น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. SathuSathu

    SathuSathu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอร้องเวปมาสเตอร์อย่าลบกระทู้นี้เลยครับ ตั้งไว้ให้เห็นเด่นๆยิ่งดี ให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเขาได้มาอ่าน หรือคนที่สามารถทำเรื่องนี้ให้ดีขึ้น ถูกต้องขึ้นมาอ่านเถอะครับ

    การอ่านใจคนได้ถือว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ไหม เพราะบ่อยครั้ง ที่พระท่านทัก ท่านเทศน์ โดยที่เราไม่ได้เอ่ยปากสักคำ อันนี้เป็นแบบที่เรียกว่าพิสูจน์ได้หรือเปล่า ไม่รู้นะ

    คนเขียนตำราพุทธศาสนาคนนี้ พุทธศาสนาก็ไม่รู้ชัด วิทยาศาสตร์ก็ไม่รู้ลึก ลองไปค้นตำราให้ถ้วนทั่วก่อนเถอะ แล้วค่อยออกตำรา นักวิทยาศาสตร์ยังต้องสร้างกล้องขนาดยักษ์ นั่งดูกลุ่มดาวเพื่อหาการเกิดของจักรวาลอยู่เลย ทั้งที่คำนวน ทดลอง พิสูจน์แล้ว ได้คำตอบตามที่พระพุทธองค์ตรัส แต่ก็ยังนั่งเฝ้ามอง เพื่อให้ได้ความถูกต้อง แล้วคุณล่ะ เป็นพุทธศาสนิกชน บางท่านเป็นบุตรพระตถาคต แต่ทำไมไม่เชื่อพระองค์

    ไม่ต้องคิดไกล เมื่อคุณไม่รู้เรื่องอดีตชาติ แล้วคุณรู้เรื่อง อดีต ปัจจุบัน อนาคต ไหม มันต่างจากอดีตชาติตรงไหน แต่ก่อนฝรั่งก็เคยพิสูจน์เรื่องการระลึกชาติได้มาแล้ว โดยค้นคว้าจากเด็กทั่วโลก เริ่มจาก การศึกษาเด็กที่มีตำหนิ ไฝ ปาน ถ้าใครเคยได้ยินได้ฟัง ได้ดูทีวี มา สมัยก่อนมีการออกทีวีเรื่องการระลึกชาติ แต่นานแล้ว อันนี้พอเป็นบทพิสูจน์ได้บ้างไหม

    ส่วนเรื่องนรก สวรรค์ ใครที่บอกว่า พิสูจน์ไม่ได้ ถ้าตอบแบบกวนๆก็ลองตายดูสิครับ เพื่อไปหาข้อพิสูจน์ดู แหมคิดมาได้ เอาแค่เรื่องพื้นๆ อย่าพิสูจน์ก็ได้ ถ้าคุณทำให้เด็กเชื่อไม่ได้ คุณก็ไม่มีปัญญา คนโบราณ เทคโนโลยี จิ๊ดเดียว ยังทำได้เลย
    เอาเรื่องจริง ที่คนทำชั่ว แล้วได้รับกรรมมาก็ได้ ในบันทึก มีเยอะแยะ
    คนจะได้ทำสิ่งที่ดีๆต่อกัน เพื่อสังคมในประเทศที่คุณอยู่นั่นแหละ

    เฮ้อ .. คนไม่เชื่อ น่าจะไปอยู่ท่ามกลางคนไม่เชื่อด้วยกันนะ มาอยู่รวมกันทำไม

    อนุโมทนากับผู้ที่ถ่ายทอดความรู้ และให้เราทราบข่าวทุกท่าน
     
  2. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***พอจนตรอกด้วยเหตุผล ก็เลยพาลไปเรื่องอื่น***

    **นี่คือวิสัยของคนพาล**

    **ลองศึกษาหลักกาลามสูตรดูบ้างซิ**

    หลักความเชื่อของพุทธศาสนาเป็นอย่างไร?

    ในระดับศีลธรรมนั้นพุทธศาสนาจะไม่เน้นเรื่องความเชื่อ คือใครจะเชื่ออย่างไรก็ได้ขอเพียงว่าให้ทำความดี และไม่ทำความชั่วก็แล้วกัน ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าชาวพุทธส่วนใหญ่จะมีหลักการปฏิบัติที่ดีงามสืบทอดกันมามากมาย แม้การปฏิบัตินั้นจะไม่ใช่ของพุทธศาสนาโดยตรงก็ตาม

    ส่วนพุทธศาสนาในระดับสูงนี้จะเน้นเรื่องความเชื่อมาก โดยพุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภทที่สอนให้ใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ คือพระพุทธเจ้าจะสอนว่า
     
  3. SathuSathu

    SathuSathu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +14
    ชาวพุทธส่วนใหญ่จะมีหลักการปฏิบัติที่ดีงามสืบทอดกันมามากมาย แม้การปฏิบัตินั้นจะไม่ใช่ของพุทธศาสนาโดยตรงก็ตาม แล้ววัดได้อย่างไรว่าการปฏิบัตินั้นไม่ใช่ของพุทธศาสนาในการทำความดีไม่ทำความชั่ว แล้วเป็นของศาสนาอะไร จะได้เปลี่ยนศาสนาเป็นศาสนานั้นที่สอน ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส เราอยากนับถือศาสนานั้น เป็นศาสนาอะไร

    ส่วนพุทธศาสนาในระดับสูงนี้จะเน้นเรื่องความเชื่อมาก (เข้าใจว่าเป็นกาลามสูตร) จุดประสงค์ของพระพุทธศาสนาที่สอนเรื่องที่ไม่ให้เชื่อ ตามความคิดส่วนตัวพระพุทธองค์ต้องการให้พุทธศาสนิกชน ใช้ปัญญาให้มากๆเพื่อที่จะมีความเชื่อมั่นศรัทธา จะได้ปฏิบัติอย่างเต็มที่ เพราะการที่จะบรรลุธรรมถึงที่สุดแห่งธรรมไม่ใช่ของง่าย จึงต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาเสียก่อน จะได้ปฏิบัติตามคำสอนทุกคำสอนได้อย่างเต็มกำลังใจ ไม่สั่นคลอน ไม่สงสัย ที่จะทำให้ไม่มั่นใจ เป็นให้การปฏิบัติชะงัก ไม่ก้าวหน้า

