเข้าไปเพื่อขอรับด้วย ในใจคิดว่าหลวงปู่แจกให้คนละเหรียญเดียว ผมมีลูก 2 คน อยากได้ 2 เหรียญจังจะได้ให้ลูกคนละเหรียญ แต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยปากขออย่างไร พอถึงคิวผม ท่านส่งเหรียญมาให้แต่ผมก้มดูแทบช็อคครับ เป็นเหรียญคู่ที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมาได้ยังไง เป็นสองเหรียญเชื่อมกันโดยห่วงคล้องเหรียญของแต่ละเหรียญมาคล้องติดกันอีกที ไม่รู้ว่าเป็นไปได้ยังไงแต่ก็เป็นไปแล้ว กลายเป็นเหรียญเสมือน 2 in 1 หรือกล้วยแฝดที่ขั้วด้านบนติดกัน เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก ผมไม่เคยพบเจอแบบนี้มาก่อนจริงๆ ตอนนั้นเกิดปิติอย่างบอกไม่ถูก ส่วนตัวผมเชื่อว่าเป็นเพราะปาฏิหาริย์และความเมตตาของหลวงปู่ที่มีให้ครับ
     
  13. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    001.jpg
    เรื่องอายหมา

    หลวงปู่เล่าว่า ตั้งแต่เด็กท่านมักจะบอกกับมารดาของท่านเสมอว่า โตขึ้นท่านจะไม่มีครอบครัว เพราะท่านละอายใจดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

    อดีตชาติหนึ่งในหนหลังเมื่อท่านเป็นหนุ่มเกิดพอใจหญิงสาวชาวบ้านใกล้เคียงกันผู้หนึ่งจึงไปอู้สาวผู้นั้น แทนที่ฝ่ายหญิงจะพูดดีกับลำเลิกอดีตชาติว่า

    “หลวงปู่ที่เป็นชายหนุ่มในชาตินั้นเป็นผู้ทำให้เขาถูกทุบตี และถูกจับผูกทรมานอดอาหารจนท้องกิ่วตาย พอมาชาตินี้มารักเขาทำไม”

    หลวงปู่ในชาตินั้นก็มองเห็นอดีตตนเองได้ว่าตอนนั้นท่านเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ประเทศลาว ขณะนอนป่วยอยู่ มีหมาตัวเมียขึ้นมาลักลอบอาหารที่เด็กเก็บไว้ ท่านจึงร้องบอกเด็ก พวกเด็กจึงไล่ตีหมา และพวกเด็กไม่เพียงแต่ไล่ตี คงได้ไล่จับหมาตัวนั้นไปผูกกับรั้ว และกว่าจะถูกจับได้คงต้องไกลกว่าที่สมภารนอนเจ็บประการหนึ่ง และทุกคนก็คงสนใจแต่ความป่วย และการตายของสมภาร ในเวลาต่อมาจึงลืมนึกถึงการจับหมาตัวนั้นไปผูกไว้จนต้องอดถึงตายไป

    เมื่อชายหนุ่มระลึกอดีตชาติได้ก็เกิดความสลดและละอายใจว่า “นี่เรากำลังจะเอาหมามาเป็นเมียแล้วหรือ ? ” และเป็นการประทับฝังอยู่ในจิตใจต่อมาทุกชาติ การป่วยและการตายในคราวนั้น หมาตายภายหลัง จึงจองเวรและติดตามถูก

    ส่วนการที่เด็กไปตีหมาที่ถูกจับไว้จนหมาตาย ต้องมิใช่คำสั่งของสมภาร หมาจึงจองเวรได้ เพียงหมาถูกตีเพราะเสียงร้องบอกของสมภารเป็นเหตุ หมาจึงทำให้สมภารในอดีตชาติเดือดร้อนเพราะลำเลิกของหญิงนั้นตามอดีตเหตุที่สมภารได้ทำไว้เท่านั้น เรื่องความผูกพันหรือการจองเวรในอดีตชาติทำนองนี้ หลวงปู่ปรารภเสมอว่า เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้ว ท่านมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งแต่เด็ก
     
  14. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    boonruen-003.jpg 1203048294.jpg
    ครั้นเมื่อหลวงพ่อสงฆ์กับหลวงปู่บุดดาแยกทางกันตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ แต่เมื่อถึงช่วงออกพรรษาแล้ว ท่านทั้งสองรูปมักจะพบกันเสมอ บางครั้งก็ร่วมทางกันต่อไป แต่ตอนปลายปี ๒๔๗๔ ต่อต้นปี ๒๔๗๕ ท่านร่วมเดินทางมาด้วยกัน พอถึงจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) เจ้าอาวาสวัดเทพศรินทราวาส ท่านทั้งสองก็ถูกอธิกรณ์ เขาพาท่านทั้งสองมาหาสมเด็จวัดเทพศิรินทร์ฯ สมเด็จท่านจึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนอธิกรณ์นั้นๆ

