ทุกชีวิต...นิพพานกันอยู่แล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เอกรินทรา, 23 พฤษภาคม 2012.

  1. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    อดีตชาติพาหิยะตั้งปรารถนาเป็นเอตทัคคะด้านบรรลุธรรมเร็ว โดยมีพระปทุมมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพยากรณ์ไว้
    พาหิยะทูลขอฟังข้อธรรมเฉพาะตนกับพระพุทธเจ้าถึง ๓ ครั้ง พระพุทธองค์จึงกล่าวพุทธพจน์นี้ออกมา เพราะรอบ่มอินทรีย์

    การบรรลุธรรมด้วยจิตมหากุศลดวงที่ ๑ เป็นเรื่องยากมาก เพราะเวทนาเป็นโสมนัสสัมปยุตพร้อมปิติจิตจะฟูออกแนวล้น พระพุทธองค์จึงรอให้เป็น
    มหากุศลจิตดวงที่ ๕ ซึ่งเวทนาเป็นอุเบกขาเสียก่อน เมื่อพร้อมแล้วจึงกล่าวธรรมโดยย่อ พาหิยะเจริญสติปัฏฐานตามจนบรรลุธรรมในที่สุด
    --------------------------------------------------------------------
    การเสวยวิบากทาง
    -จักขุทวาร ( เห็นพระพุทธเจ้า ) กับ
    -โสตทวาร (ได้ยินเสียงพระพุทธเจ้า ) ๒ ช่องทางนี้
    -ล่วงลงสู่มโนทวาร เกิดการอาวัชชนะในใจตนที่เป็นเหตุให้บรรลุธรรมในสมัยพุทธกาล

    เหตุ : ตั้งความปรารถนาตรัสรู้แบบฉับพลัน และได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน
    ผล : ตรัสรู้แบบฉับพลัน
    พอพระพาหิยะ ( เรียกเป็นพระแล้ว เพราะท่านตรัสรู้เป็นพระอรหันตร์เรียบร้อยแล้ว ไม่เกี่ยวกับอยู่ในสภาวะเพศบรรพชิต หรือคฤหัสถ์ )

    กลายเป็นพระอรหันตร์ พระพุทธเจ้ากลับจากบิณบาตรพบศพพระพาหิยะโดนโคขวิด ( ยักษ์คินี ) อธิบายได้ว่า
    เหตุ : ขโมยจีวร บาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า / ร่วมกับเพื่อนฆ่าโสเภณีชิงเอาทรัพย์ที่ให้คืน
    ผล : ไม่มีอาภรณ์ปกปิดร่างกาย ไม่มีเครื่องบริขารรองรับ / โดนโคขวิดตาย ( จากโสเภณีเกิดเป็นยักษ์เกิดเป็นโค )
    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    พระอรหันตร์หากยังไม่เข้านิพพาน ยังต้องเสวยวิบากอันเป็นผลของกรรมที่ทำไว้เองในอดีตชาติ นิพพานเมื่อไหร่สิ้นสุดการเสวยวิบากเมื่อนั้น
    อโหสิกรรมเกิดได้ครั้งเดียวในชีวิตซึ่งก็คือ พระอรหันตร์เข้าปรินิพพานดับจิต เจตสิก รูป เพราะหาเจ้าของกรรมไม่พบกรรมจึงกลายเป็นอโหสิกรรม
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ทำไงดี ธรรมภูตมีนิสัยช่างสงสัย

    คำว่าไม่มีตัวตน ความหมายที่แท้จริง(ปรมัติ)ว่า สิ่งนั้นไม่เคยมีอยู่จริงไม่ว่าที่ไหนๆ ใช่หรือไม่?

    แล้วท่านที่ปรุงแต่งขึ้นมาเอง และ แค่หลงยึดมั่นกันเอง...งง

    แล้ว"ท่านปรุงเอง"หนะมาจากไหน ในเมื่อไม่มีตัวตน(ไม่มีอยู่จริง)อยู่

    "แค่หลงยึด" ใครหละที่เข้าไปหลงยึด?

