อัลเบิร์ต ไอสไตน์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 8 มิถุนายน 2008.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    อัลเบิร์ต ไอสไตน์ กล่าวถึงพระพุทธศาสนาก่อนเสียชีวิต

    มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า

    The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein)

    "ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

    อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
    นักฟิสิกส์ ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพัทธภาพ

    คำพูดของไอสไตล์นั้นมีความนัยที่สำคัญซ่อนอยู่และรอคอยการค้นพบ และทฤษฎีเอกภาพหรือทฤษฎีสรรพสิ่งที่ต้องการค้นหานั้น ที่จริงพระพุทธเจ้าได้ตอบให้เบ็ดเสร็จก่อนหน้านั้น 2500 ปี

    [1954, from Albert Einstein:The Human Side, edited by Helen Dukas and Banesh Hoffman, Princeton University Press]

    *****en.wikipedia.org/wiki/Albert_Einstein
    *://*.mlahanas.de/Privat/quotations.htm *****members.shaw.ca/sanuja/buddhismquorts.html




    พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า
     
  2. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    หลายคนบอกว่าสิ่งที่ไอสไตล์กำลังค้นหา คือ พระเจ้าสร้างโลก อะ
     
  3. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ไอนสไตน์ก็จากไปแล้ว เลยหาข้อมูลเพิ่มไม่ได้
    ที่จริงน่าจะเอาความรู้ทางพุทธศาสนาไปถาม steven hawking นักฟิสิกส์อับดับต้นๆของโลกยุคนี้ที่มีชีวิตอยู่นะ ว่าเค้าคิดยังไงกับธรรมมะ ให้เค้าลองนั่งสมาธิวิปัสสนา สติปัฏฐานสี่ เค้าอาจอธิบายรูปแบบออกมาเป็นทฤษฏีทางฟิสิกส์ก็ได้

    ปัญหาคือเสียดายที่ติดต่อ steven hawking ไม่ได้
     
  4. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ^-^ นั้นดิ
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลองตัดว่าพระเจ้าออกจากใจดูดิ

    คุณจะหลุดจากโลกแห่งความขัดแย้งทั้งปวง

    คุณจะพบสิ่งที่แสวงหา

    ตนคือที่พึ่งแห่งตน

    ก่อนที่ไอน์สไตน์จะหยุดลมหายใจ

    เขายังคิดอยู่เลย คิดแก้สมการคณิศาตร์อยู่มั้ง

    ถ้าเขาพบว่าเพียงแต่เขาหยุดความคิดปรุงแต่ง

    เขาก็สามารถแก้สมการนั้นได้แร้ว

    คุณเริ่มลองหยุดความคิดปรุงแต่ง

    เพื่อหาตัวจริงของคุณมั่ง หรือยังล่ะ ;)
     
  6. Soodyod

    Soodyod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +385
    Eistein เลือกมาเกิดในเมืองไทยครับ
     
  7. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    สิ่งสุดท้ายก่อนตายคือไอส์สไตน์พยายามพูดประโยคอะไรสักอย่างให้พยาบาลส่วนตัวฟังแต่พยาบาลไม่ทราบว่าเค้าพูดว่าอะไร
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มีแต่ไอน์สไตน์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนหยุด

    ลมหายใจเขาคิดอะไรอยู่

    เราก็ว่าไปเรื่อยตามที่เคยอ่านผ่านตาเท่านั้น
     
  9. Banana''บงบง

    Banana''บงบง สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +1
    :dเรื่องแรงดึงดูด ของพลังงานทั้ง 4 ครับ;)
     
  10. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    ก็คงอย่างงั้นแหละผมก็ว่านะ เพราะเค้ากำลังศึกษาเรื่องนั้นอยู่ ท่านตายพร้อมกับกระดาษแผ่นนั้น อิอิ
     
  11. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861
    คนปกติ ที่ บวชเป็นพระ ทั่วๆไป

    กับ ไอน์สไตน์

    ท่าน ควร จะ เคารพ นับถือ ใคร มากกว่ากัน

    ผม Vote ไอน์สไตน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2008
  12. slamb

    slamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,021
    ค่าพลัง:
    +538
    ไอน์สไตน์ ไม่รู้มีศีล5ครบป่าว(วัดกันที่ศีลนะครับ)
     
