จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    บัณฑิต คือ ผู้รู้จักคิดให้เป็น

    ...ผู้คิดเป็นใช้ปัญญาเป็น ถึงจะเรียกว่าบัณฑิต...

    ...ให้พิจจรณาแต่ร่างกายเรานี่แหละ คือ...

    ...การพิจารณาธรรมะ พิจารณาจิตใจตนเอง คือ...

    ...การพิจารณาธรรมะ...

    ...คำสอนของหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค...
     
  2. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    พุทธบริษัทควรที่จะบำเพ็ญในศีล สมาธิ และปัญญาให้ครบถ้วน จึงจะเป็นผู้สมบูรณ์

    ในการนับถือพระพุทธศาสนา มิฉนั้นจะเรียกว่าเป็นผู้รู้อริยสัจจ์ ๔ ได้อย่างไร เช่น มรรค ก็

    ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา จึงเรียกว่า มรรคสัจจ์เมื่อไม่ทำให้เกิดขึ้น ในตนก็ย่อมไม่รู้เมื่อไม่รู้

    จะละได้อย่างไร โดยมากธรรมดาคนเรามักชอบแต่ผล ไม่ชอบเหตุ เช่นต้องการแต่ความดี

    ความบริสุทธิ์ แต่เหตุแห่งความดีความบริสุทธิ์ไม่ทำให้สมบูรณ์ ก็ย่อมจนกันอยู่เรื่อยไป ตัว

    อย่างในทางโลก คนที่ชอบเงินแต่ไม่ชอบทำงาน คนเช่นนั้นจะเป็นพลเมืองที่ดีมีทรัพย์ได้

    ที่ไหน เมื่อความจนบังคับเข้าแล้วย่อมทำทุจริตโจรกรรมได้ฉันใดพุทธบริษัทไม่ชอบเหตุ

    แต่ชอบผลก็ย่อมจนอยู่ร่ำไปเช่นนั้น เมื่อใจจนแล้วย่อมแสวงหาความดีในทางอื่น เช่น

    โลภ ลาภ ยศสรรเสริญ สุข ซึ่งเป็นอามิสอยู่ในโลก มันย่อมเป็นไปทั้งที่รู้ ๆนั่นแหละ นี่ก็

    เพราะว่ารู้ไม่จริง รู้ไม่จริงก็คือทำไม่จริงนั่นเอง มรรคสัจจ์ซึ่งเป็นของจริงนั้นย่อมมีอยู่ตาม

    ธรรมดา ศีลก็มีจริง สมาธิก็มีจริง ปัญญามีจริง วิมุติมีจริง แต่คนเรานั่นแหละไม่จริง จึงไม่

    เห็นของจริง เมื่อเราทำไม่จริง ก็ไม่ได้ของจริง ก็จะได้แต่ของเทียมของปลอมกันเท่านั้น

    ...เมื่อใช้ของเทียมของปลอมย่อมได้รับโทษ ฉนั้นพวกเราควรที่จะต้องแสดงความจริงให้

    ปรากฏขึ้นในใจของตนเอง เมื่อความจริงปรากฏก็จะได้ดื่มรสของพระธรรม รสของธรรม

    ย่อมชนะรสของโลกทั้งหมด ฉนั้นจึงได้เรียบเรียง อานาปานสติ ๒ แบบนี้เพื่อเป็นแนวทาง

    ต่อไป...พระธรรมคำสอนของ พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์(พระอาจารย์ลี ธมมุธโร)

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอน และกราบนมัสการเจ้าค่ะสาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คัดมาให้อ่านเป็นข้อคติเตือนใจ
    มันเป็นธรรมดา ความศรัทธาคนอื่นเขาเราอย่าไปขัด
    มันเป็นธรรมดา สำหรับผู้ที่มีจิตใจยังอ่อนหล้า อ่อนไหวอยู่(อินทรีย์๕ยังไม่แก่กล้า)
    ย่อมหาที่ยึดเกาะหรือหาที่ยึดเหนี่ยวในทางจิตจิตใจ
    ขอให้นึกถึงผู้ที่อ่อนแออยู่ เช่น เด็กต้องพึงพาอาศัยพ่อแม่ คนแก่ต้องพึ่งพาอาศัยคนช่วยดูแล
    เพราะฉะนั้น ความสงสัยหรือความลังเลย่อมเกิดทุกระดับจิตหยาบหรือละเอียด
    สรุปแล้ว..ตามหาสติ ตามหาดวงจิต ตามหาปัญญาของตนให้พบไวๆ
    นั่นแหล่ะ..จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง
    เสมือนดั่งเราไปนั่งรถคนอื่นเขาว่านิ่มนุ่มนวล แต่รถเรามันนั่งไม่สบาย
    หมายถึงตราบใด ที่เรายังใช้สติปัญญาของคนอื่นอยู่ร่ำไป ไม่พยายามช่วยตนเอง
    นั่นหมายถึง ลูกที่เลี้ยงไม่รู้จักโต พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้ช่วยตนเองมากๆ
    เวลาจะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรเราต้องด้วยปัญญาของตนทุกคราไป

