ทุกชีวิต...นิพพานกันอยู่แล้ว

1.สมาธิ คืออะไร เหรอ พระอริยะ
2.กาย ในกาย เราเห็นด้วยอะไร เหรอ พระอริยะ
3.พุทธะจริต จะเกิดปิติ อะไร มาก เหรอ พระอริยะ

เอาแค่นี้ก่อน ตอบให้ละเอียด ตามพระอริยะ ที่ได้เห็นกับตัวเอง ไม่อ้างอึง พระตำรานะจ๊ะ
เดี่ยวมีถามมาเรื่อยๆ ย้ำจะถามไปเรื่อยๆ

 

อีก คำถามนึง หากเป็นพระอริยะตัวจริง ต้องตอบได้

ไม่อ้างอิง พระตำรา คำว่า ภวังจิต คืออะไร

 

ดีแล้วลูกดีแล้ว
คนฉลาดย่อมหลีกหนี...กรรมการปรามาสอริยชน
พื้นที่นี้ไว้ให้คนอวดดี...คิดว่าตัวเองเก่ง...คิดว่าครูบาอาจารย์สอนมาดี
ที่ร้ายแรงกว่านั้น...คิดว่าครูบาอาจารย์ของตัวเองหลุดพ้นแล้ว
แล้วหลงปฏิบัติตามกันยกใหญ่...มาป่านนี้ตนเองยังวนอยู่ในอ่างเลย

พระพุทธองค์กล่าวสัจธรรมไว้ดีแล้ว...แต่ครูบาอาจารย์เทียมไม่ถึงฝั่งกันเอง
ก็เลยเป็นกรรมของพวกเจ้า...ที่หาทางลงไม่เป็น
อาจจะเป็นกรรมที่เคยปรามาสอริยชน...มาแต่ชาติปางก่อน...และชาตินี้ก็ยินดีที่จะทำอีก...

 

ภวังจิตอะไรของมึงลูก...
ควักเอาจิตออกมาให้พ่อดูสิลูก...นั่นมันการปรุงแต่งชัดๆ

 

มึง ก็ตอบกูมาซิ ที่กูถามไปน่ะ

 

ผมรำพึง ว่า นั่งดูละครหัวใจ ดีกว่า นี่หมายถึง การทดสอบเพื่อการฝึกเป็น มนุษย์แท้ๆ โดยอาศัย คำว่า อย่าประมาท นะ ไม่ได้ฉลาดดอก เพราะยังเห็นความเลว ในซอกหลืบของใจผมเองอยู่นะ ถ้าจะบอก ทุกอย่างเป็น ธรรม ก็ต้อง บอกด้วยว่า ธรรมใดที่ควรเจริญ ธรรมใดที่ควรละ ครับ

 

สมาธิ...อิสระภาพแห่งการปรุงแต่งไม่ได้งัย...จะเดิน นอน ยืน นั่ง ทุกอิริยบท...เป็นอิสระอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา....แต่อย่าให้อธิบายว่า...เกิดจากการเข้าไปทำเช่นพวกเจ้า...นั่นมันไม่ใช่สัมมาสมาธิลูก....

ส่วนกายในกาย และพุทธจริต...อะไรเหล่านั้น ก็หาได้สำคัญไม่...
เพราะธรรมง่ายๆ ที่หลุดพ้นกันง่ายๆ...ยังงัยก็นิพพานอยู่ดี
เช่น สัพเพ ธัมมา อนัตตา แค่นี้ง่ายๆ...

 

หากยังไม่ตอบคำถามที่ถามไป แสดงว่า ไม่กล้าที่จะสู้กับธรรม เหมือนที่ตัวเองประกาศไว้ให้ใครเข้ามา แสดงว่าไม่มีความกล้าหาญในธรรม
หากยังบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคำถามอีก ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
จะเอาอะไร ไปให้ถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา

 

สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน
มึงถามกูตอนไหน...กูก็จะตอบมึงไปแบบนี้ตลอด

 

ลุงเอกรินทรา คิดเห็นยังไง กับคำกล่าวนี้ครับ

อนิจจัง สุขขัง อนัตตา

 

ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน
มึงถามกูตอนไหน...กูก็จะตอบมึงไปแบบนี้ตลอด

 

ตอบมา ก็อ่านเองแล้วกัน
555+ ไปดีกว่า

 

งั้นกู ถามมึง ตอนนี้ มึงอายุเท่าไร

 

ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน
ถามมาอีกสิลูก...พ่อน่ะอึดอยู่แล้ว...