    ก็เล่นสอนกันว่าอะไรๆก็ไม่มีอยู่จริงทั้งนั้น ในเมื่ออะไรๆก็ไม่มีอยู่ แต่ดันโ..ทุกข์กับมันไปทำไม?

    ทั้งๆที่อะไรๆก็ไม่มี เช่นเรา เขา คุณ เธอฯลฯล้วนมีทั้งนั้นใช่หรือไม่?

    เมื่อพูดแบบนี้ จะต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปทำไม ใช่หรือไม่?

    อย่าบอกแบบไม่อายอีกหละว่า

    แม้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไม่มีตัวตนคือไม่มีอยู่จริง ติต่างกันขึ้นมาเอง

    มีแต่พระนิพพานเท่านั้นที่มีอยู่จริง ถามว่าแล้วมาจากไหนได้หละ?

    ในเมื่ออะไรๆ ก็ไม่มีออยู่จริงทั้งนั้นใช่หรือไม่?

    สนทนาธรรมสมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน
     
  3. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    ถามหน่อยนะครับ การตามหาพระพุทธเจ้า เป็น พุทธานุสติไหม
    พุทธานุสติ คือการระลึกถึงคุณธรรมที่ทำให้ปุถุชนเป็นพระพุทธเจ้า

    การเดินตามหาพระพุทธเจ้า เป็นการทำสมาธิไหม
    การเดินเป็นอิริยาบถบรรพ จิตชรูปให้วาโยธาตุเคลื่อนไป

    แล้วการที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้านั้นต้องอาศัย ศรัทธาไหม
    การระลึกถึงคุณธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ประกอบด้วยศรัทธา

    การเดินถามหาไปตามเมืองต่างๆ กว่าจะพบกับพระพุทธเจ้า นั้น ผ่านเวทนามาเท่าไร
    ด้วยโสมนัสที่ประกอบด้วยด้วยปิติอย่างแรงกล้าที่จะได้พบพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม เวทนาตลอดการเดินทางจึงเป็นโสมนัสทางใจ

    เคยสังเกตุไหม เมื่อพบแล้วพระองค์ยังไมแสดงธรรม เนื่องเพราะอะไร
    เพราะจิตโสมนัสออกแนวฟูจนล้น จึงต้องปล่อยให้ลดลง เพื่อบรรลุธรรมด้วยจิตมหากุศลอุเบกขาดวงที่ ๕

    เคยพิจารณาไหม จนกระทั่งถึงปัจจัยพร้อมถึงแสดงธรรม นั่นแหละ ให้พิจารณาดูเถิด ท่านเจ้าของกระทู้
    พระพุทธองค์ทราบอดีตชาติ และข้อติดข้องของเหล่าสาวก พระพุทธองค์ท่านแสดงธรรมจะต้องมีผู้บรรลุธรรมโดยถ่ายเดียว

     
  4. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    สาธุกับคุณตาปลาครับ...ที่สาธยายได้เข้าประเด็น
    การบรรลุฉับพลันนั้น...เป็นได้ในทุกชีวิต...เมื่อคุณเจอธรรมที่ตรงๆ...อย่างเช่นพระพาหิยะ
    อย่ามาพูดเรื่องเพราะว่าเค้ามีบุญมาก่อนเลย...ใครๆก็หลุดพ้นได้...เมื่อได้รับฟังธรรมที่ตรงๆจริงๆ
    และตั้งใจเปิดรับ...ความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม...ส่วนท่านอื่นๆนั้น...เด็กๆ...
     
