เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 17 มิถุนายน 2013.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า เมื่อพูดถึงเรื่อง"จิต"กันที่ไร
    มักต้องเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างข้างว่า

    ฝ่ายแรก จิตไม่เกิด-ดับ แต่เปลี่ยนแปลงแสดงอาการของจิตไปตามอารมณ์ที่เกิด-ดับนั้น
    จิตมีสภาพธรรมที่สามารถฝึกฝนอบรมให้เป็นไปดั่งใจหวังได้
    จิตเป็นตนที่ปฏิบัติไปตามพุทธโอวาท จิตไม่ใช่อนัตตา

    อีกฝ่าย จิตเกิด-ดับ ตลอดเวลาไม่มีว่างเว้น เพียงลัดนิ้วมือเดียวตั้งแสนโกฏิครั้ง
    อารมณ์เกิด จิตจึงจะเกิดได้ อารมณ์ไม่เกิด(ดับ) จิตก็ไม่ปรากฏ(ดับ)
    จิตเป็นสิ่งไร้สาระ เป็นกองทุกข์ เป็นอนัตตาธรรม เป็นที่พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้

    ส่วนประเด็นอื่นๆเช่นเรื่องพระนิพพานนั้น ขอเป็นทีละประเด็น
    และหวังอย่างยิ่งว่า ไม่เอาสิ่งที่เป็นเรื่องนอกประเด็นมาว่ากล่าวกัน
    การแสดงความคิดเห็นนั้น ถ้ามีหลักฐานอ้างอิงที่มาที่ไป เป็นสิ่งที่ควรทำ

    ความคิดเห็น หรือ ผลที่ปรากฎออกมานั้น ไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด
    เพราะเรื่องเหล่านี้มี ถกกันมานับพันปีแล้ว มีเอาไว้เรียนกัน
    ต่างธาตุต่างธรรม ย่อมต่างสายบุญสายกรรมกันไปว่ากันไม่ได้
    อย่าเอาไปเป็นอารมณ์ที่ฝังแน่น จนขุ่นมัวติดตัวไปจนตายนะจ๊ะ

    เจริญในธรรมที่เป็นสัจธรรมทุกๆท่าน

    ปล.การถกธรรมเพื่อความจริงให้ปรากฎ ต้องเปิดโอกาสให้่คู่กรณีได้แก่ต่างทุกครั้งจ้า
    ไม่ใช่พูดในสิ่งที่อยากพูดแล้วก็ไป แบบตีหัวเข้าบ้านนะจ๊ะ

     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ...............อันที่จริงนั้น ผมอยากเทียบอย่างนี้ครับ...ทางสายกลาง มัชฌิมปฎิปทานั้น เราพอจะมีความเข้าใจกันได้บ้าง...หรืออย่างทิฎฐุปาทาน หรือ สิลลัพอุปาทานนั้น เราท่านพอเข้าใจกันได้บ้างใหม?...ผมว่าอย่างนี้ครับ...เรารู้เท่าทันว่า ทิฎฐิเราเกิดขึ้นแล้วว่า อย่างนี้ อย่างนี้ ก็กำหนดรู้ไป..ส่วนการไปตัดสินให้แน่ชัดว่า จิต คืออย่างไรอะไรก็เป็นแค่บัญญัติ ที่เป็นทิฎฐิอย่างนึงที่ เป็นการกระทำที่ไม่ใช่มัชฌิมาปฎิปทา หรือ ไม่อยู่ในอุเบกขา(อธิบายยาก)................พระท่านยังย้ำอยู่เสมอว่า ถ้าจะกล่าวให้กล่าวเรื่อง อริยสัจสี่เถิด ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค...เท่านี้ก็สามารถทำลายอวิชชาและพ้นทุกข์ได้ เแล้ว:cool:ผมว่าถ้ายังมีโจทย์อย่างนี้อยู่ มันไม่มีทางจบครับ....แต่ถ้าศึกษาอริยสัจสี่ จบได้ ครับ ตามคำพระ:cool:
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    มอจะเที่ยงครับ

    ขอประเด็นนี้ครับ

    ถ้าจิตไม่เกิดไม่ดับ

    ปรมัตถธรรม สิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ จะมี สองทันที

    นิพพาน 1
    จิต 1

    รอฟังครับ เจ้าเก่าครับ^^
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    การจะเสวนา ให้เข้าใจกัน มันก็อยู่ที่ จขกท มีความจริงใจในการเสวนา แค่ไหน

    ถ้าเข้ามาเสวนา โดยมี ธง ที่จะย่ำยี ทิฏฐิ บุคคลในฝันของคุณ อันนั้น เสวนาไป
    ก็ งง เปล่าๆ

    เพราะ คนที่เสวนาด้วย ไม่ได้อยู่ใน จิต ของ จขกท

    คนที่เสวนาด้วย ไม่ได้อยู่ใน การเสวนาด้วยความเคารพ ซื่อตรง ต่อตนที่สนทนาด้วย

    กล่าวอะไรไปก็ตาม จขกท ก็ไปหยิบประเด็น ของคนโน้น ที่อยู่ในฝัน ออกมาเป็น
    ประเด็น ถกเถียง

    มันก็ไม่จบ เพราะว่า คนที่สนทนาธรรมด้วย จขกท ไม่ได้ให้ความเมตตา กรุณา
    มาจริง อย่างเช่น

    ผู้เสวนาบางคนเป็น พระ มีศีล มีข้อวัตรปฏิบัติที่ดี แล้ว ท่านก็คงทำของท่านอยู่

    ผลบุญ กุศลของ บุคคลที่สนทนาอยู่ด้วยเพศพระ คุณให้ความเคารพไหม เล็ง
    เห็น จิต ของ พระท่าน กำลังรองรับ มหากุศล อยู่ทุกขณะจิต คุณพิจารณา
    หรือเปล่า

    แล้ว ระหว่าง จิต ที่คุณ จขกท ถือว่า คุณเป็นเจ้าของ และ รองรับ อานิสงค์

    จิตของคุณจขกท(กล่าวโดยอนุโลม) กับ จิตของพระท่านที่สนทนาอยู่ด้วย

    จิตของคนไหน กำลัง รับอานิสงค์ ที่ประเสริฐ กว่ากัน

    จิตของฆารวาสมีหนวดมีเมีย กับ จิตของสมมติสงฆ์ จิตดวงไหนกำลังได้พึ่ง
    พิงอาศัยมหากุศลที่เกิดอยู่ ได้มากกว่ากัน

    แล้ว ถ้า จขกท ยังทำตัว ละเมิดสงฆ์ ไม่เคารพต่อสงฆ์ ต่อ ดวงจิตสงฆ์ที่กำลัง
    รองรับบุญกุศลที่ประเสริฐกว่า

    จขกท จะอ้าง ความเป็น บัณฑิต รู้จักบุญ คุณโทษ มาจากไหน !!?
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    อย่างนั้นเราลองย้อนมาดูที่การบรรลุธรรมกันดีกว่าครับ---พระวจนะ"ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้แหละ มีสมณะ....มีสมณะที่สอง มีสมณะที่สาม มีสมณะที่สี่ ลัทธิอื่นว่างจากสมณะแห่งลัทธิอื่น ภิกษุทั้งหลาย เธอจงบันลือสีหนาทโดยชอบอย่างนี้เถิด ภิกษุทั้งหลายสมณะเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์สาม เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป้นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า ภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นสมณะ ภิกษุทั้งหลายสมณะที่สอง เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุท้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นรอบแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความมีราคะโทสะ โมหะเบาบาง เป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น ก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นสมณะที่สอง ภิกษุทั้งหลาย สมณะที่สามเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะสิ้นรอบแห่งสัญโยชน์เบื้องต่ำห้าอย่าง เป้น โอปาปาติกะ ย(อนาคามี) ย่อมปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ภิกษุทั้งหลายนี้แล เป็นสมณะที่สาม ภิกษุทั้งหลาย สมระที่สี่ เป้นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้กระทำ ใหแจ้งวี่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะไม่ได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฎฐิธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่ ภิกษุทั้งหลายนี้แล เป็นสมณะที่สี่----จตุกก.อํ.21/323/241...:cool:....ตามพระสูตร ถ้าสามารถตกกระแส เป็นสมณะที่หนึ่งได้ ก็ หมดปัญหาการบรรลุได้ เพราะมีการพยากรณ์ถึงการสิ้นทุกข์ของ สมณะที่หนึ่งหรือพระโสดาบัน ในอนาคต ใช่ใหมครับ? เท่านี้ ก็เหลือกินแล้้ว:cool:
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คำว่า อาศัยได้ หรือ ไม่ได้ ....ตรงนี้ จขกท เอาข้อเท็จจริง เอาผลการปฏฺบัติ
    ยอมรับใน จิตที่อยู่ในฐานะรับกุศล หรือ มหากุศล เป็นหรือเปล่า

    ถ้า ยอมรับเป็น เข้าใจ แล้ว เอา ข้อเท็จจริง ความเป็นจริง ฐานะที่เป็นอยู่จริง
    มาเป็น ฐาน ในการเสวนา มันก็จะ เข้าใจได้

    แต่ถ้า เอามากล่าวคำว่า อาศัย เป็นเพียง ตรรกศาสตร์ ความง่อนแง่น ไม่เข้า
    ใจคำว่า อาศัยได้หรือไม่ได้ มันเกิดขึ้นที่ คนที่เสวนาแบบตรรกศาสตร์เอง

    ถ้า มาเสวนากันแบบ เอาความจริง เอาสิ่งที่กำลังปฏิบัติ เป็นปฏิปทา เป็นวินัย
    มาพูดมาเสวนาธรรม มันจะอีกอย่างหนึ่ง

    ผลบุญกุศล ที่เกิดจากการกระทำ ใครๆ เขาก็ต้อง อาศัย เพื่อการ อยู่สุข
    เพื่อความสบายในหนทางเดิน จะได้มีอุปสรรคน้อย จะได้ ห่างไกลข้าศึก

    ดังนั้น คนๆ หนึ่ง หากเขาตัดสินใจบวชเป็นพระ อย่างเช่น คนที่เข้ามาเสวนา
    ด้วยกับ จขกท ..... จขกท เอง ยอมรับ ฐานะ ปฏิปทา เขาหรือเปล่า

    เห็นหรือเปล่าว่า เขาอาศัยกองบุญอยู่ ประกอบอยู่

    แต่ถ้า จขกท เอา ตรรกศาสตร์มาเสวนา จขกท ก็มอง สมมติสงฆ์ เป็นเพียง
    คนกระจอก หรือ ไม่ก็มองไม่เห็นว่าเป็นสัตว์ที่มีกุศลผลบุญมากกว่าตน (คน
    ได้บวช ย่อม มี วิบากกรรมแต่เดิมไม่รชาติไหน ที่เขาประกอบมา ย่อมมีมากว่า
    ฆารวาสที่นั่งมีเมีย )

    แบบนี้ เสวนาไป ก็ไร้ประโยชน์

    จขกท ไม่สามารถมีกำลัง สู้ " ทิฏฐิ " ที่กุมจิตตน ทำให้มองไม่เห็น กองกุศลที่ใหญ่
    กว่า ประเสริฐกว่าได้

    จขกท ไม่สามารถมีกำลัง สู้อำนาจการใช้ " ตรรกศาสตร์ " ที่กุมจิตตน ทำให้มอง
    ไม่เห็น กฏแห่งกรรม ที่มีอยู่ แทงไม่ตลอด ง่อนแง่น ในเรื่อง กฏแห่งกรรม

    ก็เป็นธรรมดา ที่คนที่ ง่อนแง่น ในกฏแห่งกรรม พอเสวนาไป ก็จะ งง ว่า อาศัย
    พึงพิงนั้น เป็นอย่างไร

    พอไม่เข้าใจ คำถามที่ว่า แล้วการบรรลุนิพพาน นั้น ใช้ กองบุญ ที่อาศัยอยู่
    เหล่านั้นหรือ !? ก็คง จะ งง เป็นไก่ตาแตก

    เพราะว่า การบรรลุนิพพาน จขกท ก็พอทราบว่า ไม่ได้เกี่ยวอะไร กับ กองบุญ
    ที่อาศัย พึงพิงได้เหล่านั้นเลย ...มันไม่เกี่ยวเลย

    มันแค่เป็น การตบแต่งทางเดิน ให้เดินไปบนโลกสะดวก พอมีเวลา พิจารณา
    ธรรมที่ยิ่งกว่า และ หาอุบายออกไปจาก กองบุญ เหล่านั้นเสีย

    ถ้าเอา นัยยะ ทางปฏิบัติมาพูด มันจะเลิกงง กับคำว่า " อาศัย พึ่งพิง "

    เพราะสุดท้าย ก็ต้อง ทิ้งลักษณะการ " อาศัย พึ่งพิง " นั้นลงเสีย ไม่(ยึด)ติด ไม่ข้อง(ใจ)

    เมื่อไหร่ที่เข้าใจ สำนวน การใช้ " อาศัย พึ่งพิง " นั้นเขาใช้กันอย่างไร เขาถกกัน
    ด้วยข้อเท็จจริง มาเป็นฐานในการเสวนา อย่างไร มันก็จะเลิก งง กับคำว่า " อาศัยพึ่งพิงจิต "
    และคำว่า " ก้าวพ้นออกไปจากจิตที่อาศัยพึ่งพิง " นั้นด้วย ไม่ยากเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2013
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    หรือพระสูตรที่กล่าวถึงนิพพาน--พระวจนะ" คฤหบดี รูปทั้งหลาย ที่เห็นด้วยตาก็ดี เสียงทั้งหลาย ที่ฟังด้วยหูก็ดี กลิ่นทั้งหลาย ที่ดมด้วยจมูกก็ดี รสทั้งหลาย ที่ลิ้มด้วยลิ้นก็ดี โพฐฐัพพะทั้งหลาย ที่สัมผัสด้วยกายก็ดี และธรรมมารมณ์ทั้งหลาย ที่รู้แจ้งด้วยใจก็ดี อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ ที่ยวนตายวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งความใคร่ เป้นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่ และภิกษุก็ไม่เป้นผู้เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้น เมื่อไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ วึ่งอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้น วิญญานของภิกษุนั้น ก็ไม่อาศัยซึ่งอารมร์มีรูปเป็นต้นนั้น ไม่มีสิ่งนั้นนั้นเป็นอุปาทาน คฤหบดี ภิกษุผู้หมดอุปาทานย่อมปรินิพพาน คฤหบดี นี้แล เป็นเหตุเป้นปัจจัย ที่สัตว์ทั้งหลายบางเหล่าในโลกนี้ ย่อมปรินิพพานในปัจจุบันนี้ แล---สฬา.สํ.18/138/192:cool:---------------พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน เพราะความหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะความดับเย็นแล้ว ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ ก็เป็นการสมควรที่จะกล่าวว่าภิกษุ เป้นผู้ถึงแล้วซึ่ง นิพพานในทิฎฐิธรรมนี้ นั่นแล...สฬา.สํ.18/177/244..:cool: จะเห็นได้ว่า พระสูตรหรือที่กล่าวถึงการ พ้นทุกข์ ก้ไม่ได้วับซ้อนอะไรเลย ค่อนข้าง เคลียร์และหมดจด นะครับ
     
  8. สันดุสิต

    สันดุสิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +86
    จิตเป็นผู้รู้ มีความเป็นกลาง ไม่เป็นอนัตตาเพียงส่วนเดียว ไม่เป็นอัตตาเพียงส่วนเดียว ท่านเรียกธรรมอัพยากฤติ จิตเป็นความสมดุลในธาตุขันธ์ มีดวงเดียว แต่เกิดดับหลายลักษณะ เนื่องจากผัสสะ หน้าที่เราคือรักษาจิตและตามดูจิต ดูไปจนได้อุบายสลัดทุกข์ออก
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เอาความคิดมานั่งสรุปเรื่องเกี่ยวกับจิต

    ก็เหมือนพยายามเอาแว่นขยายส่องหาเชื้อโรค

    ทำให้ตายยังไงมันก็ไม่รู้ เพราะมันเป็นการเอาสภาวะหยาบ มาวิเคราะห์สภาวะละเอียด

    อยากจะรู้ให้จริง ก็ต้องปฏิบัติเอง จิตตัวเองละเอียดเมื่อไหร่จะเข้าใจ

    ไม่งั้นก็เพ้อเจ้อต่อไปเรื่อยๆ อุปาทานไปวันๆ คิดว่าข้ารู้แล้ว แต่ไม่เคยเห็นสภาวะจริง เป็นปัจจัตตังสักที
     
  10. สันดุสิต

    สันดุสิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +86
    การปฏิบัติธรรมนั้นถ้ายังไม่ได้ขั้นพระโสดาบันขึ้นไป พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้ดูจิตหรอก เอาแค่ง่ายๆอย่างทานกับศีลทำได้หรือเปล่า อย่างที่เคยบอก ผู้บรรลุธรรมนั้นมี 2 ประเภท คือมิจฉาทิฏฐิ๑ และสัมมาทิฏฐิ๑ กำลังพิจรณา
     
  11. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ตรงนี้เห็นด้วย

    ป๋าภูต น่าจะปรับปรุงตนใหม่ หากยังใช้วิธีการนำเสมอแบบเดิมๆ

    ก็จะป่วยการไร้ประโยชน์ กับสิ่งที่ต้องการจะสื่อ

    เพราะอีกบางคน อย่างลุงหมาน นี่ก็มีอายุมากพอควร

    บวมๆ อย่างกับเอกหยุด น่าจะถ้อยทีถ้อยอาศัย ความถ่อมตนเป็นมงคลอยู่ข้อนึง

    เพราะหากยังใช้วิธีการนำเสมอแบบเดิมๆ ไร้กุศโลบาย อะลุ่มอะล่วย

    พูดง่ายก็คือไร้เสน่ห์ ดึกดำดึ๋น ยังไงก็ไม่รุ เท่าที่อ่านๆโพสต่างๆ

    แต่แน่นอนอาจจะตอบกลับมาว่า ธรรมะไม่มีออมชอมอะลุ่มอะล่วย ไม่ต้องการเสน่ห์

    ไม่ต้องการยอมรับจากใคร เพราะเป็นมายาคติ แต่จะเอามาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์นี่สิ

    ถ้าหากสังโยชน์เบื้องบนสิ้นไปแล้ว หรือจบกิจสิ้นชาติไปแล้ว

    จะดุ่ยๆ ก็ไม่มีใครค้าน เพราะศีลหอมทวนลมอยู่แล้ว กับท่านเหล่านั้น

    แต่หากกำลังทำให้ตื้น แล้วดึกดำดึ๋น สนทนาเรื่องจิต ก็ไม่รู้จะโผล่ไป ณ ที่ใด

    จึงจะชื่อว่าการสนทนาตามศรัทธาปสาทะ สนทนาตามกาลเป็นอุดมมงคล ต่อตนและผู้ร่วมสนทนา

    เพราะเรื่องเหล่านี้มี ถกกันมานับพันปีแล้ว มีเอาไว้เรียนกัน

    ต่างธาตุต่างธรรม ย่อมต่างสายบุญสายกรรมกันไปว่ากันไม่ได้ นั่นคือฉากหนึ่งของอดีต

    ดังนั้น สิ่งที่เรียนรู้จากอดีตแก้ไขปัจจุบัน วิธีการนำเสนอทำอย่างไรที่จะไม่ให้อีกฝ่าย

    เอาไปเป็นอารมณ์ที่ฝังแน่น จนขุ่นมัวติดตัวไปจนตาย เพราะดูแล้วไม่จบแน่นอน

    ลองเปรียบผู้สนทนาเป็นญาติพี่น้องพ้องเพื่อน

    มีข้อความหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นพุทธพจน์ หรือป่าวนะ ข้อความมีอยู่ว่า
    "เรารักราหุล พุทธชิโนรส ของเราอย่างไร
    เราก็รัก และมีจิตเมตตา ในพระเทวทัต ผู้มีจิตคิดประทุษร้ายต่อเรา ฉันนั้น"

    และนั่นก็คือ เมตตาธรรม ของผู้มีธรรม

    จะสนทนาเรื่องจิต เอาแค่จิตเมตตาพื้นๆ เพื่อกระทำให้ตื้น ให้พออยู่ในวิสัย เป็นใช้ได้ก่อน

    ลองพิจารณาดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มิถุนายน 2013
  12. สันดุสิต

    สันดุสิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +86
    จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้...พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้รักพระราหุลเท่าพระเทวทัต สงครามภพชาตินั้นยิ่งใหญ่นัก...อย่ารู้น้อย..........
     
  13. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    แล้วเท่าฟางว่านหรือป่าว :cool:
     
  14. สันดุสิต

    สันดุสิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +86
    คนธรรมดาไม่รู้วิสัยพระโสดาบัน พระโสดาบันไม่รู้วิสัยพระสกิทาคามี พระสกิทาคามีไม่รู้วิสัยพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่รู้วิสัยพระโพธิสัตว์ ทั้งหมดไม่รู้วิสัยพระพุทธเจ้า ทางนิพพาน ทาน ศีล ภาวนา
     
  15. สันดุสิต

    สันดุสิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +86
    เกิดมาไม่เคยสนทนาธรรมกับพระอรหันต์ ก็จะเป็นเอง
     
  16. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    เมื่อปราศจากอัตตา การค้นหาเรื่องสัจจธรรมย่อมได้ผล
     
  17. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ขอเปิดพระสูตรนี้ที่เถียงกันตลอด หาข้อสรุปไม่ได้สักที เพราะขาดผู้รู้อรรถ ทั้งไม่ได้อธิบายตรงตามจริง ทำให้เกิดความคุมเครือ จนเอาเรื่องโน้นนี้อะไรมาปนเปกันไปหมด

    ขออุปมาเหมือนกับ บุรุษตาบอดเเต่กำเนิด เค้าจะรู้ไหม อันนี้ก้อนหิน อันนี้ก้อนอิฐ.เค้าคงไม่รู้อย่างเเน่นอน นอกจากมีคนตาดีบอกว่านี้คือก้อนหินเนื้ออย่างนี้ นี้คือก้อนอิฐอย่างนี้
    ฉันใดก็ฉันนั้น
    พระองค์พูดถึงนามธรรม(ที่เรามองไม่เห็น) ที่เรียกว่า จิตบ้างมโนบ้างวิญญานบ้าง
    พระองค์แสดงลักษณะของสิ่งนั้น เป็นดวงๆ (รูปของมันเป็นดวง)
    ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปตลอดวันตลอดคืน
    อะไรที่เป็นดวงๆเกิดดับ มันได้ชื่อว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญานบ้าง 3ชื่อเลย(ดวงๆ3ชื่อ)

    "สิ่ง!ที่เรียกจิตบ้างมโนบ้างวิญญานบ้าง"=. ลักษณะของมันเป็นดวง!
    ดวง1เกิดขึ้นดวง1ดับไปตลอดวันตลอดคืน



    แล้วเรื่องจิตอย่าพึงนำมาคุย ต้องผู้รู้ปฏิจสมุปบาท ถึงเอามาคุย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2013
  18. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    เมื่อความจริงคือ สิ่งที่ตนยึด แต่ละคนยึดในสิ่งที่ตนรู้ และปรุงแต่ง แล้วยังจะใช่ความจริง อยู่มั้ย
     
  19. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    พระเทวทัต และ พระราหุล

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔
    ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑


    อุปาลีเถราปทานที่ ๘ (๖)
    ว่าด้วยผลแห่งการสร้างสังฆาราม​
    [๘] ในพระนครหงสวดี มีพราหมณ์ชื่อว่าสุชาต สั่งสมทรัพย์ไว้ประมาณ ๘๐ โกฏิ มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย
    .
    .
    .
    พระพุทธะนั้นย่อมข้ามโลกพร้อมทั้งเทวโลกได้เพราะขันติ อวิหิงสา และ เพราะมีจิตเมตตาฉะนั้น
    พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ใครๆ ให้พิโรธไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เช่นกับแผ่นดินไม่ข้องอยู่ในลาภและความเสื่อมลาภ
    ในความสรรเสริญและดูหมิ่น ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ใครๆ ให้พิโรธไม่ได้

    พระมุนีมีจิตเสมอในสรรพสัตว์ คือ ในพระเทวทัต นายขมังธนู องคุลิมาลโจร พระราหุล และ ในช้างธนบาล
    พระพุทธเจ้าเหล่านี้ย่อม ไม่มีความโกรธ ไม่มีความกำหนัด พระพุทธเจ้ามีจิตเสมอในชนทั้งปวง คือ ในผู้ฆ่า และ โอรส

    ใครๆ เห็นผ้ากาสาวะอันเขาทิ้งไว้ที่หนทางเปื้อนของไม่สะอาด อันเป็นธงชัยของฤาษี พึงยกกรอัญชลีเหนือเศียรเกล้า
    ไหว้พระพุทธเจ้าในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดี ย่อมบริสุทธิ์ด้วยธงชัยนั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านี้ควรนมัสการ

    เราย่อมทรงพระวินัยอันงามเช่นกับพระศาสดาไว้ด้วยหทัย
    เราจักนมัสการพระวินัยในกาลทุกเมื่อ พระวินัยเป็นที่อาศัยของเรา พระวินัยเป็นที่ยืนเดินของเรา
    เราจะสำเร็จการอยู่ในพระวินัย พระวินัยเป็นโคจรของเรา

    ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า เพราะฉะนั้น พระอุบาลีผู้ถึงที่สุดในพระวินัย และ ฉลาดในสมถะถวายบังคมพระบาทของพระศาสดา
    ข้าพระองค์นั้น จะไปจากบ้านนี้สู่บ้านโน้น จากบุรีนี้สู่บุรีโน้น เที่ยวนมัสการพระสัมพุทธเจ้า และ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงดีแล้ว
    ข้าพระองค์เผากิเลสทั้งหลายแล้วถอนภพขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว อาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี
    ข้าพระองค์ได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดดีแล้วหนอ
    ข้าพระองค์บรรลุแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ วิชชา๓ ปฏิสัมภิทา๔ วิโมกข์๘ และ อภิญญา๖
    ข้าพระองค์ได้ทำให้แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาข้าพระองค์ได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล.

    ทราบว่า ท่านพระอุบาลีเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
    จบ อุปาลีเถราปทาน
    -----------------------------------------------------​

    พระอุบาลี ได้เชิดชูพระมหากรุณาในองค์สัมมาสัมพุทธะ ว่า “พระพุทธเจ้ามีจิตเสมอในชนทั้งปวง คือ ในผู้ฆ่า และ โอรส”

    แล้วปรารภถึงตัว พระอุบาลีเองว่า บูชาพระวินัยอย่างยิ่ง เสมือน บูชาพระศาสดา
    “เราย่อมทรงพระวินัยอันงามเช่นกับพระศาสดาไว้ด้วยหทัย
    เราจักนมัสการพระวินัยในกาลทุกเมื่อ พระวินัยเป็นที่อาศัยของเรา พระวินัยเป็นที่ยืนเดินของเรา
    เราจะสำเร็จการอยู่ในพระวินัย พระวินัยเป็นโคจรของเรา”



    ข้าพเจ้าปรารถนา เป็นอย่างยิ่ง ว่า พระวินัย จะเป็น เกราะป้องกัน พุทธศาสนาของเรา ให้ลุถึง ๕๐๐๐ปี
    เพราะพระวินัยบันดาลให้สงฆ์งดงามยิ่ง และ อุดมไปด้วยนาบุญ แด่ ทายก ทายิกา ผู้ศรัทธา ผู้หวังพ้นทุกข์-พ้นวัฏฏะ และ ถึงซึ่งพระนิพพาน

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2013
  20. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    และหวังอย่างยิ่งว่า ไม่เอาสิ่งที่เป็นเรื่องนอกประเด็นมาว่ากล่าวกัน

    เฮ้อ!!! นู๋นิ...ถามตรงๆหมดมุขแล้วหรือ จึงเอาที่ไม่เป็นเรื่องนอกประเด็น

    รู้จักเคารพกฎบ้าง การระเมิดกฎเป็นอาจินต์

    เป็นการขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเองรู้จัก รู้จักโตบ้าง อย่ามีหัวไว้กันหู

    พระสงฆ์คือบุคคลที่โกนผม ห่มเหลือง

    ก็คงขัดกับพระพุทธองค์ที่บัญญัติพระสงฆ์ว่า

    ไม่ใช่เป็นเพียงภายนอก เป็นสิ่งณ.ภายในจิตของตน

    ส่วนการระเมิดพระพุทธพจน์หรือพระนามของพระพุทธเจ้านั้น

    อย่าให้บอกเลยนะว่า ชีวิตต้องเจอกับอะไรบ้าง?

    แต่ฝ่ายที่จิตเกิด-ดับ คงไม่ต้องกลัวเกรงอะไร เดี๋ยวจิตที่ระเมิดไว้นั้นก็ดับไป

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน


     

แชร์หน้านี้

Loading...