  13. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861
    ไอน์สไตน์ นับถือ ศาสนา คริส

    ก็ มี ศีล ในแบบของ คริส อ่ะแหละ
     
  14. slamb

    slamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,021
    ค่าพลัง:
    +538
    ศีลแบบ คริส เป็นอย่างไรครับ
    ผมอยู่อเมริกา เห็นพวก คริส ถือปืนไล่ยิงกวางกัน(ในฤดูล่ากวาง)
    กวางก็หนีหัวซุกหัวซุน พวกเขาบอกฆ่าสัตว์ไม่บาปซะงั้น
     
  15. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    คนดีวัดกันเพียงศีลเท่านั้นหรือ หึๆ
     
  16. slamb

    slamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,021
    ค่าพลัง:
    +538
    ศีลเป็นพื้นฐานแห่งความดี
     
  17. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861
    แฮะๆ

    ผม เห็น คนไทยภาคใต้ ไล่ยิงคนด้วยกัน เอง อ่ะครับ
     
  18. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861


    ศาสนา คริส ไถ่ บาป ได้ ครับ

    แฮะๆ

    ศาสนา พุทธ ไม่มีไถ่บาป หนิ

    ฮึฮึ...
     
  19. slamb

    slamb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,021
    ค่าพลัง:
    +538
    วิธีล้างบาป..ของพระพุทธเจ้า
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- / icon and title --><!-- message --> หลายคนเข้าใจผิดว่า ศาสนาพุทธสอนแต่เรื่องกรรมเก่า และให้ทำใจยอมจำนนอยู่กับอดีตโดยไม่มีหนทางแก้ไข แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ วิปากของบาปกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำไว้ในอดีตนั้น สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ด้วยกรรมปัจจุบัน แม้ไม่สามารถกลับไปแก้ไข ลบล้างอกุศลกรรมที่เป็นต้นเหตุได้ แต่สามารถสร้างกรรมปัจจุบันเพื่อปั่นทอน/หลีกหนี/เจือจางวิปากของอกุศลกรรมนั้นให้อ่อนกำลังลงได้ ปรากฏหลักฐานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนเหล่าพระภิกษุในคัมภีร์พระไตรปิฎก โลณผลสูตร เล่มที่ ๒๐ ข้อ ๑๐๑ หน้า ๓๓๖

    คนที่ทำบาปกรรมแล้วกลับสำนึกผิด อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณงามความดีที่เคยทำมากมาย บาปกรรมที่คนเช่นนี้ทำจะไม่ปรากฏผลให้เห็น มักปรากฎแต่ผลบุญที่เขาเคยทำไว้มากมาย
    :p
    ในเรื่องนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ว่า<o>:p</o>:p
    “ ภิกษุทั้งหลาย ถ้ามีคนกล่าวว่า ใครทำบาปอะไรไว้ เขาก็ต้องรับผลกรรมอย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ การประพฤติพรหมจรรย์(การสร้างคุณงามความดี)ของเขาย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย โอกาสที่เขาจะบำเพ็ญเพียรให้ถึงความพ้นทุกข์ย่อมเป็นไปไม่ได้ละซิ? <o>:p</o>:p
    ส่วนผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า บุคคลนี้ทำกรรมที่ต้องเสวยผลไว้อย่างใด ๆ เขาต้องเสวยผลของกรรมนั้น อย่างนั้น ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้ โอกาสที่เขาจะบำเพ็ญเพียรให้ถึงความพ้นทุกข์ย่อมเป็นไปไม่ได้ <o>:p</o>:p
    ภิกษุทั้งหลาย คนบางคนในโลกนี้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็ส่งผลให้เขาไปตกนรก ส่วนคนบางคนทำบาปกรรมเเล็กน้อยเหมือนกันอย่างนั้น แต่บาปกรรมนั้นให้ผลเพียงเล็กน้อย ปรากฏแต่กุศลกรรมที่เคยทำมาให้ผล