  5. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    สาธุกับคุณตาปลาครับ...ที่สาธยายได้เข้าประเด็น
    การบรรลุฉับพลันนั้น...เป็นได้ในทุกชีวิต...เมื่อคุณเจอธรรมที่ตรงๆ...อย่างเช่นพระพาหิยะ
    อย่ามาพูดเรื่องเพราะว่าเค้ามีบุญมาก่อนเลย...ใครๆก็หลุดพ้นได้...เมื่อได้รับฟังธรรมที่ตรงๆจริงๆ
    และตั้งใจเปิดรับ...ความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม...ส่วนท่านอื่นๆนั้น...เด็กๆ...
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ก็ตอนวินาทีบรรลุมันก็แป๊บเดียวทั้งนั้นแหละ ทุกอย่างในโลกนี้เวลาเอ็ง ฟังใครพูดแล้วเข้าใจนั้นมันนานเสียที่ไหน พอบทจะเข้าใจ มันแป๊บเดียว

    แต่ กว่าจะมาถึงจุดที่ เพียงพอต่อการจะเข้าใจได้ ต้องใช้เวลาและการศึกษาให้มีภูมิพอ
    และอีกประเด็นหนึ่งคือ แม้เข้าใจได้ แต่ไม่แจ้ง ต้องใช้เวลาทำให้แจ้ง

    นี่จึงว่า อย่าไปเอาความไม่รู้ มาคิดเอาว่าไม่ต้องทำอะไร แค่ฟังอย่างเดียวแบบ ฉับพลัน
    แบบฉับพลัน เกิดทัสนะได้ แต่เสื่อมและไม่แจ้ง ไม่สามารถบอกทางได้ เพราะตนไม่รู้ทางที่ถูกต้อง
     
  7. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    อินทรีย์ สมบูรณ์-ไม่สมบูรณ์

    ในห้องเรียนมีนักเรียน ๕๐คน มีคุณครูผู้สอนคนเดียวกัน สอนในวิชาที่มีเนื้อหาสาระเหมือนกัน
    แต่ผลสอบปลายภาค นักเรียน ๕๐คน ได้คะแนน ไม่เท่ากัน
    บางคนได้คะแนนเต็ม บางคนได้เกือบเต็ม บางคนได้แค่ผ่าน บางคนคาบเส้นพอดี บางคนก็ตกเลย
    มีนักเรียนคนหนึ่งบอกคุณครูว่า ต้องให้คะแนนเต็มทุกคนสิ ครูก็คนเดียวกัน เรียนก็เรียนเรื่องเดียวกัน
    ควรให้คะแนนเต็มทุกดีไม๊? เพราะมันเป็นประชาธิปไตยดี

    ทำไมนักเรียน ๕๐คน จึงได้คะแนนต่างกัน?
    บางคนตั้งใจเรียน บางคนขยัน บางคนฉลาด บางคนไม่ตั้งใจเรียน บางคนไม่ขยัน บางคนไม่ฉลาด


    คาถาที่ พระพุทธองค์ เทศน์ให้ พระพาหิยะฟัง พระพุทธองค์ ท่านก็ เทศน์ คาถาเดียวกันนี้ ให้กับ ผู้อื่นด้วย

    บางท่าน ก็ บรรลุ อรหัตตผล
    บางท่าน ก็ บรรลุ อนาคามิผล
    บางท่าน ก็ บรรลุ สกิทาคามิผล
    บางท่าน ก็ บรรลุ โสดาปัตติผล
    บางท่าน ก็ บรรลุ เป็น ธัมมานุสารี
    บางท่าน ก็ บรรลุ เป็น สัทธานุสารี
    บางท่าน ก็ ขอประกาศเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก
    บางท่าน ก็ เข้าใจ แต่ตัวหนังสือ แต่ไม่เข้าใจธรรม
    บางท่าน ก็ เฉยๆ ไม่รู้สึก รู้สาอะไร
    บางท่าน ก็ หาว่า พระพุทธองค์ ท่านเพี้ยนไปแล้ว

    แล้ว พวกเรา จะเป็น แบบไหนกัน ดีนะ? เลือกเอาสักอย่างได้หรือเปล่า หรือ เลือกไม่ได้ หรือ ไม่ได้เลือกเลย