    ด้วยว่าหลวงปู่บุดดา ถาวโร และหลวงปู่สงฆ์ พรหมสโร ทั้งสองท่านนี้มิได้มีประโยคประธานใด ๆ (หมายถึงตำแหน่ง หรือคำนำหน้าที่ใช้เรียกหลวงปู่ทั้งสอง นับจากนักธรรมตรีขึ้นมาจนถึงพระครู เรื่อยไปจนถึงชั้นราชาคณะ)หลวงปู่ทั้งสองท่านอ้างธรรมปฏิบัติตามปฏิปทาที่ท่านรู้เห็นของท่านขึ้นโต้แย้ง ปริยัติเป็นเสมือนแบบแผนเท่านั้น แต่การปฏิบัตินั้นเป็นการทำจนปรากฏของจริงขึ้นประจักษ์แก่ใจ

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านจึงตั้งกรรมการทั้งฝ่ายปริยัติและฝ่ายปฏิบัติขึ้นสมทบของท่านร่วมกัน ผลปรากฏไม่พบความผิด จึงเป็นที่เล่าลือกันในตอนต้นปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ว่าพระสุปฏิปันโนจากป่าเข้ากรุง

    จากผลของการสอบสวนในครั้งนั้น ทำให้หลวงปู่ได้พบปะและสบอัธยาศัยกับพระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุตหลายองค์ ตลอดจนถึงได้พบกับ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ในกาลนั้น หลวงปู่บุดดาได้ลงทำวัตรที่พระอุโบสถ วัดเทพศิรินทราวาส และได้สนทนาธรรมด้วยพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) อยู่หลายวาระ

    โดยตอนนั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ เพิ่งอุปสมบทได้เพียง “6” พรรษา (เจ้าคุณนรรัตน์ฯ อุปสมบทพ.ศ. 2469) เท่านั้น

    อาศัยที่ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯนั้น ท่านเคยฝึกฝนทางด้านพลังจิตมาก่อนและมีวิชาดูลักษณะของผู้คนได้อย่างแม่นยำ เมื่อเห็นอากัปกิริยาทั้งภายในและภายนอกอัน “ไม่ธรรมดา” และ “เหนือโลก” ของหลวงปู่บุดดา ถาวโรแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ถึงกับประทับใจในคุณพิเศษแห่งหลวงปู่บุดดาเป็นอย่างยิ่ง

    และถึงกับมีดำริที่จะติดตามออก “ธุดงค์” ไปเจริญสมณธรรมตามป่าเขาด้วยเลยทีเดียว..!!!!!

    แต่หลวงปู่บุดดา ถาวโรได้เมตตาห้ามเอาไว้ ด้วยเล็งเห็นการณ์ล่วงหน้าแล้วว่า ต่อไป พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตองค์นี้ จะได้สำเร็จเป็น “พระอรหันต์กลางป่าคอนกรีต” อันจะเป็นเนติแบบอันดีให้แก่พระภิกษุและสาธุชนรุ่นหลังได้ชื่นชมอนุโมทนาสาธุการสืบไปไม่รู้สุดสิ้น แผนการตามหลวงปู่บุดดาออกธุดงค์ของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ จึงมีอันได้ยุติลง
    "หมายเหตุ 1. เกี่ยวกับเรื่องอันเป็นความลับสุดยอดที่น้อยคนนักจักล่วงรู้นี้ หลายๆ ท่านอาจจะเคยผ่านตาและผ่านใจจนมาบ้างแล้วในหนังสือประวัติเจ้าคุณนรรัตน์ฯ เล่มเก่าๆ บางเล่ม ซึ่งมีระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ในสมัยแรกอุปสมบทนั้น

    “ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ เคยมีดำริที่จะออกธุดงค์ตามป่าเขา จนถึงแก่ให้ทางบ้านเตรียมอัฏฐบริขารสำหรับธุดงค์ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่มีการระงับไว้ในภายหลัง”

    แต่ในบันทึกนั้นๆ หาได้ระบุไว้ว่า เหตุที่เจ้าคุณนรรัตน์ฯดำริออกธุดงค์ตามป่าเขานั้น เกิดจากอะไร และการที่ต้องระงับการออกธุดงค์นั้น เกิดมาจากสาเหตุใด..???

