น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    เหอๆๆๆๆ
     
  2. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ทำไม??? ใครรู้ ช่วยตอบที?

    ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน.. แต่ทว่า ผมก็เชื่อว่า....

    สมเด็พระประทีปแก้ว สัมมาสัมพุทธองค์ ทรงตรัสสอนไว้ดีแล้ว
    ใคร ใคร่รู้ ใคร่สำเร็จ.... ต้องฝึก ต้องปฏิบัติเอง
    จึงจะสามารถรู้ จึงจะสร้างความศรัทธา สร้างเชื่อถือ ให้แก่ตนเอง ได้ดีที่สุด
    ตน ต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน เท่านั้น

    พระพุทธองค์ ทรงตรัสสอน ทรงแนะนำวิถีทาง ให้แก่ทุก ๆ คน เสมอกัน
    ตำรา คำสอน ก็เป็นสิ่งเดียวกัน
    เมื่อสอนแล้ว ท่านก็บอกว่า ให้ให้ผู้รับฟัง นำไปฝึก ไปปฏิบัติกันเอาเอง
    เพราะว่า ไม่มีใคร หน้าไหน ที่จะสามารถ เกาะพระบาท เกาะจีวร ของพระองค์
    เพื่อให้เข้าถึงซึ่ง พระนิพพาน ได้

    การรับรู้ในพระธรรม คำตรัสสอน จะต่างกันบ้าง ก็ตรงที่....

    1. เมื่อผู้ที่รับฟังคำตรัสสอน ไปแล้ว นั้น
    เพียงแค่ คิดใคร่ครวญ ทวนไป ทวนมา
    ก็จะรู้ได้เพียงแค่ ตามความคิดของตัวเอง

    ใคร่ครวญคำตรัสสอน ที่ตัวเองไม่เข้าใจ ฝึกปฏิบัติก็ไม่ได้

    แล้วก็จึงคิดผิด มีความเห็นผิด ไปกล่าวว่า พระพุทธองค์ สอนไม่ถูก
    จริง ๆ แล้ว ต้องเป็นอย่างนี้.. ต้องเป็นไปตามที่ตัวเองเข้าใจ
    และก็เอาคำสอน เอาพระไตรปิฎก ไปตัดทิ้งเสียบ้าง
    เพราะว่า ส่วนนั้น ตัวเองไม่รู้ ไม่เข้าใจ ปฏิบัติ ก็ไม่ได้

    2. ผู้ที่รับฟังไปแล้ว นำไปฝึกปฏิบัติ ให้เห็นจริง รู้จริงได้ ตามคำตรัสสอน

    ผล ก็จึงแตกต่างกันออกไป

    บุคคลในข้อ 2 ก็จึงไม่คัดค้าน คำตรัสสอน

    คนที่เรียนซ้ำชั้น ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็กล่าวโทษ ว่า.. ข้อสอบมันยากมาก ทำไม่ได้
    คนที่สอบตก.. จะไปต่อว่า คนที่เรียน แล้วสอบผ่าน ว่าเขา "บ้ารู้" ได้ หรือ

    วิชชาที่สอนของพระพุทธองค์ ก็มีหลายพระธรรมขันธ์ หลายหลักวิชชา
    ตามความเหมาะสม กับจริต ของคนที่ไม่เหมือนกัน
    สุขวิปัสสโก
    เตวิชโช
    ฉฬภิญโญ
    ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    เป็นไปตามบุญ บารมี ที่บำเพ็ญสะสมมา

    เปรียบเสมือนกับการเล่าเรียน และฝึกปฏิบัติ ของบุคคลที่จะสำเร็จ เป็น....
    หมอ
    ครู
    ตำรวจ
    ต่างก็ต้องเรียน ต้องฝึก และปฏิบัติ ที่แตกต่างกัน

    เมื่อต่างคน ก็สำเร็จ ตามเป้าประสงค์แห่งตนเอง ไปแล้ว นั้น
    ตนเองก็จะรู้ ตามหน้าที่ ตามความชำนาญของตนเอง
    จะให้หมอ ไปรบกับโจรผู้ก่อการร้าย.. จะดีหรือ
    จะให้ครู.. ไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
    ก็จะทำได้ยาก

    ถึงแม้ว่า ทั้งครู และตำรวจ ที่ไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจได้
    เขาก็ยังมีความรู้เพียงพอ ที่จะเชื่อได้ว่า มีหัวใจ อยู่ในร่างกาย
    ไม่ดื้อรั้น เที่ยวไปเอามีดแทงอกตนเอง
    เพื่อพิสูจน์ว่า มี หัวใจ จริงหรือเปล่า

    หากเขานำมีด มาทิ่มแทงตนเอง เพื่อพิสูจน์ ว่า มีหัวใจจริงไหม
    ก็แสดงว่า เขายังไม่มีความรู้ ในเรื่องส่วนประกอบของร่างกาย

    อย่างนี้ ก็ตายไปกับความ ไม่รู้ ของตนเอง

    หากว่า ตายแล้วสูญ ไม่ต้องเกิดใหม่ ไม่ต้องเกิดมาอีก ก็ดีไป
    หากบังเอิญ พระพุทธเจ้า สอนไว้จริง ว่า เมื่อยังไม่ถึงพระนิพพาน
    ต้องมีการเวียนว่ายในการเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย

    อย่างนี้ เมื่อไม่รู้จริง.. ก็ต้อง กลับมาเกิด
    เพื่อศึกษาให้ได้ ให้รู้ว่า หัวใจมันมีอยู่ภายในร่างกายจริง ๆ

    หากยังไม่รู้อีก ก็อาจจะต้อง แทงตนเองอีก....
    กลับมาเกิดอีก เป็นวัฏฏะ

    ทั้งหมดนี้ ก็รู้ก่อนหน้า ว่า..
    ไม่มีผล ในการรับฟัง..
    ไม่มีผล ต่อการใคร่ครวญ..

    เพราะว่า.. คนที่จะเชื่อถือ จะรับฟัง จะแนะนำกันได้ นั้น....

    ต้องเคยเนื่องกันมาเนิ่นนาน แต่อดีตกาล (ก็ไม่เชื่อในเรื่อง อดีต อีก)
    เคยเป็นญาติ พี่น้อง เคยทำบุญร่วมกันมา เคยสอนสั่งกันมานานแล้ว
    ชาตินี้ ก็มาตามเรียน ตามสอน กันอีก
    ผู้สอน สอนดี.. สอนถูก
    ผู้เรียน ปฏิบัติดี.. ปฏิบัติถูก
    หรือไม่.. อย่างไร

    ก็ขึ้นอยู่กับ ครู อาจารย์ ผู้สอน เป็นหลัก

    อาจารย์ผุ้สอนดี สอนถูก ไปพระนิพพาน
    ผู้เรียน ผู้ปฏิบัติตาม ปฏิบัติดี ปฏิบัติถูก ก็ต้องไปพระนิพพาน
    อันนี้ ต้องขอน้อมโมทนา

    หากสอนผิด สอนไม่ถูก
    ปฏิบัติไม่ดี ปฏิบัติไม่ถูก
    อย่างน้อย ก็มีอเวจี เป็นที่ไป
    บางที ก็ไม่ต้องกลัว เพราะว่า นรก มันไม่มี
    ก็จะไปกลัวทำไม กับความเลว ก็แล้วจะไปละอายทำไมกับ ความบาป

