เรื่องเด่น อานาปานะ (สติ) แบบพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย มาจากดิน, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก่อนจะ ฟังธรรม

    ให้ พิจารณา ปัญหาเดิม ที่รำงับไปแล้ว ก่อน

    รำงับลงไปด้วยอุบายใด ก้รู้ซือๆ ไปตามนั้น

    บางวัน นั่งแล้วปวด แต่เพราะไม่ไปใส่ใจ
    ยังไม่ทันแก้ด้วยอุบายใดเลย ความปวด
    มันก้พ้นความเปนปัญหา ไปแล้ว แม้นนี้
    ก้ให้ยกเหน เปน อุบายด้วย

    ทำ ทำไม

    เพราะ เวลามาฟังธรรม มันต้องใช้ประกอบ
    การพิจารณา เพื่อโยนิโสมนสิการ หามุม
    หรือ อุบายในการฝึกเพื่อเข้าไปพิสูจน์

    จะต่างกับ ปฏิบัติแล้ว หาบัญญัติไปเทียบ
    แล้วยกตนว่ารู้


    จิตส่งออก จะเปน สามัญลักษณะของจิต

    หลวงปู่ดูลย์จึงบอกว่า จิตมีธรรมชาติส่งออกนอก

    การให้พิจารณาที่ รู้(จิตส่งออก) จึงเปนมรรค

    การเข้าไปแจ้ง ประจักษ์ด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่
    คิดเปรียบเทียบ ผลจะทำใหเกิดไตรลักษณ์
    ญาณค่อยๆ สัมปยุติ เกิดร่วมกับจิตที่ส่งออกนอก

    จิตส่งออกที่มีญาณสัมปยุติ จะทำใหเกิด ญานทัสนะสิสุทธิ

    เอาญานทัสนวิสุทธิที่จิตส่งออกไปรู้มา
    กำหนดรู้ความเกิดดับอีก

    จิตจะมีโคจร และ วัตร เปนธรรมวินัย
    ที่เรียกว่า ม้าเจ็ดพลัด

    อาสัยอาการ ม้าเจ็ดพลัด แสดงไตรลักษณ์อีก
    เพื่อ อนุปาทิเสสนิพพาน

    จิตส่งออกเท่าไหร่ก้ไม่อาจรู้ แต่ก้ต้องอาสัยจิตส่งออก

    หรือ

    คิดเท่าไหร่ก้ไม่รู้ แต่ต้องอาสัยคิด


    ตัวภาษา อาสัยขันธ์ห้าในการปรากฏ จึงพร่องเปนนิจ

    แต่ผู้มีความเพียร ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป
    ย่อม ฮี้กอปๆ เจ็ดพลัด ขี่ม้าส่งเมืองถึง ยัง
    นิพพานอันปราศจากขันธ์5 ไม่มีอะไรเลย
    ไม่เหลืออะไรสักอย่าง พบจิตให้ทำลายจิต
    พบพระ......ให้ฆ่าทิ้งเสีย ถึงจะถึงความบริสุทธิ
    อย่างแท้จริง ถ้ายังมีแก้ว พกผ้าขาวไปด้วย!
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อีกนัยหนึ่ง

    เวลานั่งปฏิบัติ ก้ ปวดทุกที แต่ถ้าใส่ใจรู้ลงใน
    กายในใจสม่ำเสมอ จะเหนจิตที่ไหลไปทางอื่น
    มันทำให้ ไม่เหนตามความเปนจริงว่า กายมัน
    ปวดเสมอ ผิวหนังแตก มันก้ยุบยิบ ถ้าชินที่จะเกา
    ก้หลงลืมการเหนสัจจธรรม

    แต่ถ้าไปเฝ้าพิจารณามัน แม้นแค่ผิวหนังมันแตก
    ธรรมดาๆ เวทนาบางเหล่า ก้รวมเหล่าขยาย
    เวทนาจนกระทั่งปวดหัวใจ เที่ยวถามทำไมเกิด
    มาผิวแตกอย่างนี้ขนาดนี้ ปวดไปทั่วกาย แขน
    ขา ไส้ พุง ....

