เรื่องนี้น่าเชื่อแค่ไหน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หลบภัย, 11 มีนาคม 2012.

  1. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    แบบผุดตามใจฉันหรอ หรือว่าอยากรู้อะไร รู้ได้ ถามได้ ตอบได้ ^^

    แล้วเอาอะไรมาสังเกตุว่าความคิดนั้นถูกต้อง เป็นคำตอบที่ถูกต้อง
     
  2. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    จะบอกไงดีล่ะ เพราะพี่หลง ไม่ได้เป็นพวกทำสมถะยานิก
    ตอนที่หนูนั่งสมาธิ หนูก็เห็นความคิดมันผุดออกมามากมาย
    หนูยังเคยตามหลวงพ่อว่า ทำไมหรือไม่สงบ
    หลวงพ่อบอกว่า นั้นล่ะถูกทางแล้ว เราเริ่มมีสมาธิ
    แบบพุทธแล้ว ให้ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจเรื่อง ฐีติ ภูตัง
     
  3. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    หมายถึงหลวงพ่อ ท่านมาสอนในสมาธิหรือ
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    เจ่หลงไม่เคยเป็นแบบนี้ไงเลยคุยเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง


    ส่วนคำตอบที่ผุดออกมา หรือความรู้ที่ผุดออกมา มันจะมีสติรู้พร้อม
    ไม่ได้ยึดถือ คำตอบที่รู้นั้น หรือ สำคัญตนในความรู้ที่เกิดมานั้น

    มีแต่รู้แล้วก็วาง รู้แล้วก็วาง แล้วมันวางด้วยตัวมันเองอีกตะหาก

    ความรู้หรือคำตอบที่ผุดมานั้น มันจึงไม่ได้มาสร้างความหวั่นไหวให้จิต
    จิตก็จะดำเนินไปตามองค์ฌาน ไปเป็นลำดับ ลำดับ
     
  5. konkeesongsai

    konkeesongsai สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +1
    เคยเห็นในสมาธินะ

    ว่าไปทุ่งโล่งๆ ลมเย็นๆสบายๆ มีเนินเล็กๆอยู่ข้างหน้า เห็นคนสองคนเดินมาตามทางบอกว่า มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ไปไปด้วยกัน ก็เลยตามเขาไป

    ถามว่าไปไหน เขาบอกว่าเดี๋ยวรู้เอง

    ข้ามเนินไปเป็นศาลาไม่ใหญ่มาก มีคนนั่งรออยู่มากมาย ริมน้ำ
    บางนั่งร้องไห้ บางคนนั่งคุยกัน นั่งชมวิวเฉยๆก็มี ที่ศาลานั้นเขาแจกน้ำให้ดื่ม
    ผมก็ไปนั่งเฉยๆ เห็นยายคนหนึ่งเดินมาดีๆ เห็นศาลาก็นั่งลงร้องไห้ ผมถามว่ายายร้องไห้ทำไม ยายว่าคิดถึงคนที่บ้านไม่อยากตายห่วงหลานฯลฯ ยายบอกว่าเห็นศาลาก็รู้เลยว่ากลับไปไม่ได้แล้ว ตายแล้ว ผมกำลังงงว่า ผมตายแล้ว?
    คนที่เดินมากับผมคนหนึ่งบอกว่า คนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายมีอีกเยอะ เข้าชี้ไปมีสองคนนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่ สักพัก มีคนสองคนเดินมา
    คนหนึ่งถือกระดาษหลายแผ่น มาถึงศาลา คนหนึ่งหยิบขี้นมาอ่าน อีกคนคอยส่งกระดาษให้
    เรียกชื่อ นายนั่นนายนี่ นางนั่นนี่ มาเข้าแถวทางนี้
    ทุกคนรีบไปเข้าแถว ส่วนใหญ่ทำหน้าเบื่อๆอยากไปเต็มแก่
    คนอ่านชื่อ นำแถวพาพวกเขาเดินลงไปจากศาลา ไปถึงริมน้ำ มีเรือจอดอยู่เป็นเรือท้องแบนเล็กๆ ทุกคนขึ้นเรือ
    ผมดูๆแล้วน้ำก็ไม่ลึก เดินลุยไปก็น่าจะได้ด้วยซ้ำ ยังงงอยู่ทำไมต้องใช้เรือ
    แต่ทุกคนก็ขึ้น เรือทะยอยออกไป เป็นเรือข้ามฝากท้องแบน กลางลำน้ำหมอกมากเหลือเกิน ผมเห็นฝั่งตรงข้ามลางๆ พวกเขาพายเรือหายเข้าไปในหมอกนั้น
    คนถือกระดาษคนที่สองเรียกชื่ออีกแล้ว คนทะยอยตั้งแถว ผมยังรอคอยเรียกชื่อ
    แถวที่สองออกไปแล้ว ทุกคนอยู่บนเรือ ยกเว้นเจ้าหน้าที่สองคนนั้นกับผม
    เห็นเขาคุยกันอยู่ ผมเลยเดินเข้าไปถามว่า ทำไมไม่มีชื่อผมคับ
    เขามองหน้ากัน ถามชื่อผม ก้มลงไปที่กระดาษ คนแรกเหมือนเป็นหัวหน้าหยิบมาอ่านไปมาสักพักก็บอกว่า ไม่มีชื่อนี้
    ผมเลยถามว่าแล้วให้ผมไปทางไหน คนหัวหน้าบอกผมว่า มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยคับ เพราะผมยังไม่ตาย ถ้าผมข้ามน้ำไปนี่จะกลับไม่ได้แล้ว
    ผมเลยบอกว่าผมมาไงก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่ทุ่งหญ้าหลังเนินนั่น...เขาร้องอ๋อ แล้วหันไปบอกกับอีกคนว่า ไปส่งเขาหน่อยส่งกลับที่เดิม
    คุณเจ้าหน้าที่ก็เก็บกระดาษกองนั้น แล้วบอกผมเดินตามมาจนถึงเนินเดิม ผมรู้สึกตัวอีกทีก็กลับมาอยู่ในที่ๆนั่งสมาธิอยู่ ลืมตา...ทุกอย่างก็ดูปกติ

