บรรทัดฐาน การปฏิบัติสมาธิ ตอนที่ 2

ตามที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่หนึ่ง ถึงลักษณะ และความหมายของสมาธิซึ่งล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับระบบสรีระร่างกาย และหลักวิชาการด้านต่างๆในตอนนี้จะกล่าวถึง สาเหตุของการที่จำเป็นต้องมีบรรทัดฐานในการปฏิบัติสมาธิอันเป็นการพัฒนาพุทธศาสนา ในยุคสมัยนี้ เนื่องด้วย ศาสนาใดใด ก็ตามย่อมมีหลักปฏิบัติ เพียงหนึ่ง เดียว ในนิกายแห่งศาสนานั้นๆ ไม่มีการนำหลักปฏิบัติออกไปแบ่ง
แยก หรือนำหลักปฏิบัติ ไปคิดเอาเอง โดยที่ไม่รู้จริงไม่เป็นไปตามหลักธรรมชาติ หรือไม่เป็นไปตามระบบของสรีระร่างกาย สิ่งแวดล้อม
ในพระไตรปิฎก ย่อมมีการสอนวิธีปฏิบัติสมาธิ เพียงรูปแบบเดียว ไม่ใช่ต่างคนต่างสำนัก หรือต่างลัทธิ ที่แอบอ้างว่าเป็นศาสนาพุทธ นำเอาวิธีปฏิบัติ ไปคิดเอาเอง ไปทำกันเอง หรือต่างคนต่างความคิด ต่างคนต่างทำ จนทำให้หลักปฏิบัติ สมาธิ ไม่มีอยู่ในรูปแบบเดียว แตกต่างรูปแบบกันออกไป เพียงเพื่อใช้ความแปลกเป็นเครื่องดึง ดูดผู้คน ทำนองเป็นการพาณิชย์
ดังนั้น หากจะพัฒนาพุทธศาสนาต้องแก้ไขให้มีบรรทัดฐานในการปฏิบัติ สมาธิ เพียงรูปแบบเดียวตามหลักการของข้าพเจ้าเท่านั้น (อ่านแล้วคิดพิจารณา อย่าเพิ่งเชื่อและอ่านให้จนจบบทความ ทุกตอน แล้วค่อยว่ากัน)

หลักการปฏิบัติ สมาธิตามแนวทางของข้าพเจ้า ย่อมเป็นหลักปฏิบัติ สมาธิในทางศาสนาพุทธ อันได้ศึกษา ค้นคว้าวิจัย และทดลองปฏิบัติ ฝึกปฏิบัติ จนได้ผลที่พิสูจน์ได้ ว่าเป็นจริง มีจริงตามหลักธรรมชาติ ตามหลักสรีระร่างกาย และเป็นไปตามหลักวิชาการด้านต่างๆอันเกี่ยวข้องกับ ระบบการทำงานของสรีระร่างกายมนุษย์
อีกทั้ง หลักปฏิบัติ สมาธิตามแนวทางของข้าพเจ้านี้ ยังเป็นหลักการที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติในชั้นอริยะบุคคลอันมีชื่อตามศาสนาพุทธ ตั้งแต่ ชั้น โสดาบัน จนถึงชั้น อรหันต์ เป็นอย่างต่ำ
ดังนั้น หลักการปฏิบัติ ตามแนวทางของข้าพเจ้า จึงแบ่งการปฏิบัติสมาธิ ออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
1. การปฏิบัติ สมาธิขั้นพื้นฐาน
2.การปฏิบัติ สมาธิ ขั้นพิจารณาร่างกาย
3.การปฏิบัติ สมาธิขั้น พิจารณาธาตุทั้ง 4
4.การปฏิบัติ สมาธิ ขั้นพิจารณาหลักวิชชาหรือหลักธรรมคำสอน

จบตอน

 

รออ่านต่อครับ

 

หลักการปฏิบัติ สมาธิ ทั้ง 4 ชั้นตอนนี้ จะเป็นบันได ให้ท่านทั้งหลาย ได้เรียนรู้ ศึกษา พุทธศาสนา ได้อย่างดียิ่ง ด้วยตัวของท่านทั้งหลายเอง ทั้งในแง่ของการปฏิบัติ และในแง่ของวิชาการ
หากท่านทั้งหลาย ได้คิดพิจารณา และติดตาม หลักธรรมหรือหลักการ หรือคำสอนของข้าพเจ้า มาโดยตลอด

 