    คือถึงแม้ความเชื่อนั้นจะทำให้เราเป็นคนดี แต่เป็นคนดีที่ไม่มีสติปัญญาระดับสูง ซึ่งถ้าจะมาถึงขั้นมาศึกษาและปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของชีวิตแล้ว สติปัญญาระดับศีลธรรมนั้นจะใช้ไม่ได้ ซึ่งหลักความเชื่อนี้โดยสรุปแล้วก็คือ การปลดปล่อยสติปัญญาของเราให้เป็นอิสระ โดยไม่เป็นทาสทางสติปัญญาของใคร แม้ของพระพุทธเจ้าเองก็ตาม คำว่าสติปัญญายังมีระดับ ศีลธรรมก็ย่อมมีระดับเช่นกัน ฆารวาสถือศีล 5 พระสงฆ์ถือ 227 (แต่พระสงฆ์หลายรูป ศีล 5 ฆารวาส ก็ยังทำไม่ได้) ดังนั้นสติปัญญาระดับสูง ก็อาจมีศีลธรรมระดับสูงแล้วเช่นกัน แต่เป็นศีลธรรมที่มีมหาสติ มหาปัญญา เผอิญระดับสติปัญญายังไม่ได้อยู่ในระดับสูง (อรหันต์ มหาสติ มหาปัญญา) จึงไม่สามารถตอบได้ว่าสภาวะศีลธรรมระดับสูงเป็นอย่างไร

    แล้วก็จะทำให้เราต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้รับรู้คำสอนที่ถูกต้องไปจนตลอดชีวิตอย่างน่าเสียดาย แล้วคำสอนที่ถูกต้องวัดจากอะไร ว่า คำสอนนั้น ถูกต้อง คำสอนเก่าๆผิด แล้วตัววัดจะเชื่อได้อย่างไร ว่าตัวที่นำมาวัดนั้นเป็นตราชั่งที่เที่ยงตรงไม่บิดเบือน ไม่ผิด


    มหาสติ มหาปัญญา (ต้องระดับพระอรหันต์ถึงมี) ทุกคนมีแล้วหรือยัง แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าใช่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2008
  4. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    โยคาเว ชายเต ภูริ, อโยคา ภูริ สงฺขโย
    เอตํ เทฺวตปถํ ญตฺวา ภวาย วิภาวย จ
    ตถตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวทฺฒติ
    ปัญญาเกิดขึ้นเพราะความประกอบ ไม่ประกอบ ปัญญาก็หมดสิ้นไป
    บุคคลรู้ทางแห่งความเจริญและความเสื่อมทั้ง ๒ ทางนี้แล้ว
    พึงตั้งตนไว้ในทางที่ปัญญาจะเจริญ

    ปัญญาเกิดขึ้นเพราะความประกอบ คือ ต้องปฏิบัติสัมมาสมาธิ ค่ะ ( ไม่ใช่อ่านตำราแล้วคิดพิจารณาเอา )

    ปัญญาในทางธรรม จะเกิดได้จากการปฏิบัติสัมมาสมาธิ<O:p</O:p
    ยิ่งปฏิบัติมากเท่าไหร่ จิตจะยิ่งมีพลังปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ความสำคัญตนเหนือผู้อื่น ฯลฯ มากขึ้นเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ถ้าเรียนรู้แล้วไม่ปฏิบัติ ก็เกิดปัญญาในทางโลก หรือ สัญญา ความจำได้หมายรู้ ค่ะ<O:p</O:p
    ยิ่งมีปัญญาในทางโลกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่น สำคัญตน ฯลฯ มากขึ้นเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น พระพุทธศาสนาในระดับสูง จะเน้นเรื่องการปฏิบัติสมาธิมากกว่า
    เพื่อให้เกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงค่ะ ดังพุทธพจน์ที่มีมาว่า

    สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
    ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้

    รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
    รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ( สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ..ฯลฯ..สัมมาสมาธิ )
    โดยเฉพาะ จะเกิด สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ
    ไม่เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อพระพุทธพจน์ ไม่เชื่อชาตินี้ ชาติหน้า ทั้งๆที่มีตรัสไว้ใน "มหาจัตตารีสกสูตร" ว่า

    [๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
    ๑.ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล
    ๒.ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล๓.สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
    ๔.ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี
    ๕.โลกนี้ไม่มี
    ๖.โลกหน้าไม่มี
    <O:p</O:p๗.มารดาไม่มี
    <O:p</O:p๘.บิดาไม่มี
    <O:p</O:p๙.สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี
    <O:p</O:p๑๐.สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
    <O:p</O:pเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
    นี้มิจฉาทิฐิ ฯ<O:p</O:p

    [๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะเป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน
    คือ ความเห็นดังนี้ว่า
    ๑.<O:p</O:pทานที่ให้แล้ว มีผล
    ๒.<O:p</O:pยัญที่บูชาแล้ว มีผล
    ๓.<O:p</O:pสังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล
    ๔.<O:p</O:pผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่
    ๕.<O:p</O:pโลกนี้มี
    ๖.<O:p</O:pโลกหน้ามี
    ๗.<O:p</O:pมารดามี
    ๘.<O:p</O:pบิดามี
    ๙.<O:p</O:pสัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี
    ๑๐.<O:p</O:pสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
    <O:p</O:pเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่<O:p</O:p
    นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

    ^_^<O:p</O:p






    </PRE>
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    แล้ววัดได้อย่างไรว่าการปฏิบัตินั้นไม่ใช่ของพุทธศาสนาในการทำความดีไม่ทำความชั่ว แล้วเป็นของศาสนาอะไร จะได้เปลี่ยนศาสนาเป็นศาสนานั้นที่สอน ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส เราอยากนับถือศาสนานั้น เป็นศาสนาอะไร

    ***ศาสนาส่วนมาก เขาก็สอนละชั่วทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ทั้งนั้น แต่ว่าจะดับทุกข์ได้จริงหรือไม่เท่านั้น อย่าลืมว่าพระพุทะเจ้าตรัสรู้วิธีการดับทุกข์ ถ้าคำสอนใดดับทุกข์ได้จริง ก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง**

    เพราะการที่จะบรรลุธรรมถึงที่สุดแห่งธรรมไม่ใช่ของง่าย จึงต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาเสียก่อน จะได้ปฏิบัติตามคำสอนทุกคำสอนได้อย่างเต็มกำลังใจ ไม่สั่นคลอน ไม่สงสัย ที่จะทำให้ไม่มั่นใจ เป็นให้การปฏิบัติชะงัก ไม่ก้าวหน้า

    ***ถ้าบังเอิญไปเจอคำสอนที่ผิดเข้า แล้วเชื่อมั่นในคำสอนนั้น ก็จะทำให้มีความเห็นผิดไปจนตลอดชีวิต พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบเรื่องนี้ดี จึงไม่ทรงสอนให้ใช้ศรัทธานำหน้าปัญญา***

    แล้วคำสอนที่ถูกต้องวัดจากอะไร ว่า คำสอนนั้น ถูกต้อง คำสอนเก่าๆผิด แล้วตัววัดจะเชื่อได้อย่างไร ว่าตัวที่นำมาวัดนั้นเป็นตราชั่งที่เที่ยงตรงไม่บิดเบือน ไม่ผิด

    ***สิ่งที่จะใช้วัดได้ว่าคำสอนใดถูกหรือผิดก็คือ "ความทุกข์ในปัจจุบัน" ถ้าปฏิบัติแล้วทุกข์ไม่ลดลงหรือไม่ดับไป และมีปัญหาหรือผลเสียตามมาในภายหลัง ก็แสดงว่าคำสอนนั้นผิด แต่ถ้าปฏิบัติตามแล้วทุกข์ลดลงหรือดับไปจริง และไม่เกิดผลเสียหรือปัญหาตามมาในภายหลัง ก็แสดงว่าคำสอนนั้นถูก***

    มหาสติ มหาปัญญา (ต้องระดับพระอรหันต์ถึงมี) ทุกคนมีแล้วหรือยัง แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าใช่

    ***จะมีหรือไม่ จะใช่หรือไม่ ก็วัดที่ความทุกข์ ว่าลดลงหรือดับลงจริงหรือไม่ พุทธศาสนาต้องมีการพิสูจนให้เห็นจริงเสียก่อน จึงค่อยเชื่อ ถ้ายังพิสูจน์ไมได้ก็ยังเป็นแค่ปรัชญาที่มีเอาไว้ถกเถียงกันเท่านั้น จึงยังเชื่อไม่ได้***

    **จำไว้ "อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง"(ขอย้ำ แม้แต่ตัวเอง)***

    (เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ www.whatami.net หรือ www.whatami.8m.com)
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***เราเคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า คนที่เกิดมาในศาสนาอะไร ก็มักจะเชื่อมั่นในศาสนานั้นไปจนตาย ***

    ***นี่แสดงว่าการนับถือศาสนาของคนเรานั้นไมได้ใช้ปัญญากันเลยใช่หรือไม่?***

    **พุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งปัญญา จึงต้องใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ ไม่ใช่เอาความเชื่อนำหน้าปัญญา***

    ***เราต้องปลดปล่อยสติปัญญาของเราให้เป็นอิสระจากการครอบงำของศาสนาทั้งปวง เราจึงจะมีสติปัญญาที่เป็นอิสระ ได้จริง***

    ***สติปัญญาที่เป็นอิสระ จึงจะเป็นพุทธศาสนาที่แท้จริง***

    ***อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง***

    (เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ www.whatami.net หรือ www.whatami.8m.com)
     
  7. SathuSathu

    SathuSathu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +14
    ***อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง***

    แล้วท่านล่ะ เป็นอย่างที่ท่านว่าหรือเปล่า ท่านมาแจงความเชื่อท่านลงมาเป็นลายลักษณ์อักษรทำไม ในเมื่อท่านไม่ได้เชื่อตัวเอง

    ท่านมั่นใจอย่างไรว่า ทุกข์ท่านดับหมดหรือ

    ถ้าท่านถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ความเจ็บเกิด ท่านมีทุกข์ไหม

    ถ้าท่านวัดจากทุกข์ที่หมดไป ท่านปฏิบัติให้ได้ก่อนจริงๆ แล้วท่านค่อยมาแย้งคำสอนของพระพุทธองค์สิ เพราะของพระพุทธองค์สอนให้วัดจากที่กิเลสหมดเป็นหลักก่อน ส่วนเรื่องทุกข์ ผู้ที่ปฏิบัติ จะบอกว่า มีแต่ไม่เอา คือไม่ยึดติด

    ส่วนท่านว่าหมดเลย ท่านควรปฏิบัติให้ได้เสียก่อน ว่าทำได้จริง แล้วค่อยว่าเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะพระพุทธองค์ท่านค้นพบแล้ว จึงตรัสว่าจริง

    ส่วนท่านปฏิบัติได้ตามที่ท่านว่าแล้วหรือ
     
  8. SathuSathu

    SathuSathu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +14
    นำหนังสือจากอาจารย์ท่านเล่มไหนมาสรุปเป็นสำคัญ

    นำหนังสือจากอาจารย์ท่าน (ท่านพุทธทาส) เล่มไหนมาสรุปเป็นสำคัญ อยากอ่านหนังสือเล่มนั้นมากกว่าบทความของท่าน กรุณาแจ้งให้ทราบที จะลองไปศึกษาดู ว่าจะมีความเห็นตรงกันไหม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2008
  9. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ***เราเคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า คนที่เกิดมาในศาสนาอะไร ก็มักจะเชื่อมั่นในศาสนานั้นไปจนตาย ***
    เป็นเรื่องธรรมดาในโลกค่ะ เพราะโลกคือหมู่สัตว์อันอวิชชาปกคลุมอยู่<O:p</O:p
    เพราะรู้ผิดจากความเป็นจริง หรือไม่รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริงนั่นเอง<O:p</O:p
    คือ ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้จักการดับทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์<O:p</O:p
    จึงมักจะเชื่อมั่นในแบบนั้นๆ เพราะไม่ได้ปฏิบัติสมาธิ (ตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ )นั่นเองค่ะ

    <O:p
    ***นี่แสดงว่าการนับถือศาสนาของคนเรานั้นไมได้ใช้ปัญญากันเลยใช่หรือไม่?***
    ค่ะ ในเริ่มแรกของการนับถือศาสนานั้น เกิดจากทะเบียนบ้าน<O:p</O:p
    เมื่อเรียนรู้เรื่องราวในโลกมากขึ้น การนับถือศาสนาอยู่ที่ศรัทธาที่เกิดจากปัญญาทางโลก (สัญญา การจำได้หมายรู้ จากการเรียนรู้ในทางโลก )<O:p</O:p
    ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติสมาธิ (ตามหลัก อริยมรรค ๘ ) อย่างจริงจังนั่นแหละ จึงจะเกิดปัญญาทางธรรม<O:p</O:p
    อบรมจิตให้เกิดพลังถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่นในโลก<O:p</O:p
    และพร้อมที่จะเกื้อกูลสังคมให้เกิดการปฏิบัติสมาธิกันอย่างทั่วถึง <O:p</O:p

    สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
    ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้

    **พุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งปัญญา จึงต้องใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ ไม่ใช่เอาความเชื่อนำหน้าปัญญา***
    ปัญญาเกิดเพราะความประกอบ ไม่ประกอบปัญญาก็หมดสิ้นไป<O:p</O:p
    บุคคลรู้ทางแห่งความเจริญและความเสื่อมทั้ง ๒ ทางนี้แล้ว
    พึงตั้งตนไว้ในทางที่ปัญญาจะเจริญ

    พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา<O:p</O:p
    ซึ่งปัญญาจะเกิดได้จากการปฏิบัติสมาธิ (ตามหลักอริยมรรค ๘ ) นั่นเอง<O:p</O:p
    เมื่อปฏิบัติตามเสด็จแล้ว จึงจะเกิดปัญญานำหน้าความเชื่อได้

    ***เราต้องปลดปล่อยสติปัญญาของเราให้เป็นอิสระจากการครอบงำของศาสนาทั้งปวง เราจึงจะมีสติปัญญาที่เป็นอิสระ ได้จริง***
    ค่ะ สติปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิ ( ตามหลักอริยมรรค ๘ )<O:p</O:p
    ทำให้จิตเกิดพลังถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่นต่ออารมณ์<O:p</O:p
    เป็นอิสระจากการครอบงำของอารมณ์ทั้งปวง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์ แก่ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น<O:p</O:p
    ไม่รู้แจ่มแจ่งซึ่งพระสัทธรรม มีความเลื่อมใสอันเลื่อนลอย

    ***สติปัญญาที่เป็นอิสระ จึงจะเป็นพุทธศาสนาที่แท้จริง***
    สมาธิที่ศีล อบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่<O:p</O:p
    ปัญญาที่สมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่<O:p</O:p
    จิตที่ปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมองเสียได้

    <O:p</O:pจิตที่ปัญญาอบรมแล้ว อบรมโดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘ (ศีล สมาธิ ปัญญา )<O:p</O:p
    จึงเป็นอิสระจากการครอบงำของอารมณ์ทั้งปวง<O:p</O:p
    จึงจะมีพลังถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่นในทุกข์ทั้งปวง
    จึงจะเป็นพุทธศาสนาที่แท้จริงค่ะ

    ***อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง***
    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้<O:p</O:p
    บุคคลมีตนที่ฝึกฝนแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นได้โดยยาก

    <O:p</O:pพระพุทธองค์จึงสอนให้ฝึกตน เพื่อให้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง<O:p</O:p
    โดยการอบรมจิต ( โดยการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ หรืออริยมรรค ๘ )นั่นเอง<O:p</O:p
    จิตที่อบรมแล้ว ย่อมควรแก่การงาน ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างใหญ่
    ย่อมนำสุขมาให้ ย่อมละราคะได้
    ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะกิเลส คือ ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ผู้ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา หรือผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ( ไม่ใช่แค่ตามทะเบียนบ้าน)<O:p</O:p
    นั่นแสดงว่า เราเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธองค์<O:p</O:p
    และเห็นว่าคำสั่งสอนของพระองค์เป็นกุศล มีประโยชน์ ผู้รู้สรรเสริญ ใครสมาทานให้เต็มที่แล้ว
    ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของผู้นั้นเอง<O:p</O:p
    และเราเห็นพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งทางจิตใจของเราตลอดมา<O:p</O:p
    ถ้าไม่เชื่อสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสั่งสอนเสียแล้ว ก็ไม่สมควรที่จะบอกว่านับถือพระพุทธศาสนา

    เพราะเราเชื่อในการตรัสรู้ของพระองค์นั่นเอง เราจึงปฏิบัติตามคำสั่งสอน
    โดยการปฏิบัติสมาธิ ( ตามหลักอริยมรรค ๘ )
    เพื่อให้เกิดปัญญา รู้แจ้ง เห็นจริง ด้วยตนเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระพุทธพจน์ในชั้นต้นๆ เช่น ธัมมจักกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร มหาสติปัฏฐานสูตร<O:p</O:p
    เปรียบเหมือนแผนที่ให้เราเทียบเคียงผลการปฏิบัติว่าถูกต้องหรือไม่
    สมควรล่ะหรือที่เราจะปฏิเสธแม้แต่พุทธพจน์ชั้นต้นๆ
    ถ้าเราปฏิเสธ แม้แต่พุทธพจน์ชั้นต้นๆ แล้วเราจะเอาอะไรมาเทียบเคียงผลของการปฏิบัติของเราล่ะ

    ^_^ สังคมจึงยุ่งเหยิงแบบทุกวันนี้ไงคะ เพราะต่างคนต่างไม่ทำหน้าที่ของตน
    พระสงฆ์ผู้บวชเข้าไปในพระพุทธศาสนา สมควรที่จะปฏิบัติสมาธิ ( ตามหลักอริยมรรค ๘ )
    และเผยแผ่ให้พุทธศาสนิกชนหันมาปฏิบัติสมาธิกันอย่างถ้วนหน้า
    อันจะเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้สืบทอดยาวนานต่อไปค่ะ ^_^
    <O:p</O:p









    </O:p
     
  10. SathuSathu

    SathuSathu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +14
    ถ้ากล่าวว่าเป็นของพระพุทธองค์ รับได้
    ถึงแม้ว่าพระพุทธองค์เป็นใคร ไม่รู้จัก ฟังแต่จากคำบอกเล่ามา
    แต่ลูกก็ขอเคารพในคำสั่งสอนที่เลิศล้ำแด่มนุษยชาติทุกรูปทุกนามที่ประพฤติตามคำสั่งสอนของพระองค์
     
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    แล้วท่านล่ะ เป็นอย่างที่ท่านว่าหรือเปล่า ท่านมาแจงความเชื่อท่านลงมาเป็นลายลักษณ์อักษรทำไม ในเมื่อท่านไม่ได้เชื่อตัวเอง

    ท่านมั่นใจอย่างไรว่า ทุกข์ท่านดับหมดหรือ

    ถ้าท่านถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ความเจ็บเกิด ท่านมีทุกข์ไหม

    ถ้าท่านวัดจากทุกข์ที่หมดไป ท่านปฏิบัติให้ได้ก่อนจริงๆ แล้วท่านค่อยมาแย้งคำสอนของพระพุทธองค์สิ เพราะของพระพุทธองค์สอนให้วัดจากที่กิเลสหมดเป็นหลักก่อน ส่วนเรื่องทุกข์ ผู้ที่ปฏิบัติ จะบอกว่า มีแต่ไม่เอา คือไม่ยึดติด

    ส่วนท่านว่าหมดเลย ท่านควรปฏิบัติให้ได้เสียก่อน ว่าทำได้จริง แล้วค่อยว่าเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะพระพุทธองค์ท่านค้นพบแล้ว จึงตรัสว่าจริง

    ส่วนท่านปฏิบัติได้ตามที่ท่านว่าแล้วหรือ


    ****ผู้ที่ถามเช่นนี้แสดงว่าไม่เคยศึกษาหลักอริยสัจ ๔ อย่างละเอียดมาก่อนเลย ก็ยากที่จะอธิบาย ลองไปศึกษาหลักอริยสัจ ๔ มาใหม่ (ว่า ทุกข์ คืออะไร? เกิดมาจากอะไร? ดับแล้วเป็นอย่างไร? และจะดับโดยวิธีใด?) แล้วค่อยมาถาม**

    นำหนังสือจากอาจารย์ท่าน (ท่านพุทธทาส) เล่มไหนมาสรุปเป็นสำคัญ อยากอ่านหนังสือเล่มนั้นมากกว่าบทความของท่าน กรุณาแจ้งให้ทราบที จะลองไปศึกษาดู ว่าจะมีความเห็นตรงกันไหม

    ***จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์***

    ถ้ากล่าวว่าเป็นของพระพุทธองค์ รับได้
    ถึงแม้ว่าพระพุทธองค์เป็นใคร ไม่รู้จัก ฟังแต่จากคำบอกเล่ามา
    แต่ลูกก็ขอเคารพในคำสั่งสอนที่เลิศล้ำแด่มนุษยชาติทุกรูปทุกนามที่ประพฤติตามคำสั่งสอนของพระองค์


    ***อย่าเชื่อจากคำบอกเล่ามา เพราะมันอาจถูกแก้ไขเปลี่ยนปลงให้ผิดเพี้ยนก่อนมาถึงเราแล้วก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านทรงรู้ดี แต่เรามันโง่เอง ไม่เชื่อท่าน**

    (เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ www.whatami.net หรือ www.whatami.8m.com)
     
  12. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ถ้ากล่าวว่าเป็นของพระพุทธองค์ รับได้
    ถึงแม้ว่าพระพุทธองค์เป็นใคร ไม่รู้จัก ฟังแต่จากคำบอกเล่ามา
    แต่ลูกก็ขอเคารพในคำสั่งสอนที่เลิศล้ำแด่มนุษยชาติทุกรูปทุกนามที่ประพฤติตามคำสั่งสอนของพระองค์

    ***อย่าเชื่อจากคำบอกเล่ามา เพราะมันอาจถูกแก้ไขเปลี่ยนปลงให้ผิดเพี้ยนก่อนมาถึงเราแล้วก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านทรงรู้ดี แต่เรามันโง่เอง ไม่เชื่อท่าน**

    การที่เราปฏิญาณตนนับถือพระพุทธศาสนา
    นั่นย่อมแสดงว่าเราเชื่อในความตรัสรู้ของพระองค์
    และเห็นว่าคำสั่งสอนของพระองค์เป็นกุศล มีประโยชน์ ผู้รู้สรรเสริญ ใครสมาทานให้เต็มที่แล้ว
    ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของผู้นั้นเอง

    ดังนั้นจึงสมควรแล้วที่พุทธศาสนิกชนจะเคารพในคำสั่งสอนของพระองค์
    และจะพิสูจน์ว่าความเชื่อของเราที่มีต่อพระพุทธองค์ไม่ผิดเพี้ยนไป
    ก็โดยการปฏิบัติสมาธิ ตามหลักอริยมรรค ๘

    เพราะอริยมรรค ๘ มีในพระพุทธศาสนานี้เท่านั้น
    และสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ ก็มีแต่ในพระพุทธศาสนา

    ถ้าภิกษุปฏิบัติอริยมรรค ๘ โลกจะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์

    ^_^
     
  13. SathuSathu

    SathuSathu สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +14
    ก็ปฏิบัติธรรมอยู่ท่าน พิจารณาให้เป็นไปตากกฎไตรลักษณ์ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และตอนนี้ก็เริ่มจะดับจากกระทู้หัวข้อนี้แล้ว เพราะพิจาณาแล้วว่า ไม่ควรพึงเสวนากับบุคคลที่มิใช่กัลยาณมิตร กัลยาณธรรม สุขไม่มี มีแต่ทุกข์น้อย และทุกข์มาก ทุกข์เกิดจากขันธ์ 5 ทั้งสิ้น เกิดจากอายตนะ 6 ถ้าปิดอายตนะ 6 ก็ขจัดความทุกข์ได้บ้าง แล้วแต่บางกรณี บางทีก็เป็นแค่หินทับหญ้า

    การพิมพ์ข้อความในกระทู้ บางครั้ง พิมพ์เร็ว ก็ทำให้เราพลาดได้

    ข้าพเจ้าสนใจในด้านปฏิบัติ มากกว่า ปริยัติ จึงยกตามคัมภีร์มาได้ น้อย

    แล้วตามพระไตรปิฎก ก็มีการชำระหลายครั้ง จนบางทีผู้ที่ชำระ เปลี่ยนแปลงแก้ไขไปก็มี โดยเฉพาะข้อพระวินัย พระไม่ฉันล้อมวง ก็เห็นล้อมวงกัน พระไม่รับปัจจัยก็เห็นรับกัน พระต้องสำรวมเวลาขับถ่าย ก็ยังเห็นไม่สำรวมก็เคย ไม่แปลกหรอกที่ บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หยิบยกตำราผิดๆ มายึดมั่นถือมั่น

    อีกอย่างท่านพุทธทาส อ่านตำราหลายเล่มบ้าง แล้วก็หลายลัทธิด้วย ทั้ง เซน ขงจื้อ เต๋า พุทธหินยาน พุทธมหายาน (ซึ่งหลายเล่มจะเป็นในแง่ปรัชญา ที่พูดวนไปมา หาทางออกไม่ได้ เหมือนพูดกันไว้กันพลาด)

    จึงคิดว่า สู้เราไปปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ ผู้รู้จริง ปฏิบัติได้แล้วจริง ดีกว่าเป็นไหนๆ พันทุกข์ได้มากกว่ามาถกปัญหากับคนไม่รู้จริง เพียงแต่ใช้ความคิดของตนมาพิจารณาตัดสิน

    แต่เรื่อง ตายแล้วเกิด เรื่องภพชาติ เรื่องผีวิญญาณ ขอบอกว่าเชื่อจริงๆ บางส่วนเคยพบเจอมา

    ทำไมไม่ยกข้อพระวินัยที่แก้ไขมาอ้างว่า ไม่ใช่คำที่พระพุทธองค์ตรัส ยังน่าเชื่อกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2008
  14. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    จึงคิดว่า สู้เราไปปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ ผู้รู้จริง ปฏิบัติได้แล้วจริง ดีกว่าเป็นไหนๆ พันทุกข์ได้มากกว่ามาถกปัญหากับคนไม่รู้จริง เพียงแต่ใช้ความคิดของตนมาพิจารณาตัดสิน

    ***แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าครูอาจารย์คนไหนเป็นผู้รู้จริง ปฏิบัติได้แล้วจริง?***

    ***ถ้าหลงไปเชื่อคนโง่หรือคนหลอกลวงเข้า เราก็จะพลอยโง่ไปจนตายได้***

    ดังนั้นจึงสมควรแล้วที่พุทธศาสนิกชนจะเคารพในคำสั่งสอนของพระองค์
    และจะพิสูจน์ว่าความเชื่อของเราที่มีต่อพระพุทธองค์ไม่ผิดเพี้ยนไป
    ก็โดยการปฏิบัติสมาธิ ตามหลักอริยมรรค ๘



    ***แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคำสอนใดเป็นของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่จริง?**
    ***เน้นแต่สมาธิ ไม่มีปัญญามาควบคุม ระวังเป็นสมาธิหลับใน แล้วฝันเห็นนรก-สวรรค์โดยไม่รู้ตัว***

    ***อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง***

    ("ฉันคืออะไร?" เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.8m.com)
     
  15. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    แต่เรื่อง ตายแล้วเกิด เรื่องภพชาติ เรื่องผีวิญญาณ ขอบอกว่าเชื่อจริงๆ บางส่วนเคยพบเจอมา

    ***ใครเคยเจอมา ก็ลองตอบคำถามเรื่องนรก-สวรรคฺ ผีวิญญาณให้กระจ่างที***


    ทำไมไม่ยกข้อพระวินัยที่แก้ไขมาอ้างว่า ไม่ใช่คำที่พระพุทธองค์ตรัส ยังน่าเชื่อกว่า

    ***พระวินัยข้อใดจะแก้ไขหรือไม่นั้น ให้ดูที่ว่าเมื่อปฏิบัติแล้วจะทำให้จิตเป็นปกติหรือไม่ ถ้าปฏิบิตตามแล้วทำให้จิตปกติ ไม่ผิดปกติ ก็จัดว่าถูกต้อง***


    ***อนัตตา เป็นหัวใจของปัญญาในพุทธศาสนา***

    ***ถ้าเข้าใจความหมายของอนัตตาผิด ก็เข้าใจพุทธศาสนาผิดไปหมด***

    ***อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง***

    ("ฉันคืออะไร?" เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.8m.com)
     
  16. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ผู้ปฏิญาณตนเป็นพุทธศาสนิกชน แสดงว่า เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    และเห็นว่าคำสั่งสอนของพระองค์เป็นกุศล มีประโยชน์ ผู้รู้สรรเสริญ ใครสมาทานให้เต็มที่แล้ว
    ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของผู้นั้นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าพระภิกษุผู้บวชเข้ามาในพระศาสนา<O:p</O:p
    ยังคลางแคลงสงสัยไม่รู้ได้ว่าคำสอนใดเป็นของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่
    ก็ย่อมปรากฏชัดแจ้งให้พวกเราเห็นได้ว่า เป็นผู้แค่แต่งเครื่องแบบแสดงความเป็นพระ<O:p</O:p
    อาศัยผ้าเหลืองหากิน แต่หาใช่ พระ ในความหมายของพระพุทธองค์ไม่

    และถ้ายิ่งเที่ยวกล่าวหาว่า<O:p</O:p
    ***เน้นแต่สมาธิ ไม่มีปัญญามาควบคุม ระวังเป็นสมาธิหลับในแล้วฝันเห็นนรก-สวรรค์โดยไม่รู้ตัว***
    นั่นย่อมแสดงความชัดเจนขึ้นว่า เป็นผู้แค่อาศัยผ้าเหลืองเท่านั้น<O:p</O:p
    หาได้ทำหน้าที่เป็นพุทธบุตรแห่งพระพุทธองค์ไม่

    <O:p</O:pเพราะมีพระพุทธพจน์แสดงไว้อย่างชัดเจน ซึ่งยกมาหลายครั้งแล้วว่า
    <O:p</O:pสมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
    ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้

    <O:p</O:pปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์ แก่ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น
    ไม่รู้แจ่มแจ่งซึ่งพระสัทธรรม มีความเลื่อมใสอันเลื่อนลอย

    <O:p</O:pปัญญาเกิดขึ้นเพราะความประกอบ ไม่ประกอบปัญญาก็หมดสิ้นไป
    บุคคลรู้ทางแห่งความเจริญและความเสื่อมทั้ง ๒ทางนี้แล้ว
    พึงตั้งตนไว้ในทางที่ปัญญาจะเจริญ
    <O:p</O:p
    สมาธิของพระองค์ไม่ใช่สมาธิหลับใน ฝันเห็นนรกสวรรค์
    แต่เป็นสมาธิ อันประกอบด้วยองค์มรรค ( สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ )
    <O:p</O:p
    และเมื่อจิตตั้งมั่นชอบเป็นสมาธิแล้ว จะรู้เห็นตามความเป็นจริง คือ
    เกิดปัญญาปล่อยวางอารมณ์ ความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ต่างๆออกไปได้
    <O:p</O:p
    ศีล สมาธิ ปัญญา ในองค์มรรค จะทำงานสัมพันธ์กัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
    ดังพุทธพจน์ที่แสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตร
    สมาธิที่ศีล อบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่
    ปัญญาที่สมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่
    จิตที่ปัญญาอบรมแล้วย่อมหลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมองเสียได้
    <O:p</O:p
    สมาธิในองค์มรรค มีปัญญาควบคุมตลอด<O:p</O:p
    ( ควบคุมอย่างไรนั้น
     
  17. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เหตุที่ทำให้พระศาสนาเสื่อม เพราะ

    . พุทธบริษัท ไม่เคารพในพระศาสดาของตน.<O:p</O:p
    . พุทธบริษัท ไม่ตระหนักในธรรม.<O:p</O:p
    . พุทธบริษัท ไม่คารวะต่อสงฆ์.<O:p</O:p
    . พุทธบริษัท ไม่ตั้งใจศึกษาธรรม.<O:p</O:p
    ๕. พุทธบริษัท ไม่สนใจในการทำสมาธิ

    พุทธบุตรที่ขานนาคสืบต่อกันมา แล้วไม่ทำหน้าที่พุทธบุตรที่ดี เป็นเหตุให้ศาสนาเสื่อมโดยไม่รู้ตัว

    ในครั้งพุทธกาล ลัทธิต่างๆมีการปฏิบัติสมาธิกันมากมาย
    แต่เมื่อพระพุทธองค์อุบัติขึ้นมา ทรงแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า
    สมาธิของพระองค์เป็นสัมมาสมาธิในอริยมรรค ๘
    ไม่ใช่สมาธิแบบที่ลัทธิต่างๆปฏิบัติกันมา

    มีปรากฏในธัมมจักกัปปวตนสูตร ปฐมเทศนา ว่า
    ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ
    ธรรมทั้งหลายที่ได้ปฏิบัติมา เราไม่เคยสดับฟังมาจากที่ใดเลย

    สมาธิของพระพุทธองค์ เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา
    ปัญญาเป็นปัจจัยให้จิตหลุดพ้นจากทุกข์ได้

    ดังนั้น ควรจะทำหน้าที่พุทธบุตรแห่งพระบรมศาสดา
    โดยเผยแผ่การปฏิบัติสัมมาสมาธิ ในองค์มรรค ให้สาธุชนฯ
    ( อย่าหลับตาเอาแต่เดาสวด อ่านแต่ตำราแล้วคิดว่าเกิดปัญญา )

    ^_^<O:p</O:p
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ผู้ปฏิญาณตนเป็นพุทธศาสนิกชน แสดงว่า เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    และเห็นว่าคำสั่งสอนของพระองค์เป็นกุศล มีประโยชน์ ผู้รู้สรรเสริญ ใครสมาทานให้เต็มที่แล้ว

    ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของผู้นั้นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าพระภิกษุผู้บวชเข้ามาในพระศาสนา<O:p</O:p
    ยังคลางแคลงสงสัยไม่รู้ได้ว่าคำสอนใดเป็นของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่
    ก็ย่อมปรากฏชัดแจ้งให้พวกเราเห็นได้ว่า เป็นผู้แค่แต่งเครื่องแบบแสดงความเป็นพระ<O:p</O:p
    อาศัยผ้าเหลืองหากิน แต่หาใช่ พระ ในความหมายของพระพุทธองค์ไม่



    *****ถ้ามีใครบอกว่าคำสอนนั้น คำสอนนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก้ต้องเชื่อเลย โดยไม่ต้องลังเลสงสัยใช่หรือไม่?***


    และเมื่อจิตตั้งมั่นชอบเป็นสมาธิแล้ว จะรู้เห็นตามความเป็นจริง คือ
    เกิดปัญญาปล่อยวางอารมณ์ ความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ต่างๆออกไปได้

    ***แล้วปัญญาในที่นี้หมายถึงอะไร?***

    ***การรู้เห็นตามความเป็นจริงก็คือ รู้เห็นด้วยตนเอง และเชื่อในสิ่งที่เห็นใช่หรือไม่?***

    ***ถ้าใช่ นี่ก็แสดงว่า เราไม่ได้เชื่อตามตำรา หรือตามครูอาจารย์ใช่หรือไม่?***


    **แล้วหัวใจของปัญญาอยู่ที่ไหน?***


    ( อย่าหลับตาเอาแต่เดาสวด อ่านแต่ตำราแล้วคิดว่าเกิดปัญญา )

    ***หนังสือของอาตมามีแต่ความจริง ไม่มีการเดาสวดเด็ดขาด ตรงไหนที่ว่าเดาสวด ช่วยบอกที ***

    ***ก็บอกว่าอย่าเชื่อจากตำรา อย่าเชื่อจากใครๆ อ่านเข้าใจหรือเปล่า??***


    ***อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง***

    ("ฉันคืออะไร?" เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.8m.com)
     
  19. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    หลักาลามสูตร

    ๑. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ฟังจากคนอื่นเขาบอกต่อๆกันมา

    ๒. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ได้เห็นเขาทำสืบๆกันมา

    ๓. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า กำลังเป็นที่เลื่องลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน

    ๔. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีที่อ้างอิงจากตำรา

    ๕. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีเหตุผลตรงๆทางมารองรับ(ตรรกะ)

    ๖. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีเหตุผลแวดล้อมมารองรับ(นัยยะ)

    ๗. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า คิดเดาเอาตามสามัญสำนึกของเราเอง

    ๘. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มันตรงกับความเห็นเดิมที่เรามีอยู่

    ๙. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ผู้บอกผู้สอนนั้นอยู่ในฐานะที่น่าเชื่อถือ

    ๑๐. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ผู้บอกผู้สอนนี้เป็นครูอาจารย์ของเราเอง

    เมื่อใดที่เรารู้ด้วยตนเองว่า ธรรม(คำสอน)เหล่านี้เป็นอกุศล(ผิด, ไม่ดีงาม), ธรรมเหล่านี้มีโทษ, ธรรมเหล่านี้วิญญูชน (ผู้มีสติปัญญาและมีใจเป็นกลาง) ติเตียน, ธรรมเหล่านี้ถ้ากระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล พึงละเว้นธรรมเหล่านี้เสีย

    ส่วนธรรมเหล่าใด ที่เรารู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล(ถูกต้อง,ดีงาม) ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ, ธรรมเหล่านี้วิญญูชนสรรเสริญ, ธรรมเหล่านี้ถ้ากระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล พึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น.

    ***หลักกาลามสูตรนี้ใช้ได้หรือไม่? ยอมรับหรือไม่? หรือผิดพลาดตรงไหน?***

    **ใครไม่ยอมรับก็บอกมาตรงๆ(และบอกด้วยว่าทำไมถึงไม่ยอมรับ?)***

    ***ถ้ายอมรับ แล้วทำไม่ถึงไม่นำมาปกิบัติ?***

    ***อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง***

    ("ฉันคืออะไร?" เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ
    www.whatami.net - www.whatami.8m.com)
     
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตอบปัญหาธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา

    เราต้องฟังไว้ก่อน เพราะเราเชื่อในความตรัสรู้ของพระองค์ ไม่ใช่จะปฏิเสธไปก่อนว่า อย่าเชื่อ<O:p</O:p
    ผู้ปฏิญาณตนเป็นพุทธศาสนิกชน แสดงว่า เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    และเห็นว่าคำสั่งสอนของพระองค์เป็นกุศล มีประโยชน์ ผู้รู้สรรเสริญ ใครสมาทานให้เต็มที่แล้ว
    ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของผู้นั้นเอง<O:p</O:p

    แล้วนำมาปฏิบัติตาม พระองค์สอนให้ปฏิบัติทางจิตนะคะ (ไม่ใช่แค่อ่านแล้วคิดตาม)<O:p</O:p
    เมื่อปฏิบัติทางจิตแล้ว นำมาเทียบเคียงกับพระสูตร ลงกับพระวินัยได้<O:p</O:p
    ถึงเวลานั้นผู้ปฏิบัติย่อมเชื่อถืออย่างสนิทใจได้เอง<O:p</O:p
    ย่อมรู้ได้ด้วยตนเองว่าคำสอนของพระองค์นั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข...<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    โดยเฉพาะผู้บวชเข้ามาในพระศาสนาถ้าเชื่อในความตรัสรู้ของพระองค์<O:p</O:p
    ย่อมน้อมนำคำสอนของพระองค์มาปฏิบัติตาม<O:p</O:p
    และจะไม่คลางแคลงสงสัยในคำสอนของพระองค์เลย<O:p</O:p
    และจะไม่ตั้งคำถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าคำสอนใดเป็นของพระพุทธเจ้าจริง<O:p</O:p
    การตั้งคำถามแบบนี้ เพราะไม่น้อมนำคำสอนของพระองค์ไปปฏิบัติตามนั่นเอง<O:p</O:p

    ถ้าพระภิกษุผู้บวชเข้ามาในพระศาสนา
    ยังคลางแคลงสงสัยไม่รู้ได้ว่าคำสอนใดเป็นของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่
    ก็ย่อมปรากฏชัดแจ้งให้พวกเราเห็นได้ว่า เป็นผู้แค่แต่งเครื่องแบบแสดงความเป็นพระ
    อาศัยผ้าเหลืองหากิน แต่หาใช่ พระ ในความหมายของพระพุทธองค์ไม่

    ^_^<O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...