    สงสัยอยู่นานว่าไปไหนมา เพิ่งได้รู้ผมคงหลงไปด้วยความบังเอิญ
     
  6. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะจิตตั้งมั่นในอารมณ์แล้ว

    อารมณ์ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ คือรู้แต่ไม่ไปเอากับมัน หรือรู้แล้ววางก็ได้ เพราะไม่ได้ไปแตะอะไร

    ถ้าสติเกิดจริง ขณะนั้นเป็นสัญญาขันธ์ที่เกิดขึ้นให้ปัญญารู้

    แยกกันชัดเจน มันก้รู้แบบไม่ไปยึด หรือหลงเรื่องราวปรุงแต่ง

    ขณะนั้นเรื่องราว คำตอบ ของสัญญา สังขารมันดับลงช้าๆ

    ที่ดับนั้นคือลักษณะของไตรลักษณ์ปรากฏให้ปัญญารู้ในปัจจุบัน

    นั้นแหละ สังมาสังกัปปะเกิด เห็นความไม่เที่ยงในความปรุงแต่ง



    แต่ถ้าหลงเรื่องราวขณะนั้น ผมเชื่อว่าเห็นจริง

    เห็นภาพก็ไม่ได้เกิดทางตา ได้ยินเสียงก็ไม่ได้เกิดทางหู

    ขณะนั้นเป็นเรื่อง มายา เกิดขึ้นให้จิตรู้

    ถามว่าเห็นสมมุตตินั้นถูกต้องไหม ตอบว่าอาจจะถูกก้ได้ หรือไม่ถูกก็ได้

    แต่ที่แน่ๆ รู้นั้นมันปกปิดทุกขสัจจะอยู่ มองไม่เห็นลักษณะของนามขันธ์ ๔
     
  7. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    เปล่าหรอกพี่ มีโอกาส ก็เข้าไปสนทนาธรรม กับหลวงพ่อที่นับถือ
    เลยถือโอกาสถามเรืีองสมาธิด้วย
     
  8. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    แล้วรู้หรือยังว่าตัวเองไปไหนมาคะ
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะจิตตั้งมั่นในอารมณ์แล้ว
    อารมณ์ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ คือรู้แต่ไม่ไปเอากับมัน หรือรู้แล้ววางก็ได้ เพราะไม่ได้ไปแตะอะไร(ตรงนี้คือจุดที่ จิตมันวางได้ด้วยตัวมันเอง เรียกว่ามีความเป็นอัตโนมัติ เพราะมีสติรู้พร้อม อาการวางด้วยจิตเองนี่ล่ะเรียกว่ามีปัญญาประกอบ)




