ปัญหาการมีอยู่จริงของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาฮินดู

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Sirius Galaxy, 19 มิถุนายน 2013.

  1. โซ

    โซ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +872
    ก่อนที่จะมีศาสนาแห่งการตรัสรู้ใน อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้นว่างจากคำว่า อนุตรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมต้องมีสิ่งที่เป็นที่พึ่งหวังแก่มวลสัตว์ได้ นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น ภูต ผี ปิศาจ เทพ พระเจ้า พรหม ต่างๆ เหล่านี้ได้เกิดมีมาก่อนแล้วทั้งสิ้นในยุคของความว่างแห่งศาสนาการตรัสรู้ในอริยสัตว์ ความเป็นสมมุติเทพนั้นต่างก็มีวาระ มีหน้าที่ ปกครองในแดนของตน ไม่แปลกที่จะมีผู้คนให้ความเคารพนับถือ ในองค์เทพนั้นๆ
     
  2. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    อ้างอิงข้อความเดิมของคุณอินทรบุตร
    ไม่ได้ยึดถือเทพพรหมทั้งหลายเป็นสรณะ

    สรณะของข้าพเจ้า มีเพียง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    แต่ เทพ พรหม ทั้งหลาย จะปฏิเสธถึงการมีอยู่จริงก็ไม่ได้
    เทพ พรหม หลายองค์ ก็เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องพระพุทธศาสนา
    เช่นนั้นแล้ว ท่านทั้งหลายดังกล่าว ก็เหมือน ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ ในกิจการงานเพื่อศาสนา ที่เราสมควรจะถือเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่หรือ?

    พระอินทร์ ท้าวสหัมบดี ท่านธัมมะสามี คิดว่าถ้าไม่มีสององค์นี้ พระพุทธศาสนา ในปัจจุบันจะเป็นเช่นไร?


    .....ผมว่า " จะสนใจทำไมกับเทพของพราหมณ์ มันเป็นแค่ความเชื่อของเขาเท่านั้นเอง "
    ส่วนท่านปู่พระอินทร์ กับท่านปู่ท้าวสหัมบดีมหาพรหม ผมไม่ได้ว่าท่านสักหน่อย ใครจะหาญกล้าว่าพระอริยเจ้าระดับพระสกิทาคามีกับพระอนาคามีได้ เดี๋ยวท่านลุงพุฒิจดลงบัญชีอเวจีพอดี กรุณาอ่านข้อความให้ดีๆหน่อยครับท่าน
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ก็บังเอิญว่า เทพของพราหมณ์บางองค์ เป็นองค์เดียวกับในพุทธศาสนา แค่เรียกกันคนละชื่อหนะสิครับ เป็นดวงจิตดวงเดียวกัน ที่รับหน้าที่ตามสมมติ ของพราหมณ์ด้วย

    แต่โดยรายละเอียดผมไม่ทราบนะครับ ว่าองค์ไหน คือองค์ไหน เพราะไม่ค่อยได้สนใจฝั่งพราหมณ์เท่าไหร่เหมือนกัน
     
  4. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    สวรรค์ของฮินดูคือ อวยักตะ นิพานของฮินดูคือนิรวาณ เมื่ออยู่ในอวยักตะ เทวดาทุกพระองค์ล้วนบูชาพระเป็นเจ้า องค์แท้ องค์เดิม องค์เดียว เฉกเช่นเดียวกับสาวกฮินดูทั่วโลกก็ได้กระทำเช่นั้นตลอดมา และตลอดไป
     
  5. โฮดี้โจนส์

    โฮดี้โจนส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,152
    ค่าพลัง:
    +1,487
    พูดตรงไปตรงมานะ ถ้าสนใจเทพฮินดู ก็ควรจะศึกษาในแบบวิธีคิดของฮินดูเขาว่าเขาว่าไง อย่าเอาความเชื่อแบบพุทธเข้ามาปลอมปน เดี๋ยวมันจะสับสนเปล่าๆๆ ทำไมพระพุทธศาสนา แบบเถรวาทอย่างน้อยก็ในพระไตรปิฏกบาลี

    ถึงพูดถึงแต่พรหม ก็ยุตพระพุทธเจ้าคนฮินดูเขาเชื่อเรื่องพรหมนี่คุณ เขามีแต่พระพรหม ตอนแรกเขามีพระอินทร์ พระวรุณ เป็นใหญ่ เพราะอะไร ดูนะพระอินทร์เป็นเทพแห่งสายฟ้า และเทพพิทักษ์อารยันนะครับ พระวรุณ เป็นเทพแห่งสมุทรและฝน

    อินเดียยุคแรกเขาถือเทพตามพลังธรรมชาติ เทพแห่งไฟ แห่งน้ำ แห่งดิน แห่งนั้นนี่ ที่นี้พระอินทร์ พระวรุณ เป็นใหญ่ สุดเพราะ เป็นเทพที่เกี่ยวกับน้ำกับฝนกับอะไร คนยุคนั้นอะไรสำคัญกับเขามากที่สุด น้ำครับ เพราะการเพาะปลูกคุณต้องใช้น้ำ ดั้งนั้นจึ่งสำคัญพระอินทร์ พระวรุณ เป็นใหญ่ สุด ต่อมายุคหลังสองเทพนี้ถูกเอามารวมกัน พระวรุณหายไปเหลือแต่พระอินทร์ ที่มีส่วนผสมของพระอินทร์ ดั้งเดิม กับพระวรุณ

    แต่มันมีปัญหาตรงที่ พระอินทร์ ไม่สมบรูณ์ คุณเคยได้ยินไหมว่าพระอินทร์ ขี้อิจฉา ขี้เมา ไหม นั้นแหละปัญหา มันดูไม่เหมือนเทพเหมือนคน ดูไม่บริสุทธิ์

    ก็เลยมีการสร้างเทพที่สมบรูณ์แบบคือบริสุทธิ์ไม่เหมือนคน มีแต่สิ่งดีๆๆในภาพลักษณ์ของเทพ นั้นแหละจึ่งมีพรหม ขึ้นมาพรหมเป็นพระประชาบดีเป็นผู้สร้างโลกเสีย

    นี้ใหญ่สุด มายุคพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นเป็นคู่แข่งกับฮินดู ก็เลยต้องลดความน่าเชื่อถือของเทพสูงสุดลงคือพรหม พรหมจึ่งดูด้อยลงไปไม่ใช่พระเจ้าของจริง ไม่ใช่ผู้สร้าง ด้อยกว่าพระอริยบุคคลในศาสนาพุทธเสียอีก ศาสนาเชนเขาก็ว่าด้อยกว่าพระอริยบุคคลในศาสนาเขาเหมือนกัน อย่าว่าแต่ศาสดาเลย

    ยิ่งยุคหลังศาสนาพุทธพัฒนาระบบจักรวาลวิทยาขึ้นมาแข่งกับฮินดูและหันไปยุ่งกับปัญหาอภิปรัชญาอย่างการสร้างโลก เพื่อแย่งชิงมวลชน ก็เลยยิ่งมีการพูดถึงนรกสวรรค์และอื่นๆๆอย่างละเอียดรัดกุมขึ้น ระบบจักรวาลวิทยาแบบพุทธ ก็เลยยิ่งซับซ้อนขึ้นไป สวรรค์มีชั้นนั้นชั้นนี้พรหมมีกี่ชั้น นรกมีกี่ขุมอะไรเทือกนี้ พัฒนาทฤษฏีกำเนิดโลก กำเนิดมนุษย์ สู้กับฮินดู
    และเริ่มเอาบุคลิกแบบเทพเข้ามาใส่ในพระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าจึ่งยิ่งเหมือนเทพเหมือนพระเจ้า


    พรหมก็เลยกลายเป็นด้อยลงในมุมแบบพุทธด้อยกว่าพระอรหันต์สาวกเสียอีก อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย ยิ่งกวีในยุคนั้นก็ยิ่งเน้นพระพุทธเจ้าในแบบเหนือมนุษย์ใหญ่ เช่นในคัมภีร์มหาวัสตุ มหากาพย์พุทธจริต ซึ่งเป็นเค้าต้นแบบของสูตรมหายานยุคหลังเป็นต้น และเป็นต้นเค้าพระปฐมโพธิของเรานี่แหละ ที่คนไทยเราใช้เป็นแบบเรียนพุทธประวัตินั้นแหละ
    มีการสร้างถึงขนาดพระพุทธเจ้าองค์ต้นขึ้นมา พระอาทิพุทธเจ้าขึ้นมา ซึ่งดูไปๆๆมันก็พระพรหมตามแบบที่ฮินดูพูดในคัมภีร์นี่หว่า

    ที่นี้ ..........พระพรหมถูกเล่นงานเข้าคนเสื่อมศรัทธา จากการเล่นงานของพุทธ ของเชน ของศาสนาอื่นๆๆ นักบวชฮินดู ก็เลยไปสร้างเทพขึ้นมาอีก สองเทพ คือพระศิวะ กับพระวิษณุ พระวิษณุ ก็เอาวีรบรุษของเผ่าอารยันในอดีต มาเป็นแบบเสีย ก็เลยกลายเป็นพระราม พระกฤษณะ เป็นอวตาร ของพระวิษณุไป ส่วนพระศิวะนั้นก็เริ่มแสดงบทบาทในการเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมีพลังในการทำลายทุกสรรพสิ่ง

    พุทธเถรวาท เข้ามายังลังกาทวีปและเป็นอิสระอยู่ที่นั้น ก่อนส่งต่อมาไทย พม่า ลาว อะไรทำนองนี้ คัมภีร์ในยุคก่อนที่เรารับมาจากลังกาก็คือคัมภีร์ที่สืบทอดมาในช่วงพ.ศ.1-พ.ศ.500 พระศิวะ พระวิษณุยังไม่สำคัญ ไม่ปรากฏ จึ่งมีการพูดถึงพรหม
    ....เป็นส่วนมากในคัมภีร์รุ่นแรกๆๆ

    แต่ในประเทศมหายานนั้นรับพุทธจากอินเดียมาช้ากว่าลังกา กว่าจะรับเถรวาทในอินเดียก็กลายเป็นมหายานไปแล้ว ดั้งนั้นจึ่งมีการพูดถึงพระศิวะ พระวิษณุ มากเลย ในพระสูตรมหายานนี่มีเยอะในรูปของเทพเจ้าผู้ถูกพระพุทธเจ้าบำราบจนกลายเป็นเทพธรรมบาลพิทักษ์ธรรม ก็เหมือนที่พระอินทร์ พระพรหม กลายเป็นเทพธรรมบาลพิทักษ์ธรรม มหายานมีอิทธิผลต่อลังกาน้อยแต่ไม่ใช่ไม่มี ดั้งนั้นคนลังกาก็เลยมีเทพฮินดูเป็นเทพธรรมบาล คนไทยเราก็ได้มาจากตรงนี้และจากขอม(เขมร)ซึ่งเป็นฮินดูต่อหนึ่ง ประจวบกับคนไทยเคยถือมหายานมาก่อนโดยเฉพาะมีแนวโน้มว่าจะเป็นมหายานแบบตันตระด้วยซ้ำไป พระฮินดูจะเข้ากับวรรณะปกครองคนมีอำนาจได้ดีกว่าพุทธที่เข้ากับคนรากหญ้าได้กว่า เช่นฮินดูสอนให้สยบต่อผู้ปกครองผู้ปกครองคือเทพอวตารลงมา ในขณะที่พุทธวิพากษ์เรื่องนี้ คนไทยเคยอยู่ในอิทธิผลแบบนี้ก่อนไปรับเถรวาทแบบลังกาวงค์เข้ามา แม้จะรับมาแล้วแต่คติเดิมก็ฝั่งอยู่มิใช่น้อยในวัฒนธรรมโดยไม่รู้ตัว คือ ฮินดู นับถือผี พุทธมหายาน(รวมถึงแบบตันตระ) และพุทธเถรวาทผสมกันอย่างกลมกลืนดูไตรภูมิพระร่วง.....ก็จะเห็นเค้า

    นอกจากนี้ เพื่อสู้กับคติอวตารของพระวิษณุและเทพอินเดียต่างๆๆ ก็เลยมีการสร้างทฤษฏีตรีกายขึ้นมาพระพุทธเจ้าเองก็อวตารมาเป็นมนุษย์ได้แบ่งภาคได้ และเนื่องจากฮินดูมีเทพเยอะพุทธก็มีพระโพธิสัตว์เยอะตามมีพระพุทธเจ้าเยอะตาม

    ยิ่งยุคหลัง มีความเชื่อเรื่องพลังสองขั่วเติมเต็มกันเหมือนหยินหยางของจีน กลายเป็นลัทธิศักติ เทพฮินดูมีชายา ศิวะมีอุมา วิษณุมีลักษมี พระพุทธศาสนาในอินเดียก็เอาบ้าง พระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์มีศักติมีชายา แทนการรวมของปัญญาและกรุณา

    กลายเป็นตันตระในที่สุด นี้แหละการที่แข่งขันมาแล้วใช้วิธีแบบนี้เลยถูกฮินดูกลืนในที่สุด เพราะฮินดูก็เอาบ้างเราทำให้เทพเขาเป็นเทพธรรมบาลหรือมาร เช่นมีพระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์เหยียบเทพฮินดู ฮินดูก็เอาบ้างพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระวิษณุไปเสีย

    แล้วสังเกตว่าฮินดูตอนนี้มีเทพสามองค์ใหญ่สุด พรหม วิษณุ ศิวะ สาวกก็เถียงกันว่าพระเจ้าใครใหญ่กว่ากันก็เลยเอามารวมกันเสีย เป็นองค์เดียวแต่แสดงคนละภาคไม่มีใครใหญ่กว่ากัน ซะงั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2013
  6. stone111

    stone111 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +32
    เห็นด้วย จริงๆ ครับ
    ไอ้พวกชอบมั่ว เอาคติพราหมณ์กับคติพุทธ มาปะปน
    ต่างๆ คนก็ต่างเอาคติตัวเองเป็นใหญ่
    ทางพุทธ ก็บอกว่ามหาเทพ ก็แค่ชั้นพรหม
    ส่วนทางพราหมณ์ ก็บอกวา พระพุทธเจ้า ก็แค่อวตาร พระนารายณ์

    ส่วนทางคติพุทธ ก็บอกว่า ขอกูดีกว่า ขอกูเทพเทวัญต้องไหว้พระ คนละชั้นคนละคลาสกัน
    ส่วนทางคติพราหมณ์ ก็บอกว่า ของพุทธ นะรุ่นลูก รุ่นหลานกู เกิดจากกูแล้วยังมาอวดหยิ่งผยอง
    ไอ้เนรคุณ ไม่มีกู ศาสนามึงไม่เกิดหรอก อย่าอวดดีไปเลย
    หากศาสนามึงดีจริงๆ ทำไมไม่เกิดก่อนละ แล้วมีศาสนาเดียวในโลกนี้ไปเลย
    จะไม่ได้ดูถูกศาสนาอื่นเขา

    ยิ่งพวกเป็นพระสงฆ์องค์เจ้า แต่ปาก.....มีมานะ เทียบชั้นอวดของกูดีอยู่ได้
    ไอ้พวกสิ้นคิด ยึดคติกันอยู่ได้ ใจยังสกปรกกันอยู่เลย

    เอาเวลามานั่งวิพากษ์ ไปทำให้จิตสะอาดไม่กว่าหรือจังไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มิถุนายน 2013
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เรื่องการเมืองระหว่างศาสนานั้น ก็มีอยู่จริงตามที่ว่า

    แต่สภาวะปรมัตถ์ของภพภูมิต่างๆ และทางโลกทิพย์ ก็มีระดับชั้นตามสมมติอยู่จริงๆ เหมือนกัน

    จะยึดอะไรเป็นความจริงหละ? สภาวะของจิต หรือ ตำรา?

    หากจะยึดตำรา ก็ถกเถียงกันไปในเรื่องของตำรา แต่ก็ให้พึงระลึกไว้ว่า เป็นการเถียงกันในภาพของสิ่งที่ตนเองไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส เท่านั้นเอง

    แต่สำหรับผู้ที่เห็นสภาวะแห่งจิตระดับชั้นต่างๆ ของเทวดา และ พรหม จริงๆ แล้ว คงไม่มายุ่งกับการแย้งกันในเนื้อหาในตำราด้วยครับ
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อย่ายึดติดและปิดใจ ธรรมะมีอยู่ทั่วไปทั้งภายในและภายนอก
    จริงคือเท็จ เท็จคือจริง โลกล้วนอนิจจัง
    ความคิดความเห็นก็ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    มองอะไร มองสิ่งใด หากเคารพในพระรัตนตรัย
    จงมองด้วยใจเป็นกลาง ปราศจากอคติ
    มองด้วยตาใจ และจงมองให้สุดทางก็จะเห็นถึงสิ่งที่สงสัย
    มายาฉาบไว้ทุกที่ทุกทาง...สิ่งใดเล่า คือ มายา....
     
  9. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    พระพรหม คือ ผู้สร้าง ผู้ให้กำเนิด พระอิศวร คือ ผู้ที่มีความเป็นอิสระ พระนารายณ์ คือ ผู้ควบคุมรักษาให้เกิดความสมดุลย์ ระหว่างความดีและความชั่ว เขาสอนให้ทำตามหน้าที่ของตนไป เกิดมาเป็นพ่อค้าก็ทำหน้าที่พ่อค้าไป จะมาทำหน้าที่อื่นไม่ได้เด็ดขาด เกิดมาเป็นนักรบก็รบกันซะเพลินเชียว
    ความมีอยู่ปรากฏเมื่อเกิดการรับรู้ และหมดไปเมื่อเราลืมเลือน
     
  10. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้สนทนา กับพี่ริชชี่ ตอนไปปฏิบัติธรรมที่วัดถ้ำดอยโตน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ พี่ซุปเปอร์ริชชี่ เป็นคนที่บรรยายเรื่องการทำสมาธิเพื่อขออโหสิกรรม ฟรี แต่คนในหลายๆจังหวัด ซึ่งสามารถสื่อสารกับพระนารายณ์ได้ เท็จจริงอย่างไรผมไม่รู้ แต่ผมก็ได้ถามคำถามนี้ไปเหมือนกัน พี่ริชชี่ บอกว่า พระนารายณ์ ก็คือพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ซึ่งบำเพ็ญบารมีอยู่เพื่อไปเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่ง พระโพธิสัตว์ก็มีอยู่หลายพระองค์เช่นกันที่รอ การไปเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อขนสัตว์โลกพ้นจากวัฏสงสาร หรือเพื่อนิพพาน พี่ริชชี่บอกว่า พระนารายณ์ อยู่ที่ สวรรค์ชั้นดุสิต , พระเยซูก็อยู่บนสวรรค์ เช่นเดียวกัน...
     
  11. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    __/|\__ กราบขอบคุณ ทุกคำตอบ ทุกความคิดเห็นของทุกๆท่าน

    กระผมเองก็คิดไว้เหมือนกันว่า ถ้าตั้งกระทู้แบบนี้ขึ้นมา ก็คงจะได้คำตอบ ความคิดเห็นที่หลากหลาย จนเป็นเหตุทำให้เกิดความสับสน จับต้นสายปลายทางไม่ถูก

    เหตุที่ตั้งกระตู้นี้ขึ้นมา ก็หวังว่าอาจมีท่านผู้รู้จริง เห็นจริง ได้เข้ามาตอบเพื่อบรรเทาความสงสัย ที่จริงจะทำใจไม่สงสัยเลยก็ทำได้ เพราะยึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ก็อดใจไว้ไม่ได้ เพราะคิดขึ้นมาทีไร ความสงสัยก็เข้ามาเมื่อนั้น

    ผมชอบบางท่านที่ตอบเชิงวิชาการ
    และบางท่านที่ได้มโนมยิทธิขั้นสูง เช่น หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ คำตอบของท่านดั่งผู้รู้จริง

    จากการที่ผมได้ศึกษา พบว่า พุทธกับพราหมณ์นั้นผสมกลมกลืนเข้ากันได้ดี บางครั้งก็สับสนจนแยกกันไม่ออก ถ้าจะแยกจนเห็นเป็นเด่นชัด ก็ต่อเมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้่าอุบัติตรัสรู้ขึ้นในโลก พระองค์ทรงเป็นครูของเทวดา และมนุษย์ทั้่งหลาย หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานใหม่ๆ ศาสนาพุทธก็ยังคงมีลักษณะเฉพาะ คือ เป็นศาสนาประเภทอเทวะนิยม ไม่นิยมบูชาเทพเจ้า แต่พอกาลเวลาล่วงเลยผ่านมา ศาสนาพราหมณ์ก็เข้ามาผสมกลมกลืน เป็นลักษณะแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย พึ่งพาอาศัย อยู่ด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหา และยิ่งเมื่อใกล้หมดอายุของพระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ก็จะมีความเ่ด่นชัดมากขึ้น และก็จะเหลือแต่ศาสนาประเภทเทวะนิยม คือ นับถือบูชาเทพเจ้า ในกาลเมื่อหมดสิ้นอายุพระพุทธศาสนา

    ซึ่งแน่นอน เทพเจ้าหลายๆพระองค์นั้น ย่อมจะมีบ้างที่เป็นพระโพธิสัตว์ และก็มีไม่น้อยที่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้ว และก็มีมากมายหลายพระองค์ที่กำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ บางองค์ก็ลงมาบำเพ็ญบารมียังโลกมนุษย์

    ในทางกลับกัน ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ บำเพ็ญพระโพธิสัตว์ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็อาจจะมีบ้างไปเกิดเป็นเทพเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง หรือมีชื่อใดชื่อหนึ่ง ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ และไม่แน่เทพเจ้าองค์นั้นก็อาจเป็นที่กล่าวขาน เป็นที่ยอมรับนับถือบูชาของผู้คนทั่วไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2013
  12. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    ชอบคำตอบท่านโฮดี้ ดูมีเหตุมีผล ศาสนายุคแรกๆ มันก็สร้างมาจาก ความกลัว กลัวในธรรมชาติ กลัวน้ำ กลัวไฟ กลัวตาย มาคิดดูดีๆชีวิตคนมันก็แค่นั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ถูก ให้อยู่กับปัจจุบัน อย่ายึดมั่นถือมั่น มีความสุขกะปัจจุบัน เวลาจะตายก็มีสติ อย่ากลัว ทุกนาทีร้ายๆเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ถ้ายอมรับความจริงตามธรรมชาติได้ก็เท่านั้น
     
  13. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู พยามจะกลืนศาสนาพุทธ ทั้งที่ ไอเดียศาสนาพุทธดีกว่าเยอะต่างกันมากด้วย......ฮินดูมีแต่พิธีกรรม อีเดียต ฟุ้งเฟ้อ สิ้นเปลือง อย่างอินเดีย คนจนจะตายชักยังจะทำเทวรูปเทพ แกะสลักองค์ใหญ่เป็นทองบ้างเอาไปถล่มทลายแม่น้ำ คนที่เขามีหัวคิดที่ไหนจะทำอย่างั้น เบื่อวงการคนไทย คลั่งทรงเจ้าเข้าผี เต้นแขก ผิดๆถูกๆ เป็นลาวแต่อยากเป็นแขกกัน เอาชื่อเทพนั้นนี้มาอ้างหากิน ......ดิฉันเรียนอยู่ฮอลแลนด์ พวกแขกอินเดีย ทมิฬ มุสลิม นี้เยอะมากมาทำงานขี้ข้าใช้แรงงานเป็นลูกจ้างฝรั่ง มารยาทก็ซาม เห็นจนเบื่อ เดินกันให้ขวับไปหมด......ในบรรดาแขกทั้งหลายทั้งปวงดิฉันยกย้อง คนอัฟกานีสถาน อิหร่าน และเนปาล บอสเนียเซอร์เบีย มากที่สุด เป็นแขกที่น่ารัก มีความสุภาพ หน้าตาอ่อนโยน มีน้ำใจมากที่สุด โดยเฉพาะคน
    อัฟกานีสถาน เขาจะไม่แขกไปทีเดียว บางคนก็ออกเอเชียนิดๆ แต่ตาสวย จมูกคมแบบพอดีๆไม่ใหญ่เท่าแขกอาหรับ บางคนก็ออกฝรั่ง ขาวชมพู ผมสีอ่อนหน่อย บุคลิกท่าทางก็ผู้ดีเขาสมชื่อ อาณาจักรอารยัน ดินแดนผู้มีอารยะธรรมจริง........แต่ก่อนดิฉันก็ค่อนข้างเชื่อ เรื่อง พราหมณ์ ฮินดู แต่เดี๋ยวนี้เลิกเชื่อ เพราะไม่ได้ช่วยอะไรให้คนพ้นทุกข์ ถ้าจะนับถือ พราหมณ์ ฮินดู สู้นับถือ คริตส์ยังจะดีกว่า เขายังมี ชีวิตนิรัญ มีสวนของพระเจ้า มีปราสาทราชวังเป็นที่ไป ไม่รู้จรงไหมแต่จุดมุ่งหมายของเขาให้ความสุขอย่างนั้น ส่วนศาสนาแขก เทพเจ้าต่างๆดิฉันก็เคารพ ไปตามประเพณี วัฒนธรรมไทยคนเขาไหว้ เราก็ไม่ลบหลู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ศาสนา ทุกศาสนา คือ การรวมกลุ่มกันของดวงจิต ที่มีบุญกรรมสัมพันธ์กัน
    ศาสดาผู้ประกาศ ศาสนา นั้นคือ หัวหน้าของดวงจิตกลุ่มนั้น หรือจะเรียกว่าผู้เป็นโพธิสัตว์ ก็ว่าได้

    ศาสนาที่ถูกต้อง จะสอนให้ทุกคนทำความดี เพื่อเป็นการสะสมบุญบารมี ในลักษณะรวมกลุ่ม

    แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น จะไม่หลุดพ้น ตราบกระทั่งหัวหน้าของกลุ่ม ได้ตรัสรู้ และค้นพบเจอ ว่า ขั้นตอนการทำให้ชาติภพไม่เกิด เป็นเช่นไร

    ให้เปรียบเทียบหลายๆ ศาสนา ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

    คริสต์ และ อิสลาม มี ทาน ศีล

    พราหมณ์ มีภาวนา แต่การภาวนานั้น ยังไม่ละเอียดจนถึงขั้นที่เห็นต้นกำเนิดการสร้างชาติภพ

    มีแต่พุทธศาสนาเท่านั้น ที่มีการสอนได้จนถึงการเห็นการเกิดชาติภพ และระงับได้

    ในโลกธาตุอื่นๆ และ ยุคอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน
     
  15. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ที่รู้อย่างศาสนาฮินดู กลัวคนไปนับถือพุทธกันหมด เลยสร้างตำนานพระนารยณ์อวตารมาเป็นพระพุทธเจ้า และทรงชักพาให้เหล่าอสูรพากันหลงผิดไปเสีย ไปนับถือพุทธศาสนา และละทิ้งพระเวท แล้วพระองค์ก็ได้ทรงเป็นอรหันต์ และทำให้คนอื่น ๆ เป็นอรหันต์ พวกนอกพระศาสนาจึงได้เกิดมีขึ้น" อาจสงสัยว่า ทำไมจะไปล่อให้อสูรออกนอกศาสนาเสียละ ทำให้เขานับถือไม่ดี หรือตอบง่าย ๆ ว่า พราหมณ์หรือฮินดูถือว่า อสูรเป็นศัตรูของเทวดา เมื่ออสูรมารู้พระเวท ทำพิธีบูชายัญ เป็นต้น ก็จะมีฤทธิ์มีอำนาจ เทวดาก็ปราบไม่ได้ เหมือนอย่างเรื่องข้างต้น พระนารายณ์จึงอวตารเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกอสูรกับพวกออกไปเสียจากศาสนาฮินดู (ให้เลิกนับถือพระเวท เลิกบูชายัญเป็นต้น) แล้วจะได้หมดฤทธิ์ หมดพลังอำนาจ เสร็จแล้วพวกเทวดาจะได้สามารถปราบหรือกำจัดอสูรได้สำเร็จ หมายความว่า พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อมาหลอกเหล่าอสูร ซึ่งเป็นศัตรูของเทวดาให้หลงผิดเลิกนับถือพระเวท เลิกบูชายัญ เป็นต้น แล้วอสูรจะได้หมดฤทธานุ-ภาพ คือมาช่วยให้เทวดาปราบอสูรได้สำเร็จ และก็หมายความว่า ชาวพุทธทั้งหมดนี้คือพวกอสูร ซึ่งจะต้องถูกปราบถูกกำจัดต่อไป คัมภีร์ภาควตปุราณะ ซึ่งเป็นปุราณะที่สำคัญที่สุดกล่าวว่า "เมื่อกลียุคเริ่มขึ้นแล้ว องค์พระวิษณุเจ้า (พระนารายณ์) จะลงมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า โอรสของราชาอัญชนะ (ที่จริงเป็นพระอัยกาของพุทธเจ้า) เพื่อชักพาเหล่าศัตรูของเทพยดาทั้งหลายให้หลงผิดไปเสีย มาสอนอธรรมแก่เหล่าอสูร ทำให้พวกมันออกไปเสียจากพระศาสนา พระองค์จะทรงสั่งสอนเหล่าชนผู้ไม่สมควรแก่ยัญ พิธีให้หลงผิดออกไป ขอนอบน้อมแด่องค์พุทธะ ผู้บริสุทธิ์ ผู้หลอกลวงเหล่าอสูร" ที่ว่ากลียุคนั้น ทางฮินดูถือว่ามีเครื่องหมายแสดงให้รู้คือ เมื่อใดการแบ่งแยกวรรณะทั้ง ๔ เริ่มผ่านคลายเสื่อมสลายลง ก็แสดงว่ากำลังเริ่มเข้าสู่กลียุค ตอนนี้ คัมภีร์ปุราณะก็กล่าวบรรยายไว้ด้วยว่า เมื่อพระวิษณุอวตารเป็นพระพุทธเจ้ามาหลอกอสูรและพวกให้หลงผิดออกไปจากศาสนาฮินดูเรียบร้อยแล้วต่อไป เมื่อสิ้นกลียุคแล้ว พระองค์ก็จะอวตารลงมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นอวตารปางที ๑๐ (ต่อจากพระพุทธเจ้าซึ่งเขาจัดเป็นปางที่ ๙ ) ชื่อกัลกี (กัลกยาวตาร) เพื่อกำจัดกวาดล้างฆ่าเหล่าอสูรนั้นให้หมดสิ้น แล้วเสด็จกลับคือสู่สรวงสวรรค์ ต่อแต่นั้น โลกก็จะกลับเข้าสู่ยุคทอง

    พวกคนฮินดูที่สร้างเรื่องหลอกลวงแบบนี้ เลวขนาดไหนลองคิดดูคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2013
  16. stone111

    stone111 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +32
    รู้ไม่จริง แต่อวดรู้
    ศาสนาฮินดู เขาไม่ได้สนใจเรื่องไร้สาระ ที่รู้แบบไม่จริงหรอก
    ไปดูสาระคดีเหตุใดที่พระพุทธศาสนา ยืนหยัดอยู่ได้เพราะบารมีศาสนาพราหมณ์คุ้มครอง

    หากไม่เอาพระพุทธเจ้าเป็นอวตารเป็นพระนารายณ์ ปานนี้ศาสนาพุทธเลอะ
    โดยอิสลามขยี้ไม่เหลือแน่นอน คงไม่มีให้เห็นกราบไหว้เฉกเช่นทุกวันนี้หรอก

    อยากจะปั้นฮีโร่ของตนเอง อย่างไร ก็ปั้นไปเถอะ
    แต่อย่าเอาศาสนาอื่นเปรียบเทียบ เพื่อทำให้ศาสนาอื่นดูด้อย
    แต่หากเปรียบเทียบเชิงสร้างสรรค์ ก็ว่ากันไป
    เพราะมันไม่ใช่วิสัยของผู้เจริญ ปากก็บอกว่านับถือพุทธ ก็แค่ทะเบียนราษฏร์

    ไปอ้าง นิพพาน โมกษะ ไกวัลย์ ถามจริงๆ เคยไปกันบ้างแล้วยัง
    หรือว่าเป็นเพียงแค่มโนทัศน์

    ศาสถานบุโรพุทโธ ไม่มีคำว่านิพพาน (Nirvana) บัญญัติไว้เลย
    คำนี้ เพิ่งจะมาบัญญัติ ก็ล้วนเอาของพราหมณ์และเชน มาดัดแปลงทั้งสิ้น
    มีแต่ "ความว่าง" เขาเปรียบเหมือน มะนาวที่ถูกหั่นจนไม่ไม่สามารถปรากฎได้อีก เราเรียกว่า infinity
    เปรียบได้ก็คือ เนวสัญญา : สิ่งที่เกิดขึ้น คงอยู่ และก็ดับไป
    สิ่งที่เคยดับ ก็เคยคงอยู่ และก็เคยเกิดขึ้น (มีก็คือ ไม่มี, ไม่มี ก็คือ มี)

    แล้วเทียวเอามาห่มศาสนาอื่นๆ มาของตนเองมีดีแต่ผู้เดียว คนอื่นไม่มี
    พวกโง่ แล้ว ยังอวดฉลาด

    นี้ ถ้าหากจะบอกว่า พระพุทธเจ้า ไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็นจริง
    มีแต่สภาวะที่เป็นทิพย์ เท่านั้น แล้วละก็
    แสดงว่าที่กล่าวๆ กัน ก็มีแต่พวกลวงโลกกันทั้งนั้น
    ก็คงไม่ต่างกับเทพนิยาย หรือ เทพปกรณัม ไปนะหรอ
     
  17. stone111

    stone111 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +32
    อยากจริงๆ อยากเป็นพระโพธิสัตว์
    ไปถามใจตัวเองก่อน ว่า มีใจเพื่อผู้อื่นหรือไม่
    หากไม่มี หรือกำลังใจไม่ถึง อยากเพิ่งอ้างพระโพธิสัตว์

    หัวใจพระโพธิสัตว์ ปรารถนาเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่น
    ด้วยมหาเมตตา มหากรุณา มหาปัญญา
    สร้างบารมีสิบทัศน์ มีมุติตา เป็นเบื้องต้น มีธรรมเมฆาเป็นที่สุด
    อ่อน กลาง กลาง

    หากทำให้แค่ตนเอง และครอบครัว
    อย่าเพิ่งสเล่อ เป็นพระโพธิสัตว์
    ไปเป็นฆราวาส ที่เป็นคนดีพอแล้ว
    และไม่ต้องไปแย่งซีนพระทำ

    แต่อยากเป็นหลุดพ้น ก็บวชและเข้าป่าไปเลย
    ไปอยู่อย่างฤาษี ไม่ต้องขอ หากินเอง

    อย่าไปเป็นพระสงฆ์เมือง ที่แบ่งชนชั้น
    อย่าไปเป็นพระสงฆ์บ้าน ที่ทำตัวเป็นเหลือบไร
    อย่าไปเอาเยี่ยงอย่าง พวกพระสงฆ์ที่ทุศีล
    อย่าไปเป็นสงฆ์ ที่คอยเสียมสอนทำลายศาสนาอื่น

    มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว
     
  18. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
    กระผมเองก็บูชาเทพเจ้า

    ที่บ้านผมก็มีองค์เทพบูชาไว้บนโต๊ะหมู่บูชา ได้แก่ พระพรหม พระนารายณ์ พระแม่ลักษมี พระวิษณุ และพระพิฆเนศ ซึ่งเป็นการบูชาคุณงามความดี ของเทพ เทวดา พรหม และโดยความเชื่อส่วนตัวคิดว่าเทพเหล่านี้มีจริง ซึ่งอาจมีปรากฏในมหาสมัยสูตร โดยที่ไม่ได้มีชื่อเช่นนี้

    ความเชื่อเรื่องพระนารายณ์อวตาร หรือพระนารายณ์มาเกิด ที่พอจะมีหลักฐานบันทึก ได้แก่ ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเล่าว่าเมื่อแรกสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสด็จพระบรมราชสมภพนั้น พระญาติเห็นพระโอรสมีสี่กร พระราชบิดาจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “พระนารายณ์ราชกุมาร” ส่วนในคำให้การชาวกรุงเก่าและคำให้การขุนหลวงหาวัด เล่าว่าเมื่อเพลิงไหม้พระที่นั่งมังคลาภิเษก พระโอรสเสด็จไปช่วยดับเพลิง ผู้คนเห็นเป็นสี่กร จึงพากันขนานพระนามว่า “พระนารายณ์”

    ผมเคยเข้าไปในอุโบสถวัดแขกที่สีลม ทั้งหมดสัก 2 ครั้ง เข้าไปบูชาและชมเทพเจ้า ยอมรับว่าสัมผัสพลังงาน ซึ่งเป็นพลังงานที่แรงมาก ต้องรอสักพักถึงจะปรับคลื่นเข้ากันได้ จนเกิดความเย็นมีเมตตา ผิดกับโบสถ์พุทธ เข้าไปทีไรเกิดความเย็นสงบ ยิ้มน้อยๆในดวงใจ
     
  19. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนโกหก ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ใช่อวตารพระนารายณ์จริง คนที่แต่งเรื่องขึ้นมาก็ผิดศีล 5 อีกอย่าง การที่ศาสนาอิสลามจะมากินโต๊ะเอาสาวกไปนั้นก็เป็นเรื่องทางโลกมันตั้งอยู่ มีดับสลายไปตามกาละเวลา ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนยึดมั่นถือมั่นยึดติดอยู่กะแค่ว่าศาสนานี้จะต้องมีสาวกมาก อยู่ต่อไปชั่วฟ้าดินสลาย...... ถ้าคนคนนั้นถึงกาละเวลาของเขา เขาก็จะมาเห็นธรรมด้วยตัวเอง ถ้ามันยังไม่ถึงกาลเวลาสมควร เขาก็ยังไม่เห็นธรรมก็เท่านั้น....... ต่อให้เกิดมาเป็นพุทธโดยทะเบียนบ้านก็เถอะ

    ว่าแต่ศาสนา อะไร เอาสัตว์มาบูชายัณ พระแม่กินเลือด แค่ศีลห้าต่ำๆยังทำไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2013
  20. ปรมิตร

    ปรมิตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +528
    อ่านเเล้วสนุกดี กระเเทกใจเป็นช่วงๆ 555

    ผมเองก็สงสัยในความรู็ความเข้าใจ ในคติของตนว่า จริงๆเเล้วเราเข้าใจถูกหรือไม่
    เรามองเฉพาะในมุมของเรามากหรือเปล่า
    หากจะยึดถือความเชื่อควมเข้าใจก็จะไม่พ้น มีมานะทิฐิ
    แต่หากเชื่อหมดรับมาหมด ก็จะกลายเป็นผู้ที่ไม่มีหลัก มีศรัทธาเปลี่ยนเเปลงง่ายดุจหัวเต่าหดเข้าหดออก หรือเจือจางง่ายดุจน้ำขมิ้น555

    ผมว่าเราต้องยอมรับก่อนว่า คนเรามองเห็นสิ่งเดียวกัน ด้วยความเข้าใจที่แตกต่างกัน
    สื่อออกมาหรือบอกเล่าเเตกต่างกัน ไม่มีเหตุผลที่ต้องเถียงกันเอาเป็นเอาตายให้มาเชื่อ ไม่มีเหตุผลที่ต้อง เอาชนะว่า ความเห็นตนถูก
    ท่านผู้บริสุทธิ์ที่ผมนับถือ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่เคย เถียงว่า ท่านพูดถูกที่สุด
    ไม่เคยขอร้องให้ใครมาเชื่อ คนฟังจะเชื่อไม่เชื่อ ไม่เป็นไร
    จริงๆ
    ดังนั้น ผมว่าเราเสนอ เเง่มุมความเข้าใจของตน แล้วเปิดโอกาสให้คนอื่นเเสดง
    พิจารณา ความเห็นว่า น่าเชื่อ น่าเปลี่ยนแปลงความเห็นของตนหรือไม่
    ถ้าไม่ใช่สรรพพัญญู อย่ามั่นใจมากนักเลย ว่า ของตนเองหรือสิ่งที่เรารู้มันถูก
    ต่อให้มีสมาธิกล้า ก็ ยากที่จะเเยกว่า ไม่ใช่ การปรุงแต่งของจิต ไม่ใช่อุปาทาน
    ใช่ไหมละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...