    ศาสนาพุทธเป็นศาสตร์แห่งเหตุผล(พิสูจน์ด้วยตนเอง) แห่งปัญญา(เชื่อหรือไม่เชื่อด้วยปัญญาตนเอง)
    ศาสนาพุทธสอนให้คนเราบันดาลชีวิตของตนเอง ด้วยผลแห่งการกระทำตามกฎแห่งกรรม
    เป็นศาสนาอเทวนิยม คือไม่อ้อนวอนขอพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกกาย
    สอนให้หลุดพ้นทุกข์ ด้วยการสร้างสติปัญญา จะได้มองเห็นหรือรู้เท่าทันตามความเป็นจริง
    วัตถุประสงค์สูงสุดของศาสนาก็คือ การหลุดพ้น จากทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิด
    สำหรับผู้ที่พอจะเข้าใจย่อมแยกแยะเรื่องเปลือกกระพี้หรือแก่นของพระพุทธสาสนากันได้เป็นอย่างดี
    ดั่งความเข้าใจของผู้คนเราก็คือ ความละเอียดแห่งจิตตนเองเท่านั้น
    อย่าลืม ตราบใดที่จิตเรายังเข้าไม่ถึงอารมณ์พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์
    จิตใจย่อมแปรเปลี่ยนได้ทุกขณะเวลา ทุกกาลสมัยไปตามสภาวะแวดล้อมของตน
    แต่จิตนิพพานมิมีอะไรไปเปลี่ยนแปลงได้ เพราะคำว่านิพพานไร้ซึ่งกาลเวลาและระยะทาง ไม่มีเกิดไม่มีดับ
    (โทษทีพร่ำมากไปเดี๋ยวคนเข้าผิดว่าผมเป็นอรหันต์)


    ขออนุญาตนำมาเพื่อธรรมาทาน คัดมาให้อ่าน ท่านนี้พูดให้ข้อคิด+น่าสนใจดี
    สำหรับความเข้ามากหรือน้อยก็ว่าไปตามกำลังใจหรือตามสติปัญญาของตนเอง

    จากคุณ สิงหาคม (สมาชิก)
    โพสต์ลงวันที่ 17 มิ.ย. 56

    ทำไมไม่ทำให้ตัวเอง เป็นพระธาตุซะเองหละครับ จะคิดบูชาพระธาตุของท่านอื่นไปทำไม เป็นดาบสองคม ถ้าเสด็จมาก็ดีใจ ถ้าเสด็จหายก็เสียใจ ไอ้ตัวดีใจเสียใจนี่หละ สำคัญ เป็นตัววัดว่า จิตใจคุณมั่นคงแค่ไหน คุณเฝ้ารอแต่สิ่งศักดิ์มาคุ้มครอง เป็นสิริมงคล กับไม่ทำตัวเองให้เจริญขึ้น มัวแต่ถนถนอมเฝ้าคลอเคลียกับสิ่งที่ รอไปก็ไม่ประโยชน์กับตัวเอง สู้คุณเอาเวลา ไปปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ไม่ดีว่าเหรอ ยกตัวอย่าง ง่ายๆ คุณเคยทำสมาธิไปถึงขั้นไหนแล้ว หรือจะมัวแต่ เว้าวอนสิ่งศักดิ์ช่วยหนูด้วย ขอให้หนูเจริญยิ่งๆขึ้นไป

    ผมว่า ชาวพุทธ หลงทางไปเยอะมาก ไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ เลยเอาง่าย แค่ขอบูชากราบไหว้เท่านั้น ไม่ปฏิบัติ แล้วคุณจะรู้แจ้งได้อย่างไร ถ้ายังคงทำตัวแบบนี้

    การบูชาในสิ่งควรบูชานั้นถูกต้องแล้ว พูดภาษาชาวบ้าน คือ อย่าให้มันมากไปนัก จนกลายเป็น งมงาย ถ้าคุณไม่ปฏิบัติ แล้วเมื่อไหร่คุณจะหายสงสัยซะที

    ปล่อยวางซะเถอะครับ ทุกอย่างมันก็เป็นเช่นนั้นเอง คุณอายุไม่ถึง 100 ปี หรอก ทำไมคุณไม่ใช้เวลาที่เหลืออยู่ อีกครึ่งชีวิต ปฏิบัติให้ถึงที่สุด ของการปฏิบัติธรรม

    จะอ้างว่าถ้ามีพระบรมสารีสิกธาตุ แล้วจะได้มีกำลังใจปฏิบัติธรรม โถๆๆ ถ้าคุณไม่มีพ่อแม่อยู่แล้ว คุณก็ไม่เป็นอันจะทำไรเลยหละซิ ใช้ปัญญาไตร่ตรอง ดีๆ อย่ายึดติดนะครับ คุณลองนั่งนิ่งๆแล้วหลับตาดู เจริญวิปัสนาดู คุณจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูด ไม่มีอะไรจีรัง ยั่งยืน คุณจะเห็นความแตกดับของสรรพสิ่ง หวังว่า คุณคงจะคลายความยึดมั่นถือมั่นในนามรูปนะครับ

    ที่มา:
    http://palungjit.org/threads/ใครมีประสบการณ์เพระธาตุเพิ่มจำนวนไหมครับ.497808/page-2
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แต่ถ้าใครไม่อยาก
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็แสวงหาความหลุดพ้นจากทุกข์
    ด้วยการฝึกจิต ด้วยการเจริญสติ ด้วยศีล สมาธิ และปัญญา
    จนสามารถรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริงว่าเป็นทุกข์ เพราะสรรพสิ่งไม่จีรังไม่แน่นอนและบังคับไม่ได้
    จนไม่เห็นสิ่งใดควรยึดมั่นถือมั่น หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง จวบจนบรรลุธรรมขั้นสูง
    หรือเข้าใจคำว่า อริยสัจ ๔ เป็นอย่างดี

