ทุกชีวิต...นิพพานกันอยู่แล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เอกรินทรา, 23 พฤษภาคม 2012.

  1. theerasp

    theerasp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +36
    ขอบใจจ้าปู่ ที่เมตตาสอน นะจ๊ะ ผมจะน้อมไปปฏิบัติ อย่างน้อยได้เทคนิคการดับทุกข์เพิ่ม จ้า
    สาธุ ในกุศลจิต ครั้งนี้จ้า
     
  2. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529

    พ่อหนุ่ม ไหน? เอ็งก็ยกสูตรมา ข้าก็จะขยายใจความเลยนะจ๊ะ การจะเข้าใจสูตรนี่ ต้องเข้าใจก่อนว่า

    พุทธธรรมมองสิ่งต่างๆๆ ออกเป็นสองมิติจ๊ะ คือมิติที่ว่า มีสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่งนี่หนึ่งล่ะ และอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะไม่อาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งนี่หนึ่ง

    สิ่งแรกเรียกว่า สังขตธรรม สิ่งที่สองเรียกอสังขตธรรม นั้นแล สังขตธรรมมีอะไรบ้างล่ะ มีความทุกข์ ความทุกข์ของคนต้องมีสาเหตุถูกไหม? มีเหตุที่ทำให้ทุกข์ หรือ ไอ้นี่ก็ได้ ร่างกายเรา ก็ประกอบมาจากอะตอมของธาตุต่างๆๆมารวมกันและกลายเป็นเรา

    เห็นไหมสิ่งต่างๆๆเหล่านี้มีเหตุ และ สิ่งที่มีเหตุนี่ก็จะเป็นไปตามหลักของไตรลักษณ์ เพราะ ปัจจัยปรุงแต่งมันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้นตัวผลของมันก็เปลี่ยนไปตลอดเวลาเช่นกัน อย่างความรู้สึกเจ็บเพราะหกล้ม ในที่สุดเราก็จะหายเจ็บไป ก็เพราะตอนนี้แผลเราหายแล้ว เซลล์ในร่ายกายที่บาดเจ็บถูกซ่อมแซม ที่เสื่องไปถูกขจัดทิ้ง สร้างเซลล์ใหม่ขึ้น
    นั้นแล

    ที่นี้มาดูสิ่งที่เรียกว่า อสังขตธรรม สิ่งนี้หมายความถึง สิ่งที่ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง พระพุทธเจ้าท่านก็ยืนยันว่า มันคือนิพพาน เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆๆว่ามันเป็นอย่างไร? ท่านก็มักจะนิยมเปรียบมันให้เหมือนความว่าง ที่อยู่ที่นี่เสมอมา ทั้งมิได้สร้างขึ้น หรือทำลายได้ ไม่มีขอบเขตแน่ชัดอยู่ในกาลเทศะ ไม่ใช่สิ่งต่างๆๆที่อาจจะแบ่งแยกเป็นคู่ๆๆ อย่างมีตัวตนอยู่ หรือไม่มี นั้นแลท่านจึ่งมักเปรียบว่ามันเหมือนความดับอันไม่เหลือเชื้อ