ท่านทั้งหลายที่ได้เข้ามาอ่าน ศึกษา และเรียนรู้ ไม่ต้องสงสัยว่า หลักการ หรือ หลักธรรม หรือ หลักปฏิบัติ ตามแนวทาง ศาสนาพุทธศริอาริย์ นั้น จะไปขัดกับ ศาสนาพุทธที่มีอยู่เดิม ไม่เป็นความจริงดอกขอรับ
ขอให้ท่านทั้งหลายคิดถึงหลักความจริงที่ว่า หากสิ่งที่มีอยู่เดิม เป็นหลักความจริง สอนโดยพระพุทธเจ้าสมณโคดมจริง
ย่อมไม่มีข้อแตกต่าง จากหลักการทางศาสนาศรีอาริย์อย่างแน่นอน ย่อมต้องสอนเหมือนกัน เพียงแต่ต่างยุค ต่างสมัย ต่าง ภาษา และแตกต่างทางด้านความหมายของภาษา
ท่านทั้งหลายต้องคำนึงถึงหลักความจริงที่ว่า สำนวน หรือความหมายของภาษา ในสมัยโบราณ นั้น กับ สำนวน หรือความหมายของภาษาไทย ในยุคปัจจุบัน ย่อมมีข้อแตกต่างจากกัน
แต่ หลักการ หลักธรรม และ หลักปฏิบัติ ย่อมไม่มีข้อแตกต่าง
ที่หลักธรรม หรือ หลักการ หรือหลักคำสอน ของข้าพเจ้า ศรีอาริย์เมตไตรย ไม่เหมือนกับสิ่งที่มีอยู่เดิม ก็มีเพียง ไม่ข้อที่ไม่เหมือน ก็ขอให้ท่านทั้งหลาย ได้คิดพิจารณาดูเถิดว่า มันสามารถแก้ไขให้เหมือนกันได้หรือไม่ มันยากสำหรับการแก้ไขหรืออย่างไร
หลักปฏิบัติ สมาธิ ทั้ง 4 ข้อนั้น ย่อมไม่แตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่เดิม ความแตกต่างอยุ่ที่การแปลความหมาย จากภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทย และสำนวนของภาษาบาลี ที่ทำให้ผิดแผกแตกค่างจากกัน
เพราะ ศาสดาศาสนาเหมือนกัน และเป็นการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ทดลองปฏิบัติ ในศาสนาพุทธเหมือนกัน ฉะนี้

 

ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้ากล่าวไปข้างต้น จึงได้มีบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ประเภทมารศาสนา มักจะเข้ามาก่อกวน อย่าสนใจเลยขอรับ พวกมันหากินหาเศษหาเลยกับพระสงฆ์ ไม่กลัวบาปอยู่แล้ว แต่ถ้าพวกมันแอบอ้าง หรือล่อลวงให้หลงเชื่อเพื่อหวังการบริจาคทรัพย์ ก็สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองดำเนินการจับกุมได้เลยขอรับ

 

เป็นธรรมดา มาทุกยุค ทุกศาสนา เมื่อศาสดาแห่งศาสนาประกาศศาสนา ย่อมต้องมีพวกมารศาสนา หรือพวกเดียรถีย์ไม่เห็นชอบ ไม่เห็นตามความจริง เพราะพวกมัน กลัวเสียผลประโยชน์ในสิ่งที่มีอยู่เดิม ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงกาล
เผอิญ ข้าพเจ้า ไม่ใช่ พระสมธโคดม และไม่ใช่ พระเยซูคริสต์
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงจะบอกให้ท่านทั้งหลายได้รู้ว่า พวกมารศาสนา หรือพวกเดียรถีย์ ที่เข้ามาก่อกวนนั้น ล้วนเป็นพวกที่ทำลายศาสนา อย่างสิ้นเชิง
ท่านทั้งหลาย โปรดใด้ช่วยกันขจัด พวกมันออกไปซะ อย่าให้ถึงมือข้าพเจ้าเลย เพราะข้าพเจ้าไม่อยากให้ความโสโครกทางจิตใจของพวกมัน มาแปดเปื้อนตัวข้าพเจ้า
ศาสนาจะเจริญหรือไม่ พวกท่านจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของท่านทั้งหลาย แล้ว

 

หลักการปฏิบัติ ข้างต้น เป็นการหลักการปฏิบัติ ที่ถูกต้อง อีกทั้งยังเป็นคำตอบสำหรับ ท่านที่มีข้อสงสัย เพียงให้ท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดี ก็จะเกิดความรู้ เกิดความเข้าใจ เกิดปัญญารู้แจ้ง
เป็นบรรทัดฐาน สำหรับพุทธศาสนาสืบต่อไป จงช่วยกันเก็บ และรักษาเอาไว้ให้ดี เพราะหลักการข้างต้น เป็นหลักการที่ถูกต้อง ไม่มีหลักการใดจะมาคัดค้านได้อีก

 

เอาไอ้พวกมารศาสนาอ่านอีกทีนะ จะได้รู้สำนึกซะบ้าง
แล้วทีมงาน หรือผู้ดูแลเวบฯทำไม ปล่อยให้พวกก่อกวน เข้ามาใช้วาจาไม่สมควรในหมวดนี้ได้อย่างไร จัดการหน่อย หรือว่า พวกเขา บริจาคเยอะ เส้นสายหรืออย่างไร

