หลังการพิจารณาธรรมหรือวิปัสสนา ไม่ทราบว่าท่านพิจารณากันยังงัยค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อาวัณ, 12 ตุลาคม 2016.

  1. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +3,152
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านครับ

    คนวัยนี้คงไม่ต้องเน้นเรื่องความตายให้มากมาย เพราะใจมันคอยพะวงอยู่แล้ว พอมีสุขมีความสนุกเพลิดเพลิน แปปๆก็จะมาคิดอีก ด้วยอายุ ด้วยสังขาร ด้วยสุขภาพ ความคิดจึงวนอยู่กับเรื่องความตายอยู่เสมอ

    นี่เอง เมื่อมีความตายรออยู่ตรงหน้า จึงเป็นทุกข์ จึงมีความกังวลใจ เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วจะยังมีภพอยู่อีกไหม เราจะยังได้ไปเกิดอีกหรือเปล่า ถ้ามีภพอื่นอีกจริง เราจะไปเกิดเป็นอะไร ยิ่งคนที่ไม่ค่อยทำบุญกุศลใจยิ่งเป็นทุกข์

    และยังมีความทุกข์จากปัจจุบัน คือเรื่องของสังขาร เรื่องของสุขภาพ เคยทำได้แต่กลับทำไม่ได้ เคยมีแต่กลับไม่มี

    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนเป็นทุกข์

    ทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนไปตามกฎของธรรมชาติของตน ตามเหตุและผลของตน
    เพราะมีสิ่งนี้ มันจึงเป็นอย่างนั้น เพราะมีสิ่งนั้น มันจึงเป็นอย่างนี้

    ทำความดีก็ไปรับผลบุญ ทำความชั่วก็ไปรับผลบาป
    น้ำเป็นน้ำแข็งเพราะอุณภูมิต่ำ น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำเพราะอุณภูมิสูง

    เห็นไหม ทุกสิ่งล้วนมีกฎธรรมชาติของตัวเอง ที่ไม่มีใครสามารถไปแก้ไข หรือดัดแปลงอะไรได้เลย

    แค่เราอยู่กับความจริง ยอมรับความจริง โดยมีกำลังของสติและสมาธิ เพื่อที่จะรู้และยอมรับความจริง

    ที่ผู้รู้ทั้งหลายแนะนำไว้ก็ดีอยู่แล้วครับ. ข้าพเจ้าแค่เข้ามาโม้เฉยๆครับ

    ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขออนุโมทนา
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก้คงจะโม้ นั่นแหละ

    ยังติดคิด ติดสังขาร ดีไม่ดี ผลิกไปจิตเที่ยง
    เพราะคบ เพื่อนชัว

    อนิจจัง จึง เหนทุกข์ อันนี้ถูกตามปัจจัยการ

    แต่อนัตตา ไปเหนว่าทุกข์ ก้แบเบอร์ เหนจิตเที่ยง

    ทุกข์ เหนจากอนิจจัง ก้ต้องเหนอนัตตา

    พอละอัสมิมานะ ทุกข์มันหาที่ตั้งไม่ได้ ถึงจะเปน ญาณ จากการปฏิบัติ

    ละสมุทัยแล้ว ต้องเหน นิโรธนแล้ว

    ไม่ใข่อนัตตา แล้ว ย้อนไปทุกข์

    อนัตตา แล้ว สำคัญว่าทุกข์ มันมี
    เหตุเดียว คือ ยึดถือจิตเที่ยง ซึ่งแปล
    ว่า ขาดสติ ขาดสัมปชัญญะ ภาวนาไม่เปน
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ในพระสูตร สิ่งใดคือกัลยาณมิตร มิตรที่แท้ ไม่
    เทียม ไม่เล่าเหนโน้น เหนนี่ จนจิคเราเสีย เหนว่าเที่ยง

    กัลยาณมิตร ของพระองค์ คือ มรรค8

    เพราะปฏิบัติมรรค8 ได้ลำพังด้วยตน ถึงจะ
    กั้นเพือ่นชัว สอนมัว เล่ามัว ออกไปได้

    จึงจะช่วยให้ได้คบแต่บัณฑิต

    ถ้ามรรคไม่มี เพื่อนที่คบ ก้ ชัวหมดไม่เหลือ
     
  4. Silverwind

    Silverwind สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +20
    น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง ในอุณหภูมิต่ำ
    มีการหน่วงเกินพอดี เคลื่อนไม่ได้

    น้ำคงสภาพความเป็นน้ำ ในอุณหภูมิที่... ?!
    มีการหน่วงพอดี เคลื่อนไปมาร่วมกัน

    น้ำกลายเป็นไอเดือด ในอุณหภูมิสูง
    มีการหน่วงกันไม่ได้ เคลื่อนไปมาร่วมกันไม่ได้

    พุทธภาวะ อาศัยทางสายกลางในเดินจิต
    พ้นจากภาวะมีอะไร.. ไปเป็นไม่มีอะไร..
     