    ทำนองนี้

    ทีนี้สุตรนี้เกิดขึ้นเพื่อพยายามยืนยันว่า คำสอน หรือ คำพูดที่ท่านพูดถึงนิพพาน หรือ อสัขตธรรมนั้นมีอยู่จริงๆๆ นะ มิได้กล่าวเลื่อนลอย เพราะถ้ามันไม่มีสิ่งนี้ก็อย่าได้หวังเลยว่าความหลุดพ้น(จากกองทุกข์ เกิดตาย เป็นต้น)จะมี นั้นแล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤษภาคม 2012
  3. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    เอ็งนี่เอาอีกแล้ว เอ็งชอบมองว่าธรรมะเป็น เทคนิคทางจิตวิญญาณเพื่อนำไปสู่อะไรบางอย่าง เอ็งสนใจที่ผลลัพธ์ แต่ไม่สนใจที่ปัญหา เหมือนเอ็งกอดเมียแต่ดันคิดถึงเซ็กส์ที่จะตามมา เอ็งก็เลยไม่ได้อยู่ที่นี่อย่างแท้จริงเพื่อคนที่รักเลย เอ็งทุกข์ แต่เอ็งไม่ทำความเข้าใจมัน ดันคิดถึงสิ่งที่อยู่ตรงข้าม แล้วมันจะแก้ปัญหาได้ไหม? จำไว้เลยความทุกข์กับการมีชีวิตเป็นของคู่กัน และ มันอยู่ที่เรายอมรับมันอย่างที่เป็นได้หรือเปล่า ไอ้ที่ความทุกข์มันมีปัญหานี่เพราะส่วนใหญ่เราไปให้ความสนใจมันแบบไม่เป็นมิตรเช่นไม่คิดถึงมัน พยายามจะลืมๆๆมัน พยายามจะใช้ความคิดสร้างเทคนิคทำลายล้างมัน อะไรทำนองนี้ นั้นแล


    เมื่อก่อนข้าก็นี่เลยพยายามจะเอาตัวไปแก้ไขมันทุกเรื่องแต่มันไม่หลุด ว่ะ ยิ่งแก้มันยิ่งยุ่ง อย่างข้าเคยมีความทุกข์จากการกลัวตายมาก(ตอนหนุ่มๆๆ) ข้าก็เลยพยายามจะค้นว่ามีอะไรที่ดำรงอยุ่รอดหลังความตายไหม? ทำไงคนเราถึงจะมีชีวิตยืนยาว เอ็งเคยเข้าโรงบาลตรวจร่างกายทุกต้นเดือน จนแพทย์จำหน้าได้ไหม? ข้าพยายามที่จะคิดว่าเรายังหนุ่มจักตายได้ไง? แต่ก็นั้นแหละ คนเรามันหนีความจริงไปได้ไม่นาน ความตายอยู่ที่นี่มันมาพร้อมการมีชีวิต ดังนั้นสำหรับข้า ข้าจึ่งจัดการกับความกลัวไม่ได้ ความกลัวก็ยังอยู่ที่นั้น มันไม่ไปไหน? ทุกครั้งมันจะมาพร้อมความเย็นวาบๆๆ เหงื่อไหล ไม่สบายใจแบบสุดๆ แต่ตอนสี่สิบพอข้าลองสังเกตุดูมันจริงๆๆ ว่าทำไม?ข้าถึงกลัวตาย ทำไมถึงพยายามหลอกตัวเองว่าชีวิตหลังความตายเป็นเรื่องไร้สาระ

    ความเข้าใจมันเกิดขึ้นความกลัวหายไป พอมันมามันก็มา แต่อยู่ไม่นาน ความสงบอยู่ที่นี่ อยู่มาสามสิบสองปีหลังจากนั้นนี่เจ็ดสิบสอง
    และข้ากล้าพูดได้เลยว่า เมื่อมีความเข้าใจ มนุษย์ก็เป็นอิสระ นั้นแล

    อ้อที่บอกไป อันนั้นคืออานาปานสติ แต่เขียนให้มันร่วมสมัยขึ้น ของเดิมมันไม่ตรงใจวัยรุ่นแบบพวกเอ็ง ใช่มิ ใช่มิ เพราะภาษามันแก่ ก็มันแปลมาจากภาษาคนเมื่อสองพันกว่าปี จริงไหม? อย่าว่าแต่จักให้คนรุ่นใหม่ปฏิบัติเลยแค่อ่านก็ง่วงนอนแล้วจริงไหม?

    http://webcache.googleusercontent.com/search?hl=th&q=cache:7VpCZPub71AJ:http://portal.in.th/i-dhamma/pages/8591/%2B%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3&gbv=2&gs_l=hp.1.4.0l10.8000.8000.0.12953.1.1.0.0.0.0.156.156.0j1.1.0...0.0.6sCfTBbgylI&ct=clnk