    อันนี้.. ไม่โมทนา ไม่น่ายินดี

    ดังนั้น.. ผู้นำ อยู่ที่ไหน..
    ผู้เชื่อ ผู้ศรัทธา ก็คงตามไปอยู่ด้วย

    ตามอัธยาศัย ของใคร ของมัน

    ไม่มีใครดี.. ไม่มีใครเลว..
    มีแต่.. ตัวเราปฏิบัติดี.. ตัวเราปฏิบัติตรง
    ตัวเราปฏิบัติเป๋.. ตัวเราปฏิบัติผิด

    ตน ย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน เท่านั้น
    ไม่พึงกล่าวโทษ ผู้อื่น คนไหน คนใดเลย

    ที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เพียรที่จะกล่าวให้เป็นกลาง เป็นธรรมดา ที่สุด
    หากบังเอิญ เกิดความรู้สึกว่า ผมเสียดสี ส่อเสียด
    ก็ขอกราบขมา ขออภัย ด้วยใจจริงแท้ ที่เพียรละอคติ

    ด้วยหวังว่า จะเป็นประโยชน์ ต่อสาธารณะ เท่านั้น

    ................................................................................................​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2008
  3. mali

    mali เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +2,326
    เห็นชื่อพี่มหาก็ต้องรีบเข้ามาอ่าน อ่านแล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะ หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มละ 10 บาทของหลวงพ่อพระราชพรหมยานนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ อ่านเสร็จแล้วก็เก็บรักษาไว้ไม่ให้สูญหายเพื่อจะได้กลับมาอ่านใหม่อีกหลายรอบ เพราะมีคำตอบโดนใจหลายต่อหลายเรื่อง
    จะซื้อไปแจกเพื่อเป็นธรรมทานก็เหมาะสม เพราะไม่ได้ให้สิ่งผิด แถมยังราคาถูก ได้ยินว่ามีหลายท่าน ซื้อไปแจกในงานศพแทนของชำร่วย ขอบคุณมากค่ะที่พี่ส่งมาให้อ่าน
     
  4. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    ทำไม???ใครรู้ช่วยตอบที?

    เมื่อเราเชื่อกันว่า ผีมีจริง, เทวดานางฟ้ามีจริง, สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเครื่องรางของขลังมีจริง, พวกผีเจ้าเข้าทรงมีจริง, และชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตายตัวจากดวงชะตาราศี เป็นต้น ดังนี้แล้ว เราเคยสงสัยหรือไม่ว่า :
    - พวก ผี หรือ พวก เทวดา จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร? (มีอ้วน มีผอม มีสวย มีขี้หร่หรือเปล่า?)
    หากคุณเชื่อเรื่องเหตุปัจจัย แปลกมากๆๆๆที่คุณไม่เชื่อเรื่องกรรมและการกำเนิดเพราะผลที่เราเป็นอยู่ณ. ขณะนี้เกิดจากเหตุที่สั่งสมมาไม่ใช่เหรอ กรรมตกแต่งรูปได้ รูปก็เกิดจากการมีขี้นแห่งภพไม่ใช่เหรอ รูปมีทั้งหยาบและละเอียด แล้วจะแปลกอะไรหากรูปรูปละเอียดที่ตารูปหยาบๆมองไม่เห็น ขนาดแบคทีเรียที่เป็นรูปหยาบตาคุณยังมองไม่เห็นเลยแล้วยังอยากเห็นเทวดา

    - ใช้การติดต่อสื่อสารกันอย่างไร? (ใช้มือถือหรือเปล่า? เดินทางกันยังไง?)
    มือถือมันรูปหยาบนี่นาก็ต้องให้กายหยาบๆอย่างคนใช้ ตัวนกยังไม่เห็นต้องใช้มือถือเลยยังเรียกฝูงมันมาหาได้ด้วยวิธีของมัน
    - อยู่ที่ไหน? (มีสถานะอะไร? ของแข็ง,เหลว,ก๊าซ,หรือพลาสมา,หรือคลื่น?)
    มองขนาดของหยาบๆยังมองไม่เห็นรู้ไม่หมดแล้วจะไปรู้เขาทำไม ถ้าบอกว่าอยู่ไหนแล้วคุณก็ยังสงสียอยู่ดีเพราะคุณมองไม่เห็นทางที่ดีไปฝึกให้เห็นไวรัสด้วยตาเปล่าก่อนดีไหมแล้วคุณอาจเข้าใจอะไรได้ดีกว่านี้
    - พูดภาษาอะไร? (ต้องเรียนภาษาหรือเปล่า? หรือใช้โทรจิต?)
    ภาษาเป็นคำที่บัญญัติขั้นแต่สิ่งที่ออกมาจริงคือเสียงไม่ใช่เหรอ เลียงเป็นคลื่น คลื่นยังเป็นรูปที่หยาบได้ละเอียดได้เลย เช่นโทรทัศน์จากเครื่องส่งมาเครื่องรับในรูปเคลื่องตัวรับต้องเป็นเครื่องแปลงสัญญาณถึงรับได้ หมามันยังมองภาพในทีวีไม่เหมือนคนมองเลยอันนี้วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว

    - เรียนหนังสือหรือเปล่า? (มีโรงเรียนสำหรับเด็กๆหรือเปล่า? มีรับจ๊อบสอนพิเศษหรือเปล่า?)
    ถ้ารูปเกิดจากกรรมวิบาก ทำบุญมาดีผลบุญก็ดีตาม จะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้ไม่มีใครบังคับหรอกหากเรียนจริงเรียนธรรมะพระพุทธที่มันเจนจบไม่ดีกว่าหรือ
    อย่างคนปัจจุบัน บางพวกเผ่าโบราณอยู่อย่างธรรมชาติยังไม่จำเป็นต้องมานั่งเรียนเลย
    - มีบัตรประชาชนผี หรือบัตรประชาชนเทวดาหรือเปล่า? (ถ้ามีบัตรผี จะเรียกว่าบัตรอะไรดีล่ะ?) เผ่าโบราณที่อยู่ตามป่าตกสำรวจ มีบัตรประจำตัวไหม
    - แต่งตัวอย่างไร? (ใส่ชุดสูตร หรือไม่นุ่งผ้า? ถ้ามีไปซื้อจากที่ไหน?) ก็บอกแล้วว่ารูปละเอียดผ้าก็จะต้องละเอียดไปด้วยดิถ้าบอกว่าใสผ้าทิพย์คุณก็ยังสงสัยอยู่ดี อย่าถามให้มากความไปฝึกให้มองเห็นรังสีคลอสมิกหรือไวรัสด้วยตาเปล่าก่อนนะแล้วค่อยมาว่ากันใหม่