    จิต มีธรรมชาติเกิด พร้อม เวทนา เหมือน
    จับไม้กระดานสองแผ่นมาพิงกัน จะขาดสิ่ง
    หนึ่ง ความตั้งอยู่ของจิตก้ไพบูลย์ขึ้นไม่ได้

    จิตที่หยั่งลงกายเนื้อ จะไม่เกิดร่วมกับเวทนา
    แล้ว กายนี้ก้แตกสลายเปนซากศพ ทันที

    ฟังแบบนี้แล้ว ก้อย่าเหนว่า อุบายออกจากทุกข์
    ไม่มี

    ก้ เวทนานั่นแหละไม่เที่ยง

    กำหนดรู้เหนความไม่เที่ยงในเวทนา จิตก้
    ปักหยั่งลงสู่สิ่งใดไม่ได้อีก เพราะหมดปัจจัย

    ไฟดับแล้ว จะบอกว่า ไม่มีไฟก้คงไม่ใช่
    แต่จะบอกว่า ไฟนั้นมีความตั้งอยู่ที่นั้นที่นี้
    ย่อม เม้มปาก แล้วนั่งลง
     
  3. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :):( ทุกข์เกิดขึ้นโดดๆ..ไม่ได้เปรียบเสมือนไม้2แผ่นพิงกันจริง(จิต พิง เวทนา-อารมณ์)..การนั่งสมาธิเมื่อ จิต แน่วแน่จับที่กาย..สติไม่ลืมหลง เวทนา-สัญญา-สังขาร ใดเล่าจะเข้ามาดึง-มาสัมผัส จิตได้ เพราะจิต ปักลงที่กายแต่ถ่ายเดียวเสียแล้ว..
    :mad::p ตรงนี้แหละ ตามสภาวะจิต ในสมาธิ ให้ทัน จะดูเกิด-ดับ ให้เห็นตามวงจรปฏิจจะสมุปบาท หรือจะเตลิดเปิดเปิงเป็นผู้วิเศษล่ะ อิอิ
     
  4. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    ถ้ายังไม่เห็น เกิด-ดับ..ของจิต ก็ถอนออกแล้วพิจราณาธรรมไป เข้าสติปัฎฐานสี่ กาย-เวทนา-จิต-ธรรม ตามอินทรีย์พละ ที่จะพิจราราธรรมอันใดได้ตามกำลัง- ทรงให้ได้ไปเรื่อยๆในชีวิตประจำวันไง มันยาก..หากยังต้องทำงาน-การ ทางโลกอยู่ ยาก.. จริงๆนะ
     
  5. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    ผมต้องถามคุณนิวรณ์ก่อนว่า ประโยคข้างต้น ได้พาดพิงถึงผมหรือไม่ครับ?
    เพราะสำนวนการพิมพ์ คล้ายกับเมื่อคืนที่คุณทำท่ามาสอนผมอะไรสักอย่างก่อนเข้านอน ?
    และมีการพาดพิงถึงว่า"ก่อนฟังธรรม" ด้วย
    ผมก็ต้องของถามก่อนตามมารทยาทนะครับ ^^
     
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ปกติ ธรรมแตก หรือ แตกธรรม ก็มีให้เห็นกันโดยทั่วๆไปอยู่แล้วครับ

    ขอยกตัวอย่าง จาก หลวงปู่หลวงตาทั้งหลาย ที่ แต่งบทความ แต่งตำรา แต่งหนังสือขึ้นมา เพื่อ อวดตัวขยายความ ขยายธรรมของพระศาสดาที่แสดงมีเอาไว้แล้ว...นี่ขนาดมีศีลกำกับดูแล กาย วาจา ใจ ตั้ง 227 ข้อ..เชียวนะ

    แต่กระนั้นศีล ทั้ง 227 ข้อ ก็เอา ไม่อยู่..สุดท้าย หลวงปู่หลวงตา ก็ต้อง...ธรรมแตก แบบ กลั้นเอาไว้ไม่อยู่...แบบว่า ขยายธรรม แตกธรรม แจกแจงธรรม ออกมาจนได้

