เคล็ดวิชาเก้าสุริยัน สำหรับผู้ประสงค์เดินตามรอยพระสุริยเทพ

เคล็ดวิชานี้มาจากประสบการณ์ของผมเอง
ถูก-ผิด ไปบ้าง ขาด-ตก ไปบ้างต้องขออภัย


หวังว่าคงมีประโยชน์สำหรับบางท่านบ้างไม่มากก็น้อย

 

บทที่หนึ่ง "ใจก่อนกาย"


การฝึกจิตและวิชาทางจิตทุกชนิด "ใจมาก่อนกาย"
ถ้ากายถูกต้อง ท่าทางถูกทุกอย่าง แต่ใจไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่
แต่ถ้าใจ ใช่ เมื่อไร แม้ท่าทางผิด มั่ว มันก็ใช่ ดังนั้น
"ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นประธาน" เคล็ดนี้ ทำให้ท่าน
สำเร็จได้ในทันที ไม่ต้องฝึกเป็นปีเป็นชาติ เพราะมัน
ไม่ใช่ "วิธีการฝึกทีละขั้น" แต่มันเป็น "เคล็ด" ...

 

บทที่สอง "สามจักระสู่สุริยเทพ"


จักระทั้งหมดมีเจ็ด เราจะฝึก 3 จักระสำคัญ
ให้ได้ก่อน จักระอื่นว่ากันทีหลัง สามจักระที่
สำคัญคือ 1 (จักระเพศ), 4 (จักระหัวใจ),
7 (จักระกระหม่อม) มีหน้าที่ดังนี้


1. จักระหนึ่ง ควบคุมดูแลเรื่องกาม
2. จักระสี่ ควบคุมดูแลเรื่องความรัก
3. จักระเจ็ด ประสานพลังกับสุริยเทพเบื้องบน


ผู้เจริญรอยตามพระสุริยเทพ ควรผ่านทั้งสามจักระนี้

 

บทที่สาม "พระสุริยเทพทั้งเก้าองค์"


เปิดจักระที่เจ็ด เพื่อเชื่อมต่อกับพลังของพระสุริยเทพ
จะมีทั้งสิ้น 8 องค์ แต่เมื่อฝึกถึง 8 องค์แล้ว เราจะฝึก
ตัวเราเป็นเช่นท่านด้วย จึงนับเป็นขั้นที่ 9 (เก้าสุริยัน)
พลังของพระสุริยเทพแต่ละองค์ไม่เท่ากัน บารมีไม่เท่า
กัน เราจะสัมผัสไล่จากองค์ที่มีบารมีน้อยไปก่อน ค่อย
ไต่ระดับไปสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะแต่ละขั้น, ด่าน จะมี
ภาคตรงข้าม (พลังดำและเย็น) ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ คอยมา
ทดสอบเราตลอด เมื่อผ่านง่ายได้ จึงค่อยไต่ไปยากขึ้น

 

บทที่สี่ "หัวใจแห่งพระสุริยเทพ"


ฝึกจักระที่ 4 ให้เป็น "ดวงใจแห่งพระสุริยเทพ" โดย
กำหนดจิตวางสมาธิที่จักระที่สี่ รวมพลังปราณขึ้นรูป
(รูปฌาน) กำหนดเป็นดวงแก้วกลมๆ สะสมพลังไป
เรื่อยๆ พลังจะประกอบด้วยสองส่วน คือ 1. ส่วนใน
เป็นอรูป หรือพลัง, มวลปราณไร้รูป ให้ฝึกเป็นพลัง
ธาตุไฟ โดยใช้ "ความรัก" เป็นเครื่องจุดฉนวน อย่า
ใช้ไฟแห่งความโกรธ 2. ส่วนเปลือกดวงแก้วที่ห่อหุ้ม
เป็นส่วนที่มีรูปร่างชัดเจน มีความหนาพอประมาณ ก็
จะสามารถควบคุมพลังธาตุไฟได้ (ต้องหนาพอดีกับ
พลังปราณที่สะสมข้างใน ปราณมากก็หนามากหน่อย)
เปลือกจะใส สามารถเปล่งพลังธาตุไฟออกมาได้เหมือน
ดวงอาทิตย์แผ่แสง ถ้าฝึกได้ดี จะแกร่งเหมือนธาตุเพชร
คือ ดวงใจเพชรที่หลอมมาจากวัชรธาตุ หรือความใสซื่อ
แต่ไม่เปราะบางแบบแก้ว คือ ใสซื่อแล้วแข็งแกร่งอีกด้วย


"มีรักแล้วสละรัก แผ่พลังรักสู่ปวงสัตว์อย่างเท่าเทียม"

 

ถ้าฝึกบทที่ 4 สำเร็จ แผ่พลังชำนาญแล้ว
สามารถแผ่พลังจากดวงใจทิพย์ ผ่านวัตถุ
ที่ขวางกั้นต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะมีกำแพงกั้น
หรือแผ่ผ่านทางมือถือ, จอคอมพิวเตอร์
ก็สามารถทำได้ ...


อนึ่ง พลังจากดวงใจทิพย์ละเอียดกว่าสิ่ง
ขวางกั้น สิ่งขวางกั้นจึงไม่อาจขวางได้

 

บทที่ห้า "มูลฐานแห่งพระสุริยเทพ"


ฝึกจักระที่ 1 ซึ่งเป็นจักระมูลฐาน (บางท่านจะเริ่มฝึกจากจักระนี้
ก่อนจักระอื่นก็มี บ้างก็เริ่มจากจักระ 6 ก่อน เพื่อจะเปิดตาทิพย์)
หากรากฐาน, มูลฐานไม่ดี หรือผิดพลาด จะทำให้สิ่งที่ทำมาพัง
หรือล่มสลายได้ง่ายๆ ดังนั้น รากฐานจึงสำคัญ รายละเอียดการ
ฝึกมีอยู่ทั่วไปตามแหล่งต่างๆ


สำหรับเคล็ดการฝึกคือ "ปลดปล่อยพลังส่วนลึก พลังสันดานดิบ
ของมนุษย์ออกมา ไม่สนใจการปรุงแต่ง ถูก-ผิด, ดี-ชั่ว, ขาว-ดำ
ฯลฯ ใช้หยินกระตุ้นหยาง, ใช้หยางกระตุ้นหยิน มีทัศนคติเชิงบวก
กับกามและใช้พลังกามอย่างผู้มีปัญญาได้ มีกามแต่ไม่ยึดติดกาม"

 

บทที่หก "บทสรุปแห่งพระสุริยเทพ"


พื้นฐานสามจักระ สองขุมพลังธาตุไฟ (จักระ 1, 4)
ไม่มีเป้าหมายพุ่งไปข้างหน้า เพราะวิถีทางที่ดำเนิน
คือ "เป้าหมายในตัวอยู่แล้ว" ไม่รีบร้อนเพราะจรไป
ตามเวลาตรงเวลาอยู่แล้ว, ไม่เยือกเย็น เพราะมีไฟ
ตลอดเวลา (พลังบวกลุกโชนอยู่ตลอดเวลา) รู้แจ้ง
โลก, โลกที่มองเห็นผ่านแสงอาทิตย์ เพียง 1 ภพก็
พอ ไม่ต้องเปิดตาทิพย์ดูภพอื่น ยังสามารถหลุดพ้น
โลกได้ ทำตนดั่งดวงอาทิตย์ ให้แสงสว่างแก่สัตว์ทั้ง
ปวงอย่างเท่าเทียมกัน แผ่แสงโดยรอบละเอียด ไม่มี
ว่างเว้น ไม่มียกเว้น (เช่น พอเจอมาร ก็ไม่โปรดมาร
อย่างนี้ ไม่ได้ ต้องโปรดอย่างเท่าเทียมกันทั้งหมด)


"มีไฟมากแต่ไม่ได้ใช้ รักษาคุมไว้กลายเป็นแสงสว่าง"

 

ปวงสัตว์อยู่ในโลก ไม่พ้นโลก
มายาโลกหลอกหลอนดุจละคร
พระอาทิตย์ส่องโลก ให้เห็นโลก
ตื่นเถิดสรรพจิต ที่เวียนว่ายอยู่ในโลก


เราล้วนวนเวียนว่ายในโลกนี้เท่าไร?
เสพสุขล้วนมิใช่ ทางหลุดพ้นโลก
เสวยทุกขเวทนาไปไย ให้ลำบาก?
มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข พ้นโลกเร็วพลัน

 

ทานตะวัน หันสู้แสงอาทิตย์
หันหลังให้เงามืดแห่งโลก
เจิดจำรัส สว่างไสวโดยรอบ
แจ้งโลก เข้าใจโลกแล้วพ้นโลก


ที่ใดมีแสงสว่าง ที่นั่นย่อมมีเงา
โลกคือโรงละครมายาแห่งแสงและเงา
เราล้วนอยู่ภายใต้บทบาทแห่งแสงและเงา
หลุดพ้นโลกได้ ย่อมพ้นไปจากอำนาจทั้งสอง

 

ตัวตนภาคสว่าง ล้วนนำทางมนุษย์สู่ความเจริญ
ตัวตนภาคมืด กลับนำพามนุษย์สู่ความหลงโลก
แต่มนุษย์หาได้มีอิสรภาพอันแท้จากตัวตนทั้งสอง
ไม่ต่างจากหุ่นเชิดที่ถูกตัวตนทั้งสอง นำพาไป


ภายใต้โลกนี้ มีมายาภาพแห่งละครแสงและเงา
แสงและเงา ขับดับให้มนุษย์ดำเนินไปดังหุ่นเชิด
ตัวตนภาคสว่าง, ตัวตนภาคมืด ชักพามนุษย์ไป
ตราบใดไม่หลุดพ้นโลก ยังคงต้องเป็นดังเช่นนี้

 

ขอถามนอกประเด็น นิดนึงนะ ! ท่านผู้เจริญ !

1. หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ กับ วิชามหาเวทย์ดูดดาว
สามารถฝึกสำเร็จได้จริงหรือไม่ ?

2. เราเคยได้สดับมาว่า มีวิชาเรียก ฝนเงิน ฝนทอง ฝนแก้ว 7 ประการ ให้ตกลงมาได้จริงๆ
คุณมี เคล็ด วิชานี้มั๊ยละ ?

 

2. ผมไม่มีเรื่องช่วยทำให้รวยเลย
ถึงอยากมี เขาก็ไม่เห็นส่งมาให้


1. คำว่า "สำเร็จ" ของคุณเอาแค่ไหนละ?
ถ้าเอาแค่คอนเซฟของเว็บไซต์นี้ ผมว่าได้นะ

 

โดเรม่อนมีจริง ได้ไหม?


เมื่อจิตเราเชื่อ มนุษย์จะเป็นเหยื่อของจิตวิญญาณ
มีจิตวิญญาณมากมายที่ต้องการทำอะไรบางอย่าง
กับมนุษย์ พวกเขารอเวลามนุษย์เปิดใจเชื่ออะไรก็
ได้ เมื่อนั้นพวกเขาพร้อมที่จะเป็นสิ่งนั้นตามมนุษย์
ต้องการทันที ดังนั้น สิ่งที่ไม่น่าจะมี จะเป็นได้ ถ้ามี
"เหตุปัจจัย" มันก็มี ก็เป็นไปได้ ทั้งสิ้น


ขึ้นอยู่กับว่าเราจะอยู่ร่วมกับเหตุปัจจัยที่เกิดดับได้นี้
อย่างไร? เราจะอยู่เหนือมัน ใช้มันให้เป็นประโยชน์
หรือปฏิเสธมันไปตลอดกาล หรือจะถูกมันช่วงใช้?

 

ธรรมชาติเกิดการเปลี่ยนเหนือความคาดหมายเสมอ........

 

ถ้ากายถูกต้อง ท่าทางถูกทุกอย่าง แต่ใจไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่ แต่ ถ้าใจใช่ เมื่อไร แม้ท่าทางผิด มั่ว มันก็ใช่ "ธรรมชาติทั้งหลายมีใจเป็นประธาน" ............................น้อมคารวะและปฏิบัติตาม .....ไม่ว่าจะเป็น นั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม ภาวนา ลด ละ เลิก กิเลส ทุกอย่างก็เป็นการฝึกจิตไม่ใช่หรือ......จิตตานุภาพ ทุกอย่างสำเร็จด้วยจิต.......

 

โพชฌงค์ 7 ประการ
1. สติ ความระลึกได้
2. ธัมมวิจยะ ความสอดส่องธรรม
3. วิริยะ ความเพียร
4. ปีติ ความอิ่มใจ
5. ปัสสัทธิ ความสงบอารมณ์ สงบใจ
6. สมาธิ ความตั้งใจมั่น
7. อุเบกขา ความวางเฉย

ทั้งหมดนี้เป็นองค์คุณแห่งความ ตรัสรู้
เป็นของสูง ดุจ ดาวเหนือที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
เป็นของธรรมชาติ ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ

เราต้องใช้ เคล็ดวิชา มหาเวทย์ดูดดาว
เรียกว่า "โอปนยิโก" คือการน้อมเข้ามาใส่ตน
เมื่อดาวทั้ง 7 ดวงเข้ามาเป็นประธานที่ใจแล้ว
ทำให้เราเปิด จักระ ทั้ง 7 ได้อย่างสมบูรณ์
พิจารณาร่างกาย ก็เห็นแจ่มแจ้งยิ่งนัก
พิจารณาเวทนา ก็ทะลุปรุโปร่ง
พิจารณาจิต ก็แจ่มใสเบิกบาน
พิจารณาธรรม ก็แตกฉานสว่างไสวในดวงปัญญา

และเมื่อฝึกสำเร็จ เราก็จะได้ สมดังปรารถนาใน ฤทธิ์
ได้สมปรารถนาทางกาย เรียกว่า อิทธิฤทธิ์
ได้สมปรารถนาทางใจ เรียกว่า บุญฤทธิ์

นี้แลเรียกว่าได้ อริยทรัพย์ เป็นดั่ง
ฝนเงิน เงินก็ไหลนอง
ฝนทอง ทองก็ไหลมา
ฝนแก้ว 7 ประการคือ บารมีโน้มไปเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ์ ก็ได้เป็น
บารมีโน้มไปเป็น พระพุทธเจ้า ก็ได้เป็น

ปริศนาธรรมก็มีด้วยประการ ฉะนี้ ท่านผู้เจริญ !

 

น้อมคารวะทุกท่านและขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง​