ท่านที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ์ เป็นวัตร เชิงแบ่งบันความรู้ประสบการณ์ครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย prom20, 3 กรกฎาคม 2012.

  1. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975


    แจ้งขอรับได้เรื่อยๆนะครับ ..ยังมีอีก100กว่าชุดครับ
     
  2. สูญตา

    สูญตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +343
    แบ่งปันประสบการณ์ครับ ปกติสวดเป็นประจำ มีวันนึงชวนแฟนมาสวดมนต์ด้วยกัน(ปกติแฟนไม่ได้สวดด้วย) หลังจากสวดมนต์เสร็จก็เข้านอน นคืนนั้นแฟนผมก็ฝัน ดังนี้ครับ
    .... แฟนผมฝันว่าพวกผม(หลายคนอยู่)เดินทางเข้าไปในถ้ำๆหนึ่ง โดยพวกเราแต่งตัวด้วยชุดนักรบโบราณ ระหว่างทางเกิดอุปสรรคมากมายทำให้ผมซึ่งเป็นผู้นำคนกลุ่มนั้นเกิดท้อแท้ใจ แต่ก็สามารถผ่านมาได้เพราะแฟนผมจะคอยช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆตลอด
    ........ระหว่างทางพวกเราหยุดพัก แฟนผมก็เดินไปพบพระเครื่ององค์เล็กๆองค์หนึ่งตกอยู่ที่พื้น พอหยิบขึ้นมาดู ก็มีแสงสีทองอร่ามออกมาจากตรงหน้า พร้อมกับพระภิกษุตัวเล็กรูปหนึ่ง ท่านได้บอกกับแฟนผมว่าเราคือ "พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์" หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด และก็ชี้มือมาที่ผมแล้วบอกกับแฟนผมว่า ไปบอกไอ้คนนั้น ให้ไปเริ่มต้นใหม่ " จิตที่นิ่ง จะนำมาซึ่งความสำเร็จ"
    .....แล้วแฟนผมก็ตื่นมาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ที่ผมแปลกใจคือ แฟนผมไม่เคยได้ยินชื่อราชทินนามของหลวงปู่ทวด แต่กลับบอกได้ถูกต้อง
    สำหรับผมเอง ถือว่าหลวงปู่มาโปรดครอบครัวเราพร้อมบทสวดจักรพรรดิ์ครับ
     
  3. moddang

    moddang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,460
    ค่าพลัง:
    +5,423
    บทสวดพระมหาจักรพรรดิ์ดีจริงครับ ยืนยัน ลองสวดดูครับ แต่น่าเสียดายที่บางท่าน ไม่เข้าใจ กล่าวหาว่า หลวงปู่ดู่ ไม่ได้สอน อาจเป็นได้สำหรับบางคนที่ยังตื้นในธรรม ท่านก็จะสอนเท่าที่ปัญญาเขารับได้ สอนลึกๆ เขาเหล่านั้นไม่เข้าใจหรอกครับ เพราะวาสนาแต่ละท่านทำมาไม่เท่ากัน เท่าที่ได้ยินมา หลวงปู่ท่านสอนแต่ละคน ไม่เหมือนกัน สุดแท้แต่ว่าใคนจะมีปัญญา รับรู้ เข้าใจ ธรรม อันลึกซึ้งจากหลวงปู่ดู่ แค่ไหน ก็ว่ากันไป ตามวาสนา บารมี ถึงแม้จะศรัทธา หลวงปู่ดู่ เหมือนๆกัน แต่วาสนาการปฏิบัติธรรมของศิษย์ที่ทันหลวงปู่ ก็ไม่เท่ากัน บางท่าน ยังไม่เคยสัมผัสหลวงตาด้วยซ้ำ กลับไปเชื่อคนที่อ้างว่า ทันหลวงปู่คำสอนหลวงปู่ที่ไม่ผิดเพี้ยนอยู่ที่นี่ที่เดียว สงวนลิขสิทธิ์ซะด้วย ทั้งที่ยังไม่พิสูจน์ทราบเสียก่อน กลายเป็นว่า พวกกู ก็เชื่อกันต่อๆไป แถมแนะนำให้ท่านอื่นเชื่อตามเสียอีก กรรม แถมคิดว่า สายตนตีความถูกต้องทั้งหมด น่าเสียดายมากครับ คนมีธรรม จิตใจจะไม่คับแคบครับ จะเปิดกว้าง พิสูจน์ทราบเสียก่อนแล้วค่อยเชื่อ ก็ว่ากันไป สุดแท้แต่จะใช้ปัญญาเลือกศิษย์ที่ทัน หลวงปู่ดู่ ท่่านไหน ก็เลือกได้ตามวาสนา ตามความเกี่ยวเนื่อง ตามปัญญาที่ทำมาครับ สำหรับผม ก็เจอครูอาจารย์มามากมาย จากที่เจอหลวงตาม้า ก็ศรัทธา แน่นอนครับ ที่บอกมานี่ทั้งหมดไม่ได้ให้สร้างความขัดแย้งครับ เพียงแต่อยากบอกท่านทั้งหลาย อย่างที่หลวงปู่สอนว่า คนดี เขาไม่ตีใครครับ สำหรับผม คิดง่ายๆ ท่านใดดี ก็โมทนา ท่านใดไม่ดี เราก็เฉยๆ เป็นไปตามกรรมครับ คิดอย่างนี้ก็สบายใจครับ บุญเอา บาปเราหนี ท่านใดทำให้ใจเป็นบาปบ่อยๆ ต้องยิ่งหนี อย่างที่ ท่านเจ้าคุณนร เคยสอนไว้ ว่า ให้ทำแต่กรรมดีนะ หรือถ้าเป็นหลวงตาบอก ว่า พยายามบันทึกบุญ อย่าไปบันทึกบาป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2012
  4. สูญตา

    สูญตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +343
    อีกเรืองครับ
    ทุกๆคืนที่สวดก็จะอธิฐานครอบวิมานไปที่บ้านของแม่ผม (อยู่คนละจังหวัดกัน)
    เวลาโทรไปคุยกับแม่
    แม่: เดี๋ยวนี้ชอบฝันแปลกๆว่ะลูก
    ผม: ยังไงล่ะแม่
    แม่: ก็ชอบฝันเห็นพระมาในบ้าน หลายคืนแล้วนี่
    ผม: (หัวเราะ)
     
  5. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    นี่แหละของจริง...โดนใจสุดๆครับ:cool::cool::cool:
     
  6. moddang

    moddang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,460
    ค่าพลัง:
    +5,423
    555 ครับพี่ nitikoon29 เห็นท่านอื่นบอกเป็นศิษย์หลวงปู่ แต่เห็นแอบตีเขาเรื่อย ท่านที่ตามๆเขาอยู่ก็พึงรู้ไว้ครับ ลองถอยตัวเป็นคนกลาง พิสูจน์ทราบเสียก่อน อะไรไม่เข้าใจ ถามหลวงตาให้ลึก มิใช่ฟังแค่นิดแล้วใช้กิเลส ตัวเองตัดสิน ใช้ปัญญาแค่นิดเดียว แล้วจะทราบเอง ว่าอะไรดี อะไรเห็นผิด ว่าใครตื้นในธรรม กะแค่ คำว่า สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ยังตีความตามกิเลสตัวเองอยู่เลย ต้องตีความอย่างเป็นกลางที่สุด จะยาทาหรือกิน มันก็ดีเหมือนกันทั้งนั้น ถ้าจะดีมากๆ ต้องทั้งทา และกิน การสวดมนต์ หรือการภาวนาก็เป็นการปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ อย่างหนึ่ง มิใช่การอ้อนวอนขอ และขอ ตามความเข้าใจผิดๆ ของคนที่คิดตื้นๆ การสวดมนต์ เป็นการทำสมาธิ เป็นการสะสมบุญบันทึกเข้าไปในจิตใจครับ เมื่อจิตใจดี สิ่งดีๆเข้ามาเองครับ ลองมาแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2012
  7. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    ผมจะเล่าว่า หลวงปู่ที่ผมเคารพ เเนะนำพวกลูกศิษย์ให้ท่องคาถานี้ให้ได้ครับ คุ้มตัวได้ เป็นคาถาสงเคราะห์โลก เวลาไปไหน ที่ๆมีวิญญาน หรือเทพ เจ้าพ่อเจ้าเเม่ บางท่านมักมีอาการหนักบ่า เวียนหัวอาเจียน ให้ทำจิตให้เป็นเมตตาเเล้วภาวนาคาถาบทนี้ครับ เเล้วเเผ่ไป จะโล่ง อิอิ พอเล่าได้เเค่นี้ครับ ไม่รู้จะเข้าเเก๊บหรือป่าว เเต่เรื่องจริงๆ อิอิเฉพาะตัวจริงๆๆ ขอบคุรเเละอนุโมทนากับพี่ จขกท. ครับผม:cool:
     
  8. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    ครับพี่moddang..ผมก็เคยอ่านบทความที่เขียนถึงหลวงตาในแง่อีกมุมหนึ่ง ขอบอกตรงๆว่ารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องทำใจยอมรับความจริงว่า ความคิดของคนเราทุกคนนั้นจะให้คิดเหมือนกันทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ คงแล้วแต่มุมมองครับและอยากให้ทุกอย่างใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ..
     
