หลวงปู่มั่นแนะนำวิธีการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือผี เข้าทรง การนับถือเทพเจ้าต่างๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 3 มิถุนายน 2013.

  1. ติโลกเหลน

    ติโลกเหลน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +86
    ในอาณาจักรล้านนา สมัยพระเจ้าติโลกราช พระองค์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ได้ทรงติดต่อกับลังกาและนำพระพุทธศาสนา ในลังกา มาเผยแผ่ในดินแดนภูมิภาคนี้ ซึ่งภายหลังเป็นไมตรีกับอยุธยาแล้ว อยุธยาก็ได้ส่งทูตมาขอคณะสงฆ์นั้นๆไปเผยแผ่ในอาณาจักรเช่นกัน พระองค์ได้สังคยนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลก ในทางธรรมถือว่าได้สร้างมหากุศลอันยิ่งใหญ่ที่สุด
    แต่เพียงเพราะทรงทำลายไม้ศรีเมืองแห่งนครพิงค์เชียงใหม่ คือต้นนิโครธ อันมีมาแต่สมัยพญามังราย สร้างเมืองเชียงใหม่ ต้นไม้นี้แสดงนิมิตให้พญาทั้ง3 (พญามังราย พญาร่วง พญางำเมือง) เห็นโดยเกิดมีกระรอกเผือกตัวเท่าดุมเกวียน พร้อมบริวาร 4 ตัว วิ่งลงรูใต้ต้นไม้นิโครธต้นนี้ พญาทั้ง3 จึงถือเป็นมงคลนิมิต ได้สถาปนาไม้ต้นนี้เป็นที่สถิตของเทพยดาประจำพระนคร ทำหน้าที่รักษานคร และอำนวยให้ความเกิดรุ่งเรืองและทำให้นครพิงค์เชียงใหม่ มีเดชานุภาพมาก สามารถปราบปรามบ้านเมืองรอบพระราชอาณาเขตและแผ่ขยายออกไปได้กว้างไกลกว่าเก่า แม้อยุธยาก็ไม่อาจต้านทานได้ จนต้องย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่เมืองพิษณุโลก รวมสถิติการทำสงครามของสองอาณาจักร ล้านนามีชัยชนะอยุธยามากกว่า จนถึงกับต้องเสียองค์รัชทายาท คือ พระอินทราชา ดังนั้นพระบรมไตรโลกนาถ จึงทรงให้ความสำคัญกับไม้ศรีเมืองนี้มาก โดยโหรอยุธยาแนะว่าเชียงใหม่ มีไม้ศรีเมือง ทำให้ดวงเมืองแข็ง มีเดชานุภาพมาก ต้องทำอุบายเพื่อทำลายต้นไม้ศรีเมืองดังกล่าว เมื่อต้นไม้ศรีเมืองถูกทำลาย ดวงเมืองจึงอ่อนลง ได้เกิดอาเพศต่างๆ ทั้งภัยธรรมชาติและปัญหาการเมือง ยิ่งในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงทำอาถรรพณ์ทำลายเดชาเมืองเชียงใหม่ ณ ประตูช้างเผือกอีก ทั้งเคลื่อนย้ายพระสำคัญที่อยู่กลางเวียงไปไว้ที่อาณาจักรล้านช้างจนสิ้น (โบราณเชื่อว่าพระพุทธรูปสำคัญ มีเทพยดาที่ทรงมเหศักดิ์รักษาอยู่ จะอำนวยความเจริญรุ่งเรืองและเดชานุภาพ ให้กับสถานที่ประดิษฐานและผู้ครอบครอง) ล้านนาเสื่อมจึงอำนาจลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายราชวงศ์มังราย ก็สิ้นวงศ์จนไม่มีรัชทายาทปกครองอาณาจักรล้านนา และเสียเอกราชให้กับอาณาจักรตองอู ในเวลาต่อมา

