น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    นรกสวรรค์ เขาให้รู้ไม่ใช่ให้หลง และถ้าไม่เชื่อว่านรกสวรรค์โลกหน้ามีจริง เห็นว่าเป็นเรื่องหลอกคนโง่ๆ ก็สึกไปเสพเมถุนเถิดท่าน จะมาบวชอยู่ทำไม ท่านเป็นอัจฉริยะไม่ใช่หรือ
    ไปสืบพันธุ์ต่อเถอะ หรือว่าท่านไม่ฉลาดจึงมาครองผ้าเหลือง หรือว่าไม่ได้ครองผ้าเหลือง
    ได้แต่แอบอ้าง หรือว่าเก็บกดอะไรมาหรือเปล่า?
    ไปกินกามเกียรติเถอะ มาดักดานทำไม ในเมื่อยังไงก็นิพพานเดี๋ยวนี้ไม่ใช่หรือ?
    มาถือศีล 227 ข้อทำไม เสียเปรียบชาวบ้านเขา เขาตายเขาก็นิพพานหนิ
    ถ้าคิดแบบนี้ หรือว่าท่านไม่ได้ถือศีล 227 ข้อ ทำอาบัติปาราชิกทุกวัน
    ใช้ความอัจฉริยะเลี่ยงเอา แล้วมันคุ้มเหรอที่มาบวช
    ในเมื่อสุดท้าย ก็กลายเป็นอากาศธาตุไม่ใช่เหรอ ในความคิดคุณอะ
    ชาติหน้าก็ไม่มีสำหรับคุณแล้ว สึกไปใช้ชีวิตให้คุ้มเถอะ
    เกิดมาชาติเดียวหนิ เดี๋ยวก็นิพพานแล้ว โถ...ความคิดคน

    หรือว่ามีปมด้อยอะไรครับ พิกลพิการ รูปร่่างพิลึก หรือว่าเป็นบัณเฑาะก์
    อย่างไรหรือ? ถึงได้มาเป็นเช่นนี้

    ทำอะไรก็ทำไปเถอะ สำหรับคุณยังไงก็นิพพานหนิ ชาติหน้าไม่มีแล้ว
    ผลของกรรมไม่มี นรก-สวรรค์ไม่มี ไม่มี ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น
    ตายแล้วสูญ ตายแล้วเป็นอากาศธาตุ ตายๆๆๆ
    ทำไมไม่ตายไปเลยหละครับ จะได้นิพพานไปเลย
    คิดว่าตายแล้วสูญหนิ นิพพานเดี๋ยวนี้ นิพพานแน่ๆ หมาแมวก็นิพพาน

    เอาเข้าไปๆ เชิญคิดอะไรก็คิดไปเถอะ จะหลงว่าตนอัจฉริยะก็ทำไป
    จะอ้างว่าโน่นนี่ไม่ใช่พุทธพจน์ก็ทำไป ตามสบายเลย
     
  2. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สองพี่น้องออกบวช


    ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนาม
    ว่ากัสสป ปรินิพพานแล้ว กุลบุตรสองคนพี่น้องออกบวชในสำนักแห่ง
    พระสาวกทั้งหลาย.
    บรรดากุลบุตรสองคนนั้น คนพี่ได้ชื่อว่าโสธนะ, คนน้องชื่อกปิละ.
    ส่วนมารดาของคนทั้งสองนั้น ชื่อว่าสาธนี, น้องสาวชื่อตาปนา. แม้
    หญิงทั้งสองนั้น ก็บวชแล้วใน ( สำนัก ) ภิกษุณี. เมื่อคนเหล่านั้นบวช
    แล้วอย่างนั้น พี่น้องทั้งสองทำวัตรและปฏิวัตรแก่พระอาจรรย์และพระ-
    อุปัชฌายะอยู่ วันหนึ่ง ถามว่า " ท่านขอรับ ธุระในพระศาสนานี้มี
    เท่าไร ?" ได้ยินว่า " ธุระมี ๒ อย่าง คือ คันถธุระ ๑ วิปัสสนา-
    ธุระ ๑," ภิกษุผู้เป็นพี่คิดว่า " เราจักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ" อยู่ในสำนัก
    แห่งพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ ๕ พรรษาแล้ว เรียนกัมมัฏฐานจน
    ถึงพระอรหัต เข้าไปสู่ป่าพยายามอยู่ ก็บรรลุพระอรหัตผล.


    น้องชายเมาในคันถธุระ


    ภิกษุน้องชายคิดว่า " เรายังหนุ่มก่อน, ในเวลาแก่จึงจักบำเพ็ญ
    วิปัสสนาธุระ " จึงเริ่มตั้งคันถธุระ เรียนพระไตรปิฎก. บริวารเป็นอัน
    มากได้เกิดขึ้น เพราะอาศัยปริยัติของเธอ, ลาภก็ได้เกิดขึ้น เพราะอาศัย
    บริวาร. เธอเมาแล้วด้วยความเมาในความเป็นผู้สดับมาก อันความทะยาน
    อยากในลาภครอบงำแล้ว เพราะเป็นผู้สำคัญตัวว่าฉลาดยิ่ง ย่อมกล่าวแม้
    สิ่งที่เป็นกัปปิยะ อันคนเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่า " เป็นอกัปปิยะ," กล่าว
    แม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะว่า " เป็นกัปปิยะ," กล่าวแม้สิ่งที่มีโทษว่า " ไม่มี
    โทษ," กล่าวแม้สิ่งไม่มีโทษว่า " มีโทษ." เธอแม้อันภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก
    ทั้งหลายกล่าวว่า " คุณกปิละ คุณอย่าได้กล่าวอย่างนี้ " แล้ว แสดง
    ธรรมและวินัยกล่าวสอนอยู่ ก็กล่าวว่า " พวกท่านจะรู้อะไร ? พวกท่าน
    เช่นกับกำมือเปล่า" เป็นต้นแล้ว ก็เที่ยวขู่ตวาดภิกษุทั้งหลายอยู่.


    น้องชายไม่เชื่อพี่


    ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายบอกเนื้อความนั้นแม้แก่พระโสธนเถระผู้เป็น
    พี่ชายของเธอแล้ว. แม้พระโสธนะเถระเข้าไปหาเธอแล้ว ตักเตือนว่า
    " คุณกปิละ ก็การปฏิบัติชอบของภิกษุทั้งหลายผู้เช่นเธอชื่อว่าเป็นอายุ
    พระศาสนา; เพราะฉะนั้น เธออย่าได้ละการปฏิบัติชอบแล้ว กล่าว
    คัดค้านสิ่งที่เป็นกัปปิยะเป็นต้นอย่างนั้นเลย." เธอมิได้เอื้อเฟื้อถ้อยคำแม้
    ของท่าน. แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเถระก็ตักเตือนเธอ ๒ - ๓ ครั้ง ทราบ
    เธอผู้ไม่รับคำตักเตือนว่า " ภิกษุนี้ไม่ทำตามคำของเรา" จึงกล่าวว่า
    " คุณ ถ้าดังนั้น เธอจักปรากฏด้วยกรรมของตน ดังนี้แล้ว หลีกไป.