    ถ้าสติเกิดจริง ขณะนั้นเป็นสัญญาขันธ์ที่เกิดขึ้นให้ปัญญารู้
    แยกกันชัดเจน มันก้รู้แบบไม่ไปยึด หรือหลงเรื่องราวปรุงแต่ง
    ขณะนั้นเรื่องราว คำตอบ ของสัญญา สังขารมันดับลงช้าๆ

    หากเป็นได้ขนาดนั้น มันไม่ได้ดับลงช้าๆหรอกครับ
    รู้ปั๊บ วางปุ๊บ รู้ทันปั๊บ วางปุ๊บ ด้วยความคิดมันมาแบบผุดๆยังกะน้ำพุ
    มันเกิดดับเร็ว ทำได้แต่เท่าที่ทำได้ ในการรู้ทันปั๊บ วางปุ๊บ ตัวใหม่มา รู้ทั้นปั๊บ วางปุ๊บ จะเป็นอย่างนี้ไป ปีติสุขก็ตามมา วนอยู่ในอารมณ์นี้ ในองค์ 5

    พอชำนาญเข้าไปอีก ด้วยการเพียรอย่างต่อเนื่องอันนี้ไม่ใช่ ว่า
    วันนึง ทำสมาธิ เพียง ชั่วโมง สองชั่วโมงนะ จะเห็นแบบนี้
    จะเห็นแบบนี้ได้ มันมีการทำซ้ำทำย้ำ อย่างต่อเนื่องในกรรมฐานที่ตั้ง
    ทั้งกลางวันกลางคืน
    กำลังจิต จะมีกำลังเดิน เรียกว่า มันจะมีกำลังเริ่มวาง องค์ วิตก(ความคิดที่ผุดขึ้นเอง) วิจาร(สติที่รู้พร้อมนั้น)
    แล้วไล่ลำดับ ฌาน ไปตามความ ต่อเนื่องที่ฝึกได้


    ที่ดับนั้นคือลักษณะของไตรลักษณ์ปรากฏให้ปัญญารู้ในปัจจุบัน
    นั้นแหละ สังมาสังกัปปะเกิด เห็นความไม่เที่ยงในความปรุงแต่ง

    การเห็นแค่นี้มันยังไม่ทันให้เห็นไตรลักษณ์หรอก
    แต่หากว่า คิดเอา ว่า ตัวที่มาให้เห็น นี่มันเป็นไตรลักษณ์
    อันนี้ คิดได้ แต่จิตมันยังไม่ได้เห็นจริง ตามนั้น
    มันต้องผ่านการเห็นแบบที่ ให้ถึงจิต ไม่มีเราเห็น มีแต่จิตมันเห็นด้วยตัวมันเอง
    จิตมีปัญญามันกล้าเมื่อไร ไก่ก็จะทะลักทะลวงออกจากฟองออกมาเอง
    อันนี้บอกไม่ได้ ว่าเมื่อไรแล้วแต่การอบรมของแต่ละคน
     
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ทีนี้ สำหรับตรงนี้ นั้น

    มันเป็นเรื่อง นิมิต ที่ก่อนจะเข้าไปเดินตามลำดับองค์ฌาน

    หากใครไปเกิดความเอะ ใจ หรือไปสำคัญตนในนิมิต ที่เห็นนั้น
    น้อมมาเข้าตัว หรือ ไปเชื่อตามแต่นิมิตนั้นจะบอก

    อันนี้อ่ะอันตราย เพราะหากผู้เห็นในจุดนี้ ไม่มีสติปัญญาประกอบ

    หรือ ไม่มั่นคงในคำสอนครูอาจารย์ คือ อยู่ในกรรมฐานตนที่ตั้งไว้
    มันจะทำให้ก้าวผ่านไปได้ ยาก

    ไปๆมาก็กลายเป็น เปลี่ยนศาสนาไปซะงั้น
     
  11. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    หากใครไปเกิดความเอะใจ
    ผลคือ จิตถอนออกจากสมาธิ เพราะสติมีกำลังอ่อน

    หรือไปสำคัญตนในนิมิต ที่เห็นนั้น
    จิตส่งออกนอก ไม่รู้อยู่ที่จิตผู้รู้ เป็นสัญญาวิปลาส

    น้อมมาเข้าตัว หรือ ไปเชื่อตามแต่นิมิตนั้นจะบอก

    หลงนิมิต ไม่เข้าใจ ในการน้อมพิจารณานิมิต

    ถ้าเป็นนิมิต เกี่ยวกับอสุภหรือกระดูกร่างกาย เป็น อุณหนิมิต เป็นอสุภสัญญา
    หากเป็นผู้มีวาสนาบารมี จะเกิดเป็นปฏิภาคนิมิต น้อมพิจารณาให้จิตเกิดความสังเวช ทำให้เห็นพระไตรลักษณ์
    ถ้าเป็นนิมิตภายนอก เช่น นรก สวรรค์ หรืออื่นๆ ทำให้การภาวนาเนิ่นช้า
    ดังนั้น นิมิต มีทั้งคุณประโยชน์
    และโทษแก่ผู้ที่เกิดนิมิตในการภาวนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2012
  12. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ก็ยังหลงเรื่องราวความคิด

    ที่พูดนี่หมายถึง ก้าวข้ามความคิดไปแล้ว

    สติไประลึกรู้ที่ลักษณะของ สัญญา สังขาร ปรุงแต่งให้จิตรู้เป็นเรื่องราว คนสัตว์ สิ่งของแล้ว

    ส่วนที่สติระลึกได้ในลักษณะของรูปนาม สัญญา สังขารนั้น

    ลักษณะของรูปนามจะค่อยๆดับลงเห็นได้ชัด ตรงนี้ปัญญาจะประจักษ์ความไม่เที่ยง ความตั่งอยู่ไม่ได้

    หรือพิจารณาขณะดับลงนั้น เป็นสัญญาที่ดับ ไม่ใช่เรา ของเราก็ได้

    ทีนี้ขยายสังขารขันธ์ ก็มาดูว่าที่คิดไหลเป็นโจ๊กนั้น เป็นลักษณะอย่างไร

    ยินดีพอใจ หรือ เฉยๆ นี้เป็นลักษณะของเวทนา

    ขณะรู้ความคิดนั้น สติระลึกที่รูปนาม อันเป็นสัมปชัญญะหรือไม่

    หรือ ติดข้องในเรื่องราว คำพูด คนสัตว์ สมมุตติ พูดง่ายๆก็คือปรุงแต่งไหล

    หรือ ยึดความคิดปรุงแต่งเป็นของจริง แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์กำลังปรุงอยู่

    ซื่งเป็นได้ทั้งโมหะ หรือโลภะ ที่ปรุงแต่งอยู่ก็ได้

    นี่ก็พุดในระดับปรมัตถ์ หากจะพิจารณาวิปัสสนา


    น้าปราบก้รู้ดีว่า ในนั้นมันมีแต่สภาวะ คือรู้ และสิ่งที่ถูกรู้

    รูป และ นาม ไม่เกินนี้

    ทีนี้พิจารณาเห็นไตรลักษณ์นั้น ของที่มันเคยมีแล้วไม่มีนั้นแหละ ไม่เที่ยง

    ที่ไม่เห็นกันเพราะไม่โยนิโส ใส่ใจ ขาดสติระลึก

    จากสิ่งหนึ่งแปรไปอีกสิ่งหนึ่ง พวกนี้เป็นลักษณะทุกข์สภาวะ

    และถ้าอยู่ที่รู้จริงๆ ขณะนั้น ภาพ สี เสียง กลิ่น รส เป็นสิ่งที่ถูกรู้ทันที

    นั้นก็สภาวะธรรม ที่เกิดขึ้นมาแล้วแปรสภาพไปตามปัจจัย จะชัดเจนมากว่าไม่เป็นเรา ของเรา


    ที่น้าปราบพูดทั้งหมดเป็นสมถะถูกไหมครับ ^^
     
  13. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ก็ตอบไปเลยว่าความรู้ผุดดุจสายน้ำนั้น

    เป็นรู้แบบไหน เป็นคน สัตว์สิ่งของ เป็นเรื่องราวสมมุตติบัญญัติ

    เป็นเสียงพากษ์ เป็นรูปภาพ หรือมีเกจิมานั่งคุยด้วย เป็นภาพให้เห็น มีการเจรจาโต้ตอบ