    - ถ้าคนทำชั่วตายไปแล้วตกนรก แต่ถ้าคนทำดี ตายไปแล้วได้ขึ้นสวรรค์ แล้วใครมาคอยกำหนด? (ถ้ามีสถานที่เดียว คงงานยุ่งน่าดู วันๆคนตายทั่วโลกมากมาย)
    ก็กรรมและวิบากไงเป็นตัวกำหนด ขนาดคำว่าปัจจุบันยังมีเพราะขณะนี้คือปัจจุบัน อดีตย่อมีเพราะขณะที่แล้วเป็นอดีต อนาคตก็คืออุปาทานของขณะหน้าในขณะปัจจุบันไม่ใช่เหรอซึ่งอนาคตก็ยังมีใช่ไหมเพราะที่เรายืนอยู่นี้เป็นอนาคตของขณะที่แล้ว แล้วคุณจะว่าชาติหน้าไม่มีได้อย่างไร ในเมื่อชาติ คือ ชาตะอันเแปลว่าการกำเนิด หน้าก็เสมือนเป็นอนาคตซึ่งก็คือผลสืบเนื่องจากขณะที่แล้วแค่รูปหยาบคุณยังรู้ไม่เจนจบแล้วจะมานั่งขบคิดถึงรูปละเอียดได้อย่างไร

    - นรก-สวรรค์ตามที่เราเชื่อกันอยู่นั้นมีจริงหรือไม่? อยู่ที่ไหน? ใครสร้าง? สร้างด้วยอะไร? ไปเยี่ยมชมได้หรือไม่? (สวรรค์เหมือนโรงแรมชั้นหนึ่งหรือเปล่า? นรกเหมือนคุกหรือเปล่า?)
    - ทำไม่ ไม่มีใครพาไปเยี่ยมชมนรกบ้าง คนชั่วจะได้กลัว จะได้ไม่ทำความชั่ว โลกจะได้สงบสุข? (ของง่ายๆ พาไปดูเสียหน่อย แค่นี้คนชั่วก็กลัวหัวหดแล้ว)
    ถ้ามันเห็นกันง่ายๆเขาก็ไม่เรียกว่าของละเอียดซิก็บอกแล้วถ้าอยากเห็นอยากพิสูจน์ก็ไปฝึกให้เห็นของหยาบๆเช่นไวรัสด้วยตาเปล่าซะก่อนเถอะ อย่าข้ามขั้นอยากเห็นเทวดาถ้ายังไม่มีปัญญาเห็นการไหลของคลื่นเสียงด้วยตาเปล่า
    - ถ้านรก-สวรรค์ของเรามีจริง แล้วนรกสวรรค์ของประเทศอื่น หรือของศาสนาอื่นเขามีจริงหรือไม่? (ของจริงต้องมีเพียงหนึ่งเดียวซิ อย่างนั้นไม่ใช่ของจริง หรือเป็นของปลอมกันหมด)
    ใช่ของจริงต้องเป้นเอกเสมอแต่บอกคนตาบอดบอกยังไงก็ไม่เห็นอยู่ดีใช่ไหม ก็ประมาณตาบอดคลำช้างแล้วคิดว่าช้างเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ง่ะ
    - แล้วคนที่อยู่ประเทศอื่น หรือนับถือศาสนาอื่น เมื่อตายไป แล้วเขาจะไปขึ้นสวรรค์ที่ไหน? หรือไปตกนรกที่ไหน? (หรือเป็นกุศโลบายหลอกให้คนกลัว เพื่อให้คนไม่ทำชั่วเท่านั้น แต่ก็คงใช้ได้แก่กับเด็กหรือคนมีปัญญาน้อยเท่านั้น ส่วนคนสมัยนี้เขามีปัญญากันมากแล้วคงใช้ไมได้)

    แทนที่จะเสียเวลามานั่งจินตนาการขบคิดไปฝึกซะไปเอาให้เห็นอนุภาคคลื่นด้วยตาเปล่าก่อนนะ เอาแบบ เห็นจริงๆๆนะไม่ใช่คิดเอาว่าเห็น
    เอาง่ายๆ คุณลองฝึกไห้ได้ก่อนนะว่า เช้าตื่นมาจะมีใครมาหาบ้าง ทายตังค์ในกระเป๋าคนให้ถูกจำนวนทุกครั้ง นั่งริมถนนแล้วมองให้รล่วงหน้าู้อย่างถูกต้องว่าเวลาเวลาไหนกี่โมงกี่นาทีรถยี่ห้ออะไรจะผ่านมาคนขับผู้หญิงผู้ชาย มีกีคนในรถ แต่งตัวแบบไหนกันบ้าง คนหนุ่มแก่กี่คนเด็กกี่คน เอาให้ถูกทุกคันที่กำหนดมองนะ ของหยาบๆหากทำได้ก็คงให้คำตอบกับตัวเองได้ ถ้าทำไม่ได้อย่ามัวมานั่งคิดนั่งฝันว่าสิ่งใคจริงไม่จริง อย่า อยากเห็นเทวดา ให้เสียพลังงานสมอง

    มีกระทู้ดีๆของหลวงปู่ ชา สุภัทโท คุณเตชปัญโญไปอ่านนะ ของขยายกรอบความคิดดูบ้าง

    http://palungjit.org/showthread.php?t=133548


    พิสูจน์นักวิทยาศาสตร์

    พระอุปัฏฐากหลวงพ่อรูปหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
    " มีอยู่ครั้งหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์เขามากราบหลวงพ่อ ตอนนั้นผมอยู่ที่กุฏิหลวงพ่อด้วย เขาบอกว่า พุทธศาสนาไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้ คงจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร วิทยาศาสตร์เขาดีกว่า ทำอะไรเขาก็พิสูจน์ได้เยอะ ทำอะไรออกมาก็ปรากฏให้เห็นได้ พุทธศาสนาพิสูจน์ไม่ได้ "
    หลวงพ่อตอบว่า "...เฮ้ย เรายังไม่ทันถึงพุทธศาสตร์ก็ได้เว้ย ก็เหมือนกับว่ามือเรามันสั้น แต่รูมันลึกลงไป เราล้วงมือลงไป มือมันสั้น มันสุดแค่นี้ แต่รูมันยังลึกเข้าไปอีก เราจะปฏิเสธว่า เอ๊ะ รูมันหมดแค่นี้เอง มันจะถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่า ความจริงมือเรามันสั้น เราไม่ได้คิดว่ารูมันลึกเข้าไปกว่านั้น หรือบางทีสายตาของเรามันสั้น เหมือนกับว่า เครื่องบินมันบินไป เครื่องบินนั้นมีอยู่ แต่สายตาของเรามันหมดเสียก่อน ก็เลยไม่เห็นเครื่องบิน แต่เครื่องบินมันยังมีและยังบินไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธว่ามันไม่มี นี้เป็นกุศโลบาย"


    ที่มา http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=14646
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2008
  5. TANAKORN17

    TANAKORN17 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +17
    ขอทุกท่านช่วยตรวจสอบดูซิว่าใครเป็นผู้แต่งหนังสือที่ใช้ในการเรียนการสอน
    พิจารณาดูว่ามีความรู้ทางด้านพุทธศาสนามากน้อยแค่ไหน หลักสูตรที่วางไว้ดีอยู่แล้ว
    แต่หนังสือซึ่งเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้มีความถูกต้องหรือบิดเบือนไปหรือเปล่า
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ข้อเสียจากความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด​

    พุทธศาสนา คือ คำสั่งสอนของท่านผู้รู้ หรือผู้ที่มีสติปัญญาสูงสุด แต่ว่าในปัจจุบันหลักคำสอนของพุทธศาสนาได้ถูกครอบงำจากคำสอนของศาสนาพราหมณ์ จนทำให้หลักคำสอนที่แท้จริงของพุทธศาสนาผิดเพี้ยนไป และไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้นับถืออย่างแท้จริง โดยความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่สำคัญ ที่เข้ามาครอบงำพุทธศาสนาก็คือ ความเชื่อเรื่องจิตหรือวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลกรรมในชาติต่อๆไป ซึ่งความเชื่อเรื่องว่ามีจิตหรือวิญญาณเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลกรรม ตามที่เราเชื่อกันอยู่นี้จะมีผลเสียมากมาย อันได้แก่