    กล่าวถึงในสมัยอยุธยา คือ ยุคพระเจ้าปราสาททอง พระองค์ทรงรอบรู้ไตรเพท ทั้งพุทธพราหมณ์ ซึ่งเป็นวิชาที่ได้สั่งสมมาแต่อดีตบูรพกษัตริย์ ได้รับการพรรณนาว่าเป็นวิชาที่เทพยาดาได้ร่ำเรียนจากพระพรหม เป็นวิชาเพื่อการบริหารปกครองและปราบปรามแผ่นดิน ที่เรียกกันว่า พระมหาพิชัยสงครามตำหรับใหญ่ แต่ภายหลังก็ทรงได้ทำลายตำราเหล่านั้นจนสิ้น หนึ่งเพื่อป้องกันการร่ำเรียนและตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ของฝ่ายตรงข้ามในภายหน้าและอีกประการหนึ่งคือทรงอุทิศตนทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เพื่อชำระล้างความเสื่อมโทรมและหยุดการแก่งแย่งอำนาจที่มีมาแต่อดีต แต่หลังการสิ้นรัชกาลของพระองค์ อาณาจักรพระนครศรีอยุธยา กลับไม่มีอำนาจควบคุมหัวเมืองทั้งปวงในการปกครองได้ เรียกว่าไม่สามารถเรียกรวมพลจากหัวเมืองในอาณาจักรได้ หากเกิดสงครามใหญ่ คำที่ใช้กันในปัจจุบันคือ “รัฐบาลอยุธยายุคปลายก่อนสิ้นกรุงบริหารราชการแผ่นดินไม่เป็น” จนถึงยุคพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พระราชบิดาของพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร หรือขุนหลวงหาวัดและพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์) เมื่อไม่มีความสามารถหรือความรู้ในด้านการบริหารปกครอง จึงต้องใช้พระพุทธศาสนาเป็นแกนนำราษฎร ทั้งนี้ให้เกิดความร่วมเย็นในอาณาจักรและแสดงตนว่าไม่ต้องการประกาศสงครามกับอาณาจักรใดๆ ยุคนี้จึงได้เรียกว่าเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนา รัชสมัยของพระองค์ได้ส่งคณะสงฆ์ เป็นทูตไปลังกา เพื่อบรรพชาและอุปสมบทผู้ศรัทธาในศรีลังกาเป็นจำนวนมาก จนเกิดนิกายสยามวงศ์ขึ้นและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการที่ได้ครองพื้นที่แถบชายฝั่งทวายตะนาวศรี ทำให้มีการค้าทางเรือที่รุ่งเรืองแต่กับการเมืองการทหารนั้นอ่อนแอยิ่ง ยุคนี้มีการใช้จ่ายทรัพย์สินที่สิ้นเปลืองไปกับการสร้างบูรณะศาสนาสถาน เท่ากับยิ่งเร่งความหายนะให้กับอาณาจักร เพราะการที่มีวัดวาอารามสวยงาม รวมถึงข่าวความมั่งคั่งร่ำรวยของอยุธยา เป็นเหตุให้อาณาจักรรัตนปุระอังวะ หมายจะปล้นเมือง เมื่อถึงภาวะสงคราม เหล่าชายฉกรรจ์ที่มั่งมีก็จะหลบหนีทหารโดยใช้การส่งส่วยให้กับมูลนายเพราะเกรงจะตายในสมรภูมิทิ้งสมบัติบ้านช่อง ส่วนที่ยากจนก็หนีบวชเอาผ้าเหลืองบังหน้า หลบลี้ไปอยู่ป่าเขา ซึ่งผลของการส่งเสริมทางพระพุทธศาสนา ที่แข่งบุญกุศลสร้างวัดวาอาราม และปฏิบัติธรรมหลุดพ้นโลก เมื่อถึงคราวสงครามจริงๆมีแต่พระสงฆ์ที่ออกแนวอิทธิฤทธิ์ อย่างเช่น พระอาจารย์ธรรมโชติ อยู่เป็นกำลังใจในค่ายบางระจัน ส่วนพระสงฆ์ที่สอนแต่แนวปัญญาเพื่อความหลุดพ้น ก็พากันธุดงค์หนีภัยสงคราม หลบลี้เขาเถื่อนถ้ำ ปล่อยอยุธยาเผชิญภัยสงครามเป็นไปตามบุญตามกรรม สุดท้ายอยุธยาก็เสียเอกราชให้กับอาณาจักรรัตนปุระอังวะ บ้านเมืองถูกเผาทำลาย วัดวาอารามที่สร้างอย่างวิจิตรก็มอดไหม้ไปกับเพลิง
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรละโว้ อาณาจักรตามพรลิงค์ อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรโคตรบูร อาณาจักรหริภุญชัย อาณาจักรล้านนา
    อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอโยธยา อาณาจักรสุพรรณภูมิ อาณาจักรสยาม และจะมีอาณาจักร... สืบต่อจากอาณาจักรสยาม
    มนุษย์สมัยอาณาจักรทวารวดีจนถึงอาณาจักรสยามงมงายเพราะไม่ได้เข้าใจถ่องแท้ในพระพุทธศาสนา ตามที่

    พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงว่า
    “พาหุ เว สรณํยนฺติ ปพฺพตานิ วนานิ จ อารามรุกฺขเจตยานิ มนุสฺสา ภยตชฺชิตา
    เนตํ โข สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตฺตมํ เนตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
    โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ
    ทุกขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ อริยญฺจฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ทุกฺขูปสมคามินํ
    เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตฺตมํ เอตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺข ปมุจฺจติ”

    “มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมากถูกภัยคุกคามแล้ว พากันไปถือภูเขา ป่า อารามและต้นไม้ที่เป็นเจดีย์ ว่าเป็นที่พึ่ง
    นั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม นั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันอุดม พวกเขาพากันพึ่งสิ่งเหล่านี้แล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงไปได้
    ส่วนผู้ใดมาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง มาเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ ก้าวล่วงทุกข์ด้วยมรรค ๘
    นี่แหละเป็นที่พึ่งอันเกษม นี่แหละเป็นที่พึ่งอันอุดม พวกเขาอาศัยที่พึ่งนี้ ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”


    ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้อธิบายว่า
    "นับถืองมงายนี้เกิดจากการไม่เข้าใจถ่องแท้ในพระพุทธศาสนา หรือขาดการศึกษาอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนานั้นเอง ยิ่งชาวชนบทห่างไกลความเจริญแล้ว ก็ยิ่งมีแต่เชื่อความงมงายกับสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นล่ำเป็นสันจึงเป็นสิ่งที่แก้ยากมากทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงว่าชาวชนบทจะพากันหลงงมงายหรอก แม้แต่ชาวเมืองหลวงอย่างในกรุงเทพฯ ก็ตาม ยังพากันหลงงมงายในสิ่งเหล่านั้นมาก เช่น เจ้าพ่อนั้นเจ้าพ่อนี้ บางแห่งก็พากันสร้างเป็นเทวสถานแล้วก็ไปบูชาถือเอาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปก็มีมากมาย"
     