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤษภาคม 2012
  4. theerasp

    theerasp Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +36
    ปู่เทพ ไว้ต่อสู้กับเวทนากาย คือ โรคประจำตัว นะครับ
     
  5. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ที่นี้มาดูสิ่งที่เรียกว่า อสังขตธรรม สิ่งนี้หมายความถึง สิ่งที่ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง พระพุทธเจ้าท่านก็ยืนยันว่า มันคือนิพพาน เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆๆว่ามันเป็นอย่างไร? ท่านก็มักจะนิยมเปรียบมันให้เหมือนความว่าง ที่อยู่ที่นี่เสมอมา ทั้งมิได้สร้างขึ้น หรือทำลายได้ ไม่มีขอบเขตแน่ชัดอยู่ในกาลเทศะ ไม่ใช่สิ่งต่างๆๆที่อาจจะแบ่งแยกเป็นคู่ๆๆ อย่างมีตัวตนอยู่ หรือไม่มี นั้นแลท่านจึ่งมักเปรียบว่ามันเหมือนความดับอันไม่เหลือเชื้อ

    สาธุกับคุณปู่เทพอภิบาล...ท่านอธิบายได้ถูกต้องตามความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมแล้ว
    นิพพานมีอยู่แล้วในทุกชีวิต...และเป็นเช่นนั้น อยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
    สาธุ สาธุ...แต่พวกที่หลงปฏิบัติมามาก หลงตามดูตามรู้มามาก
    เค้าก็ดันทุรัง ฝืนธรรมชาติ ฝืนความจริงแห่งสัจธรรม อยู่อย่างนั้น
    แล้วจะสอนคนอื่นได้อย่างไร...ในเมื่อตัวเองก็ยังไม่หลุดพ้น
    ผมไม่อยากพูดว่า...ผมหลุดพ้นแล้ว...แต่คนที่จบแล้วสว่างแล้ว
    มันก็รู้ด้วยตัวเองอยู่อย่างนั้น...เป็นหนึ่งเดียวกับความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม
    อยู่อย่างนั้น...ทุกวันทุกเวลา...พวกหลงทางไม่มีทางรู้เลยตลอดชีวิต
     
  6. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ที่นี้มาดูสิ่งที่เรียกว่า อสังขตธรรม สิ่งนี้หมายความถึง สิ่งที่ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง พระพุทธเจ้าท่านก็ยืนยันว่า มันคือนิพพาน เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆๆว่ามันเป็นอย่างไร? ท่านก็มักจะนิยมเปรียบมันให้เหมือนความว่าง ที่อยู่ที่นี่เสมอมา ทั้งมิได้สร้างขึ้น หรือทำลายได้ ไม่มีขอบเขตแน่ชัดอยู่ในกาลเทศะ ไม่ใช่สิ่งต่างๆๆที่อาจจะแบ่งแยกเป็นคู่ๆๆ อย่างมีตัวตนอยู่ หรือไม่มี นั้นแลท่านจึ่งมักเปรียบว่ามันเหมือนความดับอันไม่เหลือเชื้อ

    สาธุกับคุณปู่เทพอภิบาล...ท่านอธิบายได้ถูกต้องตามความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมแล้ว
    นิพพานมีอยู่แล้วในทุกชีวิต...และเป็นเช่นนั้น อยู่อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
    สาธุ สาธุ...แต่พวกที่หลงปฏิบัติมามาก หลงตามดูตามรู้มามาก
    เค้าก็ดันทุรัง ฝืนธรรมชาติ ฝืนความจริงแห่งสัจธรรม อยู่อย่างนั้น
    แล้วจะสอนคนอื่นได้อย่างไร...ในเมื่อตัวเองก็ยังไม่หลุดพ้น
    ผมไม่อยากพูดว่า...ผมหลุดพ้นแล้ว...แต่คนที่จบแล้วสว่างแล้ว
    มันก็รู้ด้วยตัวเองอยู่อย่างนั้น...เป็นหนึ่งเดียวกับความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม
    อยู่อย่างนั้น...ทุกวันทุกเวลา...พวกหลงทางไม่มีทางรู้เลยตลอดชีวิต
     