    แต่..ผมว่า ธรรมแตก หรือแตกธรรม เหล่านี้ แบบนี้ เป็นเรื่องปกติธรรม ที่ ต้องเกิดครับ

    ที่น่าเป็นห่วง กลับเป็นเหล่าที่ หากินกับธรรม หรือ เอาธรรมาหากิน โดย มีเจตนา อวดอ้าง ยกย่อง เอาหลวงปู่หลวงตาเหล่านั้น มายกย่อง เชิดชู ..ทั้งที่ พระธรรมต่างๆ ก็พระศาสดาท่านได้ แสดงมีเอาไว้อยู่แล้ว ในพระธรรม พระไตร...

    ทำไม ? ต้อง ไป ยกย่องเชิดชู ธรรมของ หลวงปู่หลวงตาเหล่านั้น จนเกินไปด้วยล่ะ...ตกลง ธรรมที่พระพุทธเจ้าท่าน แสดงไว้แล้วนั้น..สู้หลวงปู่หลวงตา ของท่านไม่ได้เหรอ หรือ ไม่ครอบคลุมเท่าหลวงปู่หลวงตาของพวกท่าน

    อิอิ ขำน่ะ
     
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    โลกร้าย โลกร้อน...สมนาน่าใครดี เนาะ อิอิ
     
  8. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    ธรรมแตก แตกธรรม ธรรมแหลก ถังแตก อิอิ
    อย่างที่ท่านวรณิ เล่าอาการในอดีตทั้งหลายมาให้ฟังเป็นวิทยาทานนี่ กระผมมองว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่องนะครับ

    ถึงจะธรรมแตก ถังแตก อะไรจริงๆก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะเป็นบทเรียนที่ดี สมมุติว่าวันหนึ่งท่านวรณิ เกิดปุ๊ปปั๊ปสำเร็จอะไรชั้นสูงขึ้นมา สิ่งที่ท่านเคยมีประสบการณ์จะเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับการชี้ทางให้คนอื่นมากๆ เพราะท่านเคยรับรู้ความผิดพลาดมาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรตำหนินักภาวนาแต่อย่างใด

    ส่วนเรื่องแตกธรรมนี่กระผมเห็นด้วยครึ่ง ไม่เห็นด้วยครึ่งนะครับ ถ้าเอามาหากิน เพื่อลาภสักการะ อันนี้คือมหาโจรแน่นอน แต่ถ้าไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ควรที่จะยกย่องเชิดชูอาจารย์เอาไว้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหน่า ท่านวรณิยังยกย่องอาจารย์ของท่านวรณิที่เจียงใหม่เลย ที่ชี้ทางออกให้แก่ท่านได้

    โดยเราต้องยอมรับความจริงในข้อหนึ่งว่าปัญญาของสัตว์โลกมีไม่เท่ากัน ผมยกตัวอย่างเคสของกระผมเองนี่แหละ

    สมัยก่อนอะนะ เข้าไปในพันกระติ๊ป เจอผู้โพสยกเอาพระสูตรของพระพุทธเจ้ามาให้อ่านหน่อย ถึงแม้จะเป็นบทที่ดูอ่านแล้วเข้าใจง่าย กระผมในตอนนั้นบอกตรงๆว่ายังมึนตึ้บเลยขอรับ บางทีเจอใครยกพระสูตรมา ผมอ่านข้ามไปเลยก็มี(และมีนักศึกษาหลายท่านเป็นแบบผมในตอนนั้น เพราะมีบางท่านบ่นออกมาว่าช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายๆหน่อย "อ่านพระสูตรไม่รู้เรื่อง") ก็ตลกดีที่มานึกย้อนดูทำไมปัญญาเราในตอนนั้นมันถึงได้โง้ โง่ ได้ขนาดนั้น แต่กลับกันเลยนะครับเวลาเอาธรรมมะของพระทั่วไปมาอ่าน กลับอ่านแล้วเข้าใจได้มากกว่า จึงสนใจที่จะอ่านตรงนั้นมากกว่า(ในช่วงนั้น)

    เมื่ออนุมานโดยยกเคสตัวผมเองเป็นตัวอย่าง จึงต้องบอกว่าผมเองไม่สามารถปฏิเสธความสามารถแบบ"ปฏิสัมภิทาญาณ" จึงมานั่งคิดดูว่าเมื่อเป็น ศิษย์โง๋ๆๆๆๆ ศิษย์ปึก ได้ขนาดนั้น ทุกวันนี้ที่พอจะมีความฉลาดขึ้นมาได้บ้างนิดหน่อย ก็เพราะความที่ตนไม่"ปฏิเสธธรรม" "ไม่เลือกธรรม" นี่แหละ ถึงพอจะลืมตาอ้าปากได้แบบคนอื่นๆเขาบ้าง
    (ตอนสำนักพุทธวจน โปรโมทว่าอย่าฟังคำคนอื่น ก็เคยเกือบเคลิ้มๆตามไปอยู่เหมือนกัน แต่นั่งนึกถึงตัวเอง จึงถึงบางอ้อ และดึงสติกลับมา)

    อนึ่ง การสนทธรรมในเว็บบอร์ด นอกเหนือจากความฟุ้งซ่านแล้วไซร์ ก็ได้ความรู้จาก ปฏิสัมภิทา ของนักปฏิบัติแต่ละท่านในบอร์ดนี่แหละ มาเป็นอาหารสมองเพิ่ม

    ถ้าจะเลือกเฟ้นฟังแต่ธรรมของพระพุทธเจ้าแค่องค์เดียว ซื้อพระไตรปิฏก ติดไว้ที่บ้าน และเปิดอ่านแค่นั้นก็น่าจะพอครับ
    อิอิ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2017
  9. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    สมมุติมีเด็กชายคนหนึ่ง ถูกปลูกฝังมาแล้วหละว่า "อย่าไปฟังคำสาวก" เด็กชายคนนั้นก็ได้ขอตังค์ค่าขนมจากคุณพ่อ ไปซื้อพระไตรปิฏกมาติดบ้านไว้ครบทุกเล่ม (จะเอา 44 เล่ม หรือ 32 เล่มดีหละ?)

    เมื่อได้หนังสือมาแล้ว เด็กชายก็เปิดอ่านไปๆ อยู่มาวันหนึ่ง ไปเจอคำว่า "อัปปนา" ในปิฏกเข้า ด้วยความ"งงเต๊ก" เด็กชายได้ร้องอุทานออกมาว่า "มันแปลว่าอัลไล??" เด็กชายจึงถือปิฏกเล่มนั้นไปถามชายใส่ชุดขาวคนหนึ่ง ชายใส่ชุดขาวก็ได้อธิบายความโดยสังเขป ของคำว่า "อัปปนา" ให้เด็กชายคนนั้นได้เข้าใจ คลายสงสัย
    แต่มีชายขี้เมาคนหนึ่ง ได้ยินคำสนทนาของเด็กชาย กับชายใส่ชุดขาวมาโดยตลอด สิ้นเสียงคำขอบคุณของเด็กชายที่มีต่อชายใส่ชุดขาว ชายขี้เมาจึงได้โวยวายขึ้นมาว่า.......

    "นั่นมันคำสาวก มีทิฐิสอดแทรก เป็นคำแต่งใหม่ เอ็งอย่าไปฟัง เอ็งฟังแล้วจะไม่เข้าใจ เป็นคำเยิ่นเย้อ"

    เด็กชาย เมื่อได้ยินชายขี้เมาพูดดังนั้นจึงฉุกคิดได้ว่า.... "เออจริงด้วย นี่มันคำสาวกนี่น่า เราไม่ควรฟัง"

    เด็กชายคนนั้นจึงลาจากชายชุดขาว รีบบึ่งกลับบ้าน และก็อ่านปิฏก ในหมวดอัปนา ต่อไปโดยไม่ได้มีอาการติดขัดกับคำว่า" อัปปนา" อีกต่อไป (ด้วยความเข้าใจต่อคำว่าอัปนาที่มีมากขึ้นจากชายชุดขาว)

    ชายชุดขาว ได้แต่พูดว่า แบ๊ะๆ......................................................


    นิทานเรื่องนี้เอาไว้อ่านแก้เครียดๆ นะครับ ^^
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    คุณ สิดโง่...คุณพูดแตกออกไป คนละประเด็นกับที่ผมพูดละ
    ผมไม่ได้พูดเรื่อง...คำสาวก
    แต่ผมพูดถึง ลูกสิดของสาวก ที่พากันยกย่อง เชิดชู คำสอนของอาจารย์ตน เกินไป ทั้งที่ สิ่งที่เอามายกย่องเชิดชูนั้น พระสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงเอาไว้ ก็มีครบถ้วน สมบูรณ์แล้ว..ต่างหากล่ะ

    อีกเริ่อง ของคำภาษาสันสกฤต ที่มาพิมพ์เป็นฉบับภาษาไทย..เพื่อคนไทย
    ความจริง มันควรจะมีคำแปล ของภาษาไทย เอาไว้เทียบเคียงกำกับเอาไว้ด้วยตาม ธรรมเนียม ที่ต้องอ้างอิงประกอบ ในหนังสือสิ...ถ้าไม่มี ก็ต่องกล่าวโทษ คนที่จัดทำสิ ว่า ชาดตกบกพร่องไป

    อิอิ
     
  11. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    บำเพ็ญ ทำ, ทำด้วยความตั้งใจ, ปฏิบัติ, ทำให้เต็ม, ทำให้มีขึ้น, ทำให้สำเร็จผล (ใช้แก่สิ่งที่ดีงามเป็นบุญกุศล)
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    จิตที่ส่งออกนอก...เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก....เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง.. เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง...เป็นนิโรธ
    ......
    จิตที่ส่งออกนอก....เป็นทุกข์ และ ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์

    มันก็ยังมี อีกมุมที่ว่า...จิตไม่ส่งออกนอก แต่จิต กลับอุปทานยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ในขันธ์ของตนเอง...หลงตนเอง...แบบนี้ก็เป็นทุกข์เหมือนกันนะครับ
    .......
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง....เป็นมรรค
    ....
    อีกมุมหนึ่ง ..จิตเห็นความจริงของ กาย เวทนา ผัสสะของ อายตนะ ก็เป็น มรรคเหมือนกันนะครับ ไม่ไช่แค่จิตเห็นจิตแล้วเป็นมรรคได้ อย่างเดียว
    .....
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง ...เป็นนิโรธ
    ...
    มีอีกคำ ที่ว่า...รูป จิต เจตสิก นิพพาน.....มีคำว่ารูป ว่าธาตุ ซึ่ง กองขันธ์ทั้งห้าเอง...ก็ไม่ได้แปลว่า หมายถึง จิตเท่านั้น...นะครับ

    ....
    ผมไม่อยาก จะ เซด สักเท่าไหร่..อิอิ
     
  13. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/10/Y9785609/Y9785609.html

    ลิงค์ด้านบน คือ จขกท. ตอบคำถามเป็นข้อๆ 6 ข้อ


    1. ที่คุณบอกว่า ฝึกสมาธินั้น คุณฝึกอย่างไร ฝึกด้วยวิธีไหน อาจารย์สอนคุณอย่างไร แล้วคุณทำไปอย่างไร ครับ

    ฝึกแบบอานาปานสติ ตามลมหายใจ สูดลมหายใจยาวรู้ว่ายาว สั้นรู้ว่าสั้น ปกติรู้ว่าปกติ จนลมหายใจละเอียด แล้วหยุดจับที่ปลายจมูกเหมือนเป็นด่านเฝ้าดูลมหายใจเข้าและออก เขาสอนอีกเยอะแต่จำได้แค่นี้ ก็ทำตามนี้แหล่ะค่ะ
    แต่พอเจออะไรมากกว่านี้เลยไปไม่เป็น ....ขอไม่บอกชื่อผู้สอนค่ะ