 

สมาธิ ชั้นที่ 1 ได้แก่

สมาธิ ชั้นพื้นฐาน นั้น ท่านทั้งหลายต้องจดจำ ให้แม่นมั่น และแม่นยำ เพื่อเป็นเครื่องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า

สมาธิ ชั้นพื้นฐาน คือ " การฝึก หรือปฏิบัติ เพื่อควบคุม ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ มิให้ฟุ้งซ่าน หรือ การฝึก ปฏิบัติ สมาธิ ชั้นพื้นฐาน เพื่อ ควบคุม ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ มิให้เกิดขึ้น ขณะปฏิบัติ"

แต่ตามธรรมชาติ ของมนุษย์ ล้วน ต้องมีความรู้สึก เมื่อได้สัมผัสทาอายตนะ ไม่ว่าจะเป็นทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ และไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส ที่ได้เคยสัมผัสผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม แต่ความจำการสัมผัสนั้นยังอยู่ภายในร่างกาย หรือจะเป็นการสัมผัส ณ. ปัจจุบัน ก็ตามแต่

ความรู้สึก อันเกิดจากการได้รับการสัมผัส ทางอายตนะ ทั้งหลายเหล่านั้น จะก่อให้เกิดเป็นความคิด และอารมณ์ ต่างๆกันไป นี้เป็น ความรู้ พื้นฐานว่า ขณะปฏิบัติ สมาธิ หรือฝึกสมาธิ ย่อมจะเกิดความรู้สึก แต่หากเราระงับหรือบังคับตัวเอง คือ ไม่คิด หรือแก้ไขมิให้ความรู้สึก บางสิ่งบางอย่าง เกิดขึ้น นั้นคือ การควบคุม อันเป็นผล คือความมีสติ สัมปชัญญะ
อันนี้ต้องพิจารณาให้ดี เพราะการเขียนอธิบายนั้น อาจจะไม่ค่อยละเอียด เท่าที่ควร แต่ถ้าท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติ หรือฝึกสมาธิ ก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง
เพียงแต่ข้อสำคัญ ต้องจดจำ คำจำกัดความให้แม่นยำ แต่ระลึกรู้อยู่เสมอ

 

ผู้ศึกษา อ่านรู้ ใช้ปัญญา
ใยต้องมา ก่อกวน อันธพาล
การศึกษา บ่งบอก บรรทัดฐาน
แต่สันดาน บ่งบอก กิเลสคน

 

ปล่อยเขาเถิด คงเกิดเหตุ
เกิดอาเพศ ให้เป็นผล
ธรรมดา ใจซุกชน
คิดสัปดน ไปตามเรื่อง

ครั้นจะห้าม เหมือนยิ่งยุ
ครั้นจะดุ เดี๋ยวจะเคือง
เขาเหล่านั้น คงเป็นเฟือง
ตัวไม่เขื่อย ตัวนิดน้อย

ที่เขาเข้า มาก่อกวน
มาตีรวน เพื่อฟื้นฝอย
มันขัดขัด ที่เขาลอย
ธรรมะที่ร้อย เรียงเรื่องราว

พิจารณา ตัวเราเถิด
แล้วจะเกิด ความใสขาว
จิตและใจ สะอาดราว
น้ำไหลยาว สะอาดตา

 

จิตใจถ่อย ต่ำทราม ลามไปทั่ว
ช่างมืดมัว นำพา ทุกข์ยากเข็ญ
นี้นะหรือ จิตมนุษย์ ยุดลำเค็ญ
ดุจดั่งเป็น เดรัจฉาน สัตว์ป่าเอย

 

อันจิตถ่อยต่ำทรามนั้นชัดชัด
มันประจักแจ้งชัดกะร่างกาย
แถมยังสอดเข้ามามีจุดหมาย
ก็เป็นฟายนี่นาไอ้หน้าคน ไอ้ชาติคน
ฮ่าฮ่าฮ่า

 

อันความต่ำทรามในใจคน
เป็นพวงผล จากการเรียนการศึกษา
ทั้งจากเชื้อ บิดร แล มารดา
ความคิดจึงชั่วช้า สามานย์

เพราะมันไม่มีสมองคิด
มันไม่เพียง พินิจ ซึ่งข่าวสาร
เพราะสมอง โคตรเหง้า อันธพาล
พวกจัณฑาล กวนก่อ ขอหยุดลง

หากมีความ เป็นคน อย่างครบถ้วน
ก็ชวนกัน ประกบมือ หว่างขนง
แล้วกราบไหว้ ที่ตีน ก้มลง
ก็คงอโหสิ ให้พวกเธอ