    <o>:p</o>:pบุคคลเช่นไรเล่า? ที่ทำบาปกรรมแม้เล็กน้อย บาปกรรมนั้นถึงกับส่งผลให้เขาไปตกนรกเลยทีเดียว บุคคลเช่นนี้ก็คือคนที่(ทำผิดแล้วแต่ไม่สำนึกผิด)ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา มีคุณงามความดีน้อย (สั่งสมบุญบารมีมาน้อย) บาปกรรมที่คนแบบนี้ทำ แม้เป็นบาปกรรมเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็นำเขาเข้าสู่นรก
    <o>:p</o>:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเช่นไรเล่า ทำบาปกรรมเล็กน้อยเช่นนั้นเหมือนกัน แต่บาปกรรมนั้นให้ผลเล็กน้อยแต่ในชาตินี้(ไม่ส่งผลให้ถึงกับไปตกนรก) บุคคลเช่นนี้ก็คือคนที่ทำบาปกรรมแล้ว(กลับสำนึกผิด) อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา มีคุณงามความดีที่เคยทำมามากมาย บาปกรรมที่คนเช่นนี้ทำ มักไม่ค่อยปรากฏผลให้เห็น (มักปรากฏแต่ผลบุญที่เขาเคยทำไว้มากมาย) ..เปรียบเหมือนก้อนเกลือที่เราใส่ลงในขันน้ำใบน้อย เธอทั้งหลายคิดว่า น้ำผสมเกลือนั้นจะเป็นอย่างไร? น้ำผสมเกลือในขันนั้นก็จะเค็มจัดจนดื่มไม่ได้ เพราะก้อนเกลือที่ใส่ลงไปใช่ไหม? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “ ใช่พระเจ้าข้า น้ำในขันนั้นจะเค็มจัดจนดื่มไม่ได้”

    พ. “เพราะเหตุไร น้ำนั้นจึงเค็มจัดจนดื่มไม่ได้?” <o>:p</o>:p
    ภิ. “เพราะในขันนั้นมีน้ำน้อยนิดเดียว น้ำจึงไม่สามารถละลายเกลือให้เจือจางหายเค็มได้พระเจ้าข้า”
    พ. “ ภิกษุทั้งหลาย ก็เปรียบเหมือนกับการใส่ก้อนเกลือลงในแม่น้ำคงคา เธอทั้งหลายคิดว่าก้อนเกลือนั้นจะทำให้แม่น้ำคงคาเค็มจนดื่มไม่ได้หรือเปล่า?”
    ภิ. “หามิได้ พระเจ้าข้า”
    พ. “เป็นเช่นนั้น เพราะไร”
    ภิ. “เพราะในแม่น้ำคงคานั้น มีห้วงน้ำมากมายมหาศาล ฉะนั้นห้วงน้ำใหญ่นั้นจึงไม่กลายเป็นน้ำเค็มเพียงเพราะผสมกับก้อนเกลือเพียงเล็กน้อย พระเจ้าข้า”
    พ. “ก็เหมือนกันแหละ ภิกษุทั้งหลาย คนบางคนในโลกนี้ ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย บาปกรรมนั้นก็ส่งผลให้เขาไปตกนรก ส่วนคนบางคนทำบาปกรรมเล็กน้อยเหมือนกันอย่างนั้น แต่บาปกรรมนั้นให้ผลเพียงเล็กน้อย ปรากฏแต่กุศลกรรมที่เคยทำมาให้ผล

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนในโลกนี้ที่ถูกจำคุกเพราะขโมยของเพียงนิดหน่อยก็มี ถูกจำคุกเพราะขโมยของมากมายมหาศาลก็มี ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ขโมยของอย่างนั้นเหมือนกันแต่ไม่ถูกจำคุกก็มี บางคนคดโกงสมบัติมหาศาลแต่ไม่ถูกจองจำก็มี บุคคลเช่นไรเล่า ถูกจำคุกเพียงเพราะขโมยของเพียงเล็กน้อย ภิกษุทั้งหลาย คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนขัดสนยากจนแร้นแค้น(ไม่มีเส้นสายหรือคุณงามความดีแก่สังคม) เมื่อไปเที่ยวขโมยของแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะถูกลงโทษถึงขึ้นติดคุดได้ บุคคลเช่นไรเล่าแม้ไปขโมยของเช่นนั้นเหมือนกัน แต่กลับไม่ติดคุก(ทั้งที่ถูกจับได้) ภิกษุทั้งหลาย คนบางคนในโลกนี้เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์สินเหลือเฟือ มีโภคะมากมาย (ช่วยเหลือสังคมมากมาย) คนเช่นนี้แม้เคยขโมยของอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เขาย่อมไม่ถูกจองจำติดคุก(...อาจเพราะเสียค่าปรับแทน)......

    ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสนี้ก็หมายความว่า วิปากของบาปกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำไว้ในอดีตนั้นสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ด้วยกรรมปัจจุบัน แม้ไม่สามารถกลับไปแก้ไข ลบล้างอกุศลกรรมที่เป็นต้นเหตุได้ แต่สามารถสร้างกรรมปัจจุบันเพื่อเจือจางวิปากของอกุศลกรรมนั้นให้อ่อนกำลังลงได้ ด้วยการอบรมศีล อบรมจิตและเจริญปัญญา นั่นก็คือการเจริญสมาธิภาวนานั่นเอง

    :p
    ถาม... ทำบุญล้างบาปได้หรือไม่
    :p
    ตอบ กรรมลบล้างไม่ได้ แต่หลีกหนีผลกรรมได้ (ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑๔ หน้า ๑๑)
    :p
    อดีตล่วงพ้นไปแล้ว การกระทำทุกอย่างที่กระทำไปด้วยเจตนา ไม่ว่าจะชั่วหรือดีก็ตาม ก็เป็นอันได้กระทำไปแล้ว และผลกรรมนั้นจะต้องย้อนกลับมาหาตัวผู้กระทำในที่สุด แต่เวลาที่กรรมให้ผลนั้นไม่แน่นอนว่าจะช้าหรือเร็ว จะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต ถ้าหากกรรมที่ได้กระทำก่อนหน้านั้นยังให้ผลไม่หมด หรือกรรมที่กระทำในปัจจุบัน มีวิบากแรงกว่าก็จะทำให้กรรมนั้นมีผลช้า เมื่อเป็นเช่นนี้หนทางที่จะหลีกหนีผลกรรมก็พอมีทาง(ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ หน้า ๗๙) ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้กระทำเองว่า มีฝีเท้าในการหลีกหนีมากน้อยแค่ไหน มีเส้นชัยอยู่ที่อนุปาทิเสสนิพพาน(ดับขันธปรินิพพาน) ถ้าในระหว่างนี้เขามุ่งมั่นทำเฉพาะบุญกุศลอบรมสติปัญญาให้ปราดเปรื่องอยู่ตลอดเวลา จนถึงขณะจิตสุดท้าย หลังตายก็จะไปเกิดในภพดี ๆ ได้ และหากเขาทำได้เช่นนี้ทุกภพทุกชาติ ไม่มัวหลงระเริงกับความสุขเล็กๆน้อย ๆ ที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว อันเป็นผลพลอยได้จากการเร่งทำบุญ เขาก็มีโอกาสเข้าถึงเส้นชัยได้ก่อนที่บาปจะตามมาทัน
    :p
    เปรียบเหมือน โจรผู้ร้ายที่ได้ก่อคดีอาญาไว้ แล้วหลบหนีการจับกุมได้ตลอด ๒๐ ปี มีความสามารถในการหลบหลีกเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่ออายุความครบ ๒๐ ปี คดีความก็เป็นอันหมดอายุไป กฎหมายไม่อาจลงโทษเขาได้อีกต่อไป บาปที่เราทำไว้ก็เช่นกัน หากเราเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพานได้แล้ว ก็ไม่อาจตามมาให้ผลได้อีกต่อไป(ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ ข้อ ๒๑๙ หน้า ๓๖๕) แต่โดยมากยากที่จะเป็นเช่นนั้น มักถูกวิบากกรรมตามมาทันเสียก่อน หลายคนหลายท่านพยายามวิ่งหนีเอาจิต รอดสุดชีวิตต้องถึงกับผ้าผ่อนหลุดลุ่ยกว่าจะเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพาน เข้าสู่ที่ปลอดภัยได้
    :p
    ตัวอย่างเช่น พระองคุลีมาลเถระ กว่าท่านจะฟันฝ่าอุปสัคเข้าสู่เส้นชัยได้ ถูกกรรมเก่าไล่กวดจับจวนเจียนจะทันอยู่แล้ว หรืออาจจะถูกกรรมเก่าจับติดชายผ้านุ่งแล้ว แต่ท่านก็ยังพยายามดิ้นรนเต็มที่ ถึงกับถอดผ้านุ่งออกแล้ววิ่งล่อนจ้อนต่อไป จนเข้าสู่เส้นชัยจนได้ เมื่อเข้าสู่เส้นชัยแล้ววิปากกรรมก็มิอาจส่งผลได้อีก ไม่ต้องชดใช้กรรมใดๆ อีก ต่อไป( ดูรายละเอียดใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ ข้อ ๒๓๔ หน้า ๓๙๗) กรรมที่เคยทำไว้จะกลายเป็นอโหสิกรรมไป(ดูรายละเอียดในคัมภีร์อภิธรรมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๕ เรื่องกัมมจตุกกะ)