  9. moddang

    moddang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,460
    ค่าพลัง:
    +5,423
    ต่างจิตต่างใจครับแบ่งได้เปนหลายหลาก
    1 พวกมากลากไป
    2 พวกที่คิดว่าข้าแน่ ไม่ได้ศรัทธาใคร คิดว่าข้าก็ทันหลวงปู่เหมือนกัน ทำไมต้องไปศรัทธาใครให้เสียความเป็นคนที่ทันหลวงปู่เหมือนกัน ทำไมต้องไปศรัทธาใคร จำได้ว่าหลวงปู่สอนว่า ถ้าคิดว่าตัวเองแน่ก็จะไม่เจอของดี
    3 พวกหัวอ่อนถูกชักนำง่าย โดยไม่พิจาราณา ใครว่าไม่ดีไม่ถูกก็เชื่อโดยไม่พิสูจน์ทราบ ไม่ใช้ปัญญา
    ก็อย่างว่าล่ะครับ แบ่งกันไปตามสาย ตามวาสนา ตามปัญญาที่มี เลยนึกได้ว่า สัตว์โลกย่อมเปนไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ

    แต่เป็นแบบนี้แหละผมว่าดีแล้วครับ มีหลากหลายมีทุกแบบให้คนได้เลือกตามปัญญา เหมือนโลกๆนึงย่อมมีทุกสี ถ้าไม่ทุกข์ จะรู้จักสุข ถ้าไม่รู้จักของผิดจะรู้ถูกได้อย่างไร จริงไหมครับ เอาใจเรา สบายบันทึกบุญเข้าไว้ เจอบาปเราก็เลี่ยงไป เหมือนพระหลวงปู่มีให้เลือกหลากหลายตามกำลัง ถูกก็มี ราคาสูงมากก็มี เลือกได้ตามกำลังเลยครับ อยากฝากบอกไปถึงท่านทั้หลาย อย่าโจมตีกันเลยครับ ธรรมของหลวงปู่ไม่มีผิด ไม่มีถูกหรอกครับ อยู่ที่ปัญญาว่าจะคิดกันดีแค่ไหน บทสวดจักรพรรดิ์หลวงตามาเผยแพร่ ถ้าคิดให้ผิด ก็ผิด ถ้าคิดให้ถูกคุณจะได้ปัญญา สวดแล้วดีสวดไปเถอะครับ มีแต่ดีไม่มีเสีย

    สายไหนก็ดีทั้งนั้น ที่สำคัญเราเร่งปฏิบัติหรือยัง มัวแต่มาวิจารว่าอันนั้นผิด ของกูถูก ลองแยกตัวตนเป็นสองร่างแล้วลองพิจารณาดูใหม่ครับ แล้วจะเห็นจริงเองครับ


    QUOTE=nitikoon29;6411158]ครับพี่moddang..ผมก็เคยอ่านบทความที่เขียนถึงหลวงตาในแง่อีกมุมหนึ่ง ขอบอกตรงๆว่ารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องทำใจยอมรับความจริงว่า ความคิดของคนเราทุกคนนั้นจะให้คิดเหมือนกันทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ คงแล้วแต่มุมมองครับและอยากให้ทุกอย่างใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ..[/QUOTE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2012
  10. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    สาธุ ๆ ๆอนุโมทามิ เจอของจริงเข้าเเล้วครับ สาธุครับ
     
  11. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    สาธุ ครับ....(โดนเข้าไปอยู่ในหัวใจผมเลยครับ) พี่พูดถูกใจผมทุกอย่างครับ ผมขออนุญาตุ เอาข้อความของพี่บางตอนมาลงอีกครั้ง เพื่อยืนยันกับสหายธรรมเเละเพื่อนสมาชิกทั้งหลายได้เข้าใจถูกต้อง ในเจตนารมณ์ของพี่ ข้อความในวงเล็บครับ.. ((ที่บอกมานี่ทั้งหมดไม่ได้ให้สร้างความขัดแย้งครับ)) เเละหลวงตาสอนศิษย์เสมอว่า รักทุกคน ไม่เกลียดใคร แต่ไว้ใจบางคน ขอให้พี่ moddang เข้า มากระทู้นี้บ่อยๆนะครับ จะได้มาเป็นกำลังใจกัน กับทุกท่าน ที่คิดดี ทำดี และรักศรัทธา หลวงปู่ หลวงตา ทุกๆท่าน พี่มีข่าวอะไร หรือมีคำสอนหลวงปู่หลวงตา พี่ก็ช่วยมาเเชร์บ่อยๆนะครับ ถือว่าช่วยสงเคราะห์ซึ่งกันและกันนะครับ อันไหน ที่พี่เห็นว่ายังไม่ถูกต้อง พี่ก็เเนะนำด้วยนะครับ...น้อมรับครับ
     
  12. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    อ้างอิง:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กรกฎาคม 2012
  13. รพินทร์นาถ

    รพินทร์นาถ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    351
    ค่าพลัง:
    +844
    เมื่อคืนนั่งภาวนา คาถามหาจักรพรรดิ์ กับ คาถาเงินล้าน คณะภาวนาคาถาจักรพรรดิ์ นิมิตหลวงปู่ดู่ อมยิ้มอยู่ด้านหน้า สลับกับหลวงปู่ทวดครับ แต่หลวงปู่ทวดท่านไม่ได้ยิ้ม นะครับ ออกจากสมาธิแล้วเราก็ยิ้มตามหลวงปู่ดู่ สบายใจก่อนนอนใครว่าไงก็ช่างเค้า เราปฎิบัติของเราพอ นิพพานไปคนเดียวลากใครไปด้วยก็ไม่ได้ แต่ใจเราลงต่ำจากคนอื่นได้
    ปล. ผมคนบ้า อย่ายุ่งกับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,032
    สาธุ สาธุ สาธุ อะไรๆก็ดี ดีแล้ว ชอบแล้ว เมื่อใจดีๆ อะไรๆ ก็ดีนะคะ ^-^
     
  15. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,032
    กัลยาณธรรมส่งมาให้ค่ะ จึงขอนำมาแบ่งปันที่กระทู้นี้ด้วยนะคะ


    คำสอนของหลวงตา : การอธิษฐานสัจจะบารมี
    ..............................<WBR>..............................
    หลวงตาท่านเมตตาสอนว่า “เราทั้งหลายควรหมั่นอธิษฐานสั<WBR>จจะไว้บ้าง แต่ต้องดูเค้าของตัวเองก่อนว่<WBR>าจะทำได้ไหม โดยให้อธิษฐานจากสิ่งรอบกายที่<WBR>พอจะทำได้ก่อน เมื่อทำได้แล้ว ก็ให้ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น

    การอธิษฐานสัจจะบารมีนี้ เป็นการสร้างบารมีอย่างหนึ่ง เพราะสัจจะบารมีที่เราอธิษฐานนี<WBR>้ เราสามารถทำได้แล้ว จะได้บารมีอื่นๆ อีกหลายบารมีตามมา เช่น ขันติบารมี ทานบารมี ฯลฯ นอกจากนี้แล้ว ยังทำให้เราเกิดกำลังใจในการปฏิ<WBR>บัติธรรมเพิ่มมากขึ้นอีก เวลาจะตั้งอธิษฐานจิตให้กล่าวว่<WBR>า “อิมัง สัจจะวาจัง อธิษฐานมิ”

    หลวงตายังบอกอีกว่า “นักปฏิบัติควรจะมีการตั้งจิ<WBR>ตอธิษฐาน แต่ก่อนที่จะเริ่มตั้งจิตอธิ<WBR>ษฐานนั้น อย่าลืมพิจารณาก่อนว่า สิ่งนั้นๆ เราต้องแน่ใจว่าเราสามารถทำได้ เราต้องเข้มแข็งพอกับสิ่งที่<WBR>จะเกิดขึ้น และการตั้งจิตอธิษฐานนี้ ท่านให้เริ่มจากทีละน้อยก่อน เช่น เริ่มจาก ๓-๗ วันก่อน แล้วค่อยเพิ่มเป็น ๑-๓ เดือน แล้วค่อยเป็นปี ถ้าเราสามารถปฏิบัติได้ ตามที่เราตั้งจิตอธิษฐานแล้ว บารมีของเราก็เพิ่มมากขึ้นมหาศา<WBR>ลนะ ถ้าทำได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ ก็ต้องไปเริ่มต้นที่ ก ไก่ ใหม่ คือทุกอย่างที่เราเคยสร้างไว้ ทำไว้ เป็นอันว่าสูญนะ แต่ทุกคนต้องทำนะ อย่ามัวแต่รอช้า

    เริ่มจากง่ายๆ ก่อน อย่างเช่น เราตั้งจิตอธิษฐานขอถือธรรมะตลอ<WBR>ดชีวิต ข้อนี้นักปฏิบัติต้องทำกันได้<WBR>อยู่แล้ว หรือจะตั้งจิตอธิษฐานว่าชาตินี้<WBR>เราจะไม่แต่งงาน อันนี้สำคัญนะ เวลาตั้งจิตอธิษฐานข้อนี้ดูเอาเ<WBR>องแล้วกัน ไม่รู้ใครต่อใครมาจากที่ไหนๆ มาหากันเป็นโขยงเลย รับกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่เชื่อก็ไปลองทำดูเอง แรงอธิษฐานและบารมีเป็นสิ่งสำคั<WBR>ญ เช่น คน ๒ คน อธิษฐานด้วยกันอย่างไร ก็ต้องเจอกัน เพราะการอธิษฐานนี้เป็นการเชื่<WBR>อมต่อจิตให้ถึงกัน การอธิษฐานนี้ให้เลือกช่วงที่<WBR>เรามีจิตใจที่สบาย ปลอดโปร่ง จะช่วยให้การอธิษฐานนี้สำเร็จผล เหมือนกับการที่เราทำบุญ พอเริ่มตั้งจิตอธิษฐานตอนที่<WBR>เราทำบุญนั้น เราเกิดความศรัทธา ความสบายใจ มันพร้อมไปหมด คำอธิษฐานนั้นก็ได้ผล อย่างหลวงตาพอเริ่มอธิษฐานปั๊ป ให้สังเกตเลย ไม่รู้คนมาจากไหน จนสร้างไม่ทัน เดี๋ยวก็มีโน่น เดี๋ยวก็มีนี่ ด้วยแรงอธิษฐานผู้ที่เกี่ยวพัน เกี่ยวข้อง จะต้องมาช่วยกัน ที่เห็นๆ อยู่นี้ ก็ด้วยแรงอธิษฐานทั้งนั้น ไม่ใช่เที่ยวไปหา ไปแจกซอง ใช้แรงอธิษฐานจากผู้ที่เกี่ยวข้<WBR>องและเกี่ยวพันเท่านั้น แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพั<WBR>นทั้งหลายก็ต้องมา ไม่งั้นอยู่ได้ที่ไหน เร่าร้อน หงุดหงิด ต้องมา”

    หลวงตาเล่าว่า “เคยให้พระชัชวาลท่านลองอธิษฐาน<WBR>จิตดู ตอนที่ท่านจะกลับไปบ้านท่าน โดยบอกให้ท่านอธิษฐานถึงผู้ที่<WBR>เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับท่าน ให้มาหาท่าน หลังจากนั้น พระชัชวาลได้กลับมาเล่าให้หลวงต<WBR>าฟังว่า เห็นผลเลย เขาอยู่กันไม่ได้ อยากจะมาหา แล้วก็จะมาหาอีก เพื่อนท่านจากกรุงเทพฯ อยู่ๆ ก็ต้องขับรถมาเลย”

    หลวงตาบอกว่า “หลวงปู่ดู่ท่านให้อธิษฐานโดยตั<WBR>้งบารมี ๑๐ ได้แก่

    ๑. ทานบารมี ความพอใจในการให้ทานอยู่เสมอ เป็นการตัดโลภ
    ๒. ศีลบารมี พยายามรักษาศีลให้ครบ เป็นการป้องกันอบายภูมิ
    ๓. เนกขัมมบารมีพยายามระงับนิวรณ์<WBR>ในเบื้องต้น
    ป้องกันความวุ่นวายของจิต
    ๔. วิริยะบารมี ความพากเพียรต่อสู้กับกิเลส
    ๕. ปัญญาบารมี การทรงปัญญายอมรับนับถือกฎของคว<WBR>ามเป็นจริง
    ๖. ขันติบารมี ต้องมีความอดทน
    ๗. สัจจะบารมี ความตั้งใจจริง
    ๘. อธิษฐานบารมี
    ๙. เมตตาบารมี
    ๑๐.อุเบกขาบารมี อดทนต่อความอดกลั้น
    ทั้งหลาย และให้รู้จักละวาง

    ลูกศิษย์ถามว่า “ถ้าเราอธิษฐานตามใครสักคน ก็ต้องตามตลอดเลยหรือ”

    หลวงตาบอกว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องของบารมี ไม่ใช่ว่าบารมีคนจะเท่ากัน อย่างเช่น เราเกิดมาในภพนี้ เราอัดบุญกัน ๒ คน พร้อมๆ กัน บุญที่ได้ยังไม่เท่ากันเลย บารมีคือกำลังใจ อย่างคนนั่งสมาธิ ๒ คน คนหนึ่งนั่งแค่ ๒ นาทีก็เมื่อยแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งนั่ง ๒ ชั่วโมง ไม่เป็นไร นั่งเหมือนกัน ปฏิบัติเหมือนกัน ยังได้ไม่เหมือนกันเลย บุญที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน อย่างเรื่องของการพิจารณา ให้พิจารณาให้รอบคอบ พิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้<WBR>ลึกๆ ในคำสอนแต่ละข้อๆ ลูกศิษย์ ๕ คน สอนในบทเดียวกันยังใช้ไม่เหมื<WBR>อนกัน เพราะอะไร เพราะอยู่ที่ความตั้งใจ เจตนา และความเชื่อของแต่ละบุคคล

    ผลออกมาจึงย่อมไม่เท่ากัน ต้องรู้หลักอธิษฐานและหลักของกา<WBR>ร ทำบุญ ผู้ที่ไปแล้วก็เยอะแยะ ผู้ที่ยังตามอยู่นี่ก็มี พวกที่ไปแล้ว อย่านึกว่าจะตามอีก บางคนก็ไม่ตาม เขาไม่ตามก็เพราะเขาถึงแล้ว เขารู้แล้วว่า เกิดนี่ทุกข์ขนาดไหน เขาก็ไม่ตามอีก” (คำว่า “ถึง” ในที่นี้ หลวงตาหมายถึง พระนิพพาน)

    ลูกศิษย์ถามว่า “ถ้าเราอธิษฐานขอถึงพระนิพพานนี<WBR>่เรามีโอกาสจะถึงไหม”