  3. ติโลกเหลน

    ติโลกเหลน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +86
    ยุคหนึ่งพระพุทธศาสนาในอินเดีย ถูกทำลายล้างเพียงเพราะ บุคคลที่ถือทิฐิอัตตาแห่งตนว่าถูกกว่าใคร เอาแต่ข้างคติศาสนาของตนแต่ฝ่ายเดียว พยายามสร้างเครือข่ายและทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม จึงแตกแยกกันในพระศาสนา เหมือนกันกับที่กำลังเกิดขึ้นในเว็บนี้เวลานี้ เพราะคนๆหนึ่งเป็นผู้จุดชนวนนี่เอง
    การคิดว่าตนถูกก็ควรทำตนเป็นแบบอย่าง แต่ไม่ควรให้เป็นเหตุของการทะเลาะ การชักชวนให้เกิดความคิดอย่างหนึ่งในด้านดีทำได้ แต่ไม่ควรทำลายอีกด้านที่ตนคิดว่าเองไม่ดี เพราะเท่ากับทำลายสมดุล เมื่อขาดสมดุลวงจรแห่งการล่มสลายจะอุบัติขึ้น
    สมัยก่อนธรรมยุติกับมหานิกายไม่ทำลายล้างกันฉันใด สมัยนี้พราหมณ์และพุทธก็ควรร่วมมือกันสร้างความเป็นปึกแผ่นฉันนั้น ทางคู่ขนานทำให้รถไม่ชนกันได้ แต่ถ้ารถจะชนกันก็เพราะรถอีกเลนปีนเกาะมาชนเท่านั้นเอง
     
  4. ติโลกเหลน

    ติโลกเหลน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +86
    1. เหตุใดในภาคอีสาน นิกายธรรมยุติจึงเฟื่องฟู แต่ภาคใต้และภาคกลางกลับมีพระวิทยาคมแพร่หลาย และภาคเหนือแม้อาจารย์ใหญ่จะมาอยู่หลายปีก็ไม่เป็นที่นิยมศรัทธาของคนท้องถิ่น
    2. เหตุใดจึงมาจากสายธรรมยุติ จึงได้ยศขุนนางพระฐานันดรศักดิ์ใหญ่ที่สุด ทั้งที่มหานิกายมีวัดและจำนวนพระในปกครองมากกว่า
    3.เหตุใดพระที่สรีระไม่เน่าเปื่อย จึงมีจำนวนมากกว่าพระที่มีอัฐิธาตุเป็นแก้วใส
    4.เหตุใดปัจจุบันสถานปฏิบัติธรรม ที่สร้างมาจากพระสาวกที่มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกัน จึงมีมากขึ้น แทนที่จะปฏิบัติตามแนวพระอาจารย์มั่นแต่ฝ่ายเดียว
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ทีนี้ถ้าพูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ เล่าเรื่องลัทธิศาสนา ที่มาสู่เมืองไทยแผ่นดินแหลมทอง ของไทยนี้. ลัทธิไสยศาสตร์มาก่อน มาจากอินเดีย ลัทธิพราหมณ์มาก่อน มาสู่แผ่นดินนี้ก่อน, ลัทธิพุทธนี้เพิ่มมาทีหลัง ก็เลยรากฐานมันไม่ลึกเหมือนลัทธิไสยศาสตร์. ที่บ้านเมืองเราเมืองไชยานี้ สังเกตดูสักหน่อยก็จะเห็นได้ว่า หน้าวัดจะมีโบสถ์พราหมณ์ ถ้าไม่รื้อทิ้งเสียหมดคงจะมีกันทุกวัด, วัดโบรมโบราณตั้งพันกว่าปีนั้น หน้าวัดจะมีโบสถ์พราหมณ์ ที่ไว้พระนารายณ์ ไว้พระอิศวรอะไรก็ตาม, แสดงว่าคนเราถือพร้อมกันทั้งพุทธทั้งพราหมณ์. เจ้านายเขาไม่ว่า เพราะว่า ให้มันถือก็แล้วกัน, มันจะเป็นเครื่องยึดหน่วงจิตใจ ให้ทำความดี ให้ร่วมมือกับบ้านเมือง, แล้วบางทีเรื่อง ของพราหมณ์ ก็มาอยู่ในโบสถ์ของพุทธเป็นบางอย่างบางครั้งก็มี.

    เมื่อเขาขุดเจดีย์วัดแก้วนั้น เจดีย์องค์ใหญ่ในช่องกลางที่เป็นช่องประธานก็ยังพบศิวลึงค์ พบพระคเณศ ซึ่งเป็นของฝ่ายพราหมณ์ฝ่ายฮินดู รวมอยู่กับพระพุทธรูปเหล่านั้นด้วย;
    หมายความว่าเคยได้รับความยกย่องนับถือพร้อม ๆ กันไป เรื่องถือพุทธปนพราหมณ์ เดี๋ยวก็ไหว้เทวดาที, เดี๋ยวก็ไหว้พระพุทธเจ้าที, เดี๋ยวก็ไหว้พระเจ้านั้นทีนี้ที. ขนบธรรมเนียมประเพณีตามบ้านเรือน ก็มีออกชื่อทั้งฝ่าย พุทธและฝ่ายพราหมณ์, ถึงวันสงกรานต์ไหว้อะไรกันบ้างคิดดูเถอะ. พอถึงวันสงกรานต์จัดที่บูชาไหว้อะไรกันบ้าง? ไหว้นางสงกรานต์ ไหว้ท้าวมหาพรหม ไหว้อะไรต่าง ๆ. นี้แสดงว่าชาวพุทธน่ะเขาถือ พุทธปนพราหมณ์กันมาอย่างนี้, นี้เรียกว่าความที่ปนเปกัน.