    น้องชายเสียคนเพราะถูกทอดทิ้ง


    จำเดิมแต่นั้น ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก แม้เหล่าอื่น ทอดทิ้ง
    เธอแล้ว. เธอเป็นผู้มีความประพฤติชั่ว อันพวกผู้มีความประพฤติชั่ว
    แวดล้อมอยู่ วันหนึ่ง คิดว่า " เราจักสวดปาติโมกข์ " จึงถือพัดไปนั่ง
    บนธรรมาสน์ในโรงอุโบสถแล้ว ถามว่า " ผู้มีอายุ ปาติโมกข์ย่อมเป็นไป
    เพื่อภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกันแล้วในที่นี้หรือ ?" เห็นภิกษุทั้งหลายนิ่งเสีย
    ด้วยคิดว่า " ประโยชน์อะไร ด้วยคำโต้ตอบที่เราให้แก่ภิกษุ ?" จึง
    กล่าวว่า " ผู้มีอายุ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ไม่มี, ประโยชน์อะไรด้วย
    ปาติโมกข์ ที่พวกท่านจะฟังหรือไม่ฟัง" ดังนี้แล้ว ก็ลุกไปจากอาสนะ.
    เธอยังศาสนาคือปริยัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปให้
    เสื่อมลงแล้วด้วยอาการอย่างนี้. แม้พระโสธนเถระก็ปรินิพพานในวันนั้น
    เอง.
    ในกาลสิ้นอายุ ภิกษุกปิละเกิดในอเวจีมหานรก. มารดาและน้อง-
    สาวของเธอแม้นั้น ถึงทิฏฐานุคติของเธอนั่นแล ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย
    ผู้มีศีลเป็นที่รักแล้ว ก็บังเกิดในอเวจีมหานรกนั้นเหมือนกัน.

    กปิละเกิดเป็นปลาใหญ่


    แม้ภิกษุกปิละ ไหม้ในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่งแล้ว ในกาลนั้น
    บังเกิดเป็นปลาใหญ่ในแม่น้ำอจิรวดี มีสีเหมือนทองคำ มีปากเหม็น ด้วย
    เศษแห่งวิบาก.
    ต่อมาวันหนึ่ง สหายเหล่านั้นปรึกษากันว่า " เราจักจับปลา " จึง
    ถือเอาเครื่องจับสัตว์น้ำมีแหเป็นต้น ทอดไปในแม่น้ำ. ทีนั้นปลานั้นได้
    เข้าไปสู่ภายในแหของคนเหล่านั้น. ชาวบ้านประมงทั้งหมด เห็นปลานั้น
    แล้ว ได้ส่งเสียงเอ็ดอึงว่า " ลูกของพวกเราเมื่อจับปลาครั้งแรก จับได้
    ปลาทองแล้ว, คราวนี้ พระราชาจักพระราชทานทรัพย์แก่เราเพียงพอ."
    สหายแม้เหล่านั้นแล เอาปลาใส่เรือ ยกเรือขึ้นแล้วก็ไปสู่พระราชสำนัก.
    แม้เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นปลานั้น ตรัสว่า " นั่นอะไร ? "
    พวกเขาได้กราบทูลว่า " ปลา พระเจ้าข้า." พระราชาทอดพระเนตรเห็น
    ปลามีสีเหมือนทองคำ ทรงดำริว่า " พระศาสดาจักทรงทราบเหตุที่ปลานั่น
    เป็นทองคำ" ดังนี้แล้ว รับสั่งให้คนถือปลา ได้เสด็จไปสู่สำนักพระผู้มี-
    พระภาคเจ้า. เมื่อปากอันปลาพออ้าเท่านั้น พระเชตวันทั้งสิ้น ได้มีกลิ่น
    เหม็นเหลือเกิน.
    พระราชาทูลถามพระศาสดาว่า " พระเจ้าข้า เพราะเหตุไร ปลา
    จึงมีสีเหมือนทองคำ ? และเพราะเหตุไร กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปาก
    ของมัน ? "
    พระศาสดา. มหาบพิตร ปลานี้ได้เป็นภิกษุชื่อกปิละ เป็นพหูสูต
    มีบริวารมาก ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป,
    ถูกความทะยานอยากในลาภครอบงำแล้ว ด่าบริภาษพวกภิกษุผู้ไม่ถือคำ
    ของตน ยังพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ให้
    เสื่อมลงแล้ว . เขาบังเกิดในอเวจีด้วยกรรมนนั้นแล้ว บัดนี้เกิดเป็นปลา
    ด้วยเศษแห่งวิบาก; ก็เพราะเธอบอกพระพุทธวจนะ กล่าวสรรเสริญคุณ
    พระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน, จึงได้อัตภาพมีสีเหมือนทองคำนี้ ด้วยผลแห่ง
    กรรมนั้น. เธอได้เป็นผู้บริภาษภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจาก
    ปากของเธอ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น; มหาบพิตร อาตมภาพจะให้ปลานั้น
    พูด.
    พระราชา. ให้พูดเถิด พระเจ้าข้า.
    ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามปลาว่า " เจ้าชื่อกปิละหรือ ? "
    ปลา. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อกปิละ.
    พระศาสดา. เจ้ามาจากที่ไหน ?
    ปลา. มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. พระโสธนะพี่ชายใหญ่ของเจ้าไปไหน ?
    ปลา. ปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. ก็นางสาธนีมารดาของเจ้าเล่าไปไหน ?
    ปลา. เกิดในนรก พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. นางตาปนาน้องสาวของเจ้าไปไหน ?
    ปลา. เกิดในมหานรก พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. บัดนี้เจ้าจักไปที่ไหน ?
    ปลาชื่อกปิละกราบทูลว่า " จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิม พระเจ้าข้า "
    ดังนี้แล้ว อันความเดือดร้อนครอบงำแล้ว เอาศีรษะฟาดเรือ ทำกาละ
    ในทันทีนั่นเอง เกิดในนรกแล้ว. มหาชนได้สลดใจมีโลมชาติชูชันแล้ว.


    พระศาสดาตรัสกปิลสูตร
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูวาระจิตของบริษัทผู้ประชุม
    กันในขณะนั้น เพื่อจะทรงแสดงธรรมให้สมควรแก่ขณะนั้น จึงตรัส
    กปิลสูตรในสุตตนิบาต<sup>๑</sup>ว่า " นักปราชญ์ทั้งหลาย ได้กล่าวการประพฤติ
    ธรรม ๑ การประพฤติพรหมจรรย์ ๑ นั่น ว่าเป็นแก้วอันสูงสุด" ดังนี้
    เป็นต้นแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า:-
    ๑. มนุชสฺส ปมตฺตจาริโน
    ตณฺห วฑฺฒติ มาลุวา วิย
    โส ปลวตี หุราหุรํ
    ผลมิจฺฉํว วนสฺมึ วานโร.
    ยํ เอสา สหตี ชมฺมี ตณฺหา โลเก วิสตฺติกา
    โสกา ตสฺส ปวฑฺฒนฺติ อภิวฑฺฒํว พีรณํ.
    โย เจ ตํ สหตี ชมฺมึ ตณฺหํ โลเก ทุรจฺจยํ
    โสกา ตมฺหา ปปตนฺติ อุทพินฺทุว โปกฺขรา.
    ตํ โว วทามิ ภทฺทํ โว ยาวนฺเตตฺถ สมาคตา
    ตณฺหาย มูลํ ขณถ อุสีรตฺโถว พีรณํ.
    มา โว นฬํ ว โสโตว มาโร ภญฺชิ ปุนปฺปุนํ.
    " ตัณหา ดุจเถาย่านทราย ย่อมเจริญแก่คนผู้มี
    ปกติประพฤติประมาท. เขาย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพน้อย
    ใหญ่ ดังวานรปรารถนาผลไม้เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น.
    ตัณหานี้เป็นธรรมชาติลามก มักแผ่ซ่านไปในอารมณ์
    ต่าง ๆ ในโลก ย่อมครอบงำบุคคลใด ความโศก
    ทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น, ดุจหญ้าคมบางอัน

    ๑. ขุ. สุ. ๒๕/ ข้อ ๓๒๑. ธรรมจริยสูตร.

    </pre>
     
  3. พระนอกเมือง

    พระนอกเมือง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +29
    กระผมก็คิดได้แต่แรกแล้วว่าคำถามบางคำถามที่ท่านยันไปยันมา ก็เพื่อให้ได้โอกาสที่จะบอกว่า "..ก็จัดว่าเป็นการโอ้อวดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ หรือเหนือคนอื่น(อุตริมนุสสธรรม) ภิกษุห้ามอวด.."

    แต่อย่างที่บอกนะครับว่ายืนยันเรื่องผี วิญญาณ (ตายแล้วไม่สูญ) เพราะพบเห็นด้วยตนเอง ลักษณะนี้อวดอุตริด้วยหรือ ในเมื่อใคร ๆ เขาก็เห็นกัน (คนรู้จััก และคนในครอบครัว)
    เรื่องการปฏิบัติก็บอกแล้วว่ได้ลองปฏิบัติ ซึ่งพบว่าตำรา หนังสือที่แนะนำก็บอกผลที่ตรงกัน (ซึ่งบางจุดของการปฏิบัติ ผมเองไม่ทราบมาก่อน จนกระทั่งอ่านเจอว่าใช่)
    ...เอ อย่างนี้เหมือนพยายามหาข้ออ้างโน่นอ้างนี้อย่างไรไม่รู้นะ สำหรับการที่จะปฏิเสธแบบหัวชนฝา

    อุตริมนุสสธรรมที่ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ กล่าวถึงนี่ คือห้ามพิสูจน์เลยหรือ (ถ้าท่านใส่ใจสักนิด จะเห็นว่าการถามตอบของท่าน เป็นการพยายามบอกว่าคนอื่นผิดมากกว่าจะให้เหตุผลนะ)

    ****************************

    "ทำไมตัดตอนเอามาแค่นี้ ส่วนคำว่า "แล้วมันช่วยดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบันได้จริง ก็แสดงว่าผู้สอนนั้นมีอยู่จริง" หายไปไหน? นี่คือสิ่งที่ใครก็ปฏิบัติได้ แต่ไม่ยอมปฏิบัติ เพราะความยึดถือว่ามีตนเอง(อัตตา)มันขวางอยู่
    อีกอย่าง หลักกาลามสูตราไม่ได้สอนให้ไปทดลองปฏิบัติไปหมดซะทุกเรื่อง เรื่องใดไม่เป็นประโยชน์แก่การดับทุกข์ ก็ไม่ให้สนใจ ให้ละทิ้งไปเสีย (เช่นเรื่องพิสูจน์ ผี เทวดา นรก สวรรค์) แต่ให้มาสนใจเรื่องที่เป็นประโยชน์ ไม่มีโทษ และช่วยดับทุกข์ได้เท่านั้น"


    ที่ตัดตอนมาเท่านั้น เพราะอยากให้ท่านทราบว่า การที่จะรู้ได้ เพราะพิสูขน์มิใช่หรือ ท่าจะทราบความจริงในคำสอนของพระพุทธองค์ส่วนอื่นได้ ก็ต้องทำให้รู้ว่าสิ่งนี้ก็ช่วยดับทุกข์ได้จริง มิใช่หรือ

    และอย่างที่ท่านกล่าวว่า "นี่คือสิ่งที่ใครก็ปฏิบัติได้ แต่ไม่ยอมปฏิบัติ" ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ไม่ได้หมายถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ และนั่นคือประเด็นว่าท่านไม่รู้ (เพราะท่านไม่เชื่อ และไม่ได้พิสูจน์)

    ท่านจึงไม่มีวันรู้ว่าสิ่งที่ผู้อื่นกล่าวเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิตอย่างไร ซึ่งไม่ว่าอธิบายอย่างไร นอกจากท่านตั้งหน้าตั้งตาค้านอย่างเดียว ยังไม่เห็นสิ่งที่แสดงว่าท่านใช้หลักกาลามสูตร
    หรือ ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างรอบด้านเลย ท่านเลือกที่จะบอกว่า "ใช่" เฉพาะสิ่งที่ท่านคิดเอา ไม่ได้เกิดจากการใช้กระบวนวิธีการใด ๆ ตามที่ท่านบอกสักนิด

    ปงล.ท่านทราบหรือว่าการพิสูจน์ได้ว่า ผี เทวดา นรก สวรรค์ มีอยู่ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ในเมื่อท่านยังไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้เลย แล้วจะเข้าใจหรืออธิบายได้อย่างไร บนพื้นฐานของอะไร (อย่าคิดเองสิ)

    *****************************

    แต่คุณเชื่อมันยู่จริง เพียงแต่ไม่ด้อยู่ใต้ดิน หรือบนฟ้าท่านั้น ใช่หรือไม่?
    แล้วเรื่องนิพพานเมืองแก้วล่ะ? เชื่อหรือไม่? หรือ นิพพาน คืออะไร?


    แล้วที่ผี (วิญญาณที่มีความทุกข์บ้าง เทวดาบ้าง ญาติที่เสียชีวิตแล้วบ้าง) ที่ผม หรือคนอื่น ๆ แม้แต่คนในครอบครัว เคยได้รับรู้รับทราบ มาปรากฏเป็นตัวเป็นตน ทั้งที่มาขอส่วนบุญก็ดี ทั้งที่มาด้วยเหตุอื่นก็ดี
    เป็นสิ่งยืนยันได้บ้างหรือไม่ (ในเมื่อตอนที่เห็นไม่ใช่ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ เห็น)

    ในเมื่อสิ่งนี้มีอยู่จริง การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่จริง แล้วภพภูมิของสิ่งทั้งปวงนั่นจะเป็นอะไรดี

    นอกจากท่านพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดนั่น พวกกระผมตาถั่วไปเอง (พิสูจน์ให้ทราบนะครับ ไม่ใช่บอกให้เชือด้วยคำว่า "ไม่มี" "ไม่จริง" โดยไม่มีกระบวนการที่เชื่อถือได้รองรับ)

    ******************************

    สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ถึงพิสูจน์อย่างไรก็ไม่มีทางพบ (เพราะมันไม่ได้มีอยู่จริง)
    จึงเป็นหน้าที่ของผู้ที่เชื่อว่ามีอยู่จริง ที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่ามันมีอยู่จริง แล้วนำมาแสดง
    ส่วนคนที่บอกว่าพิสูจน์ได้แล้วว่ามีอยู่จริงนั้น ก็แสดงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ออกมาซิ เอาให้เป็นวิทยาศาสตร์จริงๆนะ ไม่ใช่เอาแต่โอ้อวดว่าต้องเป็นผู้วิเศษเท่านั้นจึงจะพิสูจน์ได้ หรือต้องฝึกอย่างหนัก(เกินวิสัยคนธรรมดาจะทำได้)เท่านั้นจึงจะพิสูจน์ได้


    ก็ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ได้พิสูจน์แล้วหรือยัง ไม่มีใครคัดค้านท่านหรอก ถ้า "ท่าน" ได้ทำแล้วจริง ๆ
    ส่วนที่บอกว่าให้พิสูจน์ให้เห็น ให้ทำให้ดู คงไม่ใช่คำถามดักหนูนะครับ (เดี๋ยวท่านก็หาเรื่องอ้างว่าอวดอุตริมนุสสธรรมน่ะสิ)

    ถ้าเกินวิสัยคนธรรมดา หรือต้องเป็นผู้วิเศษ ป่านนี้ในเวบบอร์ดนี้คงมีพวก เกินความเป็นคนไปมากแล้วมั้ง (ใช่ไหมคุณโยมทุกท่าน)

    ผมจะพิสูจน์ให้ท่านดู แต่เบื้องต้นท่านต้องเตรียมความพร้อมในส่วนของท่านเองด้วย ในเมื่อสิ่งที่ผมจะพิสูจน์ให้ท่านดู ไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยจิตหยาบ
    ขั้นแรก ให้ท่านทำสมาธิ โดยกำหนดภาพพระพุทธรูปที่ท่านชอบไว้ที่ท้อง พร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าภาวนาว่า "พุท" หายใจออกภาวนาว่า "โธ"
    เอาแค่นี้ก่อน ปฏิบัติทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมง (เพิ่มเวลาได้เท่าที่ต้องการ แต่ห้ามต่อรองลดเวลา)
    ทำได้ดังนี้ทุกวันอย่าขาดเว้นแม้แต่วันเดียว เป็นเวลา ๒ เดือน (อยากให้ ๓ เดือนนะ แต่กลัวท่านอดทนไม่พอ เพราะผมเคยทำ ๖ เดือน ขาด ๓ วันเอง ไม่ว่างจริง ๆ)

    ถ้าครบกำหนดท่านก็พร้อมจะสัมผัสในสิ่งที่ท่าน "ไม่เชื่อ" แน่นอน ตอนนั้นล่ะเราจะไปพิสูจน์ด้วยกัน

    กลัวแต่ท่านงอแงไม่ทำน่ะสิ การนั่งสมาธิทุกวัน วันละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย คงไม่ใช่ส่วนของผู้วิเศษมั้งครับ เพราะฉะนั้นท่านทำได้...แน่นอน
     
  4. พระนอกเมือง

    พระนอกเมือง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +29
    ๑. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ยอมรับ
    ๒. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ยอมรับ
    ๓. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ยอมรับไม่หมด จิตดวงเดิมมีการเปลี่ยนแปลง จึงชื่อว่าหายไป (จากความเป็นลักษณะเดิม เช่น ตอนนี้โกรธ แล้วหายโกรธ จึงเรียกว่าหายไปเพราะจิตที่โกรธไม่ได้คงที่) แต่ไม่ใช่หายไป หรือดับไป ในความหมายว่าไม่มีเสียเลย แต่หายไป หรือดับไป ในความหมายว่า อาการของจิตนั้นหายไป หรือ ดับไป เท่านั้น
    ๔. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ยอมรับ
    ๕. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ยอมรับ
    ๖. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ยอมรับ
    ๗. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ไม่ยอมรับ ในเมื่อจิตกับกายเป็นคนละส่วน เกี่ยวอะไรว่าไม่มีกาย คือ ไม่มีจิต (มั่วจริง ๆ)
    ๘. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ถ้าหมายถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่ถูกอีก เพราะเมื่อสัมผ้สจิต ตัวที่เกิดขึ้นคือ วิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวว่าไม่เกิดสัมผัส คือ ไม่เกิดจิต (สำหรับข้อนี้ไม่ยอมรับ)
    ๙. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ได้หมายความว่าไม่มี แย้งว่ามี แต่ไม่ใช่เรา และที่ไม่เป็นอมตะนิรันด์กาล เพราะมันมีการเปลี่ยนแปลง
    ๑๐.ยอมรับหรือไม่ว่า ? พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสอย่างนี้

    พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงตั้งเกณฑ์เช่นนี้ว่า ใครยอมรับ ๑๐ ข้อนี้คือถูก ในเมื่อข้อสรุปบางข้อผิดเห็น ๆ
     
  5. B5234T5

    B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +210
    เถียงกันไปเถียงกันมาชักจะเยิ่นเย้อแล้วนะครับ สงบใจกันนิดหนึ่ง

    "การทะเลาะมันเกิดได้เพราะว่าเรา/เขาพยายามพูดให้ดังกว่าฝ่ายตรงข้าม"นะครับ...
     
  6. B5234T5

    B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +210
    ลองอ่าน "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" ดูไหมครับ...?

    อยากให้ได้อ่านกันเยอะๆ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ท่านพุทธทาสไม่รู้จักปฏิสัมภิทาอะครับ
    แต่ช่างเถอะ ท่านก็พูดไว้ดี

    เพราะท่านลืมไปว่า พุทธวิสัย เป็นอจินไตย ฌานวิสัย เป็นอจินไตย
    รู้ว่าพระองค์ทำได้ แต่มิใช่ยึดติดในสิ่งนั้น
    แต่มิใช่เอามากล่าวตู่ว่าเป็นการเหลือวิสัยที่พระองค์จะสามารถ

    การเวียนว่ายมีอยู่สองแบบ คือเวียนว่ายในขณะที่ยังดำรงชีวิต
    คือ คุณธรรมในขณะต่างๆ เทียบได้กับภูมิต่างๆ
    กับเวียนว่ายเมื่อตายไปแล้ว จิตเปลี่ยนแปลง ปฏิสนธิเป็นชีวิตใหม่
    ในภพภูมิต่างๆ ที่มันเหมือนจะเป็นคนละส่วนกับชีวิตเดิมแล้ว
    ดังนั้น ไม่ควรหลงกับชาตินี้ ชาติหน้า ชาติไหน ทำเหตุในปัจจุบันให้ดีเป็นพอ
    เพราะชาติก่อน ชาติหน้า ชาติโน้น นั้นมี แต่ไม่สำคัญอะไรเลย มันถูกแยกออกจากกันแล้ว
    มันไม่คงประโยชน์เมื่อปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ซึ่งมันเป็นตัวทำเหตุได้ดีที่สุด
    แต่ที่ต้องรู้จักการกำเนิดบ่อยๆ เพื่อที่ว่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้ทำเหตุให้ดี เพื่อที่ผลจะออกมาดี
    ถึงจะเป็นชีวิตหน้าก็ยังดี แต่ไม่ใช่ให้ติดว่าจะอยู่เพื่อชีวิตหน้าที่สมบูรณ์
    แต่ให้อยู่กับตัวเองขณะนี้ เดี๋ยวนี้ต่างหาก
    มันถึงจะเรียกว่า "ประตูแห่งศานติมีเฉพาะในปัจจุบันเท่านั้น"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2009
  8. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ๓. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ยอมรับไม่หมด จิตดวงเดิมมีการเปลี่ยนแปลง จึงชื่อว่าหายไป (จากความเป็นลักษณะเดิม เช่น ตอนนี้โกรธ แล้วหายโกรธ จึงเรียกว่าหายไปเพราะจิตที่โกรธไม่ได้คงที่) แต่ไม่ใช่หายไป หรือดับไป ในความหมายว่าไม่มีเสียเลย แต่หายไป หรือดับไป ในความหมายว่า อาการของจิตนั้นหายไป หรือ ดับไป เท่านั้น
    -----------------
    นี่ท่านพระนอกเมืองศึกษาพุทธศาสนาแบบไหน?

    แบบศึกษาจากตำรา หรือตามคนอื่น? หรือศึกษาแบบศึกษาจากสิ่งที่เราเองสามารถสัมผัสได้?

    แน่นอน ถ้าศึกษาตามตำรา ตำราก็จะบอกว่า จิตเกิดขึ้นมาแล้วก็ตั้งอยู่ตลอดไป(เป็นอมตะ) แต่จะเกิดการเปลี่ยนเปลงหรืออารมณ์เกิด-ดับอยู่เสมอ ตามที่ท่านพระนอกเมืองว่ามา
    แต่ถ้าศึกษาจาก สิ่งที่เราเองสามารถสัมผัสได้ เราก็ต้องมาดูที่จิตของเราเองจริงๆ ว่า จิต คืออะไร? และมันมีการเกิด-ดับหรือไม่?

    จิต คือ สิ่งที่รู้สึก-นึก-คิดได้ ใช่หรือไม่? ถ้าใช่ เมื่อใดที่จิตรู้สึก-นึก-คิด ก็แสดงว่ามัน "เกิดขึ้นมาแล้ว" แต่เมื่อใดที่มันไม่รู้สึก-นึก-คิด ก็แสดงว่ามัน" ดับ หรือไม่มี" ใช่หรือไม่?
    จิตต้องอาศัยร่างกายเพื่อเกิดขึ้น นี่คือความจริงที่เราทุกคนก็รู้สึกกันอยู่จริงๆ เมื่อไม่มีร่างกาย จิตก็ย่อมที่จะไม่มี หรือแม้เมื่อร่างกาย แต่เมื่อเราหลับสนิทหรือสลบและไม่ฝัน ก็ชื่อว่าไม่มีจิต (แต่ยังมีวิญญาณ-การรับรู้อ่อนๆตามระบบประสาททุกส่วนของร่าสงกาย) เมื่อมีข้อมูล(ความทรงจำ)จากสมองมาประกอบร่วมกัน จิตจึงสามารถปรุงแต่ง-คิดนึกได้

    สรุปว่าจิตเป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นมาจากขันธ์ ๔ โดยขันธ์ทั้ง ๔ ก็ต้องอาศัย ร่างกายมาปรุงแต่งขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ข้อนี้ใครคัดค้านบ้าง?

    ท่านพระนอกเมืองเข้าใจจุดนี้แล้วหรือยัง? หรือยังจะศึกษาจิตจากตำรา (คิดคำนวณ) โดยไม่ยอมดูจากจิตของตัวเอง? หรือท่านพระนอกเมืองมีจิตเกิดอยู่ตลอดเวลาไม่เคยดับเลย?

    ถ้าไม่ผ่านข้อนี้ ก็จะไม่ผ่านข้อต่อไปได้เ เพราะแต่ละข้อจะเป็นเหตุเป็นผลที่ต่อเนื่องกันเรื่อยไป
     
  9. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    อุตริมนุสสธรรมที่ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ กล่าวถึงนี่ คือห้ามพิสูจน์เลยหรือ (ถ้าท่านใส่ใจสักนิด จะเห็นว่าการถามตอบของท่าน เป็นการพยายามบอกว่าคนอื่นผิดมากกว่าจะให้เหตุผลนะ)
    ----------------------
    ท่านพระนอกเมืองยอมรับหลักอจินไตย ๔ หรือเปล่า? เรื่องเหล่านี้พระพุทธเจ้าไม่มาสอนให้เสียเวลาหรอก เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่การดับทุกข์ อีกทั้งก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันอีกด้วย
    พระพุทธเจ้าจะสอนเฉพาะเรื่องการดับทุกข์เท่านั้น ท่านเห็นด้วยหรือไม่?

    *********************
    ถ้าครบกำหนดท่านก็พร้อมจะสัมผัสในสิ่งที่ท่าน "ไม่เชื่อ" แน่นอน ตอนนั้นล่ะเราจะไปพิสูจน์ด้วยกัน
    กลัวแต่ท่านงอแงไม่ทำน่ะสิ การนั่งสมาธิทุกวัน วันละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย คงไม่ใช่ส่วนของผู้วิเศษมั้งครับ เพราะฉะนั้นท่านทำได้...แน่นอน
    -------------------------------
    ใจเย็นๆ การปฏิบัติต้องตามหลังปัญญา ถ้าขาดปัญญา ปฏิบัติไปจนตายก็ไม่เห็นผล

    เอาเป็นว่าเรามาดูเรื่อง จิต กันก่อน ว่ามันเกิด-ดับหรือเปล่า? มันเที่ยงหรือไม่? และมันเป็นอัตตา(ตัวตนของเรา)หรือ อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนของเรา) จากหลักการข้อที่ ๓ ที่ท่านไม่ยอมรับ

    เราต้องกลับมาหาหลักการที่เป็นพื้นฐานก่อน แล้วจึงค่อยมาว่าเรื่องอื่นที่สูงขึ้นไป ถ้ามัวแต่มายุ่งเรื่องสูงๆ แต่ยังไม่รู้พื้นฐาน แล้วมันจะมีจุดยืนที่มั่นคงแน่นอนได้อย่างไร?

    อย่างเช่น ถ้าศึกษาแล้พบว่า จิตเป็น อัตตา (ตัวตนที่เป็นอมตะ) มันก็ต้องมีจิตที่จะออกจากร่างกายที่ตายแล้วได้ และมีนรก สวรรค์ ผี เทวดา นางฟ้า ฯลฯอะไรตามที่ท่านเชื่ออยู่

    แต่ถ้าใช้เหตุผลพิจารณาแล้วพบว่า จิตเป็นอนัตตา(ไม่ใช่ตัวตนที่เป็นอมตะ แต่เป็นตัวตนชั่วคราวที่ต้องอาศัยร่างกายเพื่อเกิดขึ้นมา) มันก็ย่อมที่จะไม่มีนรก สวรรค์ ผี เทวดา นางฟ้า ฯลฯ อะไรตามที่ท่านเชื่ออยู่

    หรือท่านไม่ยอมรับการใช้เหตุผล(ตรรกะ)นี้ เพราะเชื่อว่ามีสิ่งวิเศษเหนือธรรมชาติ ที่เหนือเหตุเหนือผล?
     
  10. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ผมจะพิสูจน์ให้ท่านดู แต่เบื้องต้นท่านต้องเตรียมความพร้อมในส่วนของท่านเองด้วย ในเมื่อสิ่งที่ผมจะพิสูจน์ให้ท่านดู ไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยจิตหยาบ
    ขั้นแรก ให้ท่านทำสมาธิ โดยกำหนดภาพพระพุทธรูปที่ท่านชอบไว้ที่ท้อง พร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าภาวนาว่า "พุท" หายใจออกภาวนาว่า "โธ"
    เอาแค่นี้ก่อน ปฏิบัติทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมง (เพิ่มเวลาได้เท่าที่ต้องการ แต่ห้ามต่อรองลดเวลา)
    ทำได้ดังนี้ทุกวันอย่าขาดเว้นแม้แต่วันเดียว เป็นเวลา ๒ เดือน (อยากให้ ๓ เดือนนะ แต่กลัวท่านอดทนไม่พอ เพราะผมเคยทำ ๖ เดือน ขาด ๓ วันเอง ไม่ว่างจริง ๆ)
    ------------------------------

    จุดเด่นของเว็บนี้ก็คือ ชอบอวดว่าตนเองปฏิบัติสมาธิ แต่คนอื่นที่เห็นไม่ตรงกับตนเองก็คิดว่าเขาไม่ปฏิบัติสมาธิ เอาแต่คิดๆเท่านั้น

    คุณเอาแค่นี้เองหรือมาวัดว่าใครปกิบัติหรือไม่ปฏิบัติ?

    อยากถามว่า ตัวหนังสือนี้จะยืนยันว่าใครปฏิบัติจริงหรือไม่ปฏิบัติได้หรือไม่?

    การคุญโอ้อวดว่าตนเองปฏิบัตินั้น แม้คนที่ไม่เคยปฏิบัติเลยก็คุยได้ จริงหรือไม่?

    ดังนั้นเรื่องการคุยว่าตนเองปฏิบัตินั้น ไม่ใช่วิสัยของผู้มีปัญญาแน่นอน จริงหรือไม่?

    อีกอย่างเรื่องสมาธิสูงๆที่เรียกว่า ฌาณ นั้น เว็บนี้ก็เชื่อว่ามันทำให้เกิดฤทธิ์เดช อิทธิปาฏิหาริย์ ได้มากมาย พอใครบอกว่าไม่มี ก็จะถูกมองว่าไม่มีบุญบารมี หรือต่ำต้อยไม่มีใครชื่นชมยกย่อง ดังนั้นจึงเป็นจิตวิทยาทำให้ใครๆก็ต้องคุยอวดบ้างว่าตนเองก็มี ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ซึ่งก็เป็นจิตวิทยาง่ายๆ แต่ใช้ได้ผลที่สุดสำหรับคนโง่

    อีกอย่าง เรื่อง นิมิตที่เวลาทำสมาธิแล้วเห็นนั่นเห็นนี่ เช่น เห็นนรก สวรรค์ นิพพาน พระพุทธเจ้า เป็นต้นนั้น ต้องระวังให้ดี เพราะเมื่อเราจดจำสิ่งใดๆเอาไว้มากๆ เมื่อจิตสงบใกล้หลับ มันก็จะเกิดมโนภาพของสิ่งที่เคยเห็นนั้นขึ้นมาเองโดยเราไม่ได้เจตนา เมื่อเราไม่รู้ทัน เราก็จะเชื่อว่าเรามีตาทิพย์ หูทิพย์ หรือถอดจิตได้ เป็นต้นขึ้นมาทันที อย่างนี้เรียกว่า ถูกจิตหลอก และเรียกว่าเป็น สมาธิหลับใน

    การที่เรามาถกเถียงกันอยู่นี้ มันเริ่มมากจากว่า จิต (หรือวิญญาณ หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกกัน)นี้เป็นอัตตา(ตัวตนที่เป็นอมตะ)หรือ เป็นอนัตตา?(ตัวตนชั่วคราว)นั่นเอง

    ดังนั้นท่านพระนอกเมืองจึงควรมาสนใจสนทนากันในเรื่องนี้ ถ้าเรื่องนี้ผ่าน ทุกเรื่องก็หมดปัญญา แต่ถ้าเรื่องนี้ไม่ผ่าน ทุกเรื่องก็ยังยุ่งวายกันอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับปัญหาที่ว่า ไก่กับใข่ อะไรเกิดก่อนกัน?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2010
  11. ต้นไม้โพธิ

    ต้นไม้โพธิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +85
    เตชะปัญโญ ท่านช่างเป็นโมฆะบุรุษเสียจริงๆ ผมว่าหลายๆท่านก็ชี้แจงเอาไว้ดีแล้วนะครับ เพื่อให้ท่านได้พบ มรรค ผล แต่ท่านเตชะปัญโญ กลับหลงอยู่กับ อัตตาอัจฉริยะ ที่ตนยึดมั่นถือมั่น จนไม่สามารถเข้าถึง มรรค ผล ใดๆ ได้เลย

    โค ย่อมไปตามฝูง โค

    สมณะ ย่อมไปตามเหล่า สมณะ

    ผู้ที่หลงอยู่กับการตรึกนึกคิด เรียน อ่าน และหลงอยู่กับอัตตาอัจฉริยะของตนเอง ไม่ใช่สมณะเลย เปรียบเสมือนก้อนหินที่ตกลงไปในบ่อน้ำที่ไม่มีก้น ยิ่งลึกมืดมิด และไม่มีที่สิ้นสุด

    ส่วนใครจะมีความเห็นว่าพระไตรปิฎกมีการแก้ไข ต้องตัดทิ้งให้หมด ให้เหลือจิ๊ดเดียว พระพุทธเจ้าไม่ได้แต่งไว้ เชื่อไม่ได้เลย (ทั้งๆที่ท่านและอาจารย์ของท่านเกิดได้ก็เพราะพระไตรปิฎก) เสร็จแล้วก็เอาผลงานธรรมโฆษ เผยแผ่ไปทั่วโลก ตั้งเป็นพระพุทธทาสศาสนา โดยพระอรรถกถาจารย์เตชะปัญโญ แล้วจัดให้มีการกระทำสังคายนาทุกๆปี พร้อมๆกับเผาพระไตรปิฎกสี่สิบห้าเล่มให้หมดไปจากโลก อย่าได้เมาพระไตรปิฎกกันอีกเลย อย่าได้เมาอาจารย์ใดๆด้วย ยกเว้นเมาอาจารย์อัจฉริยะ

    อ่านแล้วโกรธไหมครับ? ถ้าท่านยังโกรธ ท่านก็ไปภาวนาพุทโธๆๆๆ ที่ท่านดูถูกไว้ก่อนเถอะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2010
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    เตชะปัญโญ ท่านช่างเป็นโมฆะบุรุษเสียจริงๆ ผมว่าหลายๆท่านก็ชี้แจงเอาไว้ดีแล้วนะครับ เพื่อให้ท่านได้พบ มรรค ผล แต่ท่านเตชะปัญโญ กลับหลงอยู่กับ อัตตาอัจฉริยะ ที่ตนยึดมั่นถือมั่น จนไม่สามารถเข้าถึง มรรค ผล ใดๆ ได้เลย
    -------------------------------------------
    คุณ ต้นไม้โพธิ ไม่เห็นจะมีหลักการอะไรมาโต้แย้งเลย
    มีแต่เอาความรู้สึกผิวเผินที่รู้สึกไม่ชอบเท่านั้นมาดต้ตอบ

    กรุณาโต้ตอบในหลักการ อย่างเช่น
    ยอมรับหรือไม่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมาจากเหตุปัจจัยเท่านั้น"?
    หรือ ยอมรับหรือไม่ว่า "แม้พระไตรปิฎก ก็อาจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนมาก่อนได้"?

    ตอบ ๒ ข้อนี้มาใก้ได้ก่อน แล้วจึงค่อยมาสนทนากัน
    หรือไม่กล้าตอบ เพราะกลัวผิด จึงได้ไม่ยอมเข้ามาโต้ตอบกันในหลักการนี้?
     
  13. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ท่านสมมุติสงฆ์ ท่านก็ได้แต่ท้วงติงท่านอื่น ๆ ว่า โต้เถียงไม่อยู่ในหลักการ.. ท่านใดจะไปโต้เถียงกับท่านได้เล่า ในเมื่อหลักการของท่าน ท่านคิดเอง ถูกเอง

    แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่ทูก ๆ ท่านในกระทู้นี้(อ่านผ่านกันมาตั้ง 92 หน้า)แล้ว ท่านได้พึงปฏิบัติ หรือคิดจะได้ลองลงมือ ตั้งสัจจะ ตั้งจิตจะปฏิบัติบ้างไหม เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงว่ามันไม่มีจริง

    ทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนกับท่านนั้นล้วนมีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นผู้พยายามพากเพียรที่จะค้ำจุนพระศาสนาไว้ให้ยาวนานเท่าที่จะทำได้ ท่านเป็นสาวกแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านครองผ้าเหลืองอาศัยเหล่าผู้ศรัทธาพระศาสนาเลี้ยงดู แต่ท่านกลับไม่ศรัทธา และสนใจในการปฏิบัติเพื่อตอบแทนพระคุณของพระพุทธองค์ กลับอาศัยผ้าเหลือง บิดเบือน ท่านจะสร้างลัทธิพระพุทธศาสนาแนววิทยาศาสตร์เสียเอง แค่เรื่องของผี วิญญาณ เขาพบกันทั่วบ้านทั่วเมือง วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วยอมรับหรือเปล่าว่าเป็นผี กล้าพูดเต็มคำไหม แล้วนับประสาอะไรจะมาพิสูจน์เรื่องของจิต

    คนอื่นเขาตอบกับท่านเขาเขียนด้วยจิตวิญญาณ เขียนกลั่นกันออกมาจากใจ แล้วท่านเขียนจากอะไร เห็นแต่วนไปวนมา ซ้ำไปซ้ำมาไม่คุ้มกับค่าเสียสละของพวกเราเลย พยายามตีกรอบให้เข้าไปในคำถามและคำตอบของท่านอย่างเดียว

    ถ้าท่านตั้งใจจริงที่จะเผยแพร่พระศาสนาจริง ขอให้ท่านโปรดแสดงความรู้ของท่านว่า ท่านได้ปฏิบัติตามแนวทางคำสอนของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง แล้วท่านรู้เห็น ท่านสำเร็จแล้วไม่ว่าทางกายอย่างไร ทางจิตอย่างไรจึงมาแสดงโปรดเถิด อย่าเปรียบว่าเป็นเพียงเสือกระดาษ แล้วจะมาสอนเขาออกวิ่งเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2010
  14. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ถ้าท่านตั้งใจจริงที่จะเผยแพร่พระศาสนาจริง ขอให้ท่านโปรดแสดงความรู้ของท่านว่า ท่านได้ปฏิบัติตามแนวทางคำสอนของพระพุทธองค์อย่างแท้จริง แล้วท่านรู้เห็น ท่านสำเร็จแล้วไม่ว่าทางกายอย่างไร ทางจิตอย่างไรจึงมาแสดงโปรดเถิด อย่าเปรียบว่าเป็นเพียงเสือกระดาษ แล้วจะมาสอนเขาออกวิ่งเลย<!-- google_ad_section_end -->
    ------------------------------
    คุณแม่ลักยิ้มกลับไปเลี้ยงลูกเถอะจ้า.....
    เพราะคุณแม่ลักยิ้มไม่เคยเห็นมีหลักธรรมะที่ลึกซึ้งมาโต้ตอบเลย
    เอาแต่ถางเล่นเท่านั้น
    ถ้าจะมาโต้ตอบธรรมะ ก็ต้องศึกษามาให้มากกว่านี้
    หรือไปหาผู้รู้มาโต้ตอบ
    หรือหมดหนทางจริงๆก็ไปแจ้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติซิ.:boo:
     
  15. ต้นไม้โพธิ

    ต้นไม้โพธิ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2010
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +85
    แหมๆ พระคุณเจ้ารับบาตรชาวบ้านด้วยศรัทธา ใช้วาจาให้สมควรหน่อยนะครับ
     
  16. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ทิฏฐิพระ มานะครูดีจริงๆ อิอิ ผมรู้สึกอารมณ์ดี ไม่เครียดแล้วครับ
    เรื่องของวิทยาศาสตร์ ท่านอย่าลืมนะครับ ว่าทฤษฎีที่พิสูจน์กันมา
    มันยังไม่ถึง4%ของความลับจักรวาลเลยนะครับ
    Dark Energy Dark Matter ตั้งเท่าไหร่
    มีทฤษฎีมาล้มล้างของเก่าอีกตั้งเท่าไหร่ ท่านกำลังติดในวิทยาศาสตร์นะครับ
    นักวิทยาศาสตร์ยังบอกว่าอย่าไปติดวิทยาศาสตร์มากเกินไปเลย
    เพราะหลายๆสิ่งเรายังไม่รู้เลย เราก็ไม่ได้สรุปว่ามีหรือไม่มี เพราะความสามารถเรายังไม่ถึง
    ทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งการจินตนาการยิ่งการศาสตร์อื่นๆอีก
    ที่เรายกย่องก็เพราะหลักตรรกะที่พ่นน้ำลายใส่กันไปมา ด้วยความรู้ระดับปุถุชนสัมผัสได้
    เรื่องระดับพุทธธรรม อย่าเอาไปมั่วกับวิทยาศาสตร์หยาบๆพวกนี้เลยครับ
    เรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณมันตีความด้วยวิทยาศาสตร์หยาบๆไม่ได้หรอก
    ทฤษฎีจักรวาลแบ่งออกเป็น 11มิติ 11มิตินั้นเราเคยสัมผัสเหรอครับ
    แล้วทำไมถึงยอมรับนิยายพวกนี้ได้ แล้วมิติทางจิตวิญญาณมันต่างกันตรงไหน
    ภพภูมิมันต่างกันตรงไหน ทั้งๆที่มวลสารมันยังกลายสภาพอยู่เสมอเลย
    และที่สำคัญคือมันไม่ดับสูญ มันกลายสภาพแปรเปลี่ยนไปต่างๆเท่านั้นเอง
    พร่องจากตรงนี้ ก็ไปเสริมตรงนี้ เป็นเหตุปัจจัยโยงใยกันไม่รู้จบ

    การสรุปว่าไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีกรรม ไม่มีวิบาก มันยิ่งทำให้ตรรกะด้อยลงไปอีก
    เป็นการวิเคราะห์อะไรแบบสุ่มๆ เป็นเรื่องบังเอิญ ซึ่งความคิดเหล่านี้ไม่ใช่วิสัยของนักตรรกศาสตร์นะครับ

    อิอิ สำนักงานทำอะไรท่านไม่ได้หรอก เพราะเป็นองค์การศาสนาไง
    ลองเป็นการเมือง หรือกฎหมายสิ ท่านโดนกำจัดไปแล้วหละ
     
  17. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    จะว่าไปเรื่องของ จิต ตามตำราไม่ได้บอกว่าเป็นอมตะ อัตตา อาตมันเลยนะครับ
    ท่านอ่านถูกเล่มรึเปล่า หรือหยิบหนังสือของเด็กแถววัดมาผิด แล้วคิดว่าเป็นคัมภีร์???
    จิตเป็นอนัตตา แปรเปลี่ยนอยู่เสมอ ในบางทีแม้เพียงนาทีเดียวมันก็แปรเปลี่ยน
    มันเป็นตัวส่งให้เกิดภพ เกิดสังขารร่างกาย ถ้าไม่มีจิตมันก็เกิดจากไร้สาเหตุหนะสิ
    แล้วที่มีวิบากที่ต่างๆกันหละ มันก็ขึ้นอยู่กับกรรมปัจจุบัน หนุนด้วยกรรมวิบากในอดีตนั่นแหละท่าน มันเกิดกระบวนการภายในชาติเดียวไม่ได้เลย เพราะเราเห็นผลของมันตั้งแต่เกิด
    ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ตั้งแต่ปฏิสนธิ

    แล้วท่านรู้ได้ไงว่าตอนหลับไม่มีจิต ในเมื่อขันธ์เป็นกระบวนการของจิต
    จิตเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนอมตะ แปรเปลี่ยนอยู่เสมอ
    แต่ท่านจะทำให้กระบวนการของจิตมีจุดจบคือ นิรัตตา นะครับ ดับสูญไปเลย

    นี่ท่านแต่งตำราขึ้นมาเองเหรอเนี่ย ผมว่าสถาปนาศาสนาใหม่เลยดีกว่ามั้ยครับ?
    หลักธรรมของท่าน ก็ลึกซึ้งเฉพาะท่านเอง และพวกจริตเดียวกันท่าน
    ผมว่าคิดเอาเองก็ได้ครับ แนวคิดนี้ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งเลย
    เปิดตำราวิทยาศาสตร์เบื้องต้น จิตวิทยาผสมอีกนิดหน่อยก็โอเคเลย
    สัทธรรมปฏิรูปพร้อมเสิร์ฟ... วิเคราะห์ด้วยสมองฝ่ายวิชาการเลย
    จำๆ คิดๆ ดัดแปลงเอาตามจริต พูดจริงนะครับ เอาไปทำอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้จะดีกว่า

    ท่านยังสมควรเรียกตนเองว่า ภิกขุ ได้อีกเหรอ?
    แล้วทำไมต้องห่มผ้าเหลืองหละ จำเป็นต่อการพ้นทุกข์มั้ย?
    ดูจากตรรกะของท่านก็ไม่จำเป็นหนิ แล้วห่มไปทำไม
    โกนหัวโกนคิ้วไปทำไม? หรือว่าไม่ได้โกน คฤหัสถ์ปลอมมาเหรอครับ?
    แล้วเว้นอาหารหลังเที่ยงรึเปล่าครับ? เว้นทำไมหละครับ?
    ไม่จำเป็นเลยสำหรับท่าน จะรักษาศีลสงฆ์หรือผิดหมดทุกข้อก็ไม่เป็นอะไรอยู่แล้วหนิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2010
  18. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ท่านเตชปญฺโญภิกขุไม่ยึดตำรา แต่ยึดความเห็นของตนเอง
    นี่คือกาลามสูตรของท่านหนะสินะ สุดยอดจริงๆ

    ผมได้วิธีดับทุกข์ตามแนวท่านที่รวดเร็วกว่าท่านแล้วหละครับ อิอิ
    สำหรับท่านแล้ว ทุกข์ คือ มีจิตไว้เสวยอารมณ์ต่างๆ
    เหตุแห่งทุกข์สำหรับท่าน - ปฏิสนธิออกมาเป็นร่างกายแล้วจึงเกิดจิตไว้เสวยอารมณ์
    ความดับทุกข์ - อย่าได้เสียเวลาเลย ตายดีกว่า
    ทางดับทุกข์ - ถ้าจะเอาเร็วๆ ให้เตรียมเงินไว้ซัก 50-60บาท เดินไปร้านขายยา ซื้อทิฟฟี่ 10แผง แล้วเอากลับมากินให้หมดภายใน 3นาที (จะอยู่ไปทำไมให้เป็นทุกข์ สำหรับท่านไม่มีเวียนว่ายทางภพภูมิหนิ อยู่ไปเรื่อยๆมันเหนื่อยนะ เดี๋ยวก็พ้นทุกข์แล้ว พ้นเท่าเทียมกันทุกคนนนนนนนน สู้พ้นเร็วๆไม่ดีกว่าเหรอออออออ)

    แนวทางดับทุกข์สำหรับคน(หลงอัตตา)อัจฉริยะ
     
  19. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ขอบพระคุณท่านห่มเหลืองที่ยังอุตส่าห์จำดิฉันได้ ส่วนตัวยิ้มเองยิ้มก็ทำหน้าที่ของความเป็นแม่อยู่บนโลกแห่งวัตถุธาตุที่กำลังเจริญ สวนกับสภาวะธรรมที่ค่อย ๆ ถดถอยลง

    สำหรับยิ้มหลักธรรมของยิ้มเท่าที่สามารถทำได้ขณะนี้ก็คือ สนองพระคุณแห่งพระรัตนตรัยด้วยกายและใจอันเปี่ยมด้วยศรัทธาอย่าแท้จริง ด้วยดวงจิตที่มีแต่ความกตัญญู ที่ช่วยให้จิตสงบ(ถึงแม่จะไม่ได้สงบได้ตลอดทั้งวัน ได้บางส่วน บางช่วงก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย) เรื่องของธรรมะย่อมรับรู้ได้ด้วยจิตเป็นปัจจัตตังส่วนตน ผู้ปฏิบัติย่อมได้รับไม่มากก็น้อย และความสามารถอันน้อยนิดก็ยังไม่พร้อมจะอวดโชว์ท่านใด

    แล้วท่านห่มเหลืองหละคะ อย่าลืมนะว่ายิ้มแค่ศีล ๕ แถมกรรมบถก็ยังพร่องเสียด้วย แต่ท่านถือครองตนเป็นภิกษุต้องมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อ ท่านถือครองแล้วย่อมน่าจะต้องมีอะไรมาอวดชาวบ้าน โปรดอวดและโชว์ให้เห็นสักหน่อย ยิ้มก็อยากจะทราบว่า โชว์ออกมาแล้วจะเป็นพญาช้างสารหรือแค่หางจิ้งจก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2010
  20. singhol

    singhol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,376
    ค่าพลัง:
    +1,941
    ทุกอย่างในโลกล้วนแต่มีกรรมเป็นเครื่องกำหนดนะท่าน....ความเสื่อมย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา..เกิดขึ้น...ตั้งอยู่....แล้วก็ดับไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...