ฤๅจะเป็นพระราชปณิธานที่หาญมุ่งขององค์มหาราชพระองค์ดำ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ภาวิโต, 12 พฤษภาคม 2008.

  1. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ไปค้นมาให้อ่านจะได้ทราบอะไรดีขึ้นท่านทั้งหลาย : BlogGang.com
    จากสำเนาเอกสาร เรื่อง ๔๐๑ ปี วันสวรรคต พระนเรศวร วีรกษัตริย์รักชาติซึ่งเป็นบทคำกล่าวของพิธีกรตอนหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับวัดวรเชษฐ์ ดังนี้
    “วัดวรเชษฐ์ ขณะสถานที่สวรรคตยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าอยู่บริเวณไหนกันแน่ การค้นคว้าหาพื้นที่ถวายพระเพลิง การเคลื่อนพระบรมศพ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าตั้งอยู่บริเวณใด แต่เป็นที่เชื่อกันว่า “วัดวรเชษฐาราม” (นอกเกาะ) ซึ่งดูตามชื่อและหลักฐานที่ปรากฏในกฎหมายพระเอกาทศรถ เพื่อการถวายพระเพลิงและเก็บพระอัฐิ อีกทั้งลักษณะของปรางค์ ซึ่งได้รับอิทธิพลของเขมร ม.จ.ชาตรี เฉลิมยุคล บอกว่า มีการสันนิษฐานกันว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นที่ปลงพระศพของสมเด็จพระนเรศวร เพราะมีถนนโบราณออกจากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่นำพระโกศมาตามประเพณีต้องวนเวียนก่อน ๓ รอบ ก่อนจะนำขึ้นมาปลงพระศพ”
    ในหนังสืออธิบายภูมิสถาน กรุงศรีอยุธยา ๔๑๗ ปี แลหลังครั้งบ้านเมืองดี ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์ แต่ง ชมรมเด็กพิมพ์ เลขที่ ๑๒๒/๑๐๗ – ๑๑๐ ถนนประชาอุทิศ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กทม (๑๐๑๔๐) ปรากฏชื่อวัดวรเชษฐ์ในหน้าที่ ๑๘๗ กล่าวว่า “สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีความเห็นว่า พระเอกาทศรถเป็นผู้สร้างพระมงคลบพิตร เพื่ออุทิศส่วนกุศล และเฉลิมพระเกียรติให้แก่สมเด็จพระนเรศวรผู้เป็นพระเชษฐาและเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่แก่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งนอกจากสร้างวัดวรเชษฐารามมหาวิหารอันเป็นวัดฝ่ายอรัญวาสี ให้แล้ว” (วัดวรเชษฐารามหลังพระราชวังหลวงข้างวัดวรโพธิ์เป็นวัดเล็กนิดเดียวดูไม่สมพระเกียรติยศเลย ถ้าเป็นจริงน่าจะเป็นวัดวรเชษฐ์ ริมทุ่งประเชด นอกเกาะเมือง)
    วัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) อยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะเมือง อยู่ในเขตการปกครองของ ตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือวัดวรเชษฐ์ที่กล่าวในคำให้การชาวกรุงเก่าและคำให้การขุนหลวงหาวัด และมีชื่อปรากฏอยู่ในบัญชีวัดร้างด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระยาโบราณราชธานินทร์(พร เตชะคุปต์) เดิมเคยชื่อวัดป่าแก้ว ตามข้อสันนิษฐานของ น.