 

ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน

 

เออ กูรู้แล้วมึงตอบเอามันส์ เชิญคุณมึงตามสบายเถอะ ก็รู้นะว่ามึงเป็นใคร
สวดมนต์มึงก็ไม่เคยสวด สมาธิ มึงก็ไม่ได้นั่ง มึงไม่ได้ทำอะไรเลย
เพราะ


ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน<!-- google_ad_section_end -->

เชิญตามสบาย นะจ๊ะ วันนี้กูว่าง ก็เลย มามุงดูพระอริยะ สักหน่อย

 

อ้างถึง
ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน<!-- google_ad_section_end -->

เอ ผมก็เกิดความสงสัยอีกแหละ ว่า พระอรหันต์ นั้นมีตัวตนหรือไม่
ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี กรรมที่ข้าพเจ้าได้ล่วงละเมิดต่อทุกจิต ทุกวิญญาณ ขอได้โปรดอดโทษเพื่อการสำรวมและระวังในการต่อไป

 

ทุกการปรุงแต่งน่ะลูก...จะสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มันก็ล้วนไม่เที่ยง ดับไปเองตามธรรมดาธรรมชาติของมัน เมื่อเข้าใจความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมที่ว่า

ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน

 

มันจะมีตัวตนที่ไหนล่ะลูก
เมื่อทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
แล้วจะไปปรุงแต่งความมีตัวตนขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ
ในเมื่อโดยความเป็นจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม ย่อมปรุงแต่งไม่ได้อยู่แล้ว

 

ขอออกความคิดเห็นนิดนึงนะครับ ไม่รู้มีใครตอบแล้วยัง อ่านยังไม่หมด

พระสูตรนี้ บอกถึงสภาวะผู้แจ้งถึงนิพพาน ที่จิตถึงความสิ้นจากตัณหา และดับจากกิเลสหมดสิ้นแล้ว ซึ่งพระอรหันต์ที่ยังมีขันธ์5 สิ้นไปจากอวิชชา และวิชชาเกิดแล้ว จึงสามารถสลัดคืนหรือพูดอีกนัยคือ จิตที่มีเจตสิก หรือสังขารประกอบอยู่ไม่ปรุ่งแต่งสู่การเกิดภพเกิดชาติ แต่พระสูตรนี้ น่าจะเน้นลงไปที่ ละขันธ์5 แล้ว สู่การกระจายกลับคืนของเหตุปัจจัยแห่งการเกิดใหม่ สู่ ปรินิพพาน

หากท่านจะกล่าวเช่นนี้ มันไม่แน่หรอก
คำว่า ทุกชีวิต คือ บ่งบอกสภาวะการ เกิด ซึ่งหากมีเกิด ก็จะตรงกับพระสูตรที่ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย​

​

​

​

! ธรรมดาอันเราแสดงแล้วว่า "เหล่านี้ คืออริยสัจทั้ง ๔"​

ดังนี้ เป็นธรรมอันสมณพราหมณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้ ทำให้เราเศร้าหมองไม่ได้ ติเตียน
ไม่ได้ คัดง้างไม่ได้​

​

. ข้อนี้ เป็นธรรมที่เรากล่าวแล้วอย่างนี้ เราอาศัยซึ่งอะไรเล่า จึงกล่าวแล้วอย่างนี้? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยซึ่งธาตุทั้งหลาย ๖ ประการการก้าวลงสู่ครรภ์ ย่อมมี[FONT=TimesNewRoman,Bold][FONT=TimesNewRoman,Bold]; [/FONT][/FONT]เมื่อการก้าวลงสู่ครรภ์ มีอยู่, นามรูป ย่อมมี; เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ[FONT=TimesNewRoman,Bold][FONT=TimesNewRoman,Bold]; [/FONT][/FONT]เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราย่อมบัญญัติว่า"นี้ เป็นความทุกข์" ดังนี้; ว่า "นี้ เป็นทุกขสมุทัย" ดังนี้; ว่า “นี้ เป็นทุกขนิโรธ” ดังนี้; ว่า นี้ เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้; แก่สัตว์ผู้สามารถเสวยเวทนาอยู่.​

หากมีการเกิดก้าวลงสู่ขันธ์5 ย่อมไม่มีนิพพานมาก่อน แต่หากจะกล่าวว่า จุดเริ่มต้นนั้นนิพพานมาก่อนแล้ว อันนี้ พระพุทธองค์ ไม่ทรงกล่าวไว้ ทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย (เท่าที่รู้นะครับ) และพระองค์ก็มิได้บอกว่า การกระจายกลับสู่เหตุและปัจจัยแห่งการเกิดนั้น แท้จริง มันเป็นสิ่งใด (หรือกล่าวไว้ผมไม่รู้)

แค่นี้ดีกว่า ขอบคุณครับ
<!-- google_ad_section_end -->