  7. มนุสสเทโว

    มนุสสเทโว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +30
    ไปหละ ผู้ไม่หลง ผู้ไม่มั่ว ผู้หลุดพ้น
    ผมมี ตัวอย่างเปรียบเทียบ ทำนองเดียวกัน เพิ่มอีกแล้วกัน
    เพราะอนัตตามีอยู่อัตตาจึงปรากฎ
    เพราะความว่างมีอยู่ความไม่ว่างจึงปรากฏ
    เพราะสว่างมีอยู่มืดจึงปรากฏ
    เพราะดับมีอยู่เกิดจึงปรากฏ
    เพราะรู้มีความไม่รู้จึงปรากฏ

    เอาเป็นว่าผมหลงออกจาก ประเด็น นิพพาน ปรุงแต่ง อะไร ของคุณก็แล้วกัน ผมไม่ได้สนใจ กระทู้ ข้อความหรือความหมายในประโยค หรือสิ่งที่คุณอธิบายมา แต่ผมไปจับจุดความคิดในการเปรียบเทียบอธิบายเข้าไปหาสิ่งหนึ่งโดยใช้อีกสิ่งหนึ่ง ซึ้งจุดที่มีการเปลี่ยแปลง แปรผัน ณ เวลาหนึ่ง มันจะเกิดคู่กันเสมอทันที นี้หละผมหลงมาสนใจตรงนี้ คุณจะแสดงธรรมอะไรก็เชิญต่อเลยครับ (ธรรมะนอกตำราก็จะดีมากๆ หรือใบไม้นอกกำมือก็ยิ่งดี )
     
  8. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ไปหละ ผู้ไม่หลง ผู้ไม่มั่ว ผู้หลุดพ้น
    ผมมี ตัวอย่างเปรียบเทียบ ทำนองเดียวกัน เพิ่มอีกแล้วกัน
    เพราะอนัตตามีอยู่อัตตาจึงปรากฎ
    เพราะความว่างมีอยู่ความไม่ว่างจึงปรากฏ
    เพราะสว่างมีอยู่มืดจึงปรากฏ
    เพราะดับมีอยู่เกิดจึงปรากฏ
    เพราะรู้มีความไม่รู้จึงปรากฏ

    เอาเป็นว่าผมหลงออกจาก ประเด็น นิพพาน ปรุงแต่ง อะไร ของคุณก็แล้วกัน ผมไม่ได้สนใจ กระทู้ ข้อความหรือความหมายในประโยค หรือสิ่งที่คุณอธิบายมา แต่ผมไปจับจุดความคิดในการเปรียบเทียบอธิบายเข้าไปหาสิ่งหนึ่งโดยใช้อีกสิ่งหนึ่ง ซึ้งจุดที่มีการเปลี่ยแปลง แปรผัน ณ เวลาหนึ่ง มันจะเกิดคู่กันเสมอทันที นี้หละผมหลงมาสนใจตรงนี้ คุณจะแสดงธรรมอะไรก็เชิญต่อเลยครับ (ธรรมะนอกตำราก็จะดีมากๆ หรือใบไม้นอกกำมือก็ยิ่งดี )<!-- google_ad_section_end -->