ณ ปากน้ำ และสันนิษฐานตามหลักฐานที่ปรากฏว่า สมเด็จพระเอกาทศรถได้ใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ส่วนชื่อวัดวรเชษฐ์น่าจะรับได้รับพระราชทานชื่อใหม่จากสมเด็จพระเอกาทศรถ หากอ่านหนังสือให้ดี ๆ ก็จะพบว่าในคำให้การชาวกรุงเก่าก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่าแล้ว ดังข้อความที่ว่า “ จึงให้ทำพระเมรุถวายพระเพลิงพระเชษฐาธิราช แล้วทรงสร้างวัดอุทิศพระราชกุศลถวายพระเชษฐาธิราช วัด ๑ พระราชทานนามว่า วัดวรเชษฐ์ แล้วให้หล่อพระพุทธรูปใหญ่สูง ๑๘ ศอก พระองค์ ๑ หุ้มด้วยทองคำหนัก ๑๗๙ ชั่ง ถวายพระนามว่าพระศรีสรรเพชญ์ ครั้นสำเร็จแล้วให้สร้างวัดในเมืองอีก ๒ วัด คือ วัดราชวงศ์ วัด ๑ วัดโพธาราม วัด ๑”
    ข้อความว่าวัดในเมืองอีก ๒ วัด ดังนั้นวัดที่กล่าวมาก่อนแล้วก็ต้องเป็นวัดที่มีที่ตั้งอยู่นอกเมือง คือวัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) ซึ่งในปัจจุบันมีทางหลวงหมายเลข ๓๒๖๓ ผ่านด้านทิศเหนือของวัดซึ่งเป็นถนนสาย อยุธยา – สุพรรณบุรี ส่วนวัดวรเชษฐาราม(ในเกาะ) ไม่ใช่วัดวรเชษฐ์ ที่สมเด็จพระเอกาทศรถพระราชทานนาม หากดูชื่อก็แตกต่างกันแล้ว ผู้คนในสมัยรัตนโกสินทร์เองต่างหากที่ทำให้สับสนจึงควรเรียกชื่อให้ถูกต้อง ไม่ใช่วัดวรเชษฐ์มี ๒ วัด แต่มีเพียงวัดเดียวเท่านั้น คือวัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ ) ส่วนวัดวรเชษฐาราม ที่อยู่หลังพระราชวังหลวง อยู่ติดกับวัดวรโพธิ์ นั้น ประทุม ชุ่มเพ็งพันธ์ ก็ยังมีข้อสันนิษฐานว่าไม่ใช่วัดวรเชษฐ์ที่สมเด็จพระเอกาทศรถ พระราชทานนาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  2. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ผู้เรียบเรียงเองเป็นแค่มือสมัครเล่นเพียงอยากให้เพื่อนๆน้องๆได้ทราบพระราชประวัติขององค์พระมหากษัตริย์มหาราชพระองค์หนึ่งที่ทุ่มเทชีวิตจิตใจ เสียสละความสุขส่วนพระองค์ให้กับส่วนรวม พระองค์ยอมทนลำบากพระวรกายเพื่อให้ประชาชนคนไทยได้พบกับอิสรเสรีภาพ ไม่ต้องตกเป็นทาสของคนต่างชาติต่างภาษาและวัฒนธรรม และไม่ต้องถูกย่ำยีร่างกายและจิตใจต่อไป ทำให้คนไทยเรามีแผ่นดินที่อาศัยอย่างสงบสุขได้จนทุกวันนี้
    นอกจากองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้วเรายังมียอดวีรกษัตริย์อีกพระองค์ หนึ่งที่กอบกู้เอกราชในลักษณะเดียวกันนั่นคือองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งพระองค์ทรงมีพระวีรกรรมที่เสียสละยิ่งใหญ่อย่างมาก :BlogGang.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  3. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ขออนุโมทนา และขอบพระคุณท่านผู้เรียบเรียงพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ใน BlocgGang.com ไว้ ณโอกาสนี้ด้วยครับ
     