    2. เรื่องเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ดำริตามหลวงปู่บุดดา ถาวโรออกธุดงค์เมื่อปีพ.ศ. 2475 นั้น เป็นเรื่องจริงที่หลวงปู่บุดดา ถาวโรเคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ได้ฟ้งกับปากของหลวงปู่เอง ซึ่งได้มีการบันทึกเทปเสียงสัมภาษณ์หลวงปู่เอาไว้ด้วย
    ต่อมาท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรี (กิมไล้ สุจริตกุล) มารดาพระสุจริตสุดา และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี ในพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า (รัชกาลที่ ๖) ได้นิมนต์ไปจำพรรษา ณ วัดสัมพันธวงศ์ หลวงปู่จึงไปพำนักที่วัดสัมพันธวงศ์ในเดือนเมษายนปีนั้น แต่ในปีนั้นหลวงปู่คงไม่ได้จำพรรษาเนื่องจาก... ท่านอาจารย์เหล็งฯ ซึ่งเป็นภิกษุชาวเพชรที่อยู่ ณ วัดสัมพันธวงศ์ เลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงปู่และขออาราธนาหลวงปู่ให้ไปโปรดญาติโยมของท่านทางเมืองเพชรก่อน ต่อใกล้พรรษา จึงค่อยกลับมาวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องอัธยาศัยของหลวงปู่อยู่แล้ว

    การเดินทางคราวนั้น มีท่านอาจารย์สันติฯ ชาวนครสวรรค์ ร่วมติดตามไปด้วย

    หลวงปู่จึงไปจำพรรษา ณ วัดเนรัญชรา วัดธรรมยุติของจังหวัดเพชรบุรี ตั้งแต่ก่อน ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ (การเปลี่ยนแปลงการปกครอง) ในพรรษาต่อมาก็ จำพรรษา ณ วัดสนามพราหมณ์ และวัดเหนือวน จังหวัดราชบุรี ในพรรษาต่อไป และต่อจากนั้นจึงได้เข้ามาจำพรรษา ณ วัดราชาธิวาส ในกรุงเทพฯ เป็นพรรษาแรก ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ หรือ ๗๙ แต่แน่นอนก็คือเป็นปีที่ท่านครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ ถูกส่งมาสอบสวนและพักที่วัดเบญจมบพิตร
     
  15. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    DSC_0133.jpg
    ภาพคุณแม่บุญเรือน ถ่ายณ.บ้านาซา จ.ระยอง
    DSC_0179.jpg
    ภาพคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ถ่ายเมื่อครั้งเข้านิโรธสมาบัติ ณ.บ้านสามัคคัวิสุทธิ์
    มาถึงจุดนี้ ผมขออนุญาตกล่าวถึงคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม แห่งวัดอาวุธ ว่ามีความเกี่ยวข้องกับหลวงปู่อย่างไร พร้อมทั้งจะขอลงภาพผู้ที่สร้างพิมพ์พระพุทโธน้อย อย่างแท้จริง ที่เราๆท่านๆอาจจะไม่ทราบ หรือทราบก้อเพียงแค่ได้อ่าน แต่ไม่เคยทราบว่าผู้ที่สร้างพระพุทโธน้อย ที่คุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานจิตให้นั้น ว่าท่านนั้นเป็นใคร
    RYU_2491 copy.jpg
    ภาพหลวงปู่บุดดา ถาวโร เมื่อครั้งสอนธรรมะและอบรมกรรมฐาน ณ.วัดอาวุธวิสิกตาราม
    DSC_0283 copy.jpg
    พระภิกษุชอบ สัมมาจารี (หรือ หลวงตาชอบ สัมมาจารี ผู้สร้างพิมพ์พระพุทโธน้อยอันโด่งดังในปัจจุบัน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2016
  16. รักษ์พระ

    รักษ์พระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ภาพทั้ง 4 นี้หาดูได้ยากนะครับ
     
  17. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    DSC_0009 copy.jpg
    สำหรับสาเหตุที่เป็นแรงบันดาลใจอย่างสำคัญที่ทำให้ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมออกบวชจนสำเร็จธรรมและอิทธิฤทธิ์เบื้องสูงจนมีเกียรติคุณเลื่องลือไกลนั้น ก็เกิดจากได้มาฟังเทศน์ของหลวงปู่บุดดา เมื่อครั้งที่หลวงปู่บุดดาท่านได้รับอาราธนามายังวัดสัมพันธวงศ์เมื่อปีพ.ศ. 2475 ครั้งที่มาแก้อธิกรณ์ที่วัดเทพศิรินทร์ และต่อมาได้พบกับท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรี (กิมไล้ สุจริตกุล) มารดาพระสุจริตสุดา และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี ในพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า (รัชกาลที่ ๖) ได้นิมนต์ไปจำพรรษา ณ วัดสัมพันธวงศ์ หลวงปู่จึงไปพำนักที่วัดสัมพันธวงศ์ในเดือนเมษายนปีนั้น
    เจ้าคุณพระสิทธิสารโสภณ อดีตเจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม (ผู้ดำริสร้าง “พระพุทโธน้อย” อันโด่งดัง) ก่อนจะมาอยู่วัดอาวุธฯ นั้นท่านเคยอยู่วัดสัมพันธวงศ์และได้พบกับหลวงปู่บุดดา ณ ที่นั้นเอง หลวงปู่ได้แนะนำท่านเจ้าคุณให้รักษาศีลเท่าชีวิต ท่านก็นำมาปฏิบัติจนกระทั่งปรากฏแสงสว่างเกิดขึ้นเป็นที่น่าอัศจรรย์ ท่านจึงเลื่อมใสศรัทธาและฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    ขณะที่ท่านเจ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ได้เคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ตอนหลวงปู่บุดดาอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ เวลาหลวงปู่แสดงธรรมมีคนมาฟังธรรมกันแน่นมาก รวมถึงคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็ได้มีโอกาสฟังธรรมและมอบตัวเป็นศิษย์ ได้นำคำสอนของหลวงปู่มาปฏิบัติและบำเพ็ญความเพียรด้วยตนเองจนได้บรรลุธรรมชั้นสูงสุดในกาลต่อมา
    ช่วงระยะเวลานี้ หลวงปู่มักจะธุดงค์ขึ้น-ลง กทม. - เพชรบุรี อยู่บ่อยครั้ง โดยท่านได้ธุดงค์พร้อมกับหลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร จวบจนวาระที่หลวงพ่อสงฆ์เกิดอาการอาพาธ สายตามองไม่เห็น ท่านเจ้าคุณได้นิมนต์หลวงพ่อสงฆ์ ให้อยู่รักษาตัวและจำพรรษาประจำที่วัดอาวุธวิสิกตาราม ระหว่างนั้นหลวงปุ่บุดดา ก้อได้พำนักอยู่วัดอาวุธเป็นครั้งคราว เพื่อมาเยี่ยมสังขารหลวงพ่อสงฆ์ จนกระทั่งหลวงพ่อสงฆ์ได้มรณะภาพลงในปี2519
    จากนั้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ท่านเจ้าคุณสิทธิสารโสภณ (ท่านเจ้าคุณใหญ่)ได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม ท่านก็นิมนต์หลวงปู่มาจำพรรษาที่วัดอาวุธฯ หลวงปู่ก็มาพักบ้างเป็นครั้งคราวและในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ จึงได้มาจำพรรษาที่วัดอาวุธฯ ๒ ปี ท่านมาครั้งนี้ท่านเจ้าคุณได้มรณภาพแล้ว โบสถ์ วิหารที่ท่านสร้างไว้ก็ยังไม่เสร็จหลวงปู่ท่านมาอยู่ก็ช่วยสร้างศาลาและที่เก็บน้ำไว้ให้และทอดกฐินร่วมสร้างโบสถ์ที่ยังค้างอยู่
    จากที่ได้เล่ามาถึงจุดนี้ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วนี่เอง(ปีพ.ศ.2558)ผมได้ไปงานประจำปีของทางวัดอาวุธกับพี่ตี๋ บางลำภู และได้พบกับคุณยายนพรัตน์ ผู้ซึ่งหลายๆท่านที่เป็นลูกศิษย์คุณแม่บุญเรือนคงจะทราบและรู้จักกันเป็นอย่างดีว่า คุณยายนพรัตน์ท่านนี้ทันยุคคุณแม่บุญเรือนอย่างแท้จริง คือเป็นบุคคลที่ยังมีชีวิต เล่าเรื่องราวต่างๆของคุณแม่บุญเรือนให้เหล่าสานุศิษย์ได้ฟังและปฏิบัติตัวตามหลักธรรมที่คุณแม่บุญเรือนท่านสั่งสอนมา เมื่อผมกับพี่ตี๋ บางลำภูได้พบกับคุณยายนพรัตน์ พี่ตี๋ บางลำภู ก็ได้ยกมือไหว้ และได้พูดคุยกับคุณยายนพรัตน์ สอบถามเรื่องราวระหว่างคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม กับหลวงปู่บุดดา ถาวโร ว่า"จริงไหม ที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นศิษย์หลวงปู่บุดดา" ก็ได้ทราบความจากปากของคุณยายนพรัตน์ ว่า "จริง ปฏิบัติกันถึงขั้นไหนกันแล้วล่ะ จึงมาถามถึงหลวงปู่" เมื่อข้าพเจ้าได้ฟัง ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ว่าเหตุใดหนอ คุณยายจึงตอบแบบนี้ เมื่อได้ถามไถ่และศึกษาจากหลายๆบุคคล จึงทราบความจริงว่า คุณแม่บุญเรือน ท่านนับถือและเคารพหลวงปู่ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลวงปู่พำนักที่วัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งตรงกันกับข้อมูลที่ผมได้อ่านๆและศึกษา ตลอดทั้งได้ถามไถ่จากหลายๆบุคคล เป็นตามนั้นจริงๆ จึงทำให้ผมคลายความสงสัยในเรื่องที่คุณแม่บุญเรือนได้พบกับหลวงปู่บุดดา โดยสิ้นเชิง !!!!
     