    หลวงตาบอกว่า “ถ้าเราปฏิบัติจริงก็ถึง ถ้ากำลังใจเราถึง ดูอย่างพระมหาวีระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) สิ พอท่านละสังขาร ลูกศิษย์ท่านมาเยอะเลย หลวงตาพูดจริงไหมละ การลานี่ไม่ใช่ลากันง่ายๆ เพราะความผูกพันกับพรรคพวก หมู่คณะ ไหนๆ มาด้วยกันไม่รู้กี่ภพต่อกี่ชาติ กี่ชาติต่อกี่ชาติ ก็ตามกันมา เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวให้<WBR>พร้อม ศึกษาศรัทธา ศีล ทาน การศึกษา ปัญญา หลวงปู่ดู่ท่านสอนไว้อย่างนี้<WBR>แหละ ว่ามีครบ ปรารถนาไปไหนก็ได้”

    ๑. ศรัทธา คือ ความเชื่อ เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อว่านรก สวรรค์มีจริง เชื่อเรื่องมีเกิด มีแก่ มีตาย
    ๒. ทาน คือ การให้
    ๓. ศีล คือ การรักษา
    ๔. อศิตะ คือ การศึกษาจากพระไตรปิฎก หนังสือ คณาจารย์

    เวลาไปวัดไหนก็ตาม ท่านสอนก็ฟัง ฟังแล้วก็เอามาพิจารณาว่าเท็<WBR>จจริงอย่างไร ถูกไหม แล้วก็รวมเข้าเป็นปัญญาทั้งหมด ตั้งแต่ข้อแรก อย่างเราเชื่อว่าเราต้องตายแน่ เมื่อตายแล้วเราต้องเกิด เมื่อเกิดแล้วเราอยากสวย อยากหล่อ อยากรวย อยากเป็นใหญ่ เราจะทำอย่างไร เราก็ต้องรักษาศีล ไม่เป็นคนขี้โกรธ หมั่นให้ทาน เกิดมาก็สวย ไม่โกรธ เพราะโกรธแล้ว ให้ไปส่องกระจกดู หน้าจะหงิก เมื่อหน้าหงิกเพราะความโกรธ จิตก็อัดเข้าไปแล้ว ยิ่งโกรธบ่อยเท่าไร เกิดใหม่ก็ไม่สวยเท่านั้น ถ้าไม่โกรธ เกิดอีกทีก็เป็นใหญ่ สวย รวย นี่มีในพระไตรปิฎก อย่างนางวิสาขา ในพระไตรปิฎกมีอยู่ ๗ นาง ที่ปรารถนาพร้อมกัน ตั้งแต่นางอุบลวรรณา นางเขมา นางผกาจารา ฯลฯ พอถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ดูซิทุกข์ไม่เหมือนกันเลย เพราะช่วงที่เวียนว่ายตายเกิด ไปทำกรรมไว้ นางผกาจารานี่ทุกข์กว่าใครเพื่<WBR>อน ทั้งๆ ที่ปรารถนาพร้อมกัน นางวิสาขาสบายกว่าเพื่อน ฉะนั้น เมื่อเรารู้หลีกแล้วจะทำอย่างไร ก็เลือกกันเอาเอง เกิดมานี่ทุกข์มากเห็นๆ กันอยู่ ถ้าเรามองว่าเกิดมาแล้วเป็นอย่<WBR>าง ไร แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ก็ใกล้เคียงกัน เวลาเขาให้ทาน ก็ไปกินเหล้าซะ ไม่โมทนา แค่โมทนาเท่านั้น หรือเวลาเขาทำบุญ ก็มัวแต่ไปขัดซะ ให้ดูเราโชคดีเท่าไร หลวงปู่ดู่ท่านสอนให้เตรียมตั<WBR>วไว้ เพราะเราตายแน่ๆ ตายแล้วจะไปไหนนั่นคือปัญหา เราจะเอาพ้นทุกข์ หรือตามหลวงปู่ หรือจะปรารถนาสูงกว่านั้นก็ได้ ให้เราตั้งความปรารถนาไว้ ตั้งไว้แล้วก็ต้องทำ ไม่ใช่ตั้งแล้วก็ไม่ทำ อย่างนี้ก็จบกันเท่านั้น”

    ลูกศิษย์ถามว่า “ถ้าอย่างนี้เราอธิษฐานไว้สองอย<WBR>่างได้ไหม คือ ถ้าเราไปไม่รอด ก็ขอตาม แต่ถ้าเราไปรอดก็ขอแยก”

    หลวงตาบอกว่า “ได้ เราต้องเผื่อขาดเผื่อเหลือไว้ หลวงปู่ดู่ท่านก็สั่งพระเล็กกั<WBR>บหลวงตาไว้ว่า ถ้าไปได้ให้ไปเลย และหลวงปู่ดู่ยังสั่งอีกว่า ให้ลูกศิษย์ทุกคนรีบปฏิบัติกลั<WBR>วไม่ทันกัน หลวงปู่ดู่บอกว่า “ให้รีบทำเข้าไว้” โลกกำลังเปลี่ยนแปลง เราจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้”