    คำว่าศักดิ์สิทธิ์ คำว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นมันมีความหมายหลายแง่มุม :
    ศักดิ์สิทธิ์อย่างพระธรรม ก็ศักดิ์สิทธิ์ไปทางหนึ่ง, ศักดิ์สิทธิ์อย่างพระเจ้า ก็ศักดิ์สิทธิ์ไปอีกทางหนึ่ง. แต่ศักดิ์สิทธิ์อย่างพระเจ้านี้เข้าใจง่าย เด็ก ๆ รับเอาได้ทันที, ถ้าศักดิ์สิทธิ์อย่างพระธรรมนี้ เด็ก ๆ เข้าใจไม่ได้ รับเอาไม่ได้ ว่า นโม ตั้งพันครั้งหมื่นครั้งแล้ว มันก็ยังรู้ไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าคืออะไร; แต่ถ้าว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างพระเจ้าพระอินทร์ พระพรหมพระอะไร รับได้ทันที เชื่อได้ทันที, มีความศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นในใจทันที. นี่ความศักดิ์สิทธิ์มันไม่ยุติธรรม มันยืดหยุ่นได้ แล้วแต่ใครจะผันไปทางไหน, ผันความศักดิ์สิทธิ์ไปทางไหน, มันมีความเข้าใจได้ต่าง ๆ สำหรับคำว่าศักดิ์สิทธิ์ ๆ. แล้วศักดิ์สิทธิ์ที่เด็ก ๆ เข้าใจได้ง่ายนั่นแหละมันได้ เปรียบ, เป็นเรื่องไสยศาสตร์ทั้งนั้น ที่เด็ก ๆ จะเข้าใจได้ง่ายทันที; ฉะนั้นมันจึงมีการปนกันมาก ปนกันลึกซึ้ง.

    พุทธทาสภิกขุ
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เมืองไทยถือว่าเป็นเมืองพุทธแต่พากันไหว้เทพ ไหว้ศาลเจ้า ไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นตะเคียน ไหว้รอยพญานาค แม้แต่น้ำส้วมก็ยังถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์
    พุทธบริษัทบางคนจิ้งจกร้องทักยังสะดุ้ง ถือเป็นลางร้าย เรื่องแบบนี้งมงายนับถือกันมาตามสายเลือด งมงายกันมานานแล้ว สร้างของศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมากับมือเจ้าของ
    แล้วก็กราบไหว้ ยกให้เป็นเทพบ้าง เป็นเทวดาบ้าง เจ้าของสร้างมากับมือแท้ๆ อยากได้ ปรารถณาอะไรก็บวงสรวง จุดธูปขอเอา ทำกันง่ายๆ เชื่อไสยสาตร์มันง่าย
    ให้เชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ให้ถือศีลห้า นั่งสมาธิหาคนทำอยาก แต่ถ้าบอกว่าก้อนหินนี้ศักดิ์สิทธิ์ มีเทพ มีเทวดาอาศัยอยู่ เชื่อทันที
    ไสยศาสตร์มันเชื่อกันได้ง่ายๆ คนไม่รู้ก็เป็นเหยื่อของคนฉลาดที่อาศัยความเชื่อหาเงินเข้ากระเป๋า เหมือนกับพระสมัยนี้บอกว่าสร้างพระพุทธรูปมีอานิสงส์มาก
    คนก็แห่เอาเงินไปทำบุญ เอาพระเครื่องมาแขวนคอ พระมีเงินใช้สบาย ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อเครื่องบิน พอออกมาเป็นข่าวก็สร้างนรกกันขึ้นมาโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว
    ไม่ว่าจะเป็นคนถวายเงินพระ พระรับเงิน ตอนจิตเป็นบุญกุศลก็พากันขึ้นสวรรค์ ตอนจิตเป็นอกุศลก็พากันลงนรก ร่วมกันงมงายร่วมกันรับกรรม
     
  7. palati

    palati เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +432
    จุดประสงค์คนละอย่างแต่จุดหมายอันเดียวกัน

    ทำไมเราถึงยังมีความเห็นต่างกัน ทั้งๆที่จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้าที่ต้องการก็คือต้องการให้เราพ้นทุกข์ถาวร ถึงแม้ว่าทางเดินของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนต้องการจบกิจในชาตินี้ก็มุ่งตัดกิเลสให้หมดไป แต่บางคนที่ต้องการสายพระโพธิญาณก็ขออยู่ช่วยมนุษย์และสัตว์โลกไปเรื่อยๆก็อาจจะต้องเกิด ตาย กันอีกหลายชาติ แต่สุดท้ายทั้งสายตรง(สาวกภูมิ) และสายอ้อม(พุทธภูมิ) สุดท้ายก็ต้องเข้านิพพานด้วยกันทั้งนั้น

    สายตรงมุ่งตัดกิเลสให้เร็วที่สุด ผมเองยอมรับว่าต้องการสายตรง ไม่ต้องการเกิดอีกต่อไป ส่วนสายอ้อมก็ขอช่วยเหลือสัตว์โลกให้ได้มากที่สุด จุดประสงค์คนละอย่างแต่จุดหมายปลายทางของดวงจิตคือที่เดียวกัน เพราะฉะนั้นผมว่าเรา(ทุกคน) จะร้องอ๋อ.. ก็เมื่อเราได้เข้าถึงจุดหมายสุดท้าย เราก็จะรู้ในสื่งที่เราพยายามค้นหาคำตอบกันมาอย่างยาวนาน ผมเขียนในฐานะที่ยังเป็นคนที่กำลังเดินไปบนเส้นทางดังกล่าวอยู่ ไม่ใช่คนที่ถึงจุดหมายแล้วแต่อย่างใด ไม่ได้ทั้งมโนมยิทธิหรือญาณต่างๆ ซึ่งสิ่งที่สื่อสารออกไปมันอาจจะตรงหรือไม่ตรงตามความคิดของทุกท่านก็อาจจะเป็นไปได้