    อย่างไรนะ ลองคิดดู

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2018
  8. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เห็นคุณตาปลา แสดงบุญเก่า(เหตุปัจจัยเก่า)ที่มาส่งผล ของท่านพาหิยะ

    แต่ถ้าใครอยากบรรลุในชาตินี้ ไม่มีเหตุปัจจัยเก่า ก็ทำมันเสียแต่ปัจจุบันนี้ ถ้าไม่มีคุรุกรรม หรือกรรมปิดมรรคผล เจริญสติปัฏฐานสี่ ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่เกิน เจ็ดวันเจ็ดเดือนเจ็ดปี..
     
  9. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ท่านพูดเหมือนกับว่า...ตัวเองแจ้งแล้ว
    ก่อนแจ้งต้องเพียรให้มาก...พยายามให้มาก
    แล้วตอบมาหน่อยว่า...พระพาหิยะได้ทำตอนไหน...ท่านฟังแล้วจบเลย
    การเข้าใจแล้วไม่แจ้ง...เค้าก็เรียกว่า...ไม่เข้าใจอยู่ดี
     
  10. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    แล้วพระสูตรนี้ล่ะ...ทำไมไม่มีผู้กล้ามาแตะเลย...ผู้ที่สว่างแล้วเท่านั้น...จึงจะอธิบายได้กระจ่าง
    ผู้ทำตัวว่าตนฝึกมามากปฏิบัติมามาก...ก็เป็นธรรมดาที่ต้องเฉไปเฉมา...เพราะไม่กล้าบอกชาวบ้านว่าตัวเองหลงทาง...
     
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว 
    เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ 
         การสลัดออก ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว 
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว 
    ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ 
         ฉะนั้น การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้วเป็นแล้ว 
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓- หน้าที่ 722
     
  11. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    มาจากพุทธวัจนะ กูเกิ้ลมีเยอะ

    ท่านพาหิยะ คุณตาปลากล่าวไว้แล้ว

    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=41316
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2012
  12. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    คุณเข้าใจว่าอย่างไร..
     
  13. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    มั่วแล้ว...คุณปุณฑ์
    ผมเอามาจากพระไตรปิฏก...ไปเปิดดูไป...
    อย่ามาปล่อยไก่เลย...
     
  14. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว 
    เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ 
         การสลัดออก ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว 
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว 
    ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ 
         ฉะนั้น การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้วเป็นแล้ว 
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ
    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓- หน้าที่ 722