    ๑. เห็นแก่ตัว คือเมื่อเชื่อว่าตายแล้วยังจะไปเกิดใหม่ได้อีก และถ้าทำบุญไว้ในชาตินี้ก็จะได้รับผลบุญนั้นอีกอย่างมากมายในชาติหน้า จึงทำให้ผู้ที่มีความเชื่อเช่นนี้เกิดความโลภมากขึ้น โดยจะพยายามกอบโกยทรัพย์สมบัติเอาไว้ในชาตินี้มากๆ แม้จะในทางที่ผิดก็ตาม แล้วก็เอาไปทำบุญเพื่อหวังไปรับเอาในชาติหน้า เหมือนฝากธนาคารเอาไว้เพื่อไปรับเอาในวันต่อไป แต่เมื่อโลภแล้วถูกขัดขวางหรือไม่ได้ตามที่โลภ ก็จะโกรธคนที่มาขัดขวาง แล้วก็ทำให้เกิดการทะเลาะกันหรือทำร้ายกันขึ้นมาอีกอย่างเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน

    ๒. ใจดำ คือทำให้ไม่คิดจะช่วยเหลือคนที่กำลังประสบความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะเชื่อว่านั่นเป็นเพราะเวรกกรมที่เขาทำไว้จากชาติปางก่อน หรือถึงช่วยไปเขาก็ยังต้องไปรับผลกรรมของเขานั้นอีกในอนาคตอยู่ดี ส่วนคนที่ไปช่วยก็ไม่ได้ช่วยเพราะความเมตตา แต่ช่วยเพราะต้องการผลประโยชน์ตอบแทน คือ หวังให้มีคนนับถือยกย่อง หรือหวังผลทางวัตถุในภายหลัง นี่เองที่ทำให้คนที่เชื่อเช่นนี้จะปล่อยให้คนยากคนจนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างหน้าตาเฉย เพราะเชื่อว่านั่นเป็นเวรกรรมของเขาเอง หรือการที่เรากินเลือดกินเนื้อของสัตว์อื่นอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่ได้คิดสงสารสัตว์ที่ต้องตายอย่างทรมานเพื่อมาเป็นอาหารของเรา เพราะเชื่อว่าเป็นเวรกรรมของสัตว์ที่ต้องรับผลเช่นนั้น นี่เองที่ความเชื่อเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อนนี้จะทำให้คนที่เชื่อเป็นคนใจดำหรืออำหิตโดยไม่รู้ตัว

    ๓. ไม่พัฒนา คือเมื่อเชื่อว่า ชีวิตถูกเรื่องเวรรกรมจากชาติปางก่อนกำหนดเอาไว้แล้วก็จะฝืนไม่ได้ ต้องเป็นไปตามเวรกรรมเสมอ ดังนั้นจึงทำให้คนที่เชื่อนี้จะไม่พัฒนา เพราะเชื่อว่าถึงพัฒนาไปถ้ายังไม่หมดเวรกรรมก็จะไม่มีทางเจริญ แต่ถึงจะอยู่เฉยๆ ถ้าหมดเวรกรรมหรือมีโชควาสนาก็จะมีความเจริญขึ้นมาได้เอง นี่เองจึงทำให้คนที่เชื่อเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อนจะไม่พัฒนา และล้าหลัง จนส่งผลให้ประเทศชาติเราล้าหลังอยู่ทุกวันนี้

    ๔. โง่เขลา คือทำให้ผู้ที่เชื่อเรื่องเวรกรรมว่าเป็นสิ่งกำหนดชะตาชีวิตนี้ จะจมอยู่ในความเชื่อที่ไร้เหตุผล และไม่รู้จักใช้ความคิด เพราะเชื่อว่าเราทุกคนถูกกำหนดมาแล้วตายตัวว่าต้องเป็นเช่นนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถึงจะคิดไปก็ไม่มีทางเฉลียวฉลาดขึ้นได้ จึงทำให้ผู้ที่เชื่อเช่นนี้จะถูกมองจากคนที่มีปัญญาว่าเป็นคนไม่รู้จักคิด งมงาย โง่เขลา และเมื่อมีความโง่เช่นนี้ครอบงำ ก็จะทำให้เป็นคนที่ไม่ใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิตและแก้ปัญหา จึงทำให้ชีวิตต้องประสบกับปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่ร่ำไป อีกทั้งสติปัญญาก็จะไม่พัฒนา อันจะทำให้เป็นคนโง่เขลาดักดานไปตลอดชีวิต แล้วก็ส่งผลให้ประเทศชาติมีแต่คนโง่เขลาเต็มไปหมด สักวันก็ต้องตกเป็นทาสของประเทศชาติอื่นที่เขาฉลาดกว่าอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่เปลี่ยนความเชื่อนี้ให้ดีขึ้น

    ๕. เดือดร้อนเป็นทุกข์ คือเมื่อมีความเห็นแก่ตัว ก็จะเอารัดเอาเปรียบหรือเบียดเบียนผู้อื่น แล้วก็จะถูกผู้อื่นเกลียดชังและเบียดเบียนตอบ หรือเมื่อใจดำไม่ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง ก็จะทำให้ถูกเกลียดชังจากสังคม และเมื่อถึงคราวที่ตนเองต้องเดือดร้อนบ้าง ก็จะไม่มีใครอยากจะมาช่วยเหลือ หรือเมื่อไม่พัฒนาก็จะไม่เจริญ แล้วก็จะถูกครอบงำจากผู้ที่เขาเจริญมากกว่า จนต้องตกเป็นทาสเขาไปในที่สุด หรือเมื่อโง่เขลา ก็จะทำให้ชีวิตต้องประสบกับความทุกข์และความเดือดร้อนอยู่ร่ำไป ไม่มีทางที่จะพ้นจากความทุกข์และความเดือดร้อนได้อย่างแท้จริง เพราะคนโง่มักจะทำแต่สิ่งที่จะทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนอยู่เสมอ เช่น ติดอบายมุข ติดสิ่งเสพติด ฟุ่มเฟือย เกียจคร้าน เป็นต้น

    พุทธศาสนาที่แท้จริงจะไม่สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลกรรม เพราะไม่มีทั้งเหตุผลและหลักฐานมายืนยัน แต่จะสอนเรื่องว่าจะดำเนินชีวิตในปัจจุบันอย่างไร จึงจะไม่เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งแก่ตัวเองและสังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และจะสอนให้ใช้เหตุผลมาศึกษาชีวิตที่มีอยู่จริงตามหลักวิทยาศาสตร์ จนเกิดความเข้าใจตัวเองและชีวิต แล้วก็จะทำให้เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัวก็จะเห็นแก่คนอื่นมากกว่า และจะพยายามช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลใดๆตอบแทน แต่ถึงแม้จะทำไม่ได้ก็ไม่โกรธหรือเสียใจ ซึ่งการเข้าใจชีวิตก็จะทำให้มีปัญญาและจะมีการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ อันจะส่งผลให้เป็นคนที่มีแต่ความเจริญก้าวหน้า ทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิต และเรื่องการปฏิบัติเพี่อดับทุกข์ของจิตใจ อันจะส่งผลให้ประเทศชาติเจริญ จึงขอฝากให้ทุกคนสนใจที่จะศึกษาหลักพุทธศาสนาให้เกิดความเข้าใจกันอย่างถูกต้องกันต่อไป.