  4. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    "สู้จนสูญเสียแม้ชีวิตของท่าน เพื่อรักษาบ้านเมืองไว้ให้เรา"
    ขอถวายบังคมแทบฝ่าพระบาทองค์พระมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ของชาวไทย
     
  5. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    [​IMG]
     
  6. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2505 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิดศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดพิษณุโลก และได้มีพระราชดำรัสในตอนหนึ่งว่า ".....ในการกอบกู้เอกราชและเสริมความมั่นคงแก่ชาติบ้านเมืองเป็นลำดับมานั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและบรรพบุรุษของเราทั้งหลาย ต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานาประการมาด้วยความเหนื่อยยากและความเสียสละแล้วเพียงไร ก็ทราบกันอยู่แล้ว ฉะนั้นควรที่เราทั้งหลายจะพยายามช่วยกันรักษามรดกอันล้ำค่า ซึ่งได้ตกทอดมาถึงเราไว้ให้ดี อย่าให้สูญสลายไปได้..."
     
  7. อิออน

    อิออน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    อาจจะมีความเห็นที่แตกต่างออกไปหน่อยนะคะ คือว่า ได้ทราบข้อมูลจากพระว่าพระนเรศวรมหาราชในปัจจุบันชาติ คือพระอรหันต์องค์หนึ่ง (สายพระป่า)ถ้าเอ่ยนามทุกท่านต้องรู้จัก และช้างทรงของท่านก็เป็นพระอรหันต์(ลูกศิษย์)ในปัจจุบันชาติเช่นกัน จะติดตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง และท่านก็ยังทำภารกิจกู้ชาติอีกเช่นเคย ในอีกรูปแบบที่พระผู้เสร็จกิจทางศาสนาแล้วก็หันมาช่วยทางโลก และท่านทั้งสองยังไม่ละสังขาร อายุห่างกันราว 10 พรรษา สมาชิกพลังจิตจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับดิฉันเชื่อว่าพระท่านไม่ผิดศีล สายพระป่าจะรู้เรื่องนี้กันดี ท่านยังพูดกันในหมู่พระว่า ลูกศิษย์ท่านเคยพูดว่าเกิดมาทีไรไม่เคยได้เป็นคนเลย เพิ่งได้เป็นคนในภพชาตินี้ เกิดมาทีไรก็ให้.....อาจารย์ท่านขี่ทุกชาติมา และเมื่อพูดถึงสงครามยุทธหัตถีท่านก็พูดในเชิงหยอกกันว่าถ้าท่านไม่ฮึดสู้คราวนั้น (หมายถึงตอนที่ท่านเป็นช้างทรงของพระนเรศวร) อาจารย์เราก็ไม่ชนะ พระที่ได้ฟังก็หัวเราะชอบใจกัน และเรื่องแบบนี้ไม่มีให้ฟังทั่วไปแน่ ๆ นอกจากจะหลุดออกมาจากพระที่ได้ฟังมาแล้วอดไม่ได้ที่จะเล่าให้เราฟัง เราเองก็เป็นลูกศิษย์ท่านคนหนึ่ง จึงอดที่จะมาเล่าต่อไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละเป็นเรื่องที่จะเชื่อได้ยากสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการพระป่า
    เอาเป็นว่าเป็นข้อมูลอีกแง่มุมหนึ่งก็แล้วกัน อันที่จริงในเรื่องของภพชาตินี้แต่ละคน แต่ละคนก็ผ่านมาสูง ๆ ต่ำ ๆ นับไม่ถ้วน และครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้เอามาพูดถึงกันมันจะยุ่ง ถ้าต้องการทราบชื่อท่านทั้งสองเราเองก็ไม่อยากปิดบังนะ เอาเป็นว่าถ้าอยากทราบจริง ๆ ก็จะบอก คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เราจะบอกตามที่ได้รับฟังมา เดี๋ยวจะว่าเอาเรื่องอะไรมาพูดให้ฟัง
    ให้ถามทาง E mail เอาก็แล้วกัน ติดต่อได้ที่ a_gogoga@hotmail.com ยินดีตอบ
    ส่วนผู้ที่ไม่สนใจก็ขออภัยด้วยนะคะที่มีความเห็นที่แหวกแนวจริง ๆ ( ความแหวกแนวนี้หวังว่า สมาชิกที่ชื่อ ใบไม้นอกกำมือ คงจะเข้าใจนะคะ)
     