     
    ความหมายแห่งพระสูตรบทนี้...
    - ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว คือ เป็นความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง                         หรือปรุงแต่งไม่ได้
    - ไม่เป็นแล้ว คือ เป็นความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมที่ทุกชีวิต ไม่มีตัวตน
    - อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว คือ รู้เห็นตามความเป็นจริงแห่งธรรมชาติแห่ง               สัจธรรมแล้ว จึงไม่มีความหลงให้ก่อเกิดเหตุปัจจัยในการปรุงแต่งได้อีกเลย
    - มีอยู่ คือ เป็นความจริงที่มีอยู่ก่อนแล้วตลอดเวลาโดยธรรมชาติของมัน
    แต่ถ้ามองในมุมกลับกันว่า ถ้าธรรมแห่งความจริงอันยิ่งยวดนี้ไม่มีอยู่จริง จะเป็นอย่างไร
    - จะไม่ปรากฏคำว่าพระพุทธเจ้าและสัจธรรม
    - จะไม่ปรากฏคำสอนอันคือ ธรรมอันเอื้อไปสู่ความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม ซึ่งเป็นเครื่องหันเห นำออก และสำรอกออก จากการเห็นผิดต่างๆ ดังที่พระพุทธองค์กล่าวว่า “ ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ ” 
    “ การสลัดออก ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว 
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย ”
         ​แต่เพราะ...ธรรมแห่งความจริงอันยิ่งยวดนี้มีอยู่จริง  พระพุทธองค์จึงทรงใช้ศิลปะในการแสดงธรรม เป็นลีลาการแสดงธรรมของพระพุทธองค์เอง เมื่อปุถุชนไม่มีปัญญาที่จะมองเห็น                      และตระหนักชัด ในความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม ที่เป็นเนื้อหาแบบตรงๆได้ พระพุทธองค์จึงทรงกล่าว ธรรมอันเอื้อไปสู่ความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมคือ
    การสลัดออก ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏคือ พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องจิตหรือจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งสมมุติที่ไม่มีอยู่จริง เพื่อเป็นการหันเหออก นำออก สลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตนแล้ว กลายเป็นความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆนานาแล้ว เพื่อจุดประสงค์สุดท้ายคือ การตระหนักชัดในความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม และเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแห่งความเป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
    แต่ถึงอย่างไรธรรมแห่งความจริงอันยิ่งยวดนี้ ก็ยังคงเป็นธรรมอันบริบูรณ์อยู่แล้ว ไม่มีการเพิ่มไม่มีการลด ปราศจากความหมายแห่งการมีคุณค่ามากคุณค่าน้อย เปรียบเสมือนเลขศูนย์ที่มีความคงตัวอยู่อย่างนั้น ไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่บริบูรณ์อยู่แล้วโดยตัวมันเอง
    นี้...คือการไปสู่ศูนย์ กลับสู่ธรรมชาติเดิมแท้ที่บริบูรณ์อยู่แล้ว บริสุทธิ์อยู่แล้ว เติมแต่งไม่ได้แล้ว
    นี้...เป็นธรรมจากศูนย์ไปสู่ศูนย์โดยแท้ ก่อนมีก็ไม่มีอะไรอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจบมันก็จบอยู่แล้วโดยตัวมันเอง
    นี้...คือความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม คือความจริงอันยิ่งยวด คือความจริงที่ทุกชีวิตจิตวิญญาณหลีกหนีไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ต้องกลับสู่ศูนย์ สู่ธรรมชาติแห่งความเป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดกาล
                                   ........................................
     
  15. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ถามว่า คุณเข้าใจ ว่าอย่างไร
     
  16. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เดี๋ยวมา ยุ่งอยู่............
     
  17. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    การบรรลุฉับพลันนั้น...เป็นได้ในทุกชีวิต...
    -เป็นไปได้เฉพาะสมัยพุทธกาล ( พระพุทธองค์อยู่ตรงหน้า และได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ )
    -เฉพาะกับบางคนที่ตั้งสัจจาธิษฐานไว้ต่อหน้าพระพุทธเจ้าองค์ก่อน และได้รับการพยากรณ์ไว้แล้ว อย่างเช่นพระพาหิยะ
    -ชาตินั้นต้องเป็นชาติสุดท้าย พระอรหันตร์ปรินิพพานเป็นอันยุติสังสารวัฏฏ์

    เมื่อคุณเจอธรรมที่ตรงๆ...อย่างเช่นพระพาหิยะ
    ในปัจจุบันนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว สัพพัญญุตญาณ ( ญาณหยั่งรู้สรรพสิ่ง ) มีเฉพาะในพระพุทธองค์เท่านั้น
    ท่านถึงได้ทราบวิสัยของแต่ละบุคคลในการบรรลุธรรม

    อย่ามาพูดเรื่องเพราะว่าเค้ามีบุญมาก่อนเลย...
    แต่ละคนแต่ละภพชาติเกิดตายมานับไม่ถ้วน วาสนาบารมีสั่งสมมาต่างกัน ผู้บรรลุธรรมจะต้องมีญาณ
    อาสวะขยญาณ ( ญาณหยั่งรู้เป็นธรรมที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย )


    ใครๆก็หลุดพ้นได้...เมื่อได้รับฟังธรรมที่ตรงๆจริงๆ
    -ปี ๒๕๕๕ นับเป็นพันปีที่สาม ผู้หลุดพ้นหาได้ยากยิ่งเพราะเข้าสู่ยุคเสื่อม
    -ผู้สอนไม่มีสัพพัญญุตญาณ สอนเฉพาะสิ่งที่ตนเองเข้าใจ
    -เว้นแต่ผู้เรียนนั้นบ่มอินทรีย์ถึงพร้อมเพื่อบรรลุธรรม
    มหาวิบากจัดสรรให้ได้รับฟังเสียงพระสัทธรรม

    และตั้งใจเปิดรับ...ความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม...
    จะต้องเป็นผู้ที่ปฏิสนธิ ( เกิด ) ด้วยเหตุ ๓ เท่านั้น ( อโลภะเหตุ อโทสะเหตุ อโมหะเหตุ )
     
  18. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    ท่านอาจารย์ พุทธทาส เคยปรารภขึ้นว่า

    คุยธรรมะ กับ คนบางคน นี้นะ สู้ไปให้เสือ กัดให้ตาย เสียดีกว่า!

    ผมก็ไม่กล้าถามท่านอาจารย์ ว่า ท่านหมายถึงอะไร ???
     
  19. chottana

    chottana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +337
    ....................เอกรินทรา.............
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
    พระองค์บอกธรรมที่ไม่เกิดมีอยู่
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว
    ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้
    พระองค์บอกธรรมที่ไม่เกิดมีอยู่ ถ้าธรรมชาติเเบบนี้ ไม่ได้มีอยู่เเล้วไซร๊

    การสลัดออก ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
    การสลัดออก ซึ่งธรรมที่มันเกิดอยู่มีการปรุงเเต่งมีเหจุปัจจัยเนี่ยจึงต้องปรากฏในโลกนี้

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว
    ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

    พระองค์ก็กลับมาพูดประโยคนี้ใหม่คือ ธรรมที่ปรุงเเต่งไม่ได้ นั่นมีอยู่จริง

    ฉะนั้น การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้วเป็นแล้ว
    อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ

    ตรงนี้ทีเด็ดเลย .. เพราะฉะนั่นการสลัดออกจากธรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เกิดขึ้น เกิดอยู่ในโลก นี้ อยู่เเล้วเนี่ย เป็นธรรมชาติที่มีการเกิดปรากฏอยู่ของมันอยู่เเล้ว มีปัจจัยปรุงเเต่งอยู่เเล้วเนี่ย เราจึ้งต้องสลัดออกซึ่งธรรมเหล่านี้ จึงเป็นปัจจัย ให้ปรากฏ ธรรมที่ปรุงเเต่งไม่ได้นั่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2012
  20. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ใช่แล้ว...คุณมังคละมุนี
    ผู้หลุดพ้นแล้ว...ย่อมรู้ว่า ตัวเองเคยหลงทางมาก่อน
    เลยมาบอกธรรมที่ตรงๆ...ที่ยังหลงเหลืออยู่และไม่ถูกบิดเบือน
    แต่เถียงกับพวกเอากำปั้นทุบดินนั้น...ก็หาได้มีสาระใดๆไม่
    แต่ที่ผมเข้ามา...เผื่อมีท่านไหนที่มีปัญญา...ได้ตระหนักชัดตาม...ได้จบตาม
    ยุคนี้ท่านอาจารย์พุทธทาสก็หนึ่งล่ะ....ที่กล่าวธรรมแบบตรงๆ...จึงมีผู้หลุดพ้นตาม
    แต่พวกไม่หลุดน่ะ...เค้าไม่เชื่อ...เพราะเค้าไม่เคยทำตาม...ก็เลยต้องสะกิดมันวันละนิด
    ทนไม่ไหวมันก็ชักดิ้นตายกันไปเองแหละ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...