  18. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    วัดบุญทวี ถ้ำแกลบ
    วัดนี้สร้างด้วยความร่วมมือสมานฉันท์ของชาวเพชรบุรี ทั้งสองนิกายคือ ธรรมยุติและมหานิกาย (เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อสงฆ์และหลวงปู่บุดดาเป็นสื่อจูงใจ) ดังปรากฏกุฏิหลวงพ่อสงฆ์เดิม ภายหลังต่อมากลับกลายเป็นห้องสมุดของสำนักปฏิบัติ อุโบสถก็เป็นอุโบสถที่มีการผูกพัทธสีมา ทั้งแบบธรรมยุติและมหานิกาย ฝ่ายปริยัตินั้นอยู่พื้นที่ส่วนราบ ฝ่ายปฏิบัติอยู่บนภูเขา

    เนื่องจากวัดเพชรบุรีเป็นที่ ๆ หลวงปู่จำพรรษามากกว่าที่อื่น ๆ ยกเว้นจังหวัดสิงห์บุรี ประกอบกับท่านเป็นพระของทั้งสองนิกาย ชาวเพชรบุรีจึงศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่านมาก ขนาดสามล้อแย่งกันนิมนต์ขึ้นรถของตัวเอง เขามีความเชื่อว่าถ้าหลวงปู่ได้นั่งรถของเขาแล้ววันนั้นเขาจะได้ลาภมากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นสามล้อ หรือรถโดยสารธรรมดา ในจังหวัดเพชรบุรีแล้ว เขาต้องนิมนต์ให้ท่านขึ้นรถของเขา ถ้าพบท่านตามทาง

    งานเดียวถูกนิมนต์ ๓ วาระ

    ในงานฌาปนกิจศพของคหบดีคนหนึ่งของวัดเจ้าคณะตำบลใกล้วัดถ้ำแกลบนี้เอง ซึ่งบุตรทั้ง 3 คน เป็นเจ้าภาพร่วมกัน

    พอวันงานปรากฏว่าพระขาดไปรูปหนึ่ง น้องคนเล็กจึงไปนิมนต์หลวงปู่บุดดาจากวัดถ้ำแกลบ พอมาถึงท่านก็นั่งยังอาสนะที่เขาจัดไว้

    เจ้าภาพได้เถียงกัน พี่ชายคนกลางว่าไปนิมนต์พระมาเช่นกัน ท่านได้ฟังก็ลุกจากอาสนะลงมาข้างล่าง และพระที่พี่ชายคนกลางนิมนต์มาก็เข้านั่งประจำที่

    แต่แล้วเจ้าภาพทั้งสองคน ก็ตกลงจัดที่เพิ่มและนิมนต์หลวงปู่ขึ้นไปใหม่

    ต่อมาพอพี่ชายคนโตมาถึงก็เอ็ดใหญ่ ไม่ยอมฟังคำชี้แจงของน้องทั้งสองคน เขาเล่าว่า ไม่เห็นท่านแสดงอาการอย่างไร ท่านก็ลุกจากอาสนะอีกครั้งหนึ่ง แล้วเดินผ่านมาทางซ้ายสุด เพราะมีผู้คนมามากแล้ว