  8. อิออน

    อิออน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    อาจจะมีความเห็นที่แตกต่างออกไปหน่อยนะคะ คือว่า ได้ทราบข้อมูลจากพระว่าพระนเรศวรมหาราชในปัจจุบันชาติ คือพระอรหันต์องค์หนึ่ง (สายพระป่า)ถ้าเอ่ยนามทุกท่านต้องรู้จัก และช้างทรงของท่านก็เป็นพระอรหันต์(ลูกศิษย์)ในปัจจุบันชาติเช่นกัน จะติดตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง และท่านก็ยังทำภารกิจกู้ชาติอีกเช่นเคย ในอีกรูปแบบที่พระผู้เสร็จกิจทางศาสนาแล้วก็หันมาช่วยทางโลก และท่านทั้งสองยังไม่ละสังขาร อายุห่างกันราว 10 พรรษา สมาชิกพลังจิตจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับดิฉันเชื่อว่าพระท่านไม่ผิดศีล สายพระป่าจะรู้เรื่องนี้กันดี ท่านยังพูดกันในหมู่พระว่า ลูกศิษย์ท่านเคยพูดว่าเกิดมาทีไรไม่เคยได้เป็นคนเลย เพิ่งได้เป็นคนในภพชาตินี้ เกิดมาทีไรก็ให้.....อาจารย์ท่านขี่ทุกชาติมา และเมื่อพูดถึงสงครามยุทธหัตถีท่านก็พูดในเชิงหยอกกันว่าถ้าท่านไม่ฮึดสู้คราวนั้น (หมายถึงตอนที่ท่านเป็นช้างทรงของพระนเรศวร) อาจารย์เราก็ไม่ชนะ พระที่ได้ฟังก็หัวเราะชอบใจกัน และเรื่องแบบนี้ไม่มีให้ฟังทั่วไปแน่ ๆ นอกจากจะหลุดออกมาจากพระที่ได้ฟังมาแล้วอดไม่ได้ที่จะเล่าให้เราฟัง เราเองก็เป็นลูกศิษย์ท่านคนหนึ่ง จึงอดที่จะมาเล่าต่อไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละเป็นเรื่องที่จะเชื่อได้ยากสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการพระป่า
    เอาเป็นว่าเป็นข้อมูลอีกแง่มุมหนึ่งก็แล้วกัน อันที่จริงในเรื่องของภพชาตินี้แต่ละคน แต่ละคนก็ผ่านมาสูง ๆ ต่ำ ๆ นับไม่ถ้วน และครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้เอามาพูดถึงกันมันจะยุ่ง ถ้าต้องการทราบชื่อท่านทั้งสองเราเองก็ไม่อยากปิดบังนะ เอาเป็นว่าถ้าอยากทราบจริง ๆ ก็จะบอก คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เราจะบอกตามที่ได้รับฟังมา เดี๋ยวจะว่าเอาเรื่องอะไรมาพูดให้ฟัง
    ให้ถามทาง E mail เอาก็แล้วกัน ติดต่อได้ที่ a_gogoga@hotmail.com ยินดีตอบ
    ส่วนผู้ที่ไม่สนใจก็ขออภัยด้วยนะคะที่มีความเห็นที่แหวกแนวจริง ๆ ( ความแหวกแนวนี้หวังว่า สมาชิกที่ชื่อ ใบไม้นอกกำมือ คงจะเข้าใจนะคะ)
     
  9. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    [​IMG] วันอาสาฬหบูชาเป็นวันบูชาที่สำคัญที่สุดวันหนึ่งในพระ
    พุทธศาสนา ตรงกับวันพระจันทร์เต็มดวง ขึ้น15 ค่ำ เดือน 8 คือ
    เดือนอาสาฬหะ เป็นวันที่เจ้าชายสิทธัตถะ หลังจากได้ทรง
    ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ทรงเป็นสมเด็จพระ
    บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ 2 เดือน ได้ทรงแสดง
    พระปฐมเทศนา ทรงประกาศพระธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็นครั้ง
    แรกโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุง
    พาราณสี ท่านโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม รู้ว่า ​
     
  10. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ขออนุโมทนาและขอบพระคุณ คุณอิออน เป็นอย่างยิ่งครับ ที่สนใจและกรุณาโพสต์เข้ามาร่วม ผมจะขอรบกวนติดต่อกลับไปนะครับ
     
  11. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา"
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    ภาพวัดวรเชษฐ์