    เตชปญฺโญ ภิกขุ. ๓๐ พ.ค. ๒๕๔๘
    อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
    (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net หรือ www.whatami.8m.com)
     
  7. tidtou

    tidtou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +442
    เอ่อ คิดอย่างท่านก็คิดได้เท่านั้น นั่นแหละครับ แล้วจะคิดอย่างนี้บ้างได้มั้ยครับพอๆกันffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    ข้อเสียจากความเชื่อที่ว่า ตายแล้วสูญ
    ๑.เห็นแก่ตัว เพราะคิดแค่ว่าเกิดมารับสุขรับทุกข์แค่ชาตินี้ชาติเดียว ตายไปก็หมดสิ้นกัน ดังนั้นควรแสวงหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุดจะดีกว่า เพราะสิ่งที่ทุกคนปรารรถนานั่นก็คือความสุขโดยส่วนตัวเท่านั้นเอง
    ๒.ใจดำ โดยคิดว่าจะช่วยเค้าไปทำไมในเมื่อทำไปก็มิได้เกิดประโยชน์กับตนเอง เกิดมาทั้งทีชาตินี้ชาติเดียว เร่งขวนขวายหาประโยชน์ใส่ตัวจะดีกว่า บุญไม่มีหรอก เอาวิธีไปหาความสุขแบบอื่นๆก็ดีมีอีกเยอะแยะหากความสุขนั่นคือสวรรค์อย่างที่ท่านว่า<O:p></O:p>
    ๓.ไม่พัฒนา คือเมื่อเชื่อว่า ตายแล้วก็สูญบาปกรรมไม่มี ก็แค่สักว่าทำไปตามหน้าที่ในแต่ละวัน พอให้เอาตัวรอดไป ดีบ้างชั่วบ้างไม่ต้องไปสนใจ เพราะบุญบาปไม่มี เอาแค่ให้ดูดีในสายตาผู้อื่นและให้เป็นที่ชื่นชมเท่านั้นก็คงจะพอ จะขวนขวายตัดกิเลสไปทำไมมากมาย ไปวัดยังเหนื่อยและเปลืองค่ารถเลย อ่านหนังสืออยู่บ้านก็ได้นี่มีค่าเท่ากันสร้างภาพเข้าไว้ให้ดูดี แค่นี้ก็เอาตัวรอดได้ละ ตายไปก็เลิกกัน<O:p></O:p>
    ๔.โง่เขลา คือ หลงอยู่แต่ในภาพปัจจุบันว่า การทำดีทำชั่ว คำว่า”เจตนา”ไม่มีความสำคัญ เพราะไม่ส่งผลในเรื่องของบาปบุญ จิต คิดเป็นบาปแต่สร้างภาพว่าเป็นกุศล ให้คนนิยมยกย่องสรรเสริญว่า นี่เป็นคนดี แค่นี้จิตก็เป็นสุขแล้วน่าจะเพียงพอ
    ๕.เดือดร้อนเป็นทุกข์ คือ เมื่อมีความเห็นแก่ตัว โดยคิดว่าชาตินี้เกิดมาชาติเดียว ก็ขวนขวายตักตวงหาแต่ประโยชน์ใส่ตัว อาจจะมีเผื่อแผ่บุคคลอื่นบ้างแต่ก็นึกถึงแต่ความสุขความสบายใจตนเองเป็นสำคัญ หากแต่เมื่อบางสิ่งบางอย่างไม่เป็นไปดั่งใจก็เดือดร้อนกระวนกระวายใจ และเป็นทุกข์ โดยคิดแต่เพียงว่าทำความดีควรจะมีผลตอบแทนกันในชาติปัจจุบัน ชาติหน้าไม่ได้ใช้แล้ว เพราะชาติหน้ามันไม่มี
    แถมให้อีกข้อครับ ๖.ไม่ได้ชื่อว่า เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถ่ายทอดบอกต่อๆกันมา ก็บอกว่าเป็นของพราหมณ์มาผสม จึงเอาความเห็นของตนมาตีความบทพระธรรม ทำให้พระไตรปิฎกคำสอนของพระพุทธศาสนาในภายภาคหน้าขาดความน่าเชื่อถือ และไม่น่าศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติตาม เพราะจะกลายเป็นของพราหมณ์และศาสนาๆอื่นมาผสมกันหมด เอาความเห็นของตนเองเป็นบรรทัดฐานจะดีกว่า คำสอนหรือพระไตรปิฎก หากไม่ตรงกับความเห็นของตนเองคำสอนนั้นก็ผิดหมด
    ๗. กลายเป็นผู้ ไร้ศาสดา ไร้ครูบาอาจารย์ เพราะแม้แต่คำสอนของพระศาสดาหรือครูบาอาจารย์ก็ยังเอามาค้านได้ว่าไม่ถูกต้อง ไม่เป็นความจริง ต่อไปก็คงจะไม่รู้ว่าจะต้องไปเลือกอ่านหรือไปเลือกพระไตรปิฎกเล่มใหนมาปฏิบัติกันแล้ว เพราะหากหัวข้อใหนไม่ถูกกับใจ หรือพิสูจน์ไม่ได้ก็ยกยอดไปว่าแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น(ทั้งๆที่ยังมิได้ปฏิบัติให้เข้าถึงเพื่อเป็นการพิสูจน์เสียก่อน ก็ชิงค้านซะว่ามันเป็นไปไม่ได้ทั้งๆที่ท่านก็สอนไว้ มาตั้งสองพันกว่าปี) แหะๆ ว่าจะไม่แล้วล่ะครับ แต่คนโง่ๆอย่างผมมันอดสงสัยไม่ได้น่ะครับว่า แล้วจะคิดอย่างนี้บ้างได้มั้ย นี่เอาแค่ตื้นๆก่อนนะครับ จริงๆแล้วมันก็ว่ากันไม่จบหรอกครับ แต่หากนักปฏิบัติแล้วไปคัดค้านคำสอนก็ไม่รู้ว่า ไปปฏิบัติมาจากศาสนาใหนแล้วครับ หากตนเองไม่เชื่อหรือยังพิสูจน์ไม่ได้ก็ควรจะกล่าวไว้กลางๆให้ผู้ปฏิบัติธรรมผู้มีปัญญานำไปพิจารณากันเอาเอง ดูจะเป็นการแสดงธรรมแบบบัณฑิตมากกว่า คือตนเองไม่เชื่อ ก็เสนอทางเลือกให้พิจารณา แต่เล่นมาหักล้างคำสอนหรือพระไตรปิฎกที่ท่านถ่ายทอดกันมาตั้ง2500 กว่าปี แบบนี้ ท่านว่าลูกศิษย์ตถาคตควรปฏิบัติหรือครับ<O:p></O:p>
     