    แต่สุดท้ายจริงๆของดวงจิตของเรา เราก็จะได้รู้ได้เห็น และได้คำตอบที่แท้จริง เมื่อเราถึงจุดหมายสุดท้ายนั่นก็คือพระนิพพาน
     
  8. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ผู้มีบุญ บารมี อย่างแท้จริง

    ขออนุญาตครับ

    ขอชื่นชม ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ
    ในบุญ วาสนา บารมี สติ ปัญญา ของท่าน อย่างจริงใจ

    ถ้าผมสามารถต่อสายใยของบุญบารมีเดิมของผมได้เมื่ิอไร
    คงได้คุยกับท่านมันกว่านี้

    รอเอาหน่อยนะครับ

    ลุงมหา
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    การรับถือกันมาผิด ๆ เป็นเหตุให้ถือไสยศาสตร์ ยิ่งกว่าพุทธศาสตร์เสียอีก.
    ท่านทั้งหลายลองเปรียบเทียบดู ความกลัวที่เกิดขึ้นในทางไสยศาสตร์,
    กลัวสิ่งที่ไม่เห็นตัว สิ่งลึกลับมหัศจรรย์นั้น กลัวมากเท่าไร;
    ส่วนที่มากลัวบาปกลัวความชั่วนี้มันกลัวกันกี่มากน้อย. คนโง่มันต้องเป็นอย่างนั้น,
    คนโง่จะกลัวสิ่งลึกลับของไสยศาสตร์หมดเนื้อหมดตัว.
    กลัวเรื่องบาปเรื่องกรรมนี้นิดเดียว
    แล้วยังเล่นตลกหรือทำหลอกกับเรื่องธรรมะนี้เสียอีก.
    นี่คือปัญหาที่ทำให้เราไม่เจริญงอกงามไปตามทางของพระศาสนา;
    เพราะว่าเรื่องของไสยศาสตร์แทรกแซงเข้ามา รุกเอาเนื้อที่ในจิตใจไปเสียหมด,
    เนื้อที่ในจิตใจสำหรับจะเชื่อก็ดี สำหรับจะเห็นก็ดี สำหรับจะใคร่ครวญพิจารณาอย่างไรก็ดี
    มันไม่ค่อยมีเหลือ เพราะมันเอาไปให้ฝ่ายไสยศาสตร์เสียหมด. นี้เป็นปัญหาของพุทธบริษัท.

    พุทธทาสภิกขุ
     
  10. ติโลกเหลน

    ติโลกเหลน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +86
    อดีตพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงนับถือศาสนาพราหมณ์โบราณ ทรงมีพระเดชานุภาพมาก สามารถปราบปรามชมพูทวีปได้ทั้งหมด ทำให้ไม่เกิดการเยี่ยงชิงและเกิดสงครามระหว่างนครต่างๆเหมือนในอดีต ภายหลังทรงหันไปนับถือและส่งเสริมพระพุทธศาสนา และเผยแผ่พระธรรม แทนการแผ่แสนยานุภาพทางการทหาร ดินแดนที่ได้รับอิทธิพลทางพระพุทธศาสนาในสมัยนี้ ได้เกิดศาสนาสถานและมีพระสงฆ์ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์มากมาย เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระศาสนาในเวลาต่อมา
    แต่บ้านเมืองในภูมิภาคอุษาคเนย์นี้ ยังคงทำสงครามเพื่อชิงความเป็นใหญ่กันมาโดยตลอด แม้สมัยพระเจ้าบุเรงนอง พระองค์จะสามารถรวบรวมแผ่นดินรวมอาณาจักรต่างๆให้มาอยู่ภายใต้อำนาจได้ตลอดรัชสมัยของพระองค์ จนดูท่าทีว่าอาณาจักรหงสาวดี จะกลายเป็นจักรวรรดิใหญ่ของภูมิภาคนี้ได้สำเร็จ แต่เพราะ “คลื่นใต้น้ำ” ที่มาจากพระสงฆ์ที่ถือนิกายต่างกันหรือมาจากต่างอาณาจักร ต่างเชื้อชาติ ต่างสำนัก ต่างอาจารย์ หรือแม้จะเป็นนิกายเดียวกันก็ตาม ซึ่งพระสงฆ์เหล่านี้ได้อยู่เบื้องหลังการเมืองของราชสำนักต่างๆ ที่เป็นประเทศราชของอาณาจักรหงสาวดี และพระสงฆ์เหล่านี้เอง เป็นมันสมองให้กับเจ้าประเทศราช จึงมีการพยายามสร้างอำนาจทางพุทธจักรครอบงำอาณาจักร การแข่งขันกันระหว่างนิกายหรือสำนักก็ไปโดยอัตโนมัติ เนื่องจากสมัยโบราณสำนักหนึ่งจะไม่ต่อวิชาหรือแลกเปลี่ยนวิชากับสำนักอื่น ด้วยถือว่าชาติเสือเหมือนกันไม่ยอมขอเนื้อกันกิน (เหมือนกับพระต่างนิกายไม่ร่วมทำสังฆกรรมในอุโบสถเดียวกันในเวลาเดียวกัน) เมื่อมีการเปิดสำนักสอนให้กับ ราชนิกุลและกุลบุตรขุนนางในราชสำนัก และคนทั่วไปแล้ว (ในอาณาจักรอยุธยามีสำนักวัดประดู่ทรงธรรม และสำนักวัดพุทไธสวรรค์ เป็นต้น หรือที่เป็นพระสงฆ์ในประวัติศาสตร์ไทยพม่ามอญ คือพระมหาเถระคันฉ่อง กับพระมหาเถระเสียมเพรียม) เช่นนั้นเมื่อศิษย์จบการศึกษาจากสำนักแล้ว พระอาจารย์ ก็จะเป็นธุระให้ศิษย์ ฝากฝังกับมูลนาย ขุนนางข้าราชการ ที่เคยเป็นศิษย์สำนักนั้นๆ ดังนั้นการที่ศิษย์มาจากต่างสำนักกัน เมื่อมารับราชการก็จะมีโลกทัศน์ที่ต่างกัน เกิดการแข่งดีและชิงกันเด่น ยิ่งต่างสายบังคับบัญชายิ่งมีความรุนแรง จนเกิดความกระทบกระทั่งกัน เป็นเหตุของความแตกแยกขึ้นในราชอาณาจักรหงสาวดีในเวลาต่อมา