    2. เล่าอาการที่คุณพบ ให้ละเอียดขึ้นหน่อย

    ประมาณวันที่สี่เริ่มลูกตาหมุนติ้ว อดทนนั่งจนหายไป วันต่อมาเหมือนมีคนจับหน้าตาเราบิดเบี้ยว เป็นแม้แต่ตอนออกจากสมาธิแล้ว ก็อดทนนั่งจนหายไป มีเห็นแสงสี ต่อมาเริ่มหูแว่วเหมือนคุยกับคนอื่นทางจิตได้
    กลับบ้านก็ตาฝาด เห็นธงวัด ธงชาติปักสลับบอกว่าต่อไปเราจะไปสร้างวัดตรงนี้


    3. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยมีอาการทางจิตมาก่อนหรือเปล่า

    ไม่เคย

    4. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยมีความทุกข์ใจมาก กลัดกลุ้มมากๆ จนอยากหาทางออก มีปัญหาในชีวิตมากๆ อะไรอย่างนี้บ้างหรือเปล่าครับ ถึงได้หาหนทางออกด้วยการมาฝึกสมาธิเพื่อให้พ้นจากความกลัดกลุ้มมากๆเหล่านั้น

    มีใครบ้างไม่เคยมีปัญหาชีวิต จำได้ว่ากลุ้มมากสุดเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว หายแล้ว อภัยไปหมดแล้ว
    ดิฉันไม่ได้หาทางออกให้ชีวิตโดยการไปนั่งสมาธิ แต่ชอบตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งที่มหาลัย
    เคยบวชธรรมทายาทที่วัดธรรมกายตอนเป็นนักศึกษา แต่เดินออกมาเพราะไม่เชื่อคำสอนหลายอย่าง
    แต่ก็ชอบนั่งสมาธิ แต่งานยุ่งก็ไม่ได้นั่งอีก จนมาเริ่มอีกทีไม่นานนัก ตอนไปคราวนั้นเป็นครั้งที่สาม ไม่ได้กลุ้มอะไรแล้วไป แค่เคยชอบ อยากทำอีก เพราะมันสงบ เย็น เบาสบาย

    5. ก่อนการฝึกสิ่งที่คุณเรียกว่าฝึกสมาธินี้ คุณเคยไปเข้าตามสำนักทรงเจ้าเข้าทรง อะไรพวกนี้มาก่อนหรือเปล่า

    ดิฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เอาเลย จริงๆค่ะ

    6. ใครแนะนำคุณไปฝึกสมาธิตามที่บอกข้างต้น เขาเป็นใคร มีพื้นเพ ความเชื่ออย่างไรครับ

    ไปเอง เพราะศรัทธา ดิฉันเชื่อยากแต่พร้อมที่จะทดสอบจนเห็นเอง

    ดิฉันไม่ได้ขาดสติ และรู้ตัวเกือบตลอดเวลา (แต่มีบางครั้งที่ทำอะไรไม่รู้ตัวเลยแค่ช่วงเสี้ยวนาที) เพียงแต่สิ่งที่เห็นกับตา ได้ยินกับหู ทำให้ดิฉันเชื่อว่าจริง เพราะไม่เคยรู้ ว่าอาการหลงจากสมาธิทำให้เกิดได้ (อย่างนี้ คุณเรียกว่าขาดสติไหม ดิฉันคิดว่ามันเป็นการขาดความรู้มากกว่า แบบนี้ เขาเรียกอวิชชาทำให้บ้าได้ใช่ไหม)
     
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ซึ่งผมว่า ....มันก็ไม่เห็น จะ ครอบคลุม..ในอริยะสัจสี่ ตามที่ คุณสิดโง่ได้ ยกย่อง ชมเชย เอาไว้ แต่อย่างใด

    เนี่ย ที่ผม ต้องการชี้.......ประเด็น
     
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    สอนให้เขาทำ เช่นว่า หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ นะจ๊ะ พุท-โธๆ ไปนะคุณ:)

    ท้องพอง ว่า พองหนอ ท้องยุบว่า ยุบหนอ นะคุณ:D แค่นี้ใครๆก็พอบอกได้สอนเขาทำได้

    ครั้นผู้ฟังรับไปทำตาม เช่นว่านั้นแล้ว เขาและเธอทำไปๆภาวนาๆไป สภาวะเกิด ปัญหาเกิด ดัง ตย.ที่นำมาให้ดูมากมาย เขาหรือเธอไปไม่เป็น ก็ถามผู้สอน... เป็นยังงี้ๆ แก้ยังไงครับ/คะ .... อาจารย์ๆ เอง ก็ไม่รู้ เพราะตัวเองก็ไม่เคยเจอะเคยเจอ แก้ปัญหาให้ศิษย์ไม่ได้ แต่กลัวเสียฟอร์มพูดๆไป ทำไปเถอะแล้วรู้เอง มันเป็นปัจจัตตัง เข้าใจไหมปัจจัตตังน่ะ :eek: ผู้ปฏิบัติ ค่ะ/ครับอาจารย์ ทำต่อๆๆ บ้าเลยขอรับ
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,076
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ไช่เลย...ผมเนี่ย โคตรเบื่อ คำว่า ..ทำๆไปเถอะ เดี๋ยวรู้เอง..เป็น ปัจจัตตัง..อิอิ

    ปัจจัตตัง...(...)เมิงดิ อิอิ
     
  17. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ให้ดูอีกด้านหนึ่ง ทำแล้วมีความสุข สุขจนตัวเองยังบรรยายไม่ถูก ไม่รู้จะไปต่อยังไง

    เข้าสมาธิแล้วรู้สึกมีความสุขมาก เหมือนกับความรู้สึกมันแน่นิ่งมากๆแล้วควรทำยังไงต่อครับ

    คือหลายเดือนที่ผ่านมานั่งสมาธิแล้ว มีอาการที่บรรยายได้ยากครับคือมีความสุขมากจนไม่อยากออกจากสมาธิ เหมือนความรู้สึกมันเข้มข้นแน่นมาก หลังจากนั้นจะกลายเป็นความโปร่ง โล่ง สบายมาก อยากถามว่าอาการนี้คืออะไร และขอแนวทางในการปฏิบัติต่อไปด้วยครับ
     
  18. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    จะสุข จะทุกข์ จะอะไรก็ตาม วิธีปฏิบัติต่อสภาวะเป็นต้นเหล่านั้น มีทางเดียว คือ ปริญญากิจ คือการกำหนดรู้ (ว่าในใจ) ตามที่เป็น ตามที่รู้สึก เช่น รู้สึกเป็นสุขปุ๊บ ว่าในใจปั้บ สุขหนอๆๆๆ รู้สึกเป็นทุกข์ปุ๊บ ว่าในใจปั้บ ทุกข์หนอๆๆ รู้สึกยังไงก็ยังงั้น กำหนดไปตามนั้น ตรงๆ ไม่เลี่ยงหนี ไม่บิดเบือนสภาวะ

    อ้อ แล้วอย่าติดหนอเหมือนเราจะโตนะ คิกๆๆ (หนอตัดทิ้งได้ เอาคำอื่นได้) ที่สำคัญคือสภาวธรรม ณ ขณะนั้น สุข ทุกข์ เจ็บปวด เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ก็นั้นแหละ