    นี่ก็มาปล่อยไก่อีกตัว...คุณมนุสสเทโว
    ธรรมนอกตำรา...พูดออกมาได้งัย...ก็พระพุทธเจ้ากล่าวไว้เอง...คุณจะบอกว่าพระพุทธเจ้ามั่วเอาเหรอ...คุณหลงทางกันเองแล้วมาบอกชาวบ้านว่าพวกคุณมาถูกทาง
    ปรมัตถธรรมไม่ว่าเรื่องอะไร...ที่พระพุทธองค์ทรงตรัส...ย่อมมีความหมายเดียวกันคือ
    เป็นไปเพื่อนิพพาน...เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น...ก็พวกคุณชอบปฏิบัติในสิ่งที่ฝืนความเป็นจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม...ก็เลยไม่หลุดพ้นกันสักที...แล้วครูบาอาจารย์ของพวกคุณมีเหรอที่จะหลุดพ้น...แล้วคุณๆท่านๆทั้งหลายล่ะ...รู้ได้ตัวเองหรือยังว่า...ตนนั้นหลุดพ้นแล้ว...คุณไม่เคยทำตามในสิ่งที่ผมบอก...แล้วมาวิจารณ์กันว่า...ผมมานอกตำราได้งัย...
     
  9. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    แล้วท่านหลวงพี่หัวโล้นของคุณเทพอภิบาล สอนผลให้เค้าได้รึ เค้าต้องสอนให้ทำเหตุเพื่อให้เกิดผลสิครับ
    เช่น ต้องการได้เงินเดือนเยอะ ก็ทำความสามารถให้เยอะ ไม่ใช่ร้องขอให้เงินเดือนเยอะ
    เมื่อความสามารถความเหมาะสมมี เงินเดือนก็ย่อมเยอะตามสมควรเอง

    หัวโล้นนั้น ญาติโยมนั้นคือผู้ใด ไม่มีตัวตนแน่หรือ
    - มีตัวตน มีผลกรรม สะสมกำลังบารมีจนเกิดปัญญารู้แจ้ง ยกระดับจิตจนหลุดพ้น จึงจะกล่าวได้ว่าไม่มีตัวตนไม่มีผลกรรม วิธีปฎิบัติคือสติตั้งมั่น เห็นความแปรปรวนไม่เที่ยงแท้
    ที่พระศาสดากล่าวว่าท่านลองมาปฎิบัติดูเถิด ท่านไม่บอกว่ามาเอาผลนี้ไปเถิดนะครับ

    ภพที่ลงนรกอะ รับผลบาปกรรมอย่างเดียวจะว่าไม่มีตัวตนก็ไม่ใช่
    ภพที่เป็นหมา รับผลบาปกรรม จะซื้อพิซซ่ามากินก็ยังทำไม่ได้เลย นี่ไม่มีตัวตนรึ
    ภพที่เป็นมนุษย์ ทั้งรับกรรมทั้งสร้างบุญสร้างกุศลยกระดับจิตใจครับ มีตัวตนอยู่นะ
    ภพเทวดา พรหม ภพเสวยผลบุญอีกเพลินกันไป นี่ก็มีตัวตนนี่คนที่รับผลบุญอยู่

    แสดงธรรมให้เหมาะกาลให้คนได้รู้ธรรม หรือ แสดงธรรมเพื่ออวดว่าบรรลุธรรม
     
  10. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    นี่ก็อีกคนครับ...มาหลอกด่าแล้วไป
    ถ้าคุณมีดี...แล้วทำไมไม่อธิบายพระสูตร 3บทที่ผมโพสต์ไปล่ะครับ
    อธิบายเป็นภาษาชาวบ้าน...ให้คนอื่นเข้าใจด้วย...ไม่ใช่มายกบาลีอ้อมๆแอ้มๆแล้วไป
    แบบนี้น่ะเด็กๆครับ...พากันเข้ามาผมยินดีรับฟังความเห็นที่ตรงต่อความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม...
     