    :p
    คัมภีร์มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตรนิกาย เอกก-ติกนิบาต หน้า ๑๓๒ อธิบายว่า <o>:p</o>:p


    ในเวลาที่กุศลกรรมให้ผล อกุศลกรรมอย่างหนึ่งจะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นให้ตกไป ถึงในเวลาที่อกุศลกรรมให้ผลกุศลกรรมอย่างหนึ่ง ก็จะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นแล้วให้ตกไป นี้ชื่อว่าอุปัจเฉทกกรรมในบรรดาอุปัจเฉทกกรรมที่เป็นกุศล และอกุศล กรรมของพระองคุลิมาลเถระได้เป็นกรรมตัดรอนอกุศล
    <o>:p</o>:p
    พระมหาเถระอีกรูปหนึ่ง ท่านมีบุญบารมีมากกว่าพระองคุลีมาลหลายเท่านัก และทั้งที่สามารถเข้าถึงสอุปาทิเสสนิพพานได้แล้ว แต่ท่านก็ยังถูกกรรมเก่าตามมาทันจนได้ ท่านผู้นั้น คือ พระมหาโมคคัลลานะ(ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ ข้อ ๖๐ หน้า ๓๙๐) ผู้อัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กรรมของท่านมีพลังอำนาจถึงเพียงนี้ เนื่องจากในชาติก่อนท่านได้ฆ่าพ่อแม่ของตนเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในอนันตริยกรรม ๕ ประการที่จัดว่าเป็นกรรมชั่วที่หนักที่สุด กรรมที่ท่านได้ทำนั้นส่งผลให้ท่านแทบเอาจิตไม่รอดทั้ง ๆ ที่ท่านสั่งสมบุญกุศลมาเป็นจำนวนมหาศาลถึงขนาดที่สามารถส่งท่านเข้าสู่พระนิพพานได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้านแรงบาปแทบไม่ไหว ท่านเข้าสู่สอุปาทิเสสนิพพานได้แล้วกรรมก็ยังตามมารังควาญอยู่ คือ ทั้งที่ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้รับสรรเสริญจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นผู้มีฤทธิ์กว่าพระอรหันต์ทั้งปวงก็ยังถูกพวกโจรทำร้ายทุบตีร่างกายจนแหลกละเอียด เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ก็ยังดีที่บาปตามมาทันขณะที่ท่านก้าวเข้าสู่เส้นชัยได้ครึ่งตัวแล้ว จึงทำให้ผลกรรมย่ำยีท่านได้แต่ร่างกายเท่านั้น ไม่อาจทำให้จิตท่านหวั่นไหวได้
    :p
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า“บัณฑิตทั้งหลาย เรียกบุคคลผู้เป็นมุนีทางกายเป็นมุนีทางวาจา เป็นมุนีทางใจ ผู้ไม่มีอาสวะว่า เป็นมุนีผู้สมบูรณ์ด้วยโมเนยยธรรม ล้างบาปได้แล้ว”
    <o>:p</o>:p
    (ดูรายละเอียดใน คัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ หน้า ๗๐)
    http://palungjit.org/showthread.php?t=132806
     
  20. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    สาธุกับข้อความของ SLamb ค่ะ
    คุณๆไม่ลองถือศีล 5 ดูล่ะคะ เผื่อจะเข้าใจอะไรได้ดียิ่งขึ้น
    ขออนุโมทนากับทุกๆความเห็น และเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ
    ขอให้เจริญทั้งในทางโลกและทางธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...