    หรืออะไร ก็ว่ากันไปครับ ^^
     
  14. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ลองทำสีมาดิ ว่าส่วนไหน เดี๋ยวจะอธิบายพร้อมกัน
     
  15. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ไม่ทำหรอก เข้าใจน้าปราบ ^^
     
  16. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ทีกล่าวมานี่ สีน้ำเงินนี้
    ยังไม่เริ่มนับเข้าว่าจิตกำลังเดินลำดับในองค์ฌานเลย

    ความคิดที่ผุดๆขั้นที่ มีสติปัญญารู้พร้อม
    อันนั้นมันเป็นจุดเริ่มของการเข้าองค์ฌาน
    ซึ่งเป็นการเดินควบ สมถะวิปัสนา มีกำลังหนุนต่อเนื่อง
    ด้วยทำในรูปแบบ

    ทีนี้หากจะกล่าวเรื่อง นิมิตที่เข้ามา

    หากคนที่ขึ้นกรรมฐานด้วยรูปนิมิต มีอสุภะ หรือ กายคตาสติเป็นต้น

    จนเริ่มนับเข้าในองค์ฌาน คือความเป็นไปเองโดยทีไม่ได้กำหนดภาพ
    แต่ภาพเป็นไปได้เอง ความชัดของภาพก็เข้าขั้นของ ปฏิภาคนิมิต
    จิตยิ่งสงบ ภาพยิ่งชัด ยังกะตาเห็น

    หากเดินได้มาถึงจุดนี้
    เมื่อผ่านการทำบ่อยๆ ไม่ต้องห่วงหรอก
    มันจะเดินไปโดยลำดับๆ
    จนกว่าจะไปลงอัปนาสมาธิ ในการขึ้นด้วยรูปนิมิต

    หากทำถึงจุดนี้ จะน้อมไปฝึกอาโลกสิณ ก็ง่าย
    น้อมไปฝึกอภิญญาก็จะไปได้คล่อง
    อยู่ที่ว่า จะทำไว้ให้ครบหรือเปล่า
    และยังเดิน ควบสมถะวิปัสนาได้ง่าย
     
  17. โชแปง

    โชแปง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    851
    ค่าพลัง:
    +63
    ตรงนี้ล่ะ ที่ถามอยู่

    ว่าความคิด ที่เรียกว่าปัญญานั้น

    ขณะนั้นรู้อะไร เป็นปัญญาอะไร ^^
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    จริงๆแล้ว พี่ปราบ เขาคงเกรงใจ พยายามลด ธรรมให้ฟังดูง่าย

    สำหรับคนที่ใช้วิธี ปิดรูเฮีย 5 รู เพื่อดู รูที่ 6

    มรรคนั้นมีหนึ่งเดียว คือ สุดท้ายต้องมาดู รูที่ 6 แต่ว่า อาหลง
    ดูไม่เป็น เพราะไป สำคัญ อธิโมกข์ นิกันติ กับ การดู รู5 รู แล้ว
    คิดว่า สุดยอดแล้ว

    จริงๆ เขาปิด 5 เพื่อ ดู 1

    เมื่อดู 1 ได้ คำว่า "สติปัญญารู้พร้อม" ก็จะต่อด้วยคำว่า "เฉพาะซึ่งจิต"
    ก็จะตรงกันกับ คำที่หลวงพ่อพุธใช้อย่างบริบูรณ์ขึ้นมาอีกหน่อย

    พูดง่ายๆ คือ จริง รู้ที่ สภาพการรู้

    พระป่าสายอื่น จะพูดว่า เห็นจิตออกรู้

    บางทีก็ใช้คำว่า เห็นอาการของจิต

    จิตเห็นอาการของจิต เป็น มรรค

    มรรค มีหนึ่งเดียว ไม่มีทางอื่น !!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2012
  19. อโศ

    อโศ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,689
    ค่าพลัง:
    +5,830
    เข้าใจได้ดี อนุโมทนาด้วย

    ทีนี้หากจะกล่าวเรื่อง นิมิตที่เข้ามา

    หากคนที่ขึ้นกรรมฐานด้วยรูปนิมิต มีอสุภะ หรือ กายคตาสติ เป็นต้น

    จนเริ่มนับเข้าในองค์ฌาน คือความเป็นไปเองโดยทีไม่ได้กำหนดภาพ
    แต่ภาพเป็นไปได้เอง ความชัดของภาพก็เข้าขั้นของ ปฏิภาคนิมิต
    จิตยิ่งสงบ ภาพยิ่งชัด ยังกะตาเห็น