    คราวนี้ท่านไม่หยุดดังคราวก่อน ได้เดินผ่านประตูทางออกไปเลย

    ตอนหลังเจ้าภาพตกลงกันได้ จึงวิ่งไปนิมนต์ท่านกลับมาใหม่ หลวงปู่ก็เลยกลับมานั่งยังอาสนะเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    วัววิ่งชนหลวงปู่

    หลวงปู่ได้รับนิมนต์จากชาวบ้าน จ.เพชรบุรี พร้อมด้วยอาจารย์เหล็ง พอถึงหน้าบ้านท่านก็ร้องบอกให้เจ้าภาพของวัวผูกวัว เจ้าของบ้านออกมายืนนอกชาน ร้องนิมนต์ให้เข้ามาเถิดไม่เป็นไรหรอก ท่านก็เดินเข้าบ้าน

    เจ้าวัวไม่ยอมรับรู้ วิ่งก้มหัวเข้าใส่ทันที พอมันเข้ามาใกล้ท่าน อาจารย์เหล็งเห็นดังนั้นคิดอุทิศชีวิตถวายหลวงปู่ ถลันขึ้นไปเสมอกับท่านไม่ทันล้ำไปข้างหน้า ทันใดขาทั้ง ๔ ของเจ้าวัวตัวนั้นเหมือนถูกตรึงอยู่ห่างจากหลวงปู่ประมาณ ๒ วา เจ้าของวัวจึงได้นำวัวมไปผูก เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ชาวเมืองเพชรบุรีเล่าลือกันทั่วไป

    แชะ แชะ

    อีกคราวหนึ่งมีนายทหารถือปืนเข้าวัดมาเพื่อจะยิงนก เข้ามาในวัดจนถึงหน้ากุฏิท่าน ท่านเลยชี้บอกนายทหารคนนั้นว่า

    โน่นไงนก

    นกกำลังเกาะกินลูกไม้บนต้นไม้ใหญ่ใกล้กุฏิท่าน ท่านบอกให้ยิงเพียง ๒ ครั้งเท่านั้น นายทหารคนนั้นเอาปืนยิงทันที ครั้งแรกดังแชะ ไม่ออก ครั้งที่ ๒ ดังแชะอีก ไม่ออก ท่านอาจารย์เหล็งจึงบอกว่า

    ไม่ได้ อย่ายิงอีกนะ ปืนจะแตก

    นายทหารคนนั้นก็เชื่อ และไม่เข้ามาในวัด อีกเลย ส่วนอาจารย์เหล็งนั้นเมื่อติดตามหลวงปู่บุดดามาเพชรบุรีแล้ว ก็ไม่ได้กลับเข้ากรุงเทพฯ ครั้งสุดท้ายท่านอยู่วัดบุญทวี ถ้ำแกลบและมรณภาพที่วัดนี้เอง
     
  19. หยาดหมอก

    หยาดหมอก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +2,226
    กราบหลวงปู่บุดดาด้วยความเคารพยิ่ง

    ขอบพระคุณคุณNorthernwind สำหรับเรื่องราวดีๆที่หาอ่านหาฟังได้ยากยิ่งครับ [​IMG]
     
  20. Northernwind

    Northernwind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +294
    DSC_0279 copy.jpg
    DSC_0106.jpg DSC_0107.jpg
    00018.jpg
    พระพุทธเกษแก้วจุฬามณี
    เมื่อหลวงปู่บุดดาและหลวงพ่อสงฆ์ได้รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจธรรมแล้ว ต่างองค์ต่างก็แยกกันไปประกาศพระสัทธรรม ตามสำนักและหัวเมืองต่าง ๆ เป็นเวลามากกว่า ๔๐ ปี แต่เมื่อจวนเข้าพรรษาของทุกปี ท่านทั้งสองก็จะกลับมาจำพรรษาร่วมกัน ที่วัดบ้านป่าหนองคู

    ครั้นออกพรรษาก็ต่างแยกทางกันไป ซึ่งบางครั้งก็จะมาอยู่ร่วมกัน ณ ถ้ำของเขาภูคาเป็นครั้งคราว จนล่วงย่างเข้าสู่วัยชราภาพ ประมาณเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ทั้งสองท่านพบกัน ก็ได้ปรารภถึงสถานที่ที่มีบุญคุณมากที่สุดคือ ถ้ำภูคา จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่ท่านทั้งสองได้อาศัยบำเพ็ญเพียรจนบรรลุถึงอริยสัจธรรม สมควรจะได้จัดสร้างพระพุทธปฏิมากรจำลองพระพุทธลักษณะมาจากพระเกศแก้วจุฬามณี ณ แดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้ตกลงให้ขนาดบ่ากว้าง ๖ วา ๒ ศอก สูง ๙ วา สร้างแบบครึ่งองค์ ประดิษฐาน ณ ยอดเขาภูคา เพื่อเป็นอนุสาวรย์ทัศนานุตริยะปูชนียสถานของพระพุทธศาสนิกชนทั่วไป และเป็นอนุสรณ์ที่ทั้งสององค์ได้พำนักอาศัยบำเพ็ญบุญบารมี จนบรรลุถึงอริยสัจธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดาเองของโลก
    ประวัติการก่อสร้างพระพุทธเกษแก้วจุฬามณี
    ปีพ.ศ. 2512 หลวงปู่สงฆ์ได้มีการประชุมสงฆ์ซึ่งเป็นสายพระปฏิบัติ โดยมีหลวงปู่บุดดา หลวงปู่เกลื่อน หลวงปู่สังวาลย์ โดยหลวงปูสงฆ์ดำริจะสร้างพระพุทธรูปเกศแก้วจุฬามณีในขณะนั้นตาของหลวงปู่ไม่สามารถมองเห็นได้ ที่หลวงปู่นิมิตเห็นว่าพระพุทธรูปเกศแก้วจุฬามณีซึ่งอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ให้มาประดิษฐานที่เขาภูคา

