ลำนำเพลงรักของนักกลอน

อุปกิเลส ๑๖ อย่างนั้น เขียนให้เข้าใจง่ายฯ คือ เป็นตัวขวางกั้นมิให้เรา
  
    เจริญในธรรม  หรือ  ก้าวขึ้นสู่สภาวะธรรมได้ ครับ เป็นคำตอบที่ดี

    สำหรับคนที่นั่งสมาธิ แล้ว  ติดขัด หรือ ไม่ก้าวหน้าครับ

 

มีคนบอกสามล้านความคิดถึง มิถึงครึ่งเสี้ยวหนึ่งของใจฉัน
คำแสนหวานเพ้อมาเฝ้ารำพัน คิดถึงฉันทุกเสี้ยววินาที

ขอบคุณเธอคนดีเป็นที่หนึ่ง มีรักซึ้งหนึ่งให้ไป่มีสอง
จะรักษากายใจให้เธอครอง เป็นเจ้าของทุกเมื่อเพียงเพื่อเธอ

 

สี่คนหาม = ธาตุดิน นำ้ ลม ไฟ , สามคนแห่ = โลภะ โมหะ โทสะ , หนึ่งคนนั่งแคร่ = จิต , สองคนพาไป = บาป บุญ คะ ตอบถูกมีรางวัลมั๊ยคะ

 

ผมขอตัวช่วยครับผม อิอิ (อาจารย์กูเกิ้ล)

คำตอบ

 

ไส้เดือน  กับ  หิ้งห้อย ผู้ยิ่งใหญ่

  มีไส้เดือน  ใหญ่ยาว   ราวสักคืบ
       เป็นเรื่องสืบ   เล่ามา   อุทาหรณ์
          มีเพื่อนเป็น  หิ่งห้อยน้อย   พเนจร
             วันหนึ่งย้อน  ประสพ   มาพบกัน
  ทั้งสองเดิน  ชนกะลา   ดันมาคว่ำ
        หัวคะมำ   ล้มคว้ำเอา เราทั้งสอง
         เจ้าหิ่งห้อย  เปล่งแสง   สำแดงลอง
            แสงก็ส่อง  ทั่วโลกา   น่าทึ่งใจ
  ส่วนไส้เดือน   ยืดตัว   หัวมาจรด
        ขอบโลกหมด   ยาวชิด   จนติดหัว
           แล้วยืดหาง    ข้างท้าย   ติดโลกชัวร์
                ไม่ได้มั่ว  ตัวข้ายาว    ราว  รถ  ไฟ
    แม่ไก่เดิน  พบมา   กะลาคว่ำ
      ขาเตะซ้ำ   กะลาเผ่น    กระเด็นหงาย
           จิกไส้เดือน   เป็นอาหาร    สำราญกาย
              ส่วนหิ่งห้อย   คือของหวาน   เป็น   จาน   รอง
         
   สาระธรรมวันนี้     โลกุตรธรรม

 

สวัสดียามเช้าคะ แวะมาเปิดกระทู้ มารออ่านกลอนพี่ติงติง :z2

 

อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณครู และเืพื่อนๆ ทุกท่าน
กลอนธรรมะนี่ไม่ถนัดเลยค่ะ ถนัดแต่แบบไร้สาระอิอิ
เลยขอแค่อ่าน
โมทนาสาธุ ค่ะ(f)

 

สี่คนหาม คือมหา ภูตรูป
ดินน้ำภูต อีกสอง ภูตไฟลม
ประกอบองค์ รวมร่าง กายดำรง
อนิจจังวน ทุกขัง อนัตตา

คือสามคน แห่ร่าง ทุกเวลา
แต่เกิดมา วังวน ทุกข์สมุทัย
หนึ่งคนนั่ง แคร่คือ หนึ่งดวงใจ
สองคนพา ไปลับ ล้วนคือชั่วดี......._/|\_

 

จงหมั่นระลึกถึงในจิตที่เป็นบุญกุศล แต่จงอย่ายึดติดในกุศลและบุญ
   การสร้างบุญในขั้นทานกุศลนั้นจะได้ เต็ม ๑๐๐  นั้น มีองค์ประกอบ
   ๓  ประการ คือ ๑  เงินที่หามาได้โดยสุจริต
                     ๒  มีจิตตั้งใจพร้อมที่ทำในบุญกุศลนั้น
                     ๓  เมื่อทำเสร็จแล้วไม่ยึดติดในผลทานกุศลนั้น

 

เรื่องนี้ถึงครูอังคณาละยังคะ 555

 

รอเฉลยดีกว่า

 

๕๕๕๕ คิดได้อย่างไรนะ

 

เมื่อวาน ติงกะจะตอบเป็นคนแรก...
ฮิฮิ....ดีที่เน็ตไม่เป็นใจ
ก็เลยได้ดูจิตตนเองว่าเมื่อไม่ได้ดังใจแล้ว รู้สึกอย่างไร

 

เมื่อวานพี่ติงกดส่งคำตอบของน้องอยู่ ประมาณ ๑ ชั่วโมง
และพยายามตอบคำถามของคุณคมสันต์อีกพอๆกัน ก็เลยไปสวดมนต์แล้วนอนค่ะ

 

สาธุค่ะ คำพูดของคุณคมสันต์เหมือนคุณครูผู้ชาญฉลาด ที่สอนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย สาธุการค่ะ

 

ตอบค่ะ

สี่คนหาม หมายถึง ธาตุ ๔ ซึ่งประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ที่มาประชุมกัน(รูปในขันธ์๕)

สามคนแห่ หมายถึง ไตรลักษณ์ ได้แก่อนิจจัง(ความไม่เที่ยง) ทุกขัง(ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้) และอนัตตา(ความไม่ใช่ตัวตน เราไม่สามารถบังคับได้)

คนหนึ่งนั่งแคร่ หมายถึง จิต

สองคนพาไป หมายถึง บุญ(กุศลกรรม) บาป(อกุศลกรรม)

 

http://www.nkgen.com/23.htm

ลิงค์ด้านบนน่าอ่านมากค่ะ ก็เลยเอามาฝาก(ขอประทานอภัยค่ะ สมาชิกหลายท่านในกระทู้นี้กระจ่างในเรื่องตามลิงค์แล้วค่ะ)

 

โลกุตรธรรม ๙
โลกุตรธรรม ๙ คือธรรมอันมิใช่วิสัยทางโลก ได้แก่
๑. โสดาปัตติมรรค
๒. โสดาปัตติผล
๓. สกิทาคามิมรรค
๔. สกิทาคามิผล
๕. อนาคามิมรรค
๖. อนาคามิผล
๗. อรหันตมรรค(อรหัตตมรรค)
๘. อรหันตผล(อรหัตตผล)
๙. นิพพาน

 

๓ เมื่อทำเสร็จแล้วไม่ยึดติดในผลทานกุศลนั้น
หมายความว่าการที่ติงระลึกถึงนี้ ไม่ควรใช่หรือเปล่าคะ
คือทำแล้ว ให้ละไปเลย ไม่ต้องระลึกถึงอีก

 

สวัสดีค่ะคุณพี่เกตุ
ติงชอบกลอนธรรมะมากค่ะ แม้ไม่ถนัดสักนิดเดียว
ติงน่ะถนัดนักในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ๕๕๕๕
คุณพี่เกตุยังเคยแต่งกลอนธรรมะดีๆมาให้อ่านไงคะ