    ศาสนาพุทธมุ่งการหลุดพ้นทุกข์ สอนให้รู้จักทุกข์ วิธีการดับทุกข์ ให้รู้ความจริงในธรรมชาติ
    อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จากกิเลสทั้งปวง ก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง
    รวมทั้งความเข้าใจเรื่องการโยนิโสมนสิการด้วยปัญญา พิสูจน์เหตุผลตามข้อเท็จจริง
    จนเห็นตามความเป็นจริงว่าสรรพสิ่งในธรรมชาติเป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์ เป็นไปตามกฎแห่งกรรม
    เลือกใช้หลักธรรมในพุทธศาสนาให้เหมาะสม ไม่ประมาทในขณะที่มีชีวิตหรือมีความสุขในชาติปัจจุบัน
    ตลอดจนปรารถนาในพระนิพพาน คือเบื้องปลายสุดของผู้ที่มีปัญญามาก
    ต้องปฎิบัติมันให้จริงๆ ทำให้มันหนักเข้าไว้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าหรือหลวงปู่มั่นฯ นั่นเป็นยังไง
    สุดท้ายนักภาวนาถึงจะเข้าใจคำว่า "มัชฌิมาปฎิปทา" เป็นอย่างดี
    ผู้ใดทำจริงๆจังๆย่อมได้ของจริงแน่ แต่ถ้าทำเล่นหรือขำไปวันๆก็ได้ขำๆไปวันๆนึงเท่านั้นเอง
    มันก็อยู่ที่ตัวเราเท่านั้นว่าจะเล่นเป็นตัวละครอะไร อยากเป็นตัวตลกก็เล่นบทตลกไป
    แต่ถ้าเป็น...(ลองถามเองตอบเอง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2013
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    New Heart New World : ชลณัฏฐ์ โกยกุล - YouTube
    ดูคลิปนี้จะได้เข้าใจธรรมะ เข้าใจตนเองดีขึ้นบ้าง

    "ความเข้าใจที่เกิดจากการอ่าน การคิด มันเทียบไม่ได้เลยกับความเข้าใจที่เกิดจาก­การลงมือปฏิบัติเอง"
    "คนเราอาจจะเจอสิ่งเลวร้าย อาจไม่เป็นไปตามที่เราคิด แต่ว่าเราก็ยังมีความสุขได้"
    "ถ้าเราต้องการการเปลี่ยนแปลงในชีวิตจริงๆ เราต้องลงมือทำ"

    ชลณัฏฐ์ โกยกุล
    พิธีกรรายการโทรทัศน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มิถุนายน 2013
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ผู้ปฏิบัติ ควรตั้งใจตรวจตราหน้าที่ของตน

    ทั้งผู้ที่ทำแล้ว และกำลังจะทำ ต้องฝึกฝนตลอดเวลา จนกระทั่งมันเป็นสติปัญญาโดยอัต

    โนมัติ แล้วการปฏิบัตินั้นจะเป็นไปเอง จะว่าฝึกหรือไม่ฝึกก็ตามมันเป็นของมันอย่างนั้น

    จนกระทั่งมันสิ้นสุดกับสิ่งที่มันอยากรู้ ถ้าอยากรู้แล้วนั้นไม่ฝึกฝนนั่งอยู่เฉยๆ รอให้ปัญญา

    มันเกิดก็รอไปเถิด เหมือนต้นไม้ที่รอแต่น้ำฝนที่จะตกลงมานั่นก็เป็นการรอที่ไม่เกิดปัญญา เพราะรู้ว่าฤดูไหนฝนจะตก

    ผู้ที่มีปัญญาจะต้องแสวงหา ดิ้นรนหา จนเกิดปัญญาขุดบ่อน้ำขึ้นมา บางครั้งขุดบ่อน้ำแล้ว

    ก็เจอแต่ทรายไม่มีน้ำ ก็เหมือนเราปฏิบัติทำวันเดียวจะให้เกิดปัญญานั้นมันหายาก ถ้าฝึกเป็นประจำ

    ให้ลึกลงไปๆ จนพบสายน้ำแล้วนั่นแหละเราก็จะได้น้ำมาหล่อเลี้ยงตนไม้ของเรา จนออก

    ดอก ออกผล ก็เป็นดังเช่นผู้ปฏิบัติใหม่ๆมันก็จะยากหน่อย ก็เหมือนกับเราขุดบ่อน้ำแทน

    ที่ว่าจะเจอน้ำ กับเจอทรายๆนั่นก็เหมือนกับว่า เป็นทรายทดสอบความอดทน ความมุ่งมั่น ความศรัทธา

    ของตัวบุคคลที่มีความตั้งใจฝึกฝนปฏิบัติ เมื่อเราเจอสายน้ำแล้ว เมื่อเราได้ความซุ่มชื้นจาก น้ำที่หล่อเลี้ยง

    การปฏิบัติของเราที่ทำอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเกิดสติและปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้ว การปฏิบัติ

    ของเราก็จะเป็นไปตามอัตโนมัติ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ปัญญาเกิดมันก็จะรู้ละใน สิ่งที่ดีหรือไม่ดี

    ของมันเองเป็นไปตามการปฏิบัติของเรา ยิ่งเราทำบ่อยๆ เหมือนสายน้ำที่ไหลซึมอยู่ในบ่อแล้ว

    น้ำนั้นซึมผ่านทรายขึ้นมาให้เราได้ดื่มได้ใช้ ความซุ่มชื้น ความเบิกบาน เพราะเป็นน้ำสะอาดที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วให้เรา

    ได้ดื่มได้ใช้ เหมือนกับผู้ปฏิบัติถ้ามีจิตใจที่บริสุทธิ์ เราทำและปฏิบัติตลอดเวลาทำบ่อยๆความเป็นอัตโนมัตินั้นก็จะอยู่กับเรา

    ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ทำอะไรการปฏิบัติของเรานั้นจะอยู่คู่กับเรา ทีนี้ใครชอบปฏิบัติแบบไหนก็ทำแบบที่

    ตัวเองถูกจริต ทำให้เหมือนกับครูบาอาจารย์ท่านได้สั่งสอนเอาไว้ถ้าเราฝึกจนเป็นอัตโนมัติ