    สายวิชาทางปฏิบัติที่เผยแพร่ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน ต่างอ้างกันว่าเป็นสายตรงจากพระพุทธเจ้าหรือเป็นวิชาของพระพุทธเจ้าที่ทรงใช้ปฏิบัติทั้งสิ้น ผลแห่งการปฏิบัติล้วนแสดงออกมาในหลายรูปแบบ และกล่าวกันว่าล้วนถึงซึ่งพระนิพพานด้วยกันทุกสาย แต่ความแตกแยกทะเลาะเบาะแว้งระหว่างลัทธินิกาย สาเหตุหนึ่งเกิดจาก การที่หนึ่งในจำนวนของผู้เลื่อมใส ที่ยังปฏิบัติไม่ถึงจุดสูงสุด ได้พยายามเผยแพร่แนวปฏิบัติของตนไปพร้อมๆกับโจมตีฝ่ายตรงข้าม โดยที่ไม่ได้ทราบเจตนาและบทบาทขององค์กรอื่นๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อกันในระบบสังคมมนุษยชาติ ซึ่งสิ่งประกอบต่างๆเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งขององค์รวม ที่สร้างความสันติสุขในโลกมาตลอด และมีเข็มทิศอันมุ่งสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันทั้งสิ้น ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าคำหนึ่งที่ว่า “ บุคคลพึงยังตนนั้นแลให้ ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน พึงพร่ำสอนผู้อื่นในภาย หลัง” จึงควรมีในผู้ตัวสนใจปฏิบัติก่อนเป็นอันดับแรก
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    “ความเชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลัง ที่ทำขึ้นอาศัยคุณพระรัตนตรัยเป็นหัวใจ
    เพื่อทำใจให้เข้มแข็งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ธำรงรักษาไตรรงค์ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นประโยชน์
    และก็พึงระวังมิให้เชื่อเกินขอบเขตที่ควร มิให้ความเชื่อในวัตถุเหล่านี้ ทำให้งมงายจนเป็นผู้ถูกหลอกให้ตายเปล่า
    จำต้องใช้เหตุผลเพื่อปฏิบัติกิจการทั้งหลายตามหลักวิทยาการและด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ทั้งหลายให้เหมาะสมอีกด้วย
    เหมือนอย่างจะขุดดินก็ต้องใช้เครื่องขุดและใช้ด้วยความไม่ประมาท มิใช่ว่าจะขุดถูกมือเท้าบ้างก็ได้เพราะมีของทำให้เหนียวอยู่แล้ว…
    นอกจากนี้ ยังควรทราบอีกด้วยว่า ความเชื่ออันตรงต่อหลักพระพุทธศาสนานั้น คือความเชื่อในกรรมและผลของกรรมเพื่อที่จะได้ละกรรมที่ชั่วที่ผิด
    ทำกรรมที่ดีที่ชอบ หากจะมีเครื่องรางของขลังอันใด ที่ทำให้ละกรรมชั่วทำกรรมดีได้ ก็จะเป็นยอดของเครื่องรางของขลังทั้งหมด”

    หนังสือ ๙๙ คำถาม เกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราช
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไม่ให้ถือเอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เพราะว่า การถือเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งนั้น เป็นเรื่องงมงาย
    เช่น ต้นไม้ใหญ่ ตั้งศาลพระภูมิ ถือว่าผีเจ้าเข้าทรง เหล่านี้นั้นเป็นเรื่องของความไม่แน่ใจในพระองค์ ซึ่งท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้พิจารณาเห็นว่า
    การเชื่อเช่นนั้น จะทำให้ผิดการดำเนินสู่จุดที่หมายแห่งความจริงในพระพุทธศาสนา แม้ในการบำเพ็ญจิตในเบื้องต้นก็จะทำให้ไขว้เขว เพราะขาดองค์คุณคือศรัทธา