  11. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    แสดงธรรมให้เหมาะกาลให้คนได้รู้ธรรม หรือ แสดงธรรมเพื่ออวดว่าบรรลุธรรม

    แล้วจะด่าก็ด่าได้นะครับ...ผู้หลุดพ้นแล้วเค้าไม่อะไรกับอะไรทั้งนั้น
    แต่คนด่าน่ะกล้าพอหรือเปล่า...ที่จะเอาชีวิตและเส้นทางกรรมของตัวเองมาเสี่ยง
     
  12. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    แสดงธรรมให้เหมาะกาลให้คนได้รู้ธรรม หรือ แสดงธรรมเพื่ออวดว่าบรรลุธรรม

    แล้วจะด่าก็ด่าได้นะครับ...ผู้หลุดพ้นแล้วเค้าไม่อะไรกับอะไรทั้งนั้น
    แต่คนด่าน่ะกล้าพอหรือเปล่า...ที่จะเอาชีวิตและเส้นทางกรรมของตัวเองมาเสี่ยง
     
  13. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    อ่านแล้วผมนึกถึงบทที่เกี่ยวกับ อาหาร 4 ครับ
     
  14. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
    บุคคล ๔ จำพวก
    [๕๔] ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวคำนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคล ๔ พวก เหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ พวกนั้นเป็นไฉน? ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีกิเลส แต่ไม่รู้ตามเป็นจริงว่า เรามีกิเลสในภายใน.
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีกิเลส รู้ตามเป็นจริงว่า เรามีกิเลสในภายใน.
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีกิเลส แต่ไม่รู้ตาม เป็นจริงว่า เราไม่มีกิเลสในภายใน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีกิเลส รู้ตามเป็นจริงว่า เราไม่มี กิเลสในภายใน.

    ในบุคคล ๔ พวกนั้น บุคคลใดมีกิเลส แต่ไม่รู้ตามเป็นจริงว่า เรามีกิเลสในภายใน บุคคลนี้ บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษเลวทราม.
    ในบุคคล ๔ พวกนั้น บุคคลใดมีกิเลส รู้ตามเป็นจริงว่า เรามีกิเลสในภายใน บุคคลนี้ บัณฑิตกล่าวว่าเป็นบุรุษประเสริฐ.
    ในบุคคล ๔ พวกนั้น บุคคลไม่มีกิเลส แต่ไม่รู้ตามเป็นจริงว่า เราไม่มีกิเลสในภายในบุคคลนี้ บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษเลวทราม.
    ในบุคคล ๔ พวกนั้น บุคคลใดไม่มีกิเลส รู้ตามเป็นจริงว่า เราไม่มีกิเลสในภายใน บุคคลนี้บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษประเสริฐ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2018
  15. leehonza

    leehonza Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +78
    ชีวิตก็เหมือนเลข0เกิดมานับ1-9สุดท้ายก็จักกลับไปเริ่มที0ชีวิตก็หาใช่มีไมมีใช่ว่าจะมี
    ชีวิตก็เปรียบดั่งสายน้ำไหลไปมิจักสิ้นสุดเมือผู้คนเข้าใจคำว่า0จักรู้จักชีวิตใช่ยังไงไม่ให้ประมาทมีความรักเมตตาต่อทุกสิ่งไม่ยึดสิ่งใดสิ่งนึงแม้ตัวตายก็ช่างอย่าได้ยึดแม้ไม่มีกายก็อย่าเศร้าหมองแม้ไม่มีก็มิเดือดร้อนทุกสิ่งล้วนไม่มีจิง
     
  16. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    ใช่หน้า1ป่าวครับ

    ทุกสรรพสิ่งนั้นบริสุทธิ์หลุดพ้น หรือนิพพานอยู่แล้วโดย ธรรมชาติของมัน และเป็นเช่นนั้นอยู่อย่างนั้นทุกวันทุกเวลา...
    ความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสรรพสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากสำหรับปุถุชนผู้มีปัญญาอันน้อยนิด

    อธิบายว่า เพราะไม่รู้จึงยึดมั่น ผลจากการยึดมั่นจึงเป็นไปตามกรรม

    อ่านรู้มา(ยังเข้าไม่ถึงระดับจิต) ตัวตนยังมี ผลกรรมยังต้องรับ จุติใหม่ตามผลกรรม

    เกิดวิปัสสนาญาณ ผลกรรมของการรู้แจ้ง ตัวตนไม่ การสืบกรรมไม่มี การจุติใหม่ไม่มี

    ถ้าทึกทักเอาว่าตัวตนไม่มีเสียแต่ตน จะทำความดี บุญกุศล บำเพ็ญบารมียกระดับจิตไหม

    ในทศชาติชาดกก็มีคนเข้าใจผิด มาผิดช่อง บุญบาปไม่มี สอนผิดซะทีนี้พระราชาทรงเชื่อเลิกทำราชกิจ บ้านเมืองวุ่นวายไปหมด