    แล้ว การปฏิบัติของเราก็จะปฏิบัติได้ง่ายขึ้น หรือจะนึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เราชอบ แล้วนึกถึง

    ภาพท่านจนติดตา แล้วภาพท่านนั้นก็จะทำให้เราปฏิบัติได้ง่ายเพราะเราจะเห็นท่านอยู่ตลอดเวลา

    จะไม่มีมารอันใดเข้ามาขวางกั้นได้ นั่นแหละการปฏิบัติของเราก็จะเจริญยิ่งๆขึ้น เหมือนบ่อที่มีน้ำไหล่ซึมมาหล่อ

    เลี้ยงให้เราเจริญในธรรมในการปฏิบัติจนมีดวงตาเห็นธรรม และเห็นธรรมยิ่งๆขึ้นไปจึงขอฝาก

    การปฏิบัติจนให้เกิดเป็นอัตโนมัติไว้กับผู้อ่านทุกๆท่าน. ชาวสมาคมจิตเกาะพระยินดีต้อน

    รับทุกๆท่านที่อยากจะฝึกจับภาพพระให้ได้ตลอดเวลาติดต่อ อ. ภูทยานฌาน2ได้ค่ะ

    แล้วท่านจะจัดหาผู้แนะนำให้ค่ะ ขอขอบพระคุณสำหรับท่านผู้ติดตามอ่านทุกๆท่านค่ะสาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013
  7. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    อํานาจของอิทธิบาท 4 ช่วยสุขภาพ​

    ...อํานาจของอิทธิบาท 4(ได้แก่ ๑.ฉันทะ คือ ความยินดี ๒.วิริยะ คือ ความเพียร ๓.จิตตะ คือ ตั้งใจจริง ๔.วิมังสา คือ การพิจารณาไตร่ตรอง) พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่อานนท์ในพระไตรปิฏก เล่ม๑๐ ข้อ ๙๔ "มหาปริพพานสูตร"ไว้ตอนหนึ่งว่า"ดูก่อนอานนท์ อิทธิบาท ๔ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว กระทําให้มากแล้ว กระทําให้เป็นดุจย่าน กระทําให้เป็นดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารถนาดีแล้ว ผู้นั้นเมื่อตั้งใจมีชีวิตอยู่พึงดํารงอยู่ได้ตลอดกัป(ชั่วอายุของคนซึ่งขณะนี้ประมาณ ๑๐๐ปี) หรือเกินกว่ากัปก็ได้"
    การใช้อิทธิบาท๔ รักษาความเจ็บป่วยนี้ พระพุทธเจ้าทรงกระทําแล้วเมื่อคราวจําพรรษาที่เวฬุคาม ทรงประชวรหนัก เกิดทุกข์ทรมานอย่างรุนแรง ถึงใกล้จะปรินิพพาน แต่ทรงพระดําริว่า ยังไม่ได้บอกภิกษุผู้อุปัฏฐาก ไม่อําลาเป็นการไม่สมควร
    จึงทรงใช้อิทธิบาท ๔ ขับไล่อาพาธนั้น ทรงหายประชวร หายจากความเป็นไข้ในเวลานั้นเอง...
    ที่มา จากนิตยสาร ชีวจิต ฉบับที่ ๘ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    " ผู้ปฏิบัติย่อมมีจิตเป็นธรรมของจริง และกิเลสของปลอมเกิดได้ด้วยกัน"

    สำคัญที่สติปัญญาระลึกรู้ไตร่ตรองเลือกเฟ้นก่อนเชื่อและก่อนนำออกมาใช้ ถึงจะเป็นผู้

    รอบคอบไม่หลงกลของกิเลสที่ชอบแฝงธรรม ไปทุกระยะของการบำเพ็ญ ธรรมยังหยาบ

    กิเลสที่แฝงธรรมก็หยาบ ธรรมที่ละเอียดภายในใจกิเลสแฝงธรรมก็ละเอียดแฝงกันไป

    ตลอด จนกิเลสสิ้นเชื้อแล้วจึงจะไม่มีอะไรปลอมแปลงแฝงธรรมอีก...

    ...สติปัญญาในใจจากภาคปฏิบัติ เกิดได้ทุกระยะทุกอิริยาบถทุกขณะที่ได้สัมผัส

    หรือไม่ต้องสัมผัสกับสิ่งใดก็เกิดขึ้นได้ตามลำพังตัวเอง นี่ก็เคยอธิบายมาแล้ว สติปัญญา

    ทางภาคปฏบัติไม่ขึ้นอยู่กับอะไรกับผู้ใด แต่ขึ้นอยู่กับกำลังธรรมภายในใจหนุน ตอนที่ใจ

    มีกำลังโดยลำดับไปแล้ว แต่ตอนต้น ๆ ต้องลากจูงถูไถจึงจะเกิดสติปัญญาขึ้นมาได้ ฉนั้น

    ท่านจึงสอนให้พิจารณาเพื่อสติปัญญา ในขั้นเริ่มแรก เมื่อถึงขั้นอัตโนมัติแล้วสติปัญญา

    ย่อมหมุนตัวไปเองกับเหตุการต่าง ๆ ทั้งภายในภายนอกอย่างไม่มีประมาณ จึงสิ้นเหตุสิ้น

    ผลจึงหยุดไปเองไม่ต้องบังคับ เมื่อถึงเวลาจะเป็นไปเอง.....

    พระธรรมคำสั่งสอนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2013
  9. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ให้เห็น ความโกรธ เป็นทุกข์

    ...ให้เห็น ความโลภ เป็ทุกข์...

    ...ให้เห็น ความหลง เป็นทุกข์...

    ...เพื่อไม่เอาทั้งหมด...

    ...เพราะรู้ว่า เป็นทุกข์ ความเกิดเป็นทุกข์...

    ...เป็นทุกข์จริง ๆ...แล้วจะเอาไปทำไมอีก?...

    คำสอนของหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค กราบหวลงพ่อเจ้าค่ะสาธุ สาธุๆ
     
  10. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การเปรียบเทียบ การทำงานทางโลก-ทางธรรมนั้น มันต้องเป็นของคู่กัน

    ถ้าจะรอเวลานั้นไม่ทันแน่ ทำทั้งทางโลก และทางธรรมคู่กันไป เมื่ออกจากสมาธิแล้ว จิต

    ใจสงบร่มเย็น ส่วนการทำงานทางโลกนั้นก็รู้อยู่ว่ามันวุ่นวายไปตามกระแสของงาน เรา

    ต้องพยายามทำทั้งปฏิบัติ ก็คือไม่ทำให้ใจนั้นวุ่นวายตามไปกับงานด้วย พยายามใช้สติ

    วางเฉยกับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันวิ่งเข้ามากระทบตา -หู- จมูก-ลิ้น-กายใจ แต่มันจะมีความ

    วุ่นวาย ยากมากกว่าการนั่งปฏิบัติ เพราะมันมีสิ่งกระทบกระทั่งทั้งนั้น เพราะถ้าเผลอสติ

    ปล่อยให้ใจวิ่งไปตามสิ่งที่มากระทบไปบ่อยๆ แต่พอรู้ตัวว่าเผลอก็พยายามจับให้มันเข้ามา

    ที่เก่าให้มันเข้ามาอยู่ในกรอบของมัน เราเป็นผู้บังคับมัน เป็นผู้จัดการมัน ถ้าเราจะมารอว่า

    ให้ทำงานก่อนแล้วมาปฏิบัตินั้นไม่ทันแน่ ปฏิบัติคู่กันไปกับงาน การปฏิบัติก็จะไปได้ดี

    งานที่ทำก็จะสำเร็จ เพราะใจเรานั้นสงบนิ่งไม่ส่งออก ไม่วุ่นวายไปอย่างอื่น ที่อื่น เพราะ

    ทำสองอย่างนี้เป็นประจำ ใจเราก็จะจดจ่ออยู่กับมัน อยู่กับเจ้าของไม่วิ่งไปไหน การปฏิบัติ

    แบบนี้จะได้ผลทั้งจิตใจตนเอง และงานที่ทำก็จะออกมาดี เพราะใจเรานั้นสงบนิ่ง ไม่ว่าจะ

    อยู่ที่ไหน ทำอะไร เวลานั้นจะไม่ได้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าทำแบบนี้แล้วเราจะได้

    ทุกอย่างในทางที่ดี เพราะจิตใจเรานั้นคิดแต่งานและการปฏิบัติ ไม่ได้คิดไปฟุ้งซ่านอย่าง

    อื่น ก็ขอฝากไว้เผื่อว่าใครจะนำไปปฏิบัติดูก็ได้นะคะ ขออนุโมทนากับผู้อ่านทุกๆท่านค่ะ.
     
  11. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    เมื่อคืนฝันถึงคุณภู ในฝันได้ยินเสียงดังฟังชัดมาก แต่ไม่เห็นตัว ในฝันก็ว่าเป็นคุณภูแน่ๆเพราะเคยได้ยินเสียงในสไกค์(แน่ะในฝันยังอ้างอิงสไกค์ด้วย) ได้ยินพูดอยู่คนเดียวคล้ายๆอวยพรให้ใคร่อใครเดินทางกลับอย่างปลอดภัย(คล้ายว่าหลายคนเดินทางไปร่วมงานอะไรกันสักอย่าง)
    หวังว่าคุณภูสุขกายสบายใจดีนะคะ ระลึกถึงด้วยความเคารพเสมอ แต่เป็นครั้งแรกที่ฝันถึง แหมมาแต่เสียงนะ่ตัวน่าจะสามัคคีมาด้วยกัน อิอิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.1 KB
      เปิดดู:
      31
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]


    "เรามีอำนาจทำกรรม แต่เวลาทำลงไปแล้วกรรมย่อมมีอำนาจบังคับเรา ถ้าเป็นความชั่วก็บังคับให้เกิดความทุกข์ความลำบากลำบน เกิดในภพใดชาติใดมีแต่ภพชาติที่ไม่พึงปรารถนาทั้งนั้น ๆ นี้เป็นหลักธรรมชาติของสัตว์ที่เกิดตายด้วยอำนาจแห่งกรรม ฝ่ายดีก็เช่นเดียวกัน เราทำความดีแล้วถึงจะไม่ปรารถนาความดี ภพชาติก็เป็นของดีสำหรับเรา เช่นอย่างน้อยมาเกิดเป็นมนุษย์ผู้มีคุณธรรม มีสมบัติพัสถานมาก เกิดขึ้นมาด้วยความชอบธรรม เป็นสง่าราศีแก่ตัวเองและครอบครัวเหย้าเรือนตลอดส่วนรวม จนกระทั่งถึงประเทศชาติบ้านเมือง เป็นใหญ่เป็นโตเป็นผู้มีคุณธรรมประจำใจ ไปที่ไหนคนเคารพนับถือกราบไหว้บูชา นี่เพราะอำนาจแห่งกรรมดีของตนที่สร้างมาแล้วมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้มาเป็นใหญ่เป็นโต ทรงอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร ให้พี่น้องทั้งหลายบรรดาที่อยู่ร่วมกันได้พึ่งบารมีของตน นี่เพราะอำนาจแห่งกรรมดีของผู้ทำ

    นี่ละเรียกว่ากรรมดีก็มีอำนาจมากสำหรับที่จะส่งเสริมผู้ที่ทำกรรมดีนั้น ให้ไปเกิดในสถานที่ต้องการหรือเกิดในสถานที่พึงหวังได้ ธรรมของพระพุทธเจ้าจึงชี้เด็ดขาดลงไปที่กรรม กรรม แปลว่า การกระทำ ทำดีทำชั่วเรียกว่าการกระทำดีกระทำชั่ว ผลที่เกิดขึ้นมาเป็นความสุขความทุกข์ เรียกว่าวิบากกรรม จะต้องเกิดขึ้นที่จิตใจของสัตวโลกผู้ที่ทำลงไป ไม่มีสถานที่อื่นใดที่จะสถิตหรือที่อยู่ของกรรมดีกรรมชั่ว มีจิตใจนี้เป็นของสำคัญ เกิดที่จิตใจ เพราะใจเป็นผู้ทำกรรมดีกรรมชั่ว เวลาตายลงไปธาตุขันธ์เขาไม่มีบาปมีบุญ ไม่เป็นบาปเป็นบุญ ไม่ตกนรกอเวจีขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมที่ไหน แต่เป็นเรื่องของใจผู้เป็นนักท่องเที่ยวในภพชาติต่าง ๆ เรื่อยมานี้เท่านั้น จะเป็นผู้เสวยกรรมของตนที่ทำลงไปทั้งดีและชั่ว

    จึงขอให้พี่น้องชาวไทยเราซึ่งเป็นลูกชาวพุทธ ให้ตระหนักแน่นในเรื่องของกรรม เราอย่าเชื่อความอยากความทะเยอทะยาน ความมีอำนาจวาสนาใหญ่โตกว้างขวาง นี้มาบีบบังคับกรรมไม่ให้เกิดผลแก่ตนอย่างนี้เป็นไปไม่ได้"

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์ในงาน "บูชาคุณแผ่นดินไทย" และพิธีมอบทองคำเข้าคลังหลวงครั้งที่ ๓
    ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กทม.
    เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ (เย็น)
    Luangta.Com -
    ที่มา fb
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
     
  13. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]


    "ผู้ที่ตั้งใจจะฆ่ากิเลสจริงๆ จะไม่ให้งานใดมาเกี่ยวข้อง มีแต่งานสติคอยจับความคิดปรุงเจ้าของ มันคิดไปอะไร สติมีอยู่คิดปรุงปั๊บดับพร้อมๆ มันไม่ต่อเรื่องต่อราว ถ้าสติเผลอไปเมื่อไรเรื่องราวจะต่อไป เอาให้หนักขนาดนั้นความพากความเพียร ไม่เช่นนั้นไม่ได้ นี้เอาเสียให้สุดยอดเสียเลย ชาตินี้เป็นชาติสุดยอดของเรา การประกอบความพากเพียรก็ทุ่มกันลงเอาชีวิตเข้าว่าๆๆ มา มาสุดท้ายผลแสดงขึ้นเต็มเหนี่ยว เรียกว่าในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย กิเลสก็ม้วนเสื่อ ม้วนเสื่อเพราะอย่างนี้ละ อย่างฟัดกันไม่หยุดไม่ถอย

    เอาจริงเอาจังมากทีเดียว กิเลสก็ม้วนเสื่อ ไม่มีอะไรกวนใจ จะว่าคนว่างงานก็ไม่ผิด มันสิ้นหมดทุกอย่างแล้วก็เป็นคนว่างงาน ว่างงานถ้าเป็นโลกเขาคนว่างงานคนไม่มีงานคนจะอดตาย นั่น แต่คนว่างงานทางธรรมะนี่พอหมดแล้ว ว่างงานด้วยความพอแล้วทุกอย่าง นี่พูดให้มันชัดเจน นี่ว่างงาน ว่างงานได้แล้ว อยู่ไปอย่างนั้นละวันหนึ่งๆ ว่างงานหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะทำ กิเลสตัวไหนวะ ว่าอย่างนั้นเลย ก็ฟาดมันขาดสะบั้นลงเห็นต่อหน้าต่อตาแล้วมันจะฟื้นขึ้นมาที่ไหนมาต่อสู้กันอีกเหรอ เอา นั่น คราวนี้ยิ่งจะหนัก ถ้าสมมุติว่ากิเลสมันแฝงขึ้นมาอีกให้เห็น หือ กูนึกว่ามึงตายหมดทั้งโคตรทั้งแซ่มึงเอาโคตรไหนมาเกิดอีกมาต่อสู้กับกูนะ เอานะคราวนี้ คราวนี้ละคราวยิ่งจะเอาใหญ่ แต่ไม่มี หมด ไม่มีเหลือเลย แสนสบาย กิเลสหมดจากหัวใจขาดสะบั้นลงไปหมด งานสิ้นสุดตรงจุดนั้น

    ท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำคือการฆ่ากิเลสได้ฆ่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่ยิ่งไปกว่านี้กว่าการฆ่ากิเลสไม่มี "

    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
    Luangta.Com -
    ที่มา fb
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ถ้าเทียบจิตของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน กับจิตของพวกเรา

    ติตของพวกเรานั้นมันเหมือนยุงตีกัน เหมือนยุงชกกัน ยุ่งกันอยู่อย่างนั้น

    ไม่มีเวลาสงบ ยุ่งอยู่ตลอดเวลา จิตของท่านผู้บริสุธิ์เหมือนน้ำนิ่งที่ใส

    สะอาดเต็มที่แล้วนิ่ง แต่จิตที่บริสุทธิ์ไม่ได้เหมือนน้ำ เพราะจิตไม่ใช่วัตถุ

    แต่ก่อนจะเป็นจิต "สภายุง" ตีกันชกกันเหมือนจิตเราทุกคน.

    พระธรรมคำสอนของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด

    ...๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๘...

    ...กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  15. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การที่เราได้ประคับประคองศีลของเรา

    ....สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...

    ...สำรวมการยริโภค ตั้งแต่เที่ยงวันไปเราจะไม่กิน...

    ...ประกอบความเพียรของเรา...

    ...มีการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ทำวัตรสวดมนต์อยู่เสมอ...

    ...ชีวิตนักบวชก็จะมีความเจริญ...

    ...พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. (หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร ช.ม...

    ...น้อมกราบนมัสการหลวงปู่เจ้าค่ะ กราบ กราบๆ
     
  16. piralrat

    piralrat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +927
    ตามครูเกษมาเยี่ยมบ้านค่ะ อยู่สวีเดนมาเกือบ 9 ปี แต่อยากกลับบ้านตลอด เพราะความหนาวและความมืด เวทนาเยอะ
    อยู่เมืองไทย มีเวลาทำบุญสุนทาน ปฏิบัติธรรมได้มากกว่า แต่พอย้ายมาสวีเดน รู้สึก ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำเลย ความรู้สึกในวิชาชีพของตัวเองก็แย่ๆไปด้วย
    พยายามอดทน ต่อสู้มากๆ ใช้ธรรมะประโลมจิต และดึงจิตเป็นระยะๆ พยายามจะสวดมนต์นั่งสมาธิ ให้มีระเบียบ แต่มันรู้สึกว่า เหนื่อยล้า ท้อนัก
    ทำบุญไปวัด พยายามไปเดือนละครั้ง เพราะอยู่ไกล
    เรื่องทางโลก มันกระทบการปฏิบัติ เพื่อโลกหน้าเหลือเกิน ชีวิตไม่ค่อยสุขเท่าไรนัก
    แต่ มีความหวังเลือนๆลางๆนิดนึงเพราะ อีก 1 เดือนข้างหน้า วัดได้ย้ายมาอยู่ใกล้บ้านมากขึ้น มีความหวังว่า หลังเลิกงาน อยากไปนั่งสมาธิที่วัด สาธุ ขอให้ทำได้ด้วยเถิด
     
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุได้กลับบ้านจริงๆเสียที
    สวัสดีและยินดีต้อนรับ เธอเองก็เป็นทุกข์มานานซึ่งก็ไไม่ต่างกับอีกหลายคน
    เธอเกาะครูเกษดีๆนะ เกาะให้แน่น เธอมาที่นี่ถูกทางแล้ว
    ผมเข้าใจคนที่ไม่เข้าใจทุกข์ของตนเอง หรือไม่ค่อยเข้าใจธรรมนั่นเอง
    เธอรู้ใช่ไหมว่าทุกข์ของเธอเองนั้นมันอยู่ที่ไหน? ทุกคนตอบได้หมด
    เหลือเพียงแต่หาจิตหาดวงจิตของตนไม่พบเจอเท่านั้นเอง
    แต่เมื่อไหร่หาจิตเจอแล้ว ต่อไปเดี๋ยวก็พบธรรมของตน
    เพราะที่แท้จริงแล้ว ธรรมก็อยู่ที่จิตของตนเองนั่นแหล่ะ
    ธรรมมิได้อยู่ที่พระหรือวัด ฟังเธอพูดมานี้ยังไม่เข้าใจอะไรอีกแยะ น่าเห็นใจ
    เดี๋ยวครูเกษจะเปิดดวงตาธรรมให้นะครับ การปฎิบัติธรรมนั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่เอาจริง
    ตอนนี้กำลังใจหรือพลังจิตเธอมีน้อยเหลือเกิน พอจะมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง
    เอ๊า..ตื่นนอนแล้ว คนเราใจไม่ถึงธรรมนี่นะ ตายังไม่ทันจะลืมเลย ใจวิ่งนำหน้าไปก่อนแล้ว
    พวกเรารู้ตัวกันบ้างไหม ในขณะที่ใจมันวิ่งนำหน้าไปนั้น จิตได้ตกเป็นเหยื่อกิเลส
    ตกไปอยู่โลกแห่งความคิด(สังขารขันธ์)และพร้อมจะปรุงแต่งทุกเมื่อ สติคนธรรมดาตามไม่ทันแน่
    จิตผู้ใดก็ตามที่กำลังเป็นอยู่เช่นนี้ จงเข้าใจเลยว่า ท่านกำลังเผาผลาญจิตใจของตน
    กำลังใช้พลังจิตอย่างสิ้นเปลืองมาก ที่สำคัญก็คือ ไม่เป็นบุญกุศลด้วย
    มาที่นี่ครับ ที่นี่จะสอนให้ออกจากทุกข์ของตนแบบง่ายๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
    ขอขอบพระคุณที่มาเยี่ยมเยือนกัน ถือซะว่ามาฟังเทศน์ก็แล้วกัน...
    แต่ถ้าหากวันใดเธอทุกข์ใจ ไม่มีกำลังใจ แวะมาที่นี่ พวกเราจะเติมกำลังใจให้เต็มๆไปเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มิถุนายน 2013
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อั่ยย่ะ! ผู้ใด๋มาฝันถึงเรา
    ปล่อยให้โลกมันลืมชื่อภูนี้ไปเห่อ แหม๊ เดี๋ยวงานเข้าอีก
    ยิ่งตอนนี้มีคนหายไปเพราะสาเหตุอะไรก็ไมรุ๊ สงสัยไม่ยอมตามใจ
    ตราบใดยังมีขันธ์๕ หนีไม่พ้นโลกธรรม๘แน่ มีทั้งคนชมก็ย่อมมีคนนินทา เป็นธรรมดา
    ตาวิเศษเห็นนะ แต่มิได้ไปสนใจตรงนั้นเฉยๆ ยังๆมีคนที่เข้าใจผมผิดอีกแยะ
    มีคนถามว่า แล้วทำไมไม่ไปแก้ข่าว ผมก็ตอบว่า อย่าเลย อย่าไปเสียเวลาตรงนั้น
    กลับไปดูจิตของตนเองจะดีกว่าไหม๊
    ผมจำธรรมะของหลวงพ่อ(ฤาษี) ท่านบอกว่า อย่าไปสนใจโลกธรรม๘
    อย่าไปสนใจ ทั้งคำนินทาหรือคำชม แต่ถ้าเขานินทาเราย่อมรู้แก่ใจว่ามันจริงหรือไม่จริง
    ตัวของเราเองเท่านั้นย่อมรู้ดีแก่ใจ แล้วจะไปว่าหรือจะไปโกรธพวกเขาทำไม๊
    ถึงจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม เราก็ต้องกลับมาแก้ไขตนเองสิ..ชิมิ๊ๆ
    ผมเป็นลูกหลวงพ่อ มิได้แค่อ่านธรรมะ มิได้แค่ฟังเทศน์เฉยๆ แต่ปฎิบัติตามคำสอนของพ่อด้วย

    ถึงอย่างไร ก็ต้องขอขอบพระคุณมาก ที่ยังอุตส่าห์ระลึกถึงกัน(โดยเฉพาะยามนี้)
    ผมสบายดีใจดีครับ แต่อยากฝันรอบสอง บอกมานะครับเดี๋ยวจัดหั่ย ฮ่าๆ
    ดีแล้วที่ได้ยินเสียงอย่างเดียว แหม๊ๆจะให้กายหยาบปรากฎด้วยหรอนี่

    "เองคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงเอง แต่ถ้าเองไม่คิดข้า จะให้ข้าคิดถึงเอง..ดีไหม๊"
    จาก..อาจารย์ใหญ่ภู
    (มิทราบใครตราตั้งให้ หายไปไหนก็ไม่รุ๊ สงสัยงอนตุ๊บป่องๆไปแร๊ะ)
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอฝากเรื่องธรรมารมณ์หน่อย
    จงพึงระวังธรรมารมณ์หรืออารมณ์จิตของตนเองให้ดี
    โดยเฉพาะนักปฎิบัติ จะได้บุญใหญ่หรือบาปหนา ก็ตรงนี้แหล่ะ!
    อย่ามัวหลงตนว่า ข้านี่คือนักปฎิบัติ แต่ปฎิบัติดีหรือชอบไม่รุ๊ ไม่มีใครเขาอยากรู้
    เพราะคุณสมบัติที่ดีของนักปฎิบัติ ต้องอยู่กับกายกับใจของตน(เท่านั้น)
    นอกจากนักปฎิบัติจะต้องตรวจตราเรื่องศีลของตนเองแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือระวังจิตตนเอง
    มิฉะนั้นแล้ว เราจะไม่เจริญหรือไม่ก้าวหน้าในธรรมเท่าที่ควร เพราะส่งจิตออกนอก
    หรือส่งจิตเข้าในมากเกินไป เพราะนักปฎิบัติจักต้องมีวินัย คือสติเปรียบเสมือนพี่เลี้ยง
    เมื่อถึงเวลาต้องพาน้องจิตกลับบ้าน นั่นก็คือ สมาธิหรือฌาน อย่าปล่อยให้จิตวิปัสสนาเพลิน
    เหมือนนักบินหรือคนขับรถก็ต้องหมั่นตรวจดูน้ำมัน แต่เครื่องบินหรือรถบางรุ่นมีเครื่องเตือนก็ดีไป
    แต่นักปฎิบัติไม่มีเครื่องเตือน ไม่มีครูบาอาจารย์คอยเตือน เห็นมีเพียงสติเราเท่านั้น
    บุญภาวนาคือบุญภายใน ทำง่ายที่สุด ง่ายกว่าบุญภายนอก คือการให้ทาน
    เหมือนเราอยากจะใส่บาตรพระตอนหกโมงเย็นหรือสามทุ่มได้ไหม
    แต่ถ้าเป็นบุญภาวนานั้น พวกเราทำได้ทุกลมหายใจกันเลยทีเดียว
    เพราะฉะนั้น อย่ามัวหลงไปทำแต่บุญภายนอกอย่างเดียว บุญภาวนานี่แหล่ะง่ายสุด สะดวกที่สุด
    ถ้าใครทำเป็นนะ ได้บุญจริงๆ บุญคืออะไร คือความสบายใจ
    เวลาเราทำบุญภายในใจของเรานั้น คอยถามตนให้ดีนะว่า เราสบายใจไหม
    แต่ถ้าไม่ ต้องกลับไปนับหนึ่งกันใหม่นั่นก็คือ เรื่องศีล

    ต่อไปค่อยดูที่ตัวจิต และดูให้แน่ใจว่า...
    ในขณะนี้ จิตเราอยู่ที่ฝ่ายบุญกุศลหรือไม่???

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มิถุนายน 2013
  20. piralrat

    piralrat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +927
    ขอบคุณมากค่ะ ที่เข้ามาทักทาย
    เรื่องการปฏิบัตินั้น เข้าใจค่ะว่าทำที่ไหนก็ได้
    มีเหตุมีปัจจัยค่ะ แล้วแต่ใครจะคิดแบบไหน
    เพื่อนธรรม สาธุ ดูแลจิตของตัวเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...