คาถาเพื่อการยกระดับทางด้านจิตใจและจิตวิญญาณ_2

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย JIT_ISSARA, 17 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    ใช้ได้ครับ อนุโมทนาสาธุ ทำต่อไปอีก 3 วันนะครับ
     
  2. zerozodiac

    zerozodiac Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +66
    รู้สึกโล่งๆ หลังจากสร้างฐานที่ตั้งของจิต

    พร้อมกับ ภวนา โพธิ โพธิ.....

    รู้สึกตัวรู้จะเห็นชัดเจนกว่าเดิม แยกจิตกับความคิดได้ไปอีกนิด ที่ละก้าวๆ

    :D หากคุณสนใจทริคดีๆ กรุณาโทรได้ที่ 082-1433013 ท่านพี่ จิตอิสระ :)
     
  3. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    อาการปวดต้นคอ รอให้หายอยากครับ
    มาปรับจักระด้วยการผ่อนครับ โดย
    ท่าที่ 1 กางขาออกเล็กน้อย ทำตัวเป็นสปริง ก้มลงด้านหน้า เอาฝ่ามือมาแตะพื้นให้ได้ทำไปเรื่อยๆอาการจะดีขึ้น ยกละ 10 ที ทำ 3 ยก
    ท่าที่ 2 ทำการก้มตัวลงด้านหน้าเหมือนท่าแรก ทำมือไขว้กันเป็นรูปตัวเอง แล้วค่อยยึดตัวขึ้น พร้อมๆกับมือตัว X คลายออก ทำ ยกละ 10 ที ท่านี้เป็นท่าปรับจักระด้วยนะครับ
    อาการปวดคอ สืบเนื่องจากการปรับของจักรวาล
    อาการหัวหมุน ก้อมาจากการปรับ โดยเขาจะเปิดจักระให้เปิดออก เป็นลำแสงพุ่งออกไปทางกระหม่อม ต้องหมั่นดู vdo
     
  4. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163

    อนุโมทนาครับ
    เป็นเช่นนั้นครับ อนุโมทนาสำหรับความก้าวหน้า
    อย่าลืมเอาทริคไปบอก แฟนนะ ถ้าบอกแล้วเขาเข้าใจแสดงว่าสอบผ่านการเป็นคุรุ ก้าวแรก
     
  5. zerozodiac

    zerozodiac Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +66
    เรื่องเล่าคืน Super Moon

    ค่ำนี้ได้มีการกระทำบางอย่าง ที่เพื่อนผมเรียกว่า การยูเร แต่ผมเข้าใจว่าเป็นพลังจักรวาล (คงจะอันเดียวกัน) เพื่อรักษาน้องหมาของผม จากกลุ่มคน 3 คน คือ ผม แฟนผม และเพื่อนผม(คนนี้ของเขาแรง) ก็ช่วยกันแผ่พลัง ตามความสามารถของใครของมันเข้าสู่ตัวน้องหมา

    หลังจากนั้น พลังอันแรงกล้าก็หลั่งไหลออกมา จนทะลัก ผมก็เลยพลักเข้าในร่างน้องหมาจนหมด(ตัวมันเรืองแสงสีเขียวด้วยนะเออ :D อันนี้เป็นความเพี้ยนส่วนบุคคล อย่าถือสา) จากนั้นบุคคลทั้งสามก็รู้สึกถึงอาการผิดปกติของร่างกาย ฮ่าๆๆ พอพูดคุยกันได้สักพัก ผมก็เลยตัดสินใจดูดพลังด้านลบออกมาจากตัวน้องหมา (ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยทำแล้วครั้งหนึ่ง) ปรากฏว่า พลังงานลบ (สีดำ)ไหลออกมาน้อยกว่าพลังงานบวก (สีเขียวและสีฟ้า)

    เล่าย้อนหลังนิดหนึ่ง ที่ว่าก่อนหน้านี้ผมก็ลองดูดพลังงานลบดู ซึ่งแรกๆ มันก็ดูดได้แต่พลังงานสีดำ พอดูดไปสักพัก มันมีพลังงานสีขาวไหลมาด้วย ไอ้เราก็เกรงว่า พลังงานด้านดีจะมีน้อย ถ้าดูดเรื่อยๆน้องหมาคงแย่กว่าเดิม ก็เลยหยุด ณ ตอนนั้น

    หลังจากนั้นก็เฝ้าดูมันสักพัก ก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายเล็กน้อย อาการน้องหมาน่าเป็นห่วงอยู่ แต่อาการของคนนี่สิครับ หนักทุกคน เพื่อนผมดีหน่อยมันมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ "ปรอท" คอยปรับพลัง ผมกับแฟนนี่สิ คริสตัลก็แตกก็บิ่นกัน ไม่มีอะไรมาปรับพลังงานเลย แฟนก็เลยนอนซม ผมคงต้องขอตัวไปอาบน้ำเพื่อปลดปล่อยพลังด้านลบออกไปก่อน คงต้องรอลุ้นผลพรุ่งนี้เช้าครับ (ตอนนี้เพลียมาก) :D
     
  6. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ขอบคุณค่ะ เข้าใจง่ายดี rabbit_restrabbit_rest
     
  7. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    สีนะใช้ครับ
    สีดำเป็นสีที่มีปัญหา
    สีเขียว เป็นสีเขียว และสีแห่งการรักษา
    สีฟ้า เป็นสีแห่งความกรุณา
    แต่รู้สึกว่าทำผิดวิธีนะ ถ้าเหนื่อยหลังจากรักษาแสดงว่าผิดวิธี เป็นการดึงพลังงานตัวเองใส่เข้าไป มิได้ดึงพลังจากจักวาลมาใช้
    และเวลาเรารักษา จิตเราคงคิดว่าให้พลังออกจากมือเราเข้าไป เลยเหนื่อย
    เวลารักษา เขาให้นึกึงความรักที่ตาที่ 3 แล้วดึงพลังแห่งรักจากจักรวาล โดยเราแค่เป็นสะพานไฟมาเท่านี้น แล้วส่งพลังต่อไปให้สิ่งที่เราจะส่ง เราจึงไม่เหนื่อย
    เล่าพอเป็นน้ำจิ้มนะ
     
  8. zerozodiac

    zerozodiac Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +66
    :D แค่น้ำจิ้มนี่ก็แซ่บหลายแล้วครับท่านพี่

    ผมกับแฟนนี่ไข้ขึ้น หมดแรง ส่วนเพื่อนผมก็กำลังจะกลับบ้าน แต่ไปขึ้นรถไม่ทันเพราะตื่นสาย ฮ่าๆๆ

    ตอนนี้ส่งน้องหมาขึ้นเครื่องบินไปรักษาที่อุดรกับคุณหมอท่านหนึ่งแล้วครับ คืนนี้ก็คงจะได้เป็นเวลาฟื้นพลังเต็มที่ :D
     
  9. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    สวัสดีครับ
    วันนี้ ปั้มๆเป๋อๆ หลงๆลืมๆ ไม่เข้าใจตัวเอง
    อาการเหมือนคนใจลอย ตกใจง่าย วิตกจริต
    ทั้งๆที่ ก็ภาวนา เหมือนเดิม นั่งสมาธิก็เหมือนเดิม
    แต่เผลอไม่ได้ หาย จิต กับ ใจ หาย
    วันนี้ รับเงินลูกค้าแล้วทอนผิด หลายคนมาก(ไม่เคยทอนเงินพลาด)
    อาการลืมชั่วขณะ เหมือนเวลาช่วงนั้นหายไป จำไม่ได้
    โดนแบบนี้ งง ครับ
    ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย..........
    ....
    ...
    เกือบลืม ควอตซ์ใส หกเหลี่ยม ที่เพิ่งได้มา เริ่มมีรอยร้าวครับ
    สังเกตว่า จะร้าวมากขึ้นทุกวัน
    ร้าวจากด้านในผลึกครับ
    จะเกี่ยวอะไรกับการทำสมาธิไหมครับ
    เพราะตอนผมนั่งสมาธิ จะวางไว้บนฝ่ามือตลอด
    ...ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มีนาคม 2011
  10. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    อนุโมทนาครับ
    ถูกแล้วครับ นั่งสมาธิอย่าหวังอะไรครับ อย่าหวังความสงบ หรือ การอยากเห็นอะไร แล้วเขาจะพัฒนา
    ต่อไปให้ภวนา สุขิ ตายัง จิตตัง 3 วัน นะคับ แล้วมาส่งการบ้าน
     
  11. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    อนุโมทนาครับ
    ต่อไปภวนา จิตประสิทธิทัง 1 วัน
    สอนเรื่องแก้วใส อยากจะบอกว่ามันไม่ใช่ทาง สำหรับคนอื่นใช่ แต่สำหรับคุณจิตนนทไม่ใช่ เพราะตอนนี้จิตของคุณจิตนนท์พลังเยอะมาก สมาธิตั้งมั่นอยู่แล้ว พลังงานจากควอทรับไม่ไหวหรอก เราต้องพัฒนาจิตเราด้วยตัวเอง มิใช่หวังให้บางสิ่ง บางอย่าง ช่วยเหลือเรา
    จบ จบ จบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2011
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ขอบคุณครับ
    สำหรับคำแนะนำ
    วันนี้มีการบ้านใหม่แล้ว
    ...........
    ส่วนอาการที่เป็นเมื่อวาน
    ตอนนี้พอจะทราบแล้วครับ
    ร่างกายทำอย่าง ใจคิดอย่าง จิตไปทาง
    มันก็เลยเกิดอาการ ลืมไปชั่วขณะ
    ...
    ไม่มีอะไรง่ายๆเลย ขนาดผมอยู่สบาย
    ไม่ค่อยมีอะไรมากระทบ เวลาสำหรับปฏิบัติ ก็น่าจะมากกว่าคนทำงานทั่วไป
    ก็ยังมีอะไรแปลกๆเข้ามา ให้ล้มขมำหัวปักดิน ได้ตลอด
    แต่ถึงจะเซ ไปบ้าง จุดหมายปลายทาง ยังตั้งมั่น ไม่เปลี่ยนครับ
    พรุ่งนี้จะเข้ามารายงานผลนะครับ
    ขอบคุณครับ
     
  13. สรรพญาณ

    สรรพญาณ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1
    สวัสดีค่ะ ช่วงอาทิตย์นี้รู้สึกมีเรื่องมากระทบหลายเรื่องเลยค่ะ แล้วก็หงุดหงิดง่ายมาก (แรงด้วยนะ) ตอนนี้เริ่มรู้สึกท้อกับชีวิตแล้วค่ะ อารมณ์มันหงุดหงิดนะแต่ไมฟุ้งซ่านค่ะ คือ พอหงุดหงิดโมโหเสร็จก็จบ กลับมาว่างเปล่า พอมีเรื่องมากระทบอีกอารมณ์ก็ขึ้นอีก แล้วก็กลับมาว่างเปล่า นิ่งคะ ส่วนการภาวนาก็ยังทำอยู่ ยิ่งพอรู้ตัวว่าหงุดหงิดก็จะรีบอธิษฐานขอให้ กายเบา ใจเบา 3 รอบ แล้วต่อด้วยการภาวนาค่ะ รู้สึกว่ารอบนี้มันสาหัส สากัน เหมือนกันนะคะ แล้วจะมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตบ้างไหมคะเนี่ย
     
  14. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805

    อนุโมทนาครับ
    อาการเดียวกับผมเลยครับ
    หงุดหงิดง่าย โมโหง่าย ส่วนใหญ่จะเกิดจาก
    คนอื่นทำให้่เราไม่ได้ดั่งใจ เอาคนอื่นมากระทบใจ
    วิธีแก้ของผม ที่พอจะช่วยได้
    คือลองคิดว่า

    ถ้าไม่มีคนอื่น แล้วเราจะโมโหไหม

    ถ้าไม่คาดหวังจะโมโหไหม

    มีแต่เรา ที่ทำ ไม่เกี่ยวกับใคร

    พอใครมากระทบ ก็เป็นเรื่องของเขา

    เขาไม่ผิด เขาเป็นของเขาอย่างนั้น

    ทำเรื่องเฉพาะเรา
    แล้วดีขึ้นครับ

    เหตุเกิดจากเรา ก็ดับที่เรา
    ง่ายดี
    ผมลองทำดูแล้วได้ผล
    เลยเอามาบอกต่อ ผิดพลาดประการใด
    ขอให้อาจารย์ เข้ามาแนะนำอีกรอบนะครับ
    ขอบคุณครับ
     
  15. zerozodiac

    zerozodiac Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +66
    สวัสดีครับท่านพี่ และมิตรรักแฟนเพลงทุกๆท่าน

    "สะดุดนัก ต้องหาที่พักใจ" ซี่รีย์ใหม่ที่ท่านพี่ให้มาดู

    ปรากฏว่า มีหลายเหตุการณ์มากที่ผ่านเข้ามา แต่ไม่เคยนำมาเป็นอารมณ์เลย

    พอมันแว๊บไปโน่นไปนี่ มันก็จะรู้ตัวว่าต้องกลับมาพักใจ :D

    แต่ยังไม่แจ่มพอ เพราะอย่างที่บอกว่ามีหลายเหตุการณ์มากจนไม่ค่อยได้มีเวลาฝึกเท่าไหร่

    แต่ก็แปลกดีนะครับ เหมือนจิตมันพัฒนาไปเองของมันเองทั้งๆที่ก็ไม่ได้ไปทำอะไรมากมาย

    -/\- รับรู้ไปตามจริง ทุกข์ สุข เหงา เศร้า เสียใจ ดีใจ ร้องไห้ แต่ไม่นำพามาเป็นอารมณ์ มีฟุ้งซ่านบ้าง แต่ก็กลับบ้านถูก :D

    เฮ้ย! อ่านแล้วงง เขียนอะไรไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆๆๆ
     
  16. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    แค่ส่งน้ำจิ้มไปทดสอบเองนะ ให้ไปเรียนรู้อารมว่าตนเองมีความตั้งมั่นขนาดไหน มารไม่มี บารมีไม่เกิด่
    มาร คือสิ่งที่เข้ามาทดสอบ หรือกระทบ
    บารมี คือ ความตั้งมั่น สติ สมาธิ ปัญญา
    ถ้าผ่านก้อจะเจอแต่สิ่งดีๆ เข้ามา ถ้าไม่ผ่าน ก้อจะเจออย่างนี้เรื่อยไป ก้อภวนาต่อไปนะ จะบอกให้ แต่ถ้าถอยหันหลังกลับ เลิกภวนา และใช้วิถีแห่งโลกเหมือนก่อนเข้ามาภวนา สิ่งร้ายก้อจะโหมกระหน่ำ ยิ่งพลังจิตเรามากแค่ไหน แรงดึงดูดย่อมมากเท่านั้น
    นี่ไม่ใช่การสาปแช่ง หรือ การอวยพร หรือใดๆ เพราะมันเป็นวิถีของเขาเช่นนั้นนะ บอกให้ก่อน เดียวจะมาว่าเอาที่หลัง และสิ่งใดๆที่เข้ามาขอให้เปลี่ยนเป็นความรู้ เมื่อมีความโกรธ หรือ ความหงุดหงิดเข้ามา ให้นิ่งรู้เสีย อย่าไปผลักไส หรือ เชื้อเชิญ หลายคนก้อเจอสภาวะนี้เช่นกัน
    เช่น คุณนนท์ ,คุณ ซีโร่, แฟนคุณ ซีโร่ , คุณ rwp,คุณลินดา , คุณสรรพญาณ
    นอกนั้นปล่อยไปก่อน
    จงใช้ทำข้อ
    สังวร เพียรระวัง
    ขันติ เบิกบาน ตั้งมั่น อดทน อยู่เป็นนิจ
    รอวันฟ้าหลังฝนนะ จะมาในเร็ววัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2011
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805

    ขอบคุณครับอาจารย์
    น้อมรับไปปฎิบัติครับ
    ....
    โดนข้อความนี้ไป
    หัวหมุน ยิ่งกว่าควงสว่าน โลกพลิกหงาย พลิกคว่ำ เลยทีเดียว
    ไม่รู้ท่านอื่นจะเป็นเหมือนผมไหม
    ดีนะที่นั่งอ่าน
    ถ้ายืนอ่าน มีหวัง ล้มทั้งยืน
    อิอิ
    โปรดระมัดระวังในการอ่านข้อความ

    นิดนึงครับ
    ตั้งแต่ผมเริ่มเข้ามา ปฎิบัติ กับอาจารย์พี่จิต
    ผมพยายามรักษาศีล 5 ให้มั่น ในทุกวันครับ
    อาจมีบางข้อที่พลั้งไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
    สิ่งหนึ่งที่ได้จากการรักษาศีล คือ
    ความภูมิใจ และพลังใจที่มีมากมาย
    ว่า เราก็เป็นคนๆ หนึ่ง ที่มั่นคงในพระศาสนา
    มั่นคงในแนวทาง ที่เราเลือกแล้ว
    เราทำได้ เอาชนะตัวเองได้
    จากคนที่ดื่มเบียร์ทุกวัน
    วันนี้อยุด
    จากคนที่เล่นหวย การพนัน
    วันนี้เลิก
    จากคนที่สูบบุหรี่ วันละเกือบซอง
    ถือสัจจะ กับตัวเอง เลิกเด็ดขาด
    ก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะลงแดงตาย
    สรุปว่า ทุกอย่าง ไม่ยากครับ
    ใจที่มั่นคง จิตที่ตั้งมั่น
    เชื่อเถิดว่า เราทำได้
    แล้วจะทำได้จริงๆครับ
    ขอบคุณครับ

    แค่นี้ก็ไม่เสีย ที่เกิดมา ในชาตินี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2011
  18. zerozodiac

    zerozodiac Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +66
    -/\- มันบอกให้พิมพ์อย่างต่ำ 20 ตัวด้วย ==a
     
  19. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    คำนำ จากท่านจิตอิสสระ
    หยุด นิ่ง รู้ แล้วเห็นเองที่กลางหน้าอก เมื่อเห็นทุกๆอย่างที่กลางหน้าอก จนไม่มีอะไรทีจะเห็น อีกต่อไปจึงเข้าวิถีเอง
    เมื่อ หยุด นิ่ง รู้ แล้ว เห็นเป็นตัวปัญญาเข้าไปตัด
    เมื่อเห็นบ่อยๆ เข้า จนไม่มีปัญญาให้เห็น ปัญญาจะถูกวางไปเอง อารมหรือ ธรรมทั้งหลายถูกวางไปเอง
    วางจนวางคำว่า วาง จึงเกิดความว่าง ที่สงบ สันติ เบิกบาน กลมเกลียว เกื้อกูล สร้างสรรค์ เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง ไม่ต่างจากทุกสิ่ง เข้าถึงโพธิปัญญา อันสว่าง ใส เบิกบาน ตั้งมั่นด้วยตัวของเขาเอง
    ( อาตาปี สัมปัชชัญโน สติ มีความเพียร มีสัมปัชชัญญะ มีสติ อยู่ที่กายใจ เป็นฐาน จนเปลี่ยนเป็น สัพเพ ธรรมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน เมื่อจิตรู้เห็นจึงเป็น ธรรมมัง สุญญัง อารมและสภาวะต่างๆไม่เที่ยง จนเห็นสภาวะต่างๆ ราบเรียบเสมอกัน มีสภาวะ เหมือนไม่มีสภาวะ โล่ง โปร่ง เบา สบาย เป็นอิสสระในทุกสิ่ง แล้วเป็นอิสสระจากธาตุรู้ทั้งปวง มีเหมือนไม่มี ไม่มีเหมือนมี มีก้อใช่ ไม่มีก้อใช่ ไม่มีทั้งไม่มีหรือมีก้อใช่ หาคำบรรยายมาบอก)
    อ่านแล้วเข้าใจก้อวาง
    อ่านแล้วไม่เข้าใจก้อวาง
    อ่านแล้วเข้าใจหรือไม่เข้าใจก้อวาง
    เมื่อวางแล้วจึงว่าง
    เมื่อว่างแล้วจึงไม่มีอะไร
    เข้าถึงความเป็นธรรมดา ไม่มีอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นเช่นนั้นเอง
    แม้พูดอุปมา อุปไม ก้อผิดแล้ว
    วิญญูชน พึงรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่จำกัดกาล ปำบัติดี ปฎิบัติชอบ ปฎิบัติตรงเมื่อไหร่ ย่อมเห็นผลเมื่อนั้น
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ธรรมนี้ท่านจิต คัดสรรมาว่าตรงแล้วตรงอีก จึงคัดลอกมาให้ได้อ่าน
    หยุด นิ่ง ยิ้มน้อยๆที่กลางหน้าอก ภาวนา แผ่ออก รู้ เห็น ปล่อย ที่ตรงกลางหน้าอก

    ------------------------------------------------------------

    วิธีเจริญสมาธิภาวนา โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล



    วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มีดังต่อไปนี้​

    ๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก

    ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว หรือรู้ ตัว อย่างเดียว​

    รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ รู้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม​

    เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ​

    จากนั้นค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป​

    ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน พฤติแห่งจิต โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร​

    ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการ เจริญจิตครั้งต่อๆ ไป​

    ในกรณีที่ไม่สามารทำเช่นนี้ได้ ให้ลองนึกคำว่า ?พุทโธ? หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต​

    พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง​

    ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว

    เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้​

    ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไปสู่อารมณ์ทันที​

    เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเอง ก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง​

    ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ

    เจตจำนงนี้ คือ ตัว ศีล


    การบริกรรม พุทโธ เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆ ไป

    แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน​

    ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจนและความไม่ขาดสายของพุทโธจะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ​

    เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่ามีลักษณาการประหนึ่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขน พร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย​

    เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเลย​

    เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้นเป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึก และ พฤติแห่งจิต ที่ฐานนั้นๆ​

    บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ​

    ๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์กิริยาจิตใดๆ ที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต)​

    ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสามคือ ราคะ โทสะ โมหะ

    ๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิต ให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน)​

    ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖​

    ๔. จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ​

    คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด​

    ๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติ สังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติแห่งจิต ได้อย่างละเอียดละออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่าเกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้​

    คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง​

    ๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น​

    เรียกว่า สมุจเฉทธรรมทั้งปวง

    ๗. ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึกถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้นก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพันที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะ กรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีกไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า พ้นเหตุเกิด​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2011
  20. zerozodiac

    zerozodiac Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +66
    ท่านพี่ครับ เมื่อคืนผมเห็นเหมือนดอกไม้สีเหลือง น่าจะเป็นแสงกลมๆคล้ายดอกไม้มากกว่า หล่นมาเยอะมาก หมายความว่าอย่างไรครับ : D
     

แชร์หน้านี้

Loading...