    เมื่อว่าในใจตามที่เป็นที่รู้สึกแล้ว ใช้ลม-เข้าออกก็ตามลมต่อ ใช้พอง-ยุบ ก็ตามพอง-ยุบต่อ เป็นอีกรู้สึกอีก กำหนดตามเป็นจริงอีก ....แล้วจิตจะนิ่ง จะสงบ จะปราณีตยิ่งขึ้นๆ (ไม่ต้องคิดเรื่องขั้น เรื่องฌาน เรื่องจิตส่งออกนอกไหม หรือเข้าในแล้ว ไม่เอาไม่ต้องคิด กำหนดรู้ตามที่มันเป็น ตามที่รู้สึกอย่างเดียว กำหนดทั้งทางร่างกาย ทางใจ (ความรู้สึก) ไม่ใช่ทำไม่รู้ไม่ชี้ อะไรๆจะเกิดก็ช่างมัน ไม่ใช่ไม่เอา

    เราจะโตพอเข้าใจไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2017
  19. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    - "อีกมุมหนึ่ง ..จิตเห็นความจริงของ กาย เวทนา ผัสสะของ อายตนะ ก็เป็น มรรคเหมือนกันนะครับ ไม่ไช่แค่จิตเห็นจิตแล้วเป็นมรรคได้ อย่างเดียว"

    อืม ตอบแบบนี้ค่อยสมกับเป็นคุณวรณิ หน่อย คืนฟอร์มแล้ว ก็คิดว่าเผลอไปเล่าเรื่องเก่าๆมากๆอารมณ์เก่าๆกลับมา หลงไปอีกรอบ 555 (แซวเล่นครับ)

    จิตเห็นจิต เอาจริงๆผมอยากจะใช้คำว่า" จิตเห็นธรรม " มากกว่านะครับ คนจะงง และสับสนน้อยกว่า เพราะปัฐฐาน 4 มันก็ไล่ระดับความละเอียดไปเรื่อยๆอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านวางเป็นลำดับเอาไว้ให้ เริ่มจากหยาบๆ กาย ไล่ไปเวทนา ระดับเริ่มละเอียดก็เริ่มจะเป็นจิต เช่นจิต แยกจากรูป และละเอียดสุดไปถึงระดับ"ธรรม" สภาวะทั้งปวงเป็นเพียง.......... ก็ว่าไปตามสภาพปัญญาในขณะนั้น

    - " มันก็ยังมี อีกมุมที่ว่า...จิตไม่ส่งออกนอก แต่จิต กลับอุปทานยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย ในขันธ์ของตนเอง...หลงตนเอง...แบบนี้ก็เป็นทุกข์เหมือนกันนะครับ"

    อันเนี้ย ท่านดักผมป่าวเนี่ย 555 อุปทานยึดมั่นเนี่ย แปลว่าผู้ปฏิบัติยังไม่ได้ก้าวหน้าอะไรเลยนะท่าน สักกายะ ยังไม่รู้จักเนี่ย 5555

    -"ผมไม่อยาก จะ เซด สักเท่าไหร่..อิอิ"

    อิอิ

    ปอลิง ผมยกย่องทุกคนแหละครับ ไม่อยากเพ่งโทษใครมาก หลวงพ่อแถวคลอง 3 มานั่งนึกๆดูยังสงสารแกในบางครั้งเลย อิอิ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2017
  20. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    จะว่าให้ฟัง เต็มๆยังงี้ "ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ" ผู้รู้ (วิญญูชน) พึงรู้เฉพาะตน

    เปิดหนังสือสวดมนต์บทอิติปิโส ท่อนสวากขาโต ดูดิ

    ปัจจัตตัง แปลว่า เฉพาะตน แค่นี้เอง ความหมายไม่ครบ


    หมายถึงว่า ผู้ปฏิบัติแล้วประสบความสุข ความทุกข์ พ้นจากสุข จากทุกข์ ... สงบ โปร่ง โล่ง เบา อย่างไรเขารู้เฉพาะตัวเขาเอง นำไปเล่าไปพูดให้ใครฟัง ผู้ฟังก็คิดไม่ออก ว่าผู้พูดรู้สึกอย่างไร สุขทุกข์ยังไง เบากาย เบาใจยังไง

    ยิ่งผู้ปฏิบัติเข้าถึงสภาวธรรมลึกๆ จะนิ่งไม่พูด น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...