    พระอาจารย์วิริยังค์
     
  13. มองภายใน

    มองภายใน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +188
    ทุกสิ่งคือความว่างอย่างหาที่สุดมิได้ธรรมแห่งการช่วยเหลือนั้นพึ่งแต่เทพเทวาไปก็เท่านั้นแม้เทพเทวาจะมีฤทธิ์จริง แต่หาสู้เวรกรรมไม่ได้เลยเทพเทวาทั้งหลายต่างเอาตัวเองไม่รอดจากวัฏสงสารนี้ สู้พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้หรือท่านคิดกันว่าเทพเทวามีฤทธิ์ตัดเวรตัดกรรมได้หรือ เทพเทวาหาได้พ้นจากความตายแล้วหรือ คำตอบคือยังธรรมแห่งการช่วยเหลือนั้นพุทธองค์ทรงตรัสสอนเรื่องการพึ่งตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะแม้พระพุทธองค์ก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้นคนไทยสมัยนี้เป็นคนแปลกไม่สนใจทางอันหลุดพ้น สนใจว่าวันนี้จะให้พระช่วยอะไรดี สนใจว่าจะให้เทพช่วยอะไรดี คนพุทธแท้จริงแม้เทพเทวาก็ยังต้องกราบไหว้เพราะเราเป้นผู้มีพระพุทธองค์เป็นผู้ปกครอง มีธรรมเป็นหนทาง มีพระสงฆ์เป็นนาบุญที่ตักตวงได้ไม่มีที่สิ้นสุด อย่าคิดแต่ให้เทพช่วยเทพชั้นฟ้าไหนคงไม่มีเมตตาเท่าพระพุทธองค์อีกแล้ว จงทำทางของท่านให้ตรงอย่าเลี้ยวไปทางซ้ายหรือขวาเพราะมันทำให้ท่านไม่ถึงจุดหมาย เทวตานุสตินั้นความจริงหมายถึงให้พิจารณาถึงคุณความดีของเทพนั้นๆเพื่อนที่เราจะได้ไม่ออกนอกลู่นอกทางปกติผู้เจริญเทวตาุนุสติมีที่สุดคือสวรรค์เท่านั้น
     
  14. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ถึงแม้สวรรค์จะง่ายสำหรับบางท่าน แต่ท่านคิดว่าคนทั้งโลกจะมีคนขึ้นสวรรค์ได้สักกี่คนกัน เพราะ แม้แต่เทวดาบางองค์เมื่อหมดบุญแล้วก็อาจจะลงนรกเหมือนกัน เทวดามีฤทธิ์ช่วยมนุษย์ได้จริงหรือ แล้วเรื่องพระมหาชนกล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นถ้านางฟ้าไม่ช่วยพระมหาชนก หรือท่านมองว่าเป็นแค่นิทานไม่ใช่พุทธวัจนะ โลกนี้มีทุกอย่างตั้งแต่พระอรหันต์ยันสัตว์นรก(จิตที่ซ่อนอยู่ในร่างคน) เพียงแต่ใครจะได้รู้ ได้เห็น ได้สัมผัสหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง คนยุคนี้เอาแค่ห้ามโกหกวันเดียวมันก็ตายแล้ว แล้วคุณล่ะคิดว่าสวรรค์ไปง่ายจริงๆ หรือ แล้วถ้าสวรรค์ยังไปไม่ได้จะหวังอะไรกับนิพพาน
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเพราะ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา เช่นผมบอกว่า นรกมี สวรรค์มี จะเกิดการแบ่งเป็นสองฝ่ายทันที ฝ่ายหนึ่งจะเชื่อว่ามี อีกฝ่ายหนึ่งจะเชื่อว่าไม่มี แต่ปัญหาจะหมดไปทันทีถ้าทั้งสองฝ่ายสามารถมองเห็นนรกหรือสรรค์ด้วยตา ยกตัวอย่างเช่น ผมกำเหรียญบาทไว้ในมือ ผมบอกท่านว่าผมกำเหรียบบาทไว้ บางท่านเชื่อ บางท่านไม่เชื่อ แต่เมื่อผมแบมือให้ดู ทุกคนก็จะเชื่อทันที เพราะทุกคนเห็นเหรียญบาทในมือได้ด้วยตา แต่ความจริงนรกสวรรค์เป็นนามธรรม ไม่ได้เป็นรูปธรรมที่จะเห็นได้ด้วยตา อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นเดียวกันเป็นนามธรรม มองไม่เห็นได้ด้วยตา อาศัยความเชื่อที่ได้ฟังตามๆ กันมา เหมือนอย่าที่ผมบอกว่าน้ำส้วมก็เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ ถ้าคนเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์น้ำส้วมก็ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แต่พอพิสูจน์ได้ทำให้เห็นด้วยตา ความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็หายไป แต่ตราบใดที่บุคคลนั้นยังงมงายอยู่ เขาก็จะเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นต่อไป จนกว่าจะมีดวงตาเห็นธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระองค์เชิญให้มาดู เรียกมาดู ดูแล้วก็เชิญให้พิสูจน์ รู้เองเห็นเองรู้ได้เฉพาะตนเป็นของจริงตลอดกาล เชื่อได้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่น
     
  16. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    ที่แท้ ก็มีทางเลือกอีกสายหนึ่ง

    ขออนุญาตครับ

    7-8 ปีแรกที่ผมเริ่มปฏิบัตินั้น

    เมื่อ มาถึง จิตเห็นจิต ตนเอง
    เมื่อ มาถึง จิตรู้ตัวทุกอิริยาบถ โดยไม่ได้ลำบากอะไรเลย
    เมื่อ มาถึง จิตเห็นจิต ผู้อื่น ที่อยู่รอบๆตัวเรา

    ผมก็สงสัยว่า เกิด อะไร ขึ้นกับตัวเรา

    เรากำลังอยู่ตรงไหน

    เรากำลัง จะไปไหน

    เรามีทางไหนให้เลือกบ้าง

    ไหนละครูบาอาจารย์ที่จะชี้ทางให้เรา

    ถ้าท่านชี้ทางให้เราแล้ว เราจะเดินเส้นทางนั้นไหม

    เพราะครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ต่างก็บอกให้เราเดินเส้นทาง ที่ท่านเห็นว่าดี เห็นว่าชอบ