    ภาพวัดวรเชษฐ์ อยุธยา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    จังหวะพอดีที่ประจวบกันที่คุณอิออนได้โพสต์ถึงพระอรหันต์(สายวัดป่า) 2 องค์ที่มีนัยเกี่ยวพันกับสมเด็จพระนเรศวรและเป็นระยะเริ่มฤดูการเข้าพรรษา จึงน่าที่จะนำเรื่องราวทางด้านการพระศาสนามาเพิ่มเติมจากเดิมที่ได้กล่าวถึงไว้เพียงเล็กน้อย "..ในช่วงเวลาเข้าพรรษา พระองค์มีรับสั่งห้ามทุกคนดื่มสุรา ให้ประชาชนทุกคนอยู่ในศีล ๕ ศึกษาในแก่นธรรม สมเด็จพระนเรศวรทรงได้รับการฝึกวิปัสสนากรรมฐานจากพระมหาเถรคันฉ่องและศึกษาการใช้หลักพุทธศาสนาปกครองบ้านเมืองตามแบบพระเจ้าบุเรงนอง ทรงชี้แจงให้ชาวบ้านเลิกเชื่อผีสาง เทวดา เทพารักษ์ การบูชายันต์และหันมาเชื่อในความมานะพยายามของตัวเอง.."
    ส่วนเรื่องการต่างประเทศ" พระองค์ก็ไม่ทรงละเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เคยช่วยเหลือไทยในยามยากเช่นลาว สมัยพระไชยเชษฐาครองเมืองเวียงจันทน์ได้ยกทัพมาช่วยไทยอย่างไม่เกรงกลัวพม่าอยู่หลายต่อหลายครั้ง และเมื่อราชบุตรพระไชยเชษฐาต้องการให้เมืองเชียงใหม่คืนเชลยชาวล้านช้างที่กักตัวไว้ทั้งหมด สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงแผ่พระบารมีไปยังเจ้าเมืองเชียงใหม่ให้ปล่อยเชลยชาวล้านช้างกลับบ้านเมืองทั้งหมด..........ไทยกับลาวเป็นเมืองที่ช่วยเหลือกันมาโดยตลอด เพราะมีความรักใคร่สนิทสนมกันมากกว่าชาติอื่น......ไทยกับจีน เป็นพันธมิตรกันทั้งด้านการสงครามและเศรษฐกิจมาจวบจนปัจจุบัน ความผูกพันระหว่างไทย-จีน เช่นเดียวกับความผูกพันระหว่างไทย-ลาว เปรียบเสมือนพี่น้อง ครอบครัวเดียวกัน เมื่อใครมีปัญหา ต่างฝ่ายต่างคอยช่วยเหลือกันและกันอยู่เสมอ.....ส่วนเมืองประเทศราชที่คอยซ้ำเติมไทยเช่นเขมร ที่ชอบยกทัพมาปล้นทรัพย์สินกวาดต้อนผู้คนในเมืองรายรอบตอนพม่าล้อมบุกกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรทรงแต่งตั้งให้พระราชมนูนำกองทัพไปตีเขมร ทั้งเมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ เมืองบริบูรณ์ และเมืองละแวก แตกพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ....ผลงานครั้งนี้ของพระราชมนูเป็นความดีความชอบ ทำให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดี ดำรงตำแหน่งสมุหพระกลาโหม"
    ๐เจาะตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทันตแพทย์สม สุจีรา
     
  14. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    พงศาวดารทุกฉบับไม่ว่าของไทย พม่า มอญ ฮอลันดา
    โปรตุเกส จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ ระบุไว้ตรงกันว่า สมเด็จพระ
    นเรศวรมหาราช ทรงเป็นกษัตริย์ที่เฉียบขาดมากที่สุด เคร่ง
    ครัดในระเบียบวินัย ผู้ใดขาดวินัยจะถูกลงพระอาญาทันที ยิ่ง
    ถ้าเป็นการละเมิดกฎหมายจะถูกนำไปเผาทั้งเป็น รัชสมัยของ
    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช กรุงศรีอยุธยาจึงสงบร่มเย็นที่สุด
    ปราศจากโจรผู้ร้าย นักเลงหัวไม้ มีแต่ข้าราชการซื่อสัตย์
    ประชาชน ดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข
    ช่วงระหว่างที่กรุงศรีอยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า จวบ
    จนประกาศเอกราชและอยู่ในสภาวะสงครามตลอดรัชสมัย
    ของสมเด็จพระนเรศวร ขณะนั้นทรัพยากรในบ้านเมืองมี
    อย่างจำกัด เพราะต้องนำไปใช้ในการรบ การเกษตรก็ทำได้ไม่
    เต็มที่ เนื่องจากชายฉกรรจ์ต้องทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง ถ้า
    พระองค์ทรงปกครองแบบพ่อปกครองลูกเหมือนครั้งสุโขทัย
    จะควบคุมบ้านเมืองไม่ได้เลย เพราะต้องยอมรับว่าคนไทย
    ส่วนหนึ่งไม่มีความรักชาติเท่าที่ควร พร้อมที่จะเป็นเมืองขึ้น
    ของพม่า เพียงแต่ขอให้ตัวเองอยู่รอดไม่ต้องวุ่นวายไปรบกับ
    ใคร และก็มีคนไทยอีกส่วนหนึ่งซึ่งไม่น้อยเช่นกันมีนิสัย
    ชอบลักเล็กขโมยน้อย ยิ่งช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองพฤติกรรมนี้ยิ่ง
    เด่นชัด ยังไม่นับพฤติกรรมปกติทั่วไปของคนไทย เช่น การ
    ดื่มสุรา เล่นการพนันเป็นกิจวัตร ถ้าสมเด็จพระนเรศวรไม่
    ทรงปกครองบ้านเมืองอย่างเฉียบขาด เชื่อได้เลยว่าการห้าม
    ประชาชนดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษาทำไม่ได้อย่างแน่นอน
    เป็นที่ทราบกันแล้วว่า พระองค์ประทับตามค่ายทหาร
    มากกว่าในพระราชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยา ตลอดช่วงการ
    ปกครองบ้านเมือง ๒๐ ปี (นับจากวันประกาศอิสรภาพ) รวม
    เวลาทั้งหมดที่ประทับในพระราชวังได้ประมาณ ๒ ปีเท่านั้น
    แต่พระบารมีของพระองค์ทรงแผ่ปกคลุมกรุงศรีอยุธยามา
    ตลอดรัชสมัย บ้านเมืองร่มเย็นสงบสุขก็เพราะความเฉียบขาด
    ในการปกครองนั่นเอง
    พระองค์ทรงออกกฎให้ประชาชนเข้าวัดทุกวันพระ
    ในขณะที่พระองค์เอง ยามว่างจากการศึกการเมืองก็ทรงเข้า
    วัดปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นกิจวัตรเช่นกัน พระองค์มีรับ
    สั่งว่า คนไทยอย่าเกียจคร้าน และก็ทรงมีพระจริยาวัตรที่เป็น
    แบบอย่างถึงความวิริยอุตสาหะ และถึงแม้บางกรณีพระองค์
    จะทรงตัดสินประหารชีวิต ประชาชน ก็เชื่อว่าทรงเสียพระทัย
    อยู่ไม่น้อย แต่พระองค์ตรัสว่าคนแบบนี้สมควรตาย
    แม้ในปัจจุบันประเทศที่กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ โทษหนัก
    ขั้นประหารชีวิตทันทีก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสงบสุข
    ของบ้านเมือง ดังจะเห็นได้ว่า ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ไม่
    ค่อยมีคดีอาชญากรรมร้ายแรงเหมือนประเทศไทย
    ความเด็ดขาดในการปกครองของพระองค์ทำให้หลังจาก
    เสด็จสวรรคต กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองที่สงบ ปราศจากโจร
    ผู้ร้าย มีการค้าขายคับคั่ง และเป็นศูนย์กลางของสุวรรณภูมิต่อ
    มาอีกเป็นเวลานับร้อยปี
    ๐๐๐ เจาะตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทันตแพทย์สม
    สุจีรา
    ***แม้วันแห่งความทรงจำนี้จะผ่านไปแล้วกว่าสีร้อยปี แต่เรื่องราวของพระองค์จะยังคงเป็นสิ่งเตือนใจเราอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน เมื่อใดที่ความสามัคคีปรองดองในชาติของเราอ่อนล้าหรือเบาบางลง จะเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็ขอโปรดได้รำลึกถึงบรรพบุรุษของเราที่ได้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิต เข้าแลกไว้ เพื่อให้เราได้มีแผ่นดินอาศัยอย่างเป็นไท ทุกวันนี้ ***
     
  15. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ถวายบังคมก้มศิระ แทบฝ่าพระบาท
    ความภักดียังข้ามชาติ มาถึงนี่
    .................
    ด้วยรำลึกถึงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาล ต่อปวงชนชาวไทย
    ยากยิ่งที่จะลืมเลือน ทุกดวงใจของปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งที่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นหรือเพียงแต่ได้รับทราบ
    บทความหรือข้อเขียนในกระทู้นี้ก็ดี ล้วนเปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
    และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ​
     
  16. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
     
  17. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    สงสัยว่าประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอย เขาเห็นเราแตกสามัคคีกันภายในเลยมาแว้งและเล็มดินแดนไป
    แล้วเราจะไปหาท่านพระราชมนูมาจากไหนนี่คะ
    ท่านเจ้าขา ตื่น ตื่น ตื่นเถิดเจ้าค่ะ
     
  18. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ในสมัยโบราณการจะแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ใครดำรงตำแหน่งสำคัญๆ เขาจะดูกันที่ผลงานและความสามารถนะครับ จะต้องเป็นที่ประจักษ์เฉกเช่นพระราชมนู ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งสมุหพระกลาโหม:....พระราชมนูทหารสมัยกู้ชาติ แสดงความสามารถได้ชัยชนะมากหลาย.... จาก"เพลงต้นตระกูลไทย "ครับ ถ้าจำไม่ผิดตำแหน่งสมุหพระกลาโหมนี่ก็ควรจะเทียบเท่ากับรัฐมนตรีกลาโหม ประมาณนั้น
     
  19. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ต่างจากสมัยนี้

    ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชมีกษัตริย์ (ผู้นำ) ที่ได้รับการศึกษาศิลปวิทยาการปกครองและการดูแลประเทศสืบต่อมาโดยตรง ดูแลคนหมู่มากให้มีชีวิตที่ดี

    ระบบประชาธิปไตยเอาใครก็ได้ที่ซื้อเสียงมาปกครองชนหมู่มาก การศึกษาที่ถูกต้องก็ไม่มี อยากครองกลาโหมแต่ไม่เคยเป็นทหาร อยู่พระคลังข้างที่รู้มาแต่สาธารณสุขปฏิบัติ ชีวิตคนหมู่มา่กก้ยังบัดซบอยู่ทุกๆวัน

    ถ้าเราเป็็้นคนไข้ (ประเทศไทย) ป่วยจวนตายขอกลับไปหาหมอคนแรกดีกว่า ไปหาระบบที่สองกลัวตายคาโรงพยาบาลจริงๆ
     
  20. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    ตอนนี้สถานการณ์แถวชายแดนเขมรก็ตึงเครียด ไม่รู้กระสุนนัดแรกจะหลุดไปเมื่อไหร่
    คดีที่ดินรัขดาฯก็ฮึ่ม ฮึ่ม ทางใต้ก็รุนแรง

    ถ้าภายในไม่สามัคคีกัน ถูกเขมรทึ้งแน่ๆ เขาจะเอาสมาพันธ์นานาชาติมาเล่นอธิปไตยเรา คนของเรามันก็ไม่ดีและไม่มีฝีมือเสียด้วย เป็นทนายบุคคลได้ไม่ได้แปลว่าว่าความดินแดนนานาชาติได้

    พระมหากษัตริย์สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชท่านเลือกคนดีมีฝีมือรับราชการ และปูนบำเหน็จความชอบให้ตามผลงาน

    กรณีเขมรปิดปากน้ำเจ้าพระยาสมัยพระพุทธเจ้าหลวง มือเจรจาของเราคือนายโรลังก์ ยัคมินส์ อดีต รมว. มหาดไทย ประเทศเบลเยี่ยม ท่านมีพันธมิตรเต็มไปหมดในยุโรปจึงช่วยเหลือเราได้อย่างสุดๆ

    เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จรัสเซีย (๕ ปีหลังกรณีพิพาทแม่น้ำโขง) ท่านได้รับการต้อนรับประดุจเอ็มเปอเรอ เมื่อไปฝรั่งเศสคนฝรั่งเศสเกรงพระราชอำนาจพระเจ้าซาร์ จึงให้เกียรติพระพุทธเจ้าหลวงเสมอกัน

    ถ้านายกรัฐมนตรีเราเยือนยุโรปตอนนี้ เขาจะรับรองแบบไหน แบบประเทศโลกที่ ๒ หรือโลกที่ ๓ หนอ ถ้าเป็นคนก่อนปฏิวัติเขาอาจต้อนรับในฐานะพ่อค้า เพราะไปไหนก็เอาของๆไทยและศักดิ์ศรีคนไทยไปแลกเป็นเงินมาหมด แล้วก็ไม่รู้ว่าเงินเข้าคลังไหน

    นึกถึงสมัยเสียกรุงครั้งที่ ๒ ช่วงนี้อยากชักม้าไปเมืองจันทบุรีแล้วค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...