    หลวงตาท่านยังบอกอีกว่า “การตั้งสัจจะอธิษฐานอย่างที่ทำ กันทุกวันนี้ถูกแล้ว ให้ทำกันอย่างจริงจัง จะได้ทั้งวิริยะ ได้ทั้งศีล ได้ทั้งทาน ได้ทั้งขันติ ได้ทั้งอธิษฐาน ได้เกือบครบบารมี ๑๐ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องทำให้ได้จริงๆ เอาเท่าที่กำลังใจเราจะทำได้ การตั้งสัจจะอธิษฐานในการนั่<WBR>งสมาธิ นั้น ให้อธิษฐานว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ภายใน ๗ วัน ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิทุกวัน แล้วก็ว่า อิมัง สัจจะวาจัง อธิษฐานมิ แต่อย่าบอกว่ากี่ชั่วโมง อย่าเจาะจงจนกว่าเราจะแน่น"

    ลูกศิษย์ถามว่า “ถ้าเราตั้งสัจจะอธิษฐานอะไรก็<WBR>แล้วแต่
    เกิดเราทำไม่ได้นี่ขอลาได้ไหม”

    หลวงตาบอกว่า “การตั้งสัจจะอธิษฐานนี้ ถ้าเราทำได้ เป็นการเพิ่มกำลังใจ ถ้าเราเสียสัจจะ เราก็เสียกำลังใจนะ ถ้าขอลาก็ได้ แต่กำลังใจเราจะคงที่หรือ การเสียสัจจะนี่ ทำให้บารมีไม่เต็ม ถ้าเราตั้งสัจจะอธิษฐานสมมุติตั<WBR>้งไว้ว่า เราจะนั่งสมาธิ พอถึงเวลาเราก็ต้องนั่งนะ ถึงแม้ว่าเราจะนอนก็ต้องคิดว่า เรานั่งสมาธิอยู่ หมายถึงเอากายใน (กายทิพย์) นั่งก็ได้ เพราะเราไม่ได้ระบุว่า เราจะใช้กายไหนนั่งสมาธิ นอนเราก็นึกว่าเรานั่ง ถ้าเราอธิษฐานว่าใช้กายนอก (กายเนื้อ) นั่ง เราก็ต้องนั่ง แต่ถ้าเรากลัวก็ให้อธิษฐานว่า ข้าพเจ้าจะภาวนาทุกวัน นี่คือการใช้วิจารณญาณเป็นที่ตั<WBR>้ง ถ้าเราทำได้ กำลังใจเราจะเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อเกิดบารมี ก็เกิดสัจจะและกำลังใจ เวลาเราภาวนาเราก็ใช้กายใน (กายทิพย์) ภาวนา ไม่ใช่กายนอก (กายเนื้อ) หลับตาก็นึกว่าเรากำลังนั่งภาวน<WBR>าข้างหน้าพระ ทำไปเรื่อยๆ จิตกับกายจะสัมพันธ์กันตลอด จะไม่ละเมอ เพราะช่วงที่จิตกับกายปฏิสนธิ<WBR>อยู่จะติดคำภาวนา จะไม่มีการละเมอ ถ้าละเมอจะรู้เลย ถ้าเอาสติคุม จะรู้ทันทีว่านี่คือความฝัน จิตยังมีกิเลสตัณหา อุปสัมปทา แต่กายนี้สามารถแยกได้ เราเอากายออกมาแล้ว เอาศีลคุมกรรมฐาน หลวงปู่ดู่ท่านว่า “พอตื่นขึ้นให้ทำเลย” คือลืมตาขึ้นทำเลย จะเอาวิปัสสนา หรือจะเอากรรมฐาน ๔๐ เราก็ต้องทำจนกว่าจะหลับ ให้คุมอยู่ตลอด มันจะโผล่บ้างก็ช่วงที่เราคุยกั<WBR>นอยู่”
     
  16. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    ปล.ผมก็คนบ้า...งั้นคงจะพวกเดียวกัน อิอิๆๆ
     
  17. เปิ้ล19

    เปิ้ล19 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +117
    ขอเล่าบ้าง... สวดบทนี้มาตั้งแต่เจอหลวงตาเมื่อปี'48 ค่ะ เป็นบทที่ไม่ยาวไม่สั้นเลยจำได้ง่าย ตอนแรกที่สวดจะมีอาการขนลุกค่ะ ยิ่งพอต่อด้วยบทสัพเพฯ ยิ่งขนลุกมากขึ้นกว่าเดิม เลยรู้สึกชอบและติดใจ จากนั้นไม่นานก็เริ่มสัมผัสในสิ่งที่มองไม่เห็นเวลาภาวนาบทนี้ตอนนั่งสมาธิบ้างไรบ้างเป็นบางครั้งบางคราว เช่นรู้สึกว่ามีคนมาจับหัว จับตัว จับแขนค่ะ มีอยู่ปีนึงประมาณปี'50 ไปพักรีสอร์ทแห่งนึงในจ.เชียงใหม่ ก่อนนอนก็สวดบทจักรพรรดิ ขณะที่นั่งสวดหลับตาไปเรื่อย ๆ ก็เห็นวิญญาณหลายตนมานั่งสวดด้วยทางด้านหลังค่ะ พอถึงบทสัพเพก็หายวับ...ตื่นเต้นและรู้สึกดีที่เราสามารถช่วยเหลือวิญญาณต่าง ๆ ได้ตามที่หลวงตาท่านสอนค่ะ :)