  5. somkiatfem

    somkiatfem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2016
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +195
    อยากจะขอ ตรง ......ช่วยใส่หน่อย ผมไม่มีเจโต ครับ พูดตรงๆนะ เจตนาตามนั้นครับ ไม่ว่ากันนะ
     
  6. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106
    ผมจะลองอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆขึ้นนะครับ
    ท่านให้พิจารณาธรรมตามความเป็นจริงนั้นหมายถึง ธรรมที่มีอยู่แล้ว หรือ สภาวะธรรมที่ปรากฏให้รู้ได้อยู่ณขณะนี้ และ มันก็เป็นจริงของมันอยู่แล้วโดยความเป็นธรรมของเค้า (แต่มันไม่พูด มันแค่แสดงให้เห็นเฉยๆ) แต่สิ่งที่มันไม่จริงหรือบดบังความจริง คือ ความอยาก ความต้องการลึกๆของเรา ที่อยากได้สภาวะที่ดียิ่งๆขึ้นไป โดยมีความคิดอยากแก้ไขสภาวะธรรมนั้นๆ มีความรู้สึกชอบใจบ้าง และ ไม่ชอบใจบ้าง เพราะความอยากเหล่านั้นมันไม่ยอมรับความจริงของธรรมที่ปรากฏ มันจึงเกิดความยึดมั่นว่า เป็นเรา เราที่ชอบสภาวะธรรมอย่างนี้ เราไม่อยากได้สภาวะทำอย่างนี้ นี้ล้วนเป็นความยึดมั่น ถือมั่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ธรรมแท้จริงถูกปิดบังด้วยความไม่รู้อยู่เช่นนี้ แต่เมื่อหมดความดิ้นรนแสวงหา ไม่คิดที่จะทำอะไร นอกจากรู้สิ่งปรากฏเฉยๆ ธรรมก็ปรากฏให้เห็นเป็นสภาวะให้รู้ เมื่อรู้อยู่เช่นนี้ก็จะเห็นธรรม ธรรมที่แสดงให้เห็นโดยไม่มีคำพูดใดๆ และถ้าเห็นได้แล้ว ก็ควรทำให้เป็นนิสัยใหม่ขึ้นมา คือ หลง แล้ว รู้ให้ทัน (อันนี้ก็ต้องอาศัยการเจริญสติ) จนสามารถรู้อย่างเป็นกลางได้บ่อยๆ เป็นรอบๆ ธรรมเป็นธรรมชาติที่ไม่เคยพูด ที่พูดนั้นไม่จริง หลงนานเท่าไหรก็ทุกข์นานเท่านั้น จงเป็นผู้เห็นโทษของความหลงเพลิน และเป็นผู้ไม่เพลินอยู่ จึงจะพบความหลุดพ้นครับ
     
  7. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    อนุโมทนาด้วยคับคุณน้า...ภาพใหญ่มีสามอย่าง โลภ โกรธ หลง ภาพกลางคือมองเห็นลักษณะอาการของสิ่งนั้นภาพละเอียดคือรู้การไปการมาของสิ่งต่างๆเหล่านั้น...ไม่มีภาพคือไม่จำเป็นอีกต่อไปที่ต้องรู้...ทั้งหมดเริ่มจากการปรักแก้ที่ใจของเราเองเริ่มจากการมี ทาน. ศีล ภาวนา จากนั้นจึงพัฒนาเป็น ศีล สมาธิ เพื่อสร้างสติเพื่อมองเห็นสิ่งที่กล่าวข้างต้นจากนั้นจะเข้าใจปละแก้ไขสิ่งที่ผ่านมาได้และการแก้ไขไม่ใช่การชดเชยคือแก้ไขเพื่อไม่มีไม่เกิดแต่สิ่งที่เป็นกรรมอันเกิดก่อนหน้าแก้อะไรไม่ได้ทำได้เพียงรัยรู้และยอมรับต่างแต่การมีสิ่งที่กล่าวในตอนกลางอยู่ผลมันอาจทอนลงบ้างขึ้นอยู่กับกรณีแต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมคับคุณน้า...ขอให้เจริญธรรมตามสมควรคับ...อนุโมทนาสาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...