    แล้วเรามีเส้นทางให้เดินอีกไหม

    แล้วผมก็พบ ศิษย์สายธรรม ศิษย์สายเทพ ศิษย์สายพรหม อีกท่านหนึ่ง

    ความที่ผมเดินทางบ่อยๆมากๆ เข้ากับคนได้ทุกประเภท
    เข้ากับสายได้แทบจะทุกสาย รู้ในสิ่งที่ไม่มีใครรู้ เห็นในสิ่งที่ไม่มีใครเห็น

    เพราะแต่ละท่าน แต่ละสาย มักอยู่ในขอบเขตของตนเอง

    แต่ผมกลัยไปมาได้ทั่ว ผมก็เลยรู้กว้างขวางกว่า

    แม้แต่กลุ่มที่ปีนบันไดดาบ นอนบนคมดาบ เอาดาบฟันหลังกัน ในยูทู๊ป
    ก็ถึงกับตกตลิงพรึงเพริด เมื่อรู้ว่า ผมเป็นศิษย์ของปรมาจารย์
    ที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ ของอาจารย์ของพวกเขา

    ผมก็เลย มีคำถามมาฝากทุกๆท่านว่า

    ตัวเราเป็นใครในอดีตชาติ
    เราจะต่อสายใยบารมีเดิม ให้เร็วที่สุดได้อย่างไร
    มีวิชาที่เขาล่ำลืออะไร ที่เราสามารถจะทำได้ แต่ไม่มีใครทำมันได้

    ที่แท้ ผู้ที่เรามีสายใยบารมีผูกพัน
    ผู้ที่เป็น ศิษย์สายธรรม สายเทพ สายพรหม
    ที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้เรานั้น ถึงเวลากลับพบได้อย่างง่ายดาย

    เพียงแต่ว่า การช่วยเหลือเกื้อกูลกันนั้น
    จะมีขอบเขต จะมีขอบข่าย กว้างขวางอย่างไร

    หรือที่แท้ แม้ศิษย์สายธรรม สายเทพ สายพรหม
    ก็มีการแลกเปลี่ยน ในรูปแบบ ของการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
    เพียงแต่ว่า เมื่อเขาช่วยเราให้เราถึงจุดสูงสุด
    ของความเป็นศิษย์สายธรรม สายเทพ สายพรหม ได้แล้ว

    ที่แท้ก็วัดกันที่ว่า ใครเป็นศิษย์ ใครเป็นอาจารย์
    ที่แท้ก็ให้ถือเอาว่า ใครบารมีสูงกว่า มาตั้งแต่อดีตชาติ
    เพราะของอย่างนี้ปิดกันไม่ได้

    เพียงแต่ว่า ถ้าบุญบารมีของท่าน เทียบเท่า ระดับเดิมที่มีมาในอดีตชาติ
    เราก็จะยอมรับว่าท่านเป็นอาจารย์ของเราก็เท่านั้นเอง

    ทั้งนี้ ทั้งนั้น ดูกันจะๆ แค่ว่า ทำได้ หรือ ไม่ได้
    สำเร็จ หรือ ไมสำเร็จ
    เห็นได้ รู้ได้ โดยไม่ต้องพิสูจน์ใดๆอีก

    เพียงแต่ว่า ในอายุขัย 80 ปี ของโลกยุคนี้
    จะมีซักกี่คน ที่พบ ที่เจอ คนที่บอกทาง บอกวิธี การต่อสายใยบารมีเดิม ให้กันได้

    แล้วเราก็ต้องย้อนกลับไปดูว่า ครูบาอาจารย์ ก็ดี ผู้คนที่เราให้ความเคารพนับถือก็ดี

    ที่แท้เป็น ท่านช่วยเรา หรือ เป็น เราช่วยท่าน
    หรือแม้แต่ ที่แท้ท่านช่วยอะไรเราได้บ้าง

    หรือที่แท้ มีแต่ศิษย์สายธรรม สายเทพ สายพรหม เท่านั้น ที่ครบเครื่องที่สุด

    อยากรู้ธรรม ก็ บอกได้
    อยากรวย ก็ พาให้รวยได้
    อยากดู อยากรู้ อยากเห็น ก็พาไปดู ไปรู้ ไปเห็นได้

    สรุป ที่แท้ ศิษย์สายนี้ ก็เริ่มต้นที่ การมีสายใยบารมีผูกพัน
    ความเมตตา สงสาร ที่ไม่อยากให้ใครเกิดมาแล้วตายไปเปล่าๆ
    โดยไม่รูกระทั่งว่า ตนเอง เป็นใคร มีอดีตชาติ มีความเป็นมาอย่างไร
    ชาติที่แล้วทำอะไรได้มาแล้วบ้าง
    อ้อ ที่แท้ ศิษย์สายนี้ ก็ อยากมีผู้สืบทอดให้ดำรงค์คงไว้
    เพื่อไม่ให้ ขาดวรรค ขาดตอน
    อ้อ ที่แท้ ศิษย์สายนี้ ก็ คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เหมือนเมื่อในอดีตชาติ

    ที่แท้ สายใยของบุญบารมี บุญบารมีของเดิมที่ได้สร้างเอาไว้ กลับมีคุณค่ามากมายปานนี้

    ที่แท้ศิษย์สายนี้ ก็อยากให้มีผู้ช่วยเหลือเกื้อกูล ญาติพี่น้องลูกหลานของตนเอาไว้ เพื่อ อนาคต

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ ร่วมกับผู้มีบุญบารมีทุกๆท่าน
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพราะอยากรวย แต่ปฏิบัติเพื่อกำหนดรู้ "ทุกข์"
    ทางสายเดียวที่พ้นทุกข์ คือ "หนทