รู้โดยไม่ต้องคิด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 5 มีนาคม 2012.

  1. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    จริงๆ ผมคิดเอาน่ะครับว่า ความเพลิน(นันทิ)นี่พอรู้ ส่วนความพอใจ(ฉันทะ)นี่เติมราคะข้างหลัง แล้วเข้าไปอ่านจากพระวจนะ ก็งง ครับ แม้แต่ความพอใจในธรรม ตรงนี้ก็จัดเป็น ฉันทะราคะ ซึ่งผมเองยังเข้าใจไปไม่ถึง ครับมันไม่กระจ่างเหมือนความเพลินที่พอจะรู้บ้าง
    จากพระวัจนะ กล่าวว่าเป็นฉันทะราคะเป็นหนึ่งในสังโยชน์เช่นกัน
    วิจัยครับพี่ทริก ยกพระวจนะได้เลยครับ
     
  2. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เผลอในอัปปนาสมาธิเหรอครับ
    ตรงนี้ผมเองก็ไม่อาจยืนยันได้มากนัก ก็อยู่ในขั้นวิจัย
    หลวงพ่อพุธท่านก็กล่าวไว้ชัดเจนครับ ต้องกลับไปอ่านอีก ฟังอีก แล้วก็ปฏิบัติให้ถึง ถึงจะตอบคุณพี่ได้ชัด รอก่อนครับ
    ช่วงเวลานี้ต้องรอให้ท่านที่เข้าออกฌาณเป็นวสี มาอธิบายว่า มีเผลอได้ไหมในอัปปนาสมาธิ
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .............พระวจนะ ที่อธิบาย คำศัพท์คงหายากนะครับ แต่ผมว่า ถ้าแยกเป็น ฉันทะ คือ ความพอใจ ต่อกับราคะ คือความสุขแบบโลกโลก(อันนี้ความเห็นผมเอง อาจจะไม่ตรง)....อย่าง นิวรณ์ ข้อ กามฉันทะ เราก็พอรู้ว่า เป็นความพอใจในกาม...มันต้องมีความหมายที่เราพอจะเข้าใจได้..................อย่างอนุสัยที่นอนเนื่องที่เกิดจากสุขเวทนา ก็เรียกว่า ราคานุสัย ถ้า อนุสัยนอนเนื่องจาก ทุกขเวทนา ก็เรียกว่า ปฎิฆานุสัย และ อนุสัยจากความเฉยเฉย คือ อวิชชานุสัย...ก่อนที่จะก่อเป็นสังโยชน์ ทั้งหลาย......ถ้าพยายามทำความเข้าใจ จากสิ่งเหล่านี่้ เรา น่าจะเข้าใจในความหมาย ที่ใกล้เคียงไม่มากก้ น้อย นะครับ(อันนี้ขอบอกว่าเป็น ความเห็นผมนะครับ):cool:
     
  4. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    จริงๆ ผมเองก็เทียบเคียงแบบพี่ทริกนั่นล่ะครับ แต่ก้รู้ได้ว่า แค่การวิจัย ยกขึ้นตรึกในธรรมครับ ยังไม่แจ้งด้วยตนเอง จึงต้องค่อยๆศึกษาไปครับ
     
  5. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ในอัปปนาสมาธิ จิตมีอารมณ์เดียว เป็นอุเบกขาไม่ยินดียินร้าย ไม่มีความคิด
    ถ้าเผลอหรือแค่เอะใจในสิ่งที่รู้หรือเห็น จิตก็ถอนออกจากสมาธิขั้นนี้แล้วครับ
    จิตขั้นนี้ จึงไม่มีคำว่า "เผลอ" หรือ "พิจารณา" ได้
    ท่านจึงให้เจริญสมาธิขั้นนี้ เพื่อเป็นวิหารธรรม หรือพักจิตใจ เพิ่มกำลังสมาธิเพื่อหนุนปัญญา

    การเจริญให้ถึงอัปปนาสมาธิว่ายากแสนยาก การรักษาให้อารมณ์ทรงในอัปปนาสมาธิยิ่งยากกว่าหลายเท่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2012
  6. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    แต่ที่แน่ๆ ตอนนั่งสมาธิ ผมไม่คิดถึงความสงบเลยครับ
    ผมว่า ไม่ได้นั่งดูหรือเอาความสงบหรอกครับ
    การนั่งหลับตาทำสมาธิตามรูปแบบ ก่อนนั่ง กราบพระ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สวดมนต์ แล้วนั่งหลับตาตามแบบ ผมเองใช้คำบริกรรมในการภาวนา ตรงนี้ จะอยู่ที่คำภาวนา หากหลงเผลอ ก็ให้รู้ แล้วกลับมาที่คำภาวนา ตรงนี้ วิตก วิจาร จนจิตเขาสงบเอง ตั้งมั่น จนคำภาวนาเริ่มเบาขึ้น ปิติเกิด ก็ให้รู้ครับ ...ต่อไปก็อยู่ที่รู้ ตามลำดับ
    มีตกบ้าง แว๊บไปกับแสงบ้าง ต่างๆนาๆ ตรงนี้ ก็ให้ดู รู้ เห็น ตามความเป็นจริง
    สมาธิที่ตั้งมั่นจะทำให้มีกำลังครับ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยสามารถศึกษาได้ครับ มีตำรามากมายเกี่ยวกับสมาธิ ผมเองก็เพิ่งเริ่มจริงจัง ได้ไม่นาน ก็ได้แต่ชักชวน และก็วิจัยไปด้วยครับหากมีข้อผิดพลาดลงไป ก็ขอขมาต่อพระรัตนไตร และทุกๆท่านนะครับ


    วันทามิ พุทธัง สัพพะ เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต
    ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธเจ้า เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระพุทธองค์จงทรงประทานอภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

    วันทามิ ธัมมัง สัพพะ เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต
    ข้าแต่พระธรรมอันเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระธรรม เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระธรรมจงให้อภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

    วันทามิ สังฆัง สัพพะ เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต
    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระสงฆ์ เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอพระสงฆ์จงให้อภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด


    วันทามิ อาราเม พัทธะเสมายัง โพธิรุกขัง เจติยัง สัพพะ เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต
    ข้าแต่ปูชนียสถานอันเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพัทธุเสมาต้นโพธิพฤกษ์และพระเจดีย์อันมีอยู่ในอาราม เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอปูชนียสถานจงให้อภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด


    วันทามิ คะรุอุปัชฌายะ อาจะริยะคุณัง สัพพะ เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต
    ข้าแต่ท่านอันเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ และผู้มีพระคุณ เพื่อขอขมาโทษทั้งปวง ขอท่านจงให้อภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด


    วันทามิ ภันเต ภะคะวา กะนาถังอะตีตัง เม โทสัง อะนาคะตัง เม โทสัง ปัจจุบันนัง เม โทสัง ขะมะถะ เม ภันเต
    ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระเจริญ ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งของชาวโลก เพื่อขอขมาโทษทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ขอพระองค์จงประทานอภัยโทษแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

    (คำขอขมาพระรัตนตรัย - บทสวดมนต์ เพลงทำนอง - OurMaNoMaYitTi.com - Powered by Discuz!)
     
  7. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ผมว่าตรงเผลอ แก้ได้ด้วยการฝึกสมาธิ เอากำลังของสมาธิครับ
    คือฌาน ผมเองก็พอจะอ่านบ้างว่าพระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงการเข้าออกฌาน และการฝึกสมาธิ ไว้ครับ อย่างไรก็ไม่ควรทิ้งหรือมองข้าม สมถะ หรือองค์ฌานครับ
    จิตที่ตั้งมั่นจะมีกำลัง สามารถมอง รู้ เห็น ได้ละเอียดและนานขึ้นครับ
    ผมเองระลึกไว้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ เพื่อนำออกแต่ส่วนเดียวครับ
    ต้องมีไว้ใช้งาน ใช้เสร็จก็วางคืนไว้ครับ(ฟุ้งอีกล่ะ)
     
  8. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ตรงนี้ต้องบอกอีกครั้ง ผมเพียงแต่ชักชวนให้หันกลับมาเห็นข้อดีของการฝึกสมาธิตามรูปแบบครับ
     
  9. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    ถูกต้องแล้ว
    จิตที่ตั้งมั่นจะมีกำลัง สามารถมอง รู้ เห็น ได้ละเอียดและนานขึ้นครับ
    ถ้าไม่มีสติ สมาธิไม่มีทางเกิด มันมีแต่ฟุ้งไหลไปตามอารมณ์ที่ปรุงแต่ง

    การฝึกสมาธิ เพื่อฝึกให้จิตรู้จักนิ่ง มีสติกำกับ ไม่ไหลส่งออกไปรู้อารมณ์ภายนอก
    ให้รู้จักตัวหยุด ตัวนิ่ง ให้เป็น รู้การปล่อยวางอารมณ์ ไม่หลงไปตามอารมณ์ที่ปรุงแต่ง
     
  10. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ใช่แล้ว เมื่อจิตมีกำลัง เราสามารถ มองอารมณ์ที่เกิดขึ้น กับผัสสะ
    เข้าเรียกว่า มีแต่ไม่เอา

    นั้นคือกำลังของสมาธิ ที่ถูกฝึกดีแล้ว การสำรวมจะยิ่งมากขึ้น ตามกำลังของสมาธิ
    และจิตที่มองอย่างปกติ
     
  11. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ขออนุญาติแย้งพี่อิ่มสบาย หน่อยนะคะ ตรงสีแดง
    ตรงนี้พี่กล่าวไม่ถูกต้องค่ะ สำหรับการฝึก การนั่่งสมาธิ เพราะฝึกให้เราเห็นความสงบของจิต เพื่อเห็นความฟุ้งซ่าน เพื่อเห็นความคิด เพื่อเห็นสภาวะต่างๆ
    ได้ แต่ว่าสติ เมื่อเราฝึกบ่อย อริยาบทใด ก็มีสติได้มากเหมือนกัน
    ดังนั้น คำว่าเรามีสติมากที่ก็ตอนนั้นสมาธิ ตรงนั้นเป็นไปเพื่อกำลังฌาน
    เพื่อพัฒนาสภาะความละเอียด การทำสติปัฏฐาน 4 ก็มีสติได้มากเหมือนกัน
    สองอย่างต้องทำร่วมกัน และมีข้อวัตรเป็นปกติ วิธีการคือ อุปกรณ์เพื่อไป
    พัฒนากิริยาของจิต
     
  12. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ผมว่า ผมพอดีกว่า ไม่อยากไปไกลเนื่องด้วย ตอนนี้ขอเน้นสมาธิครับ
    ฐานที่ มั่นคง คือความเพียร ศีล สมาธิ
     
  13. โกมีนัม

    โกมีนัม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    หืม.. เปลี่ยนคำอีกนิดจะเพราะมากๆ เปลี่ยนเป็น
    ............ผมเลยโยนิโสมนสิการว่า ต้อง โยนิโสมนสิการเรื่อง " อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค":cool:
    แล้วก็ตัดกิ่งยาวๆออกไปครึ่งนึงกับอีกครึ่งนึง สวยๆๆ
     
  14. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    อนุโมนาค่ะ พี่อิ่มสบาย

    อันนี้พูดทั่วไปนะคะ
    อีกนิดนึงค่ะ ทำสำหรับผู้ที่เริ่มทำสมถะ ให้ระวังการติดสุข
    เพราะการติดสุข จะทำให้การทำสมาธิไม่ก้าวหน้า
    หากจิตเราสงบและสงัดนิวรณ์ เราต้องกล้ายก ขึ้นมา เรียกว่า ธรรมวิจัยค่ะ
    เป็นไปตามลำดับของผู้ที่ฝึกตน นั้นๆ
     
  15. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123

    ขออนุญาติ เฉพาะตรงสีแดงนะคะ ตรงส่วนอื่นเห็นด้วยค่ะ
    ไตรลักษณ์ เราไม่สามารถมองเห็นได้ตามกำลังนึิกคิด เพราะมันไม่ใช่ซึ่งปัญญา
    แต่เป็นไปตามการนึกคิดของสัญญา
    สำหรับหนู ได้ชิมไตรลักษณ์ ในวิตก วิจารณ์ของการทำสมถะที่อยูในขั้นฌาน ที่จิตเขายกแต่ยังไม่เข้าวิปัสสนาฌาน

    ตรงส่วนนี้ เลยอยากขอถามพี่อิ่มสบาย ว่ากฏไตรลักษณ์ที่พี่พูดถึง ของวิปัสนา
    ตรงนั้นคือ อยากให้พี่ช่วยอธิบาย ในส่วนของที่หนูยังไม่ถึงค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  16. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    การนึก คบคิด ไม่ใช่วิปัสสนาค่ะพี่ แต่เป็นไปตามสัญญาล้วนๆ
    เราจะเข้าสู่ไตรลักษณ์ ได้จริงๆ เราต้องไปให้ถึงวิปัสนาค่ะ เรายอมรับมัน
    แต่จิตไม่ได้ตัดสินด้วยค่ะพี่ ไม่งั้นเราไม่พากันวน แบบนี้

    เดี่ยวหนูมานะคะ ได้เวลาแล้วค่ะ ขอบคุณที่สนทนากับหนู :cool:
    พี่อิ่มสบายอย่าลืมทานข้าวนะ
     
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ผมว่ายังอยู่ในขั้นตรึกเอา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ครับ
    ของจริง มันมีแต่รู้ ครับ ไม่มีหรอก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา(คำ)
    ผมว่าการเห็นเกิดดับ นั้นยังเป็นสัญญาอยู่ครับ แต่ใช่ว่าจะผิดหรือไม่ดี
    ตรงนี้นำไปสู่วิปัสสนาได้ครับ
    แต่หากเข้าใจว่าตนเห็นแจ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว นั่นวิปัสสนึกเอาครับ
    วิซั่นๆ
     
  18. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ศพนี้มีแต่มนุษย์เท่านั้นหรือครับ ผมเห็นซากศพบ่อยครั้ง และ เฝ้าดู

    จนคนว่าผมเป็นคนบ้า เพราะผมเฝ้าดูซากศพของสุนัขครับ

    และ ทุกวัน ผมก็ทำเครื่องในหมูทุกวันครับ ผมใช้มีดหั่นเครื่องในหมูทุกวัน

    เฝ้าดูในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้เห็นครับ ผมจึงนำมากล่าว ผมจะพูดเฉพาะสิ่งที่ผมทำได้ครับ

    สาธุครับ
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มีนาคม 2012
  20. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยบอกกล่าว เกี่ยวกับการไม่นึกคิด ผู้ที่ไม่นึกคิดจะเห็น อดีต และ อนาคต

    การที่มัวแต่นึกคิดอยู่ ย่อมไม่มีทางได้เห็น ผมบอกกล่าวเพียงเท่านี้แล้วกันนะครับ

    เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของไม่แน่นอน หรือ ไม่เที่ยงนั่นเอง ผมกล้าพูดเพราะผมทำได้จริง

    และ มีพยานยืนยัน พยานยังมีชีวิตอยู่เกือบทุกคน พยานเหล่านั้น ผมได้บอกกล่าวเขาในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น

    และ ได้เกิดขึ้นกับพยานเหล่านั้นมาแล้ว ในครั้งแรก พยานเหล่านั้นก็ไม่เชื่อที่ผมบอกกล่าว

    แต่ตอนนี้มีแต่คอยมาถาม ว่าผมเห็นอะไรไหม ผมจึงตอบคนเหล่านั้นไปว่า ผมไม่เห็นอะไรแล้ว

    เพราะเป็นการเสียเวลาในการปฎิบัติ มีแต่จะทำให่ลุ่มหลง

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...