    หากเป็นผู้มีวาสนาบารมีเก่า เคยอบรมสะสมบารมีมาทางด้านนี้
    ถึงไม่ตั้งใจให้เกิดขึ้นเอง เมื่อจิตใจสงบเป็นสมาธิ จะเกิดเป็นปฏิภาคนิมิต


    แต่ในบางกรณี
    สำหรับผู้ที่ชำนาญในการเข้า-ออก ทำสมาธิ เข้าขั้นเป็นผู้เก่งและเชี่ยวชาญ
    ในการเจริญ กรรมฐานภาวนาอสุภกรรมฐานกรือกายคตาสติ
    สามารถกำหนดเป็นซากศพหรืออวัยวะส่วนส่วนใด น้อมมาพิจารณาได้เช่นกัน

    เพื่อพิจารณาดูความไม่เที่ยง ปรวนแปร ของสภาวะธรรมในนิมิตที่ปรากฏในขณะนั้น
    ขอย้ำว่า ทำบ่อยๆ ทำมากๆ จนนิมิตที่ชัดเจนเหมือนตาเห็นนั้นดับ จนค่อยๆ เกิดเป็นความรู้แจ้งในจิต



    หากเดินได้มาถึงจุดนี้
    เมื่อผ่านการทำบ่อยๆ ไม่ต้องห่วงหรอก
    มันจะเดินไปโดยลำดับๆ จนกว่าจะไปลงอัปนาสมาธิ ในการขึ้นด้วยรูปนิมิต

    ตัวหนังสือสีแดง ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมี ไม่เป็นทุกคน
    หากทำเหตุจนเต็ม ความรู้แจ้ง ชั่วขณะจิตเดียว
    ไม่มีคำบรรยาย เป็นเรื่องราว หรือพากย์เสียง


    หากทำถึงจุดนี้ จะน้อมไปฝึกอาโลกสิณ ก็ง่าย
    น้อมไปฝึกอภิญญาก็จะไปได้คล่อง
    อยู่ที่ว่า จะทำไว้ให้ครบหรือเปล่า
    และยังเดิน ควบสมถะวิปัสนาได้ง่าย

    เห็นด้วย เพราะอภิญญาเป็นผลพลอยได้ ถึงไม่อยากได้หรือตั้งใจก็ได้มาเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2012
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ

    ทำไมถึงเรียกอย่างนี้ เพราะ

    ความคิดที่เกิดมานั้น รู้แล้วก็ปล่อย ไม่มีการยึดถือ
    และการปล่อยวางด้วยตัวเอง นั่นล่ะจึงเรียกว่า
    ปัญญาเจตสิกที่เกิดประกอบสัมปยุตกับสติ


    ไม่ได้เรียกว่า มีปัญญาหยั่งรู้พระธรรมคัมภีร์ครบ 84000
    หรือแม้แต่ หมื่นหรือพันพระธรรมขันธ์

    แต่รู้แล้วปล่อยวาง ลักษณะนี่ล่ะจึงเรียกว่าปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่เริ่มเกิดขึ้น

    อบรมตรงนี้เรื่อยๆได้มากๆ ปัญญาณจะเริ่มแก่รอบไปเป็นลำดับลำดับ


    ทีนี้ ผมจะอธิบายในเชิงภาษาไทย

    ความคิดนั้น ที่เรียกว่าปัญญา เพราะเป็นความรู้ ที่เกิดขึ้นมาในภายใน
    ไม่ใช่การตั้งใจสร้าง เรียกว่าไม่ได้สร้างความคิด แต่จิตมันทำของมันเอง

    และก็มีสติ จิตก็รู้อยู่พร้อมในความคิดนั้นด้วย
    ความยึดสำคัญตนในความคิดนั้น ก็ไม่มี มีแต่รู้ปล่อย รู้ปล่อย
    อันนี้เป็นลักษณะของการรู้ตามจริงมันจึงปล่อย
    จึงเรียกว่าเป็นปัญญาสัมมาทิฎฐิ รู้แล้วปล่อยวางความรู้นั้นด้วยตัวของมันเอง

    เห็นแต่เกิด ดับ เกิดดับ ไปเรื่อยๆ อบรมตัวนี้ไปเรื่อยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มีนาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...