  8. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    สวัสดี คุณเตชปัญโญ ยังไม่หายดิ้นรนหาข้อแก้ตัวอีกเหรอ ช่วงนี้เราพอมีเวลาเลยโดดมาเล่นกับคุณด้วย เห็นคุณดิ้นๆหาข้อแก้ต่างจนน่าสงสาร ทำไมคุณไม่เอาเวลานี้ไปฝึกให้เข้าถึงเพื่อพิสูจน์ให้เห็นจริงจะดีกว่า
    เอาง่ายๆคุณมองไม่เห็นหรือว่า arguments ของคุณมันขัดแย้งในตัวมันเอง

    เอางี้นะ มาฟังข้อดีของการเชื่อเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดมั่ง

    1) เมื่อเชื่อเรื่องกรรมก็มี motive ที่จะทำดี สร้างกุศลเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
    2) ใจผ่องใส เพราะเชื่อว่า ทุกข์เกิดจากอกุศลวิบาก น้อมรับผิดชอบต่อผลการกระทำ เร่งสร้างกุศลเพื่อเป็นต้นทุนบุญเพื่อการได้รับความสุขในภายหน้า
    3) พัฒนา จิตและตนเพื่อสิ่งที่ดีกว่าเพราะ เชื่อว่า ชีวิตดีหรือชั่ว ขึ้นอยู่กับผลการกระทำ จึงเร่งทำดี เพื่อการเสวยวิบากดีต่อไป
    4) ฉลาดและมีปัญญา เมื่อเชื่อว่าสร้างเหตุเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ย่อมมีความฉลาดในการดำเนินชีวิตรู้จัก การสร้างเหตุที่ดี เพื่อปลูกสร้างความสุขให้แก่ชีวิต
    หาประโยชน์ในการดำรงชีวิตแบบรู้คุณค่าแท้คุณค่าเทียม ไม่สักแต่ว่าสนองตัณหาทำลายชีวิตด้วยความสุขจอมปลอม(เช่น กินเหล้า เล่นพนันใช้ชวิตเสเพลด้วยคิดว่าเกิดครั้งเดียวแตดันต้องป่วยเพราะโรคร้ายรุมเหล้าในบั้นปลายเพราะใช้ชีวิตเสเพล)

    5) เป็นสุข หากเชื่อเรื่องกรรมและการให้ผลก็ย่อมเป็นผู้เบียดเบียนน้อยเพราะเกรงผลวิบาก
    จะทำอะไรก็ย่อมใคร่ครวญผลการกระทำก่อนเพราะมีความละอายต่อบาป ไม่เอารัดเอาเปรียบเพราะกลัวโดนกรรมสะท้อนกลับ ใจสว่าง มีเมตตารู้จักให้ทานด้วยปารถนาให้ความสุขแก่ผู้รับ(สร้างกุศล) ส่งผลสะท้อนให้ผู้ให้มีความสุข

    เมื่อใจสว่างสงบพอ-ย่อมมีความปารถนาดีต่อทุกคนรอบข้างรู้จักความพอดีแห่งชีวิตด้วยตระหนักถึงคุณค่าแท้ของการดำเนินชีวิต

    หลักฐานการเวียนว่ายตายเกิดและกรรมการให้ผลมีอยู่ดาษดื่นกรุณาใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงตามชื่อที่ตั้งมาะค่ะคุณเดชแห่งปัญญา
    ชื่อดีแตจะเป็นมงคลกว่านี้ถ้าหากจะรู้จักปฏิบัติให้เห็น

    เหตุผลง่ายๆเมื่อคุณอยู่คอนโด ชั้นสอง คุณมีปัญญามองเห็นคนที่อยู่ชั้น เจ็ดไหม
    หากคุณไม่สามารถขึ้นชั้นที่สูงกว่าคุณมองลงล่างทุกวันแล้วก็กล่าวกับตัวเองว่า ฮ่าๆๆๆ ข้าพเจ้าอยู่สูงที่สุดแล้ว อย่างนี้เรียกว่าอับเฉาโฉดเขลาโง่งมไหม

    ขอยกตัวอย่างผู้ที่เป็นเลิศที่สุดในเมืองไทย คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านตรัสว่า ชื่อท่าน คือ ดิน ให้เหยียบดิน อย่าลอยๆๆ นี่แหละ คือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ชนะใดๆๆ ในโลกหล้ามิเท่าชนะใจตน
    คุณหละ คุณเดช คุณอ่านคัมภีร์ ศึกษาพระไตรปิฏก ตีความไปเองทวนกระแสความเชื่อของพระอริยะสงฆ์ผู้ใหญ่ คุณมองเห็นอัตตาหนาเตอะในตัวคุณบ้างหรือเปล่า พูดมากๆๆก็เหนือยด้วยประโยชน์ผลที่คุณไม่พึงเห็น แต่อย่างน้อยๆคนอ่านทีคนอื่นอาจเห็นบ้างก็นับว่ามีประโยชน์ที่พูดยาวๆ

    ทางที่ดีข้าพเจ้าคิดว่าคุณควรไปฝึกกรรมฐานดีกว่านะแต่ก็คงลำบากเพราะสัมมาทิฏฐิไม่มี
    ขอส่งความปรารถนาดีอย่างจริงใจ และหากบารมีธรรมคุณยังมีหวังใจว่าบารมีพระไตรรัตน์ท่านช่วยดลให้คุณมีสัมมาทิฏฐิก่อนสิ้นภพชาตินี้ก็แล้วกันเพราะหากคุณลงนรกคงยาวกว่าท่านเทวทัตแน่เพราะท่านได้พระบรมครูช่วย แต่คุณไม่มีใครช่วยแล้วนะถ้าไม่ช่วยดึงตัวเองขึ้นมา
     
  9. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    อัตตา หมายถึงอะไร?

    อัตตา เกิดขึ้นได้อย่างไร?

    อัตตา มีลักษณะอย่างไร?

    อะไรบ้างที่เป็นอัตตา?

    อนัตตา หมายถึงอะไร?

    อนัตตา เกิดขึ้นได้อย่างไร?

    อนัตตา มีลักษณะอย่างไร?

    อะไรบ้างที่เป็นอนัตตา?

    แล้วสิ่งที่เป็น "เรา" คืออะไร? มันเป็นอัตตา หรืออนัตตา?

    ใครรู้ช่วยตอบที??????

    เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ www.whatami.net หรือ www.whatami.8m.com)
     
  10. dearestguardian

    dearestguardian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    306
    ค่าพลัง:
    +1,418
    มาแล้วจ้ามาแจมดิสคัสชั่น จากอันนี้คงจะไม่ได้เข้าอีกนานเพราะมีงานต้องทำหวังใจว่าคุณเตจะเข้าใจให้ตรงได้นะ ไม่มีเวลาอธิบายละเอียดกวา่านี้

    อัตตา หมายถึงอะไร?
    คือความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตนแบ่งเขาแบ่งเรามีผู้รู้ผู้ดูผู้คิด

    และสิ่งที่ถูกรู้ถูกดูถูกคิดเหทือนกับคุณเองที่รู้สึกอยู่ขณะนี้ว่า

    คุณเป็นผู้คิดและยึดว่าความคิดคุณถูกทั้งๆที่มันผิด logics มาก
    อัตตา เกิดขึ้นได้อย่างไร?
    เกิดจากธาตุรู้ทำปฏิกริยากับดินน้ำลมไฟนานเข้าๆทำให้เกิด

    ขัณฑ์ ๕ คือรูป อารมณ์ความจำความคิดการรับรู้จากละเอียด

    เมื่อสัมผัสนานเข้านานเข้ารูปก็หยาบขึ้นๆๆ

    ทีแรกธาตุรู้ก็รู้เฉยๆๆแต่พอทำปฏิกริยานานเข้าก็มีการแลก

    เปลี่ยนพลังงาน เก็บกักพลังงาน(อาสวะ) พอทำปฏิกริยาเข้าก็

    มีการเทียบของใหม่กับของเก่า(สัญญาขัณฑ์)เข้าปรับเปลี่ยน

    แต่งเติม(สังขารขัณฑ์)สร้างเสริมตัวรับแยกอารมณ์เพิ่ม(

    วิญญาณขัณฑ์)

    อัตตา มีลักษณะอย่างไร?

    การสับสนกับระหว่างธาตุรู้ดั้งเดิมกับตัว

    วิญญาณขัณฑ์นี่เองเป็นบ่อเกิดแห่งอวิชชาคือการหลงรู้ หรือ

    ความโง่ จึงทำให้หลงรู้หลงยึดว่ามีตัวตน
    อะไรบ้างที่เป็นอัตตา?
    ก็อะไรก็ตามที่ทมีความรู้สึกแห่งชีวิตและตัวตน หรือ ทุกสิ่งที่

    มีวิญญาณครอง เช่นคน สัตว์ ผี เทวดา
    อนัตตา หมายถึงอะไร?
    อนัตตาหมายถึงสภาวะที่เข้าถึงธาตุรู้โดยตรงโดย ไม่ติดข้อง

    ให้มีผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ องค์ประกอบแห่งอนนัตตาต้องเป็นไป

    โดยการซึ้งถึงธรรมชาติแท้แห่งการเป็นชีวิต(ต้องเป็นไปโดย

    สัมมาทิฏฐิด้วยนะ) คือองค์ประกอบแห่งชีวิต คือ ธาตุรู้(จิต)ม

    ธาตุ 4 ขัณฑ์ 5 ที้งหมดเป็นธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนทรงตัวไม่

    ได้ ไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา
    อนัตตา เกิดขึ้นได้อย่างไร?
    อนัตตาไม่มีการเกิด ไม่ดับไม่มาไม่ไปทันเป็นเช่นนั้นเอง

    เหมือนดินน้ำลมไฟ ธรรมชาติทั้งสิ้นทั้งปวงคุณหาแหล่ง

    กำเนิดได้ไหม
    อนัตตา มีลักษณะอย่างไร?
    มีลักษณะเป็นธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้
    อะไรบ้างที่เป็นอนัตตา?
    ก็ ดินน้ำฟลม ธรรมธาตุ โลกธาตุทั้งหมดนั่นแหละเพราะมัน

    ไม่ใช่ตัวตนควบคุมไม่ได้
    แล้วสิ่งที่เป็น "เรา" คืออะไร? มันเป็นอัตตา หรืออนัตตา?
    คำว่าเรา คือคำสมมุติบํญญัติแทน ธรรมชาติแห่งจิตและขัณฑ์

    5 แต่ในความเป็นจริงไม่มีเราในธาตุ4 ขัณฑ์ 5 สักแต่ว่าเป็น

    ธาตุขัณฑ์ เป็นธรรมชาติที่เกิดดับแต่เนื่องจากเรายึดมันมา

    นานการยึดหรือการตั้งเจตนานี้เองทำให้มีการเกิดแห่งภพภูม

    เพื่อรองรับกุศลและอกุศลเจตนาขึ้น

    ใครรู้ช่วยตอบที??????ตอบแล้วแต่เกรงว่าคุณจะไม่เข้าใจในคำตอบนะ ไม่มีเวลาพูดยาวๆๆด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2008
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เราจะยอมรับความจริงหรือไม่ว่า...
    ***********************************​

    พุทธศาสนา หมายถึง คำสั่งสอนของท่านผู้รู้ หรือผู้มีปัญญา แต่ในปัจจุบัน สิ่งที่แสดงออกมา กลับไม่ได้แสดงถึงความมีปัญญาเลย

    คือแสดงถึงแต่เรื่องที่งมงายไร้เหตุผล และไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างแน่ชัด มีแต่เรื่องเล่าต่อๆกันมาเท่านั้น ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า เนื้อหาของพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้ไม่ใช่เนื้อหาของผู้มีปัญญาที่แท้จริงเสียแล้ว​

    สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ใครๆก็จะรู้และเข้าใจกันอย่างง่ายๆ อย่างที่เรารู้และเข้าใจกันอยู่นี้เป็นแน่ เพราะถ้ามันเป็นเรื่องง่ายๆเช่นนี้แล้ว ก็คงไม่เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นแน่ใช่หรือไม่?

    เราจะเอาอะไรเป็นเครื่องวัดว่าคำสอนใดเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง และคำสอนใดไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าจริง?

    ถ้าเราเชื่อว่า คำสอนเรื่องการเกิดใหม่ เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้นนี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าคำสอนนี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ?

    หรือเราเชื่อเพรามีพระไตรปิฎกอ้างอิง?

    แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่า เนื้อหาในพระไตรปิฎกนั้นเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอย่างไม่ผิดพลาด?

    พระไตรปิฎกคือตำราที่มีการคัดลอกต่อๆกันมา แล้วมันสามารถที่จะถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากเดิมได้หรือไม่?

    เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเนื้อหาในพระไตรปิฎกนั้นไมได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนมาก่อน?

    ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงรู้เรื่องดี จึงไม่สอนให้ศิษย์ไปเชื่อถือตำราพระไตรปิฎกอย่างไม่ลืมหูลืมตา...

    เพระถ้าตำราพระไตรปิฎกนั้นถูกแก้ไขเปลี่ยน
    แปลงให้ผิดเพี้ยนมาก่อน คนที่เชื่อก็จะได้รับคำสอนที่ผิดไปด้วยใช่หรือไม่?

    หรือเราเชื่อตามครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่เขารับรองว่าพระไตรปิฎกนั้นถูกต้อง?

    แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าครูอาจารย์นั้นเขามีความรู้ถูกต้องไม่ผิดพลาด?

    หรือเราเชื่อว่าครูอาจารย์นั้นเขาเป็นพระอริยะแล้ว?

    และเรารู้ได้อย่างไรว่าครูอาจารย์นั้นเขาเป็นพระอริยะแล้ว?

    ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงรู้เรื่องนี้ดี จึงไม่สอนให้ศิษย์ไปเชื่อถือครูอาจารย์อย่างไม่ลืมหูลืมตา....

    เพราะถ้าครูอาจารย์บังเอิญโง่อยู่ก่อนแล้วโดยไม่รู้ตัว คนที่ไปเชื่อถือก็จะพลอยโง่ตามกันไปหมดใช่หรือไม่?


    ********************

    ในพระไตรปิฎกก็มีหลักกาลามสูตรที่สอนว่า อย่าเชื่อจากตำรา อย่าเชื่อจากครูอาจารย์ เป็นต้น อยู่แล้ว

    แล้วทำไมเราไม่นำหลักกาลามสูตรมาใช้ ?

    แต่บางคนก็อาจโต้แย้งว่า งั้นเราก็อย่าเชื่อหลักกาลามสูตรซิ? เพราะหลักกาลามสูตรสอนว่าอย่าเชื่อจากตำรา? ซึ่งก็ถูก...

    แต่เมื่อหลักกาลามสูตรนี้ เมื่อเราทดลองนำมาใช้แล้ว ทำให้เราเกิดปัญญา เราก็เชื่อได้ แต่ถ้าไม่ทำให้เราเกิดปัญญา เราก็ไม่ควรเชื่อ ใช่หรือไม่ ?

    ******************************
    หลักกาลามสูตรจะสอนให้เราค้นคว้าหาความจริงของชีวิต โดยใช้ชีวิตของเราจริงๆในปัจจุบันมาศึกษา โดยจะใช้เหตุใช้ผลในการศึกษา และมีการทดลองปฏิบัติจากของจริง ก็จะทำให้เราสามารถพบกับความจริงของชีวิตได้ด้วยสติปัญญาของเราเอง โดยไม่ต้องเชื่อจากใครๆ แม้จากพระพุทธเจ้าเองก็ตาม

    (เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ www.whatami.net หรือ www.whatami.8m.com)
     
  12. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เฮ้อ...เราว่า ตูเนี้ย โง่มากแล้วนะ ใครหนอ ช่างไม่ส่องกระจก บ้างเล๊ย หลงตัวเจง ๆ[Embarrass
     
  13. forever_love

    forever_love Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +43
    The Buddha said

    The Buddha said :


    My doctrine is to think the thought that is unthinkable; to practice the deed that is not doing; to speak the speech that is inexpressible; and to be trained in the discipline which is beyond discipline. Those who understand this are near; those who are confused are far. The way is beyond words and expressions, is bound by nothing earthly. Lose sight of it to an inch or miss it for a moment, and we are away from it forever more.






    .
    ..
    ....

    " This sutra is one of the most important, one of the very central to Buddha's message. The very essence of his message is there like a seed. Go patiently with me into it, try to understand it. Because if you understand this sutra, you would have understood all that Buddha wants you to understand. If you miss this sutra, you miss all. " ....... Osho



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2008
  14. forever_love

    forever_love Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +43
    The Buddha said :

    My doctrine is to think the thought that is unthinkable; to practice the deed that is not doing; to speak the speech that is inexpressible; and to be trained in the discipline which is beyond discipline. Those who understand this are near; those who are confused are far. The way is beyond words and expressions, is bound by nothing earthly. Lose sight of it to an inch or miss it for a moment, and we are away from it forever more.




    ข้างบนนี้ เป็น chapterหนึ่ง ของ "The Sutra of Forty-Two Chapters"

    ที่ผมนำมาจาก หนังสือ The Buddha said (ซึ่งเป็นหนังสือที่มาจากคำบรรยายของ Osho ครับ)




    .
     
  15. อุดรเทวะ

    อุดรเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,925
    ค่าพลัง:
    +130
    ผมคิดว่าเชิญผู้ทรงคุณวุฒิในด้านนี้หลายๆท่านมารื้อหลักสูตรและปรับปรุงกันใหม่เลยดีกว่ามั๊ยครับ จะได้ทำความเข้าใจได้ถูกต้องไม่หลงทาง
     
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ผมคิดว่าเชิญผู้ทรงคุณวุฒิในด้านนี้หลายๆท่านมารื้อหลักสูตรและปรับปรุงกันใหม่เลยดีกว่ามั๊ยครับ จะได้ทำความเข้าใจได้ถูกต้องไม่หลงทาง

    *******************

    **เป็นความคิดที่ดี แต่ใครจะทำ เมื่อต่างคนก็ต่างถือว่า "ไม่ใช่หน้าที่" และไม่มีผลประโยชน์**

    **ผู้ที่จะแสดงความคิดเห็นได้เช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ แสดงว่ามีจิตที่ดีงาม มีสมาธิ มีปัญญา และมีใจเป็นกลาง น่าชื่นชม น่าคบหา**

    (เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ www.whatami.net หรือ www.whatami.8m.com)
     
  17. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อ่านแล้วเศร้าใจมากค่ะ สาวกที่ได้รับการขานนาคเข้ามาสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ทำไมถึงสอนขัดแย้งกับพุทธพจน์
    ทรงสอนให้ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง
    ซึ่งต้องเริ่มต้นที่การปฏิบัติสัมมาสมาธิ จึงจะรู้จัก กิเลส กรรม วิบาก เป็นอย่างดี
    ว่า กิเลสกดดันให้เกิดกรรม กรรมกดดันให้เกิดวิบาก วิบากกดดันให้เกิดกิเลส
    เป็นวัฏฏะ ๓ หมุนเวียนในสังสารวัฏฏ์
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    อ่านแล้วเศร้าใจมากค่ะ สาวกที่ได้รับการขานนาคเข้ามาสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ทำไมถึงสอนขัดแย้งกับพุทธพจน์
    ********************

    **ใคร่อยากถามว่า "พุทธพจน์ ที่หมายถึง พระดำรัสของพระพุทธเจ้านั้นอยู่ที่ไหน?***

    **และรู้ได้อย่างไรว่า นั่นเป็นพระดำรัสที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า?**

    **อย่าเอาแต่ว่าคนอื่นผิด จงตรวจสอบตัวเองให้ถูกต้องก่อน แล้วจึงไปตรวจสอบผู้อื่น***

    **คนโง่มักมองแต่ความผิดของคนอื่น โดยไม่มองความผิดของตัวเอง**

    **จะเข้าตำรา เส้นผมบังภูเขา**

    **ถ้าใครแน่จริงจัดเวทีโต้ธรรมะขึ้นมา แล้วหาผู้ทรงคุณวุฒิมาฟัง อาตมายินดีไปสนทนาด้วย**

    (เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ www.whatami.net หรือ www.whatami.8m.com)
     
  19. tidtou

    tidtou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2007
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +442
     
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    มหาปรินิพพานสูตร
    พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดาครั้นได้ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า<O:p</O:p


    </PRE>
    [๘๗]เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามเป็นจริง
    เราและพวกเธอจึงท่องเที่ยวไปในชาตินั้นๆสิ้นกาลนาน
    เราได้เห็นอริยสัจ ๔ เหล่านั้นแล้ว
    <O:p</O:pเราถอนตัณหาอันจะนำไปสู่ภพเสียได้แล้ว
    มูลแห่งทุกข์เราตัดได้ขาดแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี ดังนี้ ฯ

    จาก http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=1888&Z=3915&pagebreak=0<O:p
    ธรรมะพุทธองค์ ไม่ได้มีไว้ให้โต้เถียงกับใครหรือยกตนข่มท่าน<O:p</O:p
    มีไว้เพื่อให้ลงมือปฏิบัติอริยมรรค ๘ เพื่อให้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง<O:p</O:p
    ให้รู้จักทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์<O:p</O:p

    ควรเร่งเจริญธรรมตามทางที่พระองค์ทรงตรัสไว้ จะดีกว่าหาความรู้จากสัญญา ซึ่งเป็นความรู้ทางโลก<O:p</O:p
    ความรู้ทางธรรม คือ ปัญญา เกิดได้จากการลงมือปฏิบัติสัมมาสมาธิเท่านั้นค่ะ ^_^<O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...