    การปฎิบัติทางพุทธศาสนาเราปฎิบัติด้วยเหตุ ผลจึงเกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างนั้นเอง ฮิ้วๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2012
  17. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ผมว่าก็เมื่อมีชาติ มีชรา ปรากฏ จะไปปรารภถึงธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่งทำไมกัน
    มันเกิดแล้ว อวิชชามีแล้ว อาหารมีแล้ว ตัวตนปรากฏแล้ว
    ก็ต้องปฏิบัติเพื่อทำให้หมดอาหาร หมดอวิชชา เพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดอีก
    เอาที่ปัจจุบัน ขณะสิ บ่นๆ
     
  18. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ทำให้แจ้งใน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ นิพพานก็ปรากฏ ตรงนั้นล่ะ (บ่น)
     
  19. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    นี้คือพระสูตรแรกครับ...ขอร้องว่าอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจด้วย...

    เมื่อบุคคลมีความสำคัญมั่นหมายมาแต่ต้นว่า...ผู้นั้นกระทำ ผู้นั้นเสวยผล...ดังนี้เสียแล้ว
    เขามีวาทะ คือลัทธิยืนยันอยู่ว่า...ความทุกข์เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง...ดังนี้
    นั้นย่อมแล่นไปสู่ทิฏฐิที่ถือว่าเที่ยง
    เมื่อบุคคลถูกเวทนากระทบให้มีความสำคัญมั่นหมายว่า...ผู้อื่นกระทำ ผู้อื่นเสวยผล...ดังนี้เสียแล้ว
    เขามีวาทะ คือลัทธิยืนยันอยู่ว่า...ความทุกข์เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำให้...ดังนี้
    นั้นย่อมแล่นไปสู่ ทิฏฐิที่ถือว่าขาดสูญ
    ตถาคต ย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือ
    ตถาคตย่อมแสดงดังนี้ว่า...เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ.....,,......
    เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสาทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน  ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
    เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร
    เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ.....,,.....
    เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสาทั้งหลาย จึงดับสิ้น  ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
    นิทาน. สํ. 16/24/50
     
  20. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    นี้คือพระสูตรแรกครับ...ขอร้องว่าอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจด้วย...

    เมื่อบุคคลมีความสำคัญมั่นหมายมาแต่ต้นว่า...ผู้นั้นกระทำ ผู้นั้นเสวยผล...ดังนี้เสียแล้ว
    เขามีวาทะ คือลัทธิยืนยันอยู่ว่า...ความทุกข์เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง...ดังนี้
    นั้นย่อมแล่นไปสู่ทิฏฐิที่ถือว่าเที่ยง
    เมื่อบุคคลถูกเวทนากระทบให้มีความสำคัญมั่นหมายว่า...ผู้อื่นกระทำ ผู้อื่นเสวยผล...ดังนี้เสียแล้ว
    เขามีวาทะ คือลัทธิยืนยันอยู่ว่า...ความทุกข์เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำให้...ดังนี้
    นั้นย่อมแล่นไปสู่ ทิฏฐิที่ถือว่าขาดสูญ
    ตถาคต ย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือ
    ตถาคตย่อมแสดงดังนี้ว่า...เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ.....,,......
    เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสาทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน  ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
    เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร
    เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ.....,,.....
    เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสสะอุปายาสาทั้งหลาย จึงดับสิ้น  ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
    นิทาน. สํ. 16/24/50
     

แชร์หน้านี้

Loading...