    เพื่อที่จะตอบแทนพระคุณให้กับสถานที่ ที่ได้บรรลุธรรม หลังจากที่การประชุมสงฆ์กันแล้ว หลวงปู่สงฆ์จึงได้มอบหมายให้หลวงปู่บุดดา และหลวงปู่สังวาลหาพระที่มีบารมี มีความสามารถที่จะสร้างพระให้สำเร็จได้ไปดำเนินการสร้าง เมื่อพิจารณาแล้วหลวงปู่สังวาลย์จึงได้เลือกพระครูพลอย ซึ่งเป็นศิษย์หลวงปู่สังวาลย์ หลวงปู่ได้ส่งพระครูพลอย แม่ชีผวน พระเงิน(ลาสิกขาแล้ว) มาสำรวจพื้นที่ที่ถ้ำเขาภูคา หลังจากสำรวจบนยอดเขาที่จะสร้างพระเกศแก้วจุฬามณีแล้ว บนยอดเขาสูงและยังอยู่ใกล้สนามบินกองบิน 4 ตาคลี จึงต้องดำเนินการขออนุญาตทางราชการทหาร ฝ่ายปกครองทางอำเภอในการก่อสร้าง การขออนุญาตแต่ละครั้งนั้นผู้ที่ติดต่อประสานงานและเป็นธุระนั้นเป็นหน้าที่ของ ผู้ใหญ่สมศักดิ์ บุตรปรารมภ์ การดำเนินการครั้งที่ 1 ไม่มีใครมีอำนาจจะอนุญาตให้สร้างพระพุทธรูปได้เลย ความตั้งใจเหมือนว่าจะสูญสลาย แต่ผู้ใหญ่ก็มิได้ละความพยายาม ที่จะสร้างพระเกศแก้วจุฬามณี จึงกลับมาปรึกษาหารือกับท่านพระครูพลอยอีกครั้งหนึ่ง และดำเนินการวาดโครงสร้างโดยให้พระครูพลอยเป็นผู้วาดภาพ เมื่อวาดเสร็จก็ได้นำกลับไปให้หลวงปู่สงฆ์ได้พิจารณาดู(ด้วยตาใน) ภาพวาดในครั้งแรก ที่พระครูวาดไปนั้นหลวงปู่ดูแล้วว่าจะไม่ตรงกับภาพนิมิตที่หลวงปู่ได้เห็น จึงต้องนำกลับมาแก้ไขใหม่เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้งจึงได้ภาพพระเกศแก้วจุฬามณีตามความประสงค์ของหลวงปู่สงฆ์
    ส่วนในการสร้างพระพุทธรูปนั้นจะต้องหันพระพักตร์ไปด้านทิศตะวันออกเสมอ แต่หลวงปู่สงฆ์ได้พิจารณาทั้งสถานที่ที่อยู่บนยอดเขาภูคาอย่างชัดเจนแล้วว่า สมควรที่จะให้หันพระพักตร์ไปทางทิศใต้เพื่อที่จะให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชาได้ทุกสารทิศ แม้นว่าความสูงจะกีดขวางทางการบิน ก็ยังให้ทุกคนที่อยู่บนเครื่องบินนั้นได้กราบไหว้ หลวงปู่สงฆ์ได้มอบหมายให้พระครูพลอย พระเงิน แม่ชีผวน ผู้ใหญ่สมศักดิ์ โดยมีคำบัญชาเหมือนกับการให้พรให้กำลังใจ กับคณะผู้สร้างว่า "โยม ต้องเป็นเหล็กกล้า เป็นหินชา ไม่หวั่นไหวกับปัญหาหรืออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น) หลังจากที่หลวงปู่ให้พรแล้วแล้ว ผู้ใหญ่สมศักดิ์กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "ถ้าสร้างพระเกศแก้วมณีแล้ว เมื่อไหร่จะสำเร็จครับ" หลวงปู่ตอบว่า "7 วัน 7 เดือน 7 ปี ก็ต้องแล้วเสร็จ"
    เมื่อได้รับคำบัญชาหรือคำให้พรจากหลวงปู่แล้ว คณะได้กลับมาดำเนินการปรับพื้นที่บนยอกดเขาภูคาโดยไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ แม้ทั้งๆที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ก่อสร้างพระเกศแก้วจุฬามณีเลย เมื่อปรับพื้นที่บนยอดเขาแล้วคณะก็ได้กลับไปกลับเรียนรายงานกับหลวงปู่ ครั้งนี้ได้รับปัจจัยบริจาคเป็นครั้งแรกเพื่อทำการก่อสร้างพระเกศแก้วจุฬามณี เป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท จากอุบสิกา หม่อมหลวงเพ็ญศรี (ไม่ทราบนามสกุล) โดยโอนเข้าบัญชีธนาคารออมสิน สาขาตาคลี เมื่อได้ปัจจัยในการบริจาคจากหม่อมหลวงเพ็ญศรี ทางวัดจึงได้นำไปซื้อเหล็กเส้นที่ร้านกิจไพศาลในตลาด อำเภอตาคลี แต่ไม่มีถนนที่จะขนวัสดุอุปกรณ์มายังวัดเขาภูคาได้เลย (เพราะนั้นสมันนั้น มีแต่ทางเกวียน ถ้าวัดระยะทางจากตลาดตาคลี มายังวัดเขาภูคาก็ประมาณ 22 กิโลเมตร) ทางคณะผู้ดำเนินการก่อสร้างจึงได้ประชุมกันกับชาวบ้านเพื่อรวบรวมเกวียน วัว ควาย ม้า และคน เพื่อที่จะไปช่วยกันขนวัสดุอุปกรณ์จากตลาดตาคลีมาวัดเขาภูคา
    จากการที่คณะผู้ก่อสร้างได้เจอปัญหาใหญ่หลวงนัก จึงได้เดินทางกลับมาที่วัดอาวุธดุสิตดาราราม ที่กรุงเทพมหานครที่หลวงปู่อยู่เพื่อถวายรายงานอีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่บัญชาว่า "โยมกลับไปครั้งนี้ทางก็จะมาแล้ว ไม่ต้องให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อนหรอก" หลังจากคำบัญชาของหลวงปู่เพียง 2 วัน ความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ทางกองบิน 4 ได้นำรถเกรดเตอร์ทำถนนเข้าวัดเขาภูคาเพื่อที่จะส่งทหารลาดตะเวนมาประจำการที่เขาภูคา (ยุคนั้นเป็นคอมมิวนิสต์แทรกซึม) เพื่อดูแลความสงบของชาวบ้าน
    ปัจจัย 20,000 บาท ที่ทางวัดได้รับจากอุบาสิกาหม่อมเพ็ญศรีนั้นถือว่าเป็นมหากุศลอีกทั้งยังได้รับความศรัทธาจากทางหน่วยงานราชการมาร่วมใจกันสร้างพระเกศแก้วจุฬามณี โดยที่พระครูพลอยนั้นได้ทำหนังสือขอความร่วมมือส่งไปยังผู้การกองบิน 4 เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการขอกำลังพล ยานพาหนะ อุปกรณ์เครื่องปั่นไฟฯลฯ เพื่อก่อสร้างพระเกศแก้วจุฬามณี ทุกอย่างนี้ได้รับความอนุเคราะห์เป็นอย่างดีจากทางกองบิน 4 ตลอดจนแล้วเสร็จ
     

แชร์หน้านี้

Loading...