    อีกนิดนึง...ปีไหนจำไม่ได้แล้วไปทานข้าวขาหมูบางรัก ระหว่างที่ทานไปด้วยก็สวดบทจักรพรรดิไปด้วย จู่ ๆ ก็เห็นด้วยตาเนื้อ หัวหมู โผล่ออกมาจากจานข้าว แถมคุณหมูยังน้ำตาคลอให้เห็นด้วย พอทานเสร็จกลับขึ้นรถสัพเพฯ ไป 3-5 จบ ก็เห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นฟ้าหลายดวงเลยค่ะ ดีใจมาก ๆ ค่ะที่ได้ทำประโยชน์เป็นประโยชน์ต่อภพภูมิวิญญาณทั้งหลายค่ะ
     
  18. nitikoon kongkhaw

    nitikoon kongkhaw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,314
    ค่าพลัง:
    +53,508
    ประสบการณ์สุดอัศจรรย์จริงๆครับคุณเปิ้ล..มีเวลาว่างก็เล่าให้ฟังอีกนะครับ ขอบคุณมากครับ
     
  19. prom20

    prom20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    3,086
    ค่าพลัง:
    +8,975
    สาธุ ๆ ๆอนุโมทามิ สาธุ ๆ ๆ นิพพานะปัจจะโยโหตุ ขอบคุณ คุณพี่ diya มากๆครับ ได้ความรู้เพียบเลย ขอบคุณมากจริงๆ มีประโยชน์กับผมมาก ทีนี้ผมจะได้ตั้งสัจจะเพื่อ รักษาและเพอ่มกำลังใจเยอะๆ จริงๆเเล้วผมก็ตั้งสัจจะแบบนี้เหมือนกัน (ฟังจากเทปบันทึกของหลวงตา แต่ก็ฟังไม่หมด พอมาอ่านของพี่ทำให้ผมได้รู้หลัก และวิธีการตั้งสัจจะอธิฐานมากขึ้น ขอขอบคุณคุณพี่มากๆ ข้อมูลที่คุณพี่ช่วยเผยเเพร่นั้นเป็นธรรมทาน ไม่แตกต่างจากการ แจกหนังสือธรรมมะ ...เป็นธรรมทานเหมือนกัน ...ประโยชน์จากธรรมทานนี้ จะมีผลต่อการปฏิบัติเเละการสร้างบารมีกับผมเเละท่านทั้งหลายเพียงใด ขอผลแห่งกุศลทั้งหมดทั้งปวงนี้จงมีเเก่ คุณพี่ diya ทั้งหมดทั้งมวลนะครับ สาธุ....
    ปล.คุณพี่ diya มีความรู้ดีๆ มีข้อธรรม หลวงปู่หลวงตา หรือครูบาอาจารย์ท่านใด กรุณาช่วยสงเคราะห์ เผยแพร่เพื่อเป็นธรรมทานต่อไปนะครับ หรือว่างๆก็เข้ามาเเวะทักทาย เพื่อเป็นการให้กำลังใจ แก่ สหายธรรมหรือเพื่อนสมาชิกเลื่อยๆนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณพี่ด้วย ทั้งทางโลกทางธรรม นะครับ สาธุ...คิดทำดี สาธุ
     
  20. เปิ้ล19

    เปิ้ล19 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +117
    ใครจะใหญ่เกินกรรม

    หลวงตามักจะกล่าวคำว่า "ใครจะใหญ่เกินกรรม" จนลูกศิษย์จำได้ขึ้นใจ และเป็นการเตือนสติลูกศิษย์ไปในตัว

    หลวงตาท่านว่า "คำนี้กินความกว้างมากนะ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะรวยจะจน จะดีจะเลว จะยิ่งใหญ่มาจากไหน ก็หนีไม่พ้นกรรมที่ตัวก่อทุกคน ดูซิพวกเรา ๆ ที่นั่งตาแป๋วอยู่นี่มีใครบ้างที่ไม่มีกรรม มีใครบ้างที่ใหญ่กว่ากรรม ลองเอาไปคิดดู"

    หลวงตาเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ดู่ท่านก็ใช้คำนี้ไว้สำหรับเตือนลูกศิษย์ของท่านเช่นกัน เมื่อครั้งที่มีลูกศิษย์มานั่งทะเลาะกันต่อหน้าท่าน ท่านก็ไม่ว่าอะไรเพียงแต่พูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า "ใครจะใหญ่เกินกรรม" เพียงคำเดียว ทุกคนถึงได้เงียบและยุติได้

    ข้อมูลจากหนังสือคำสอนหลวงตาม้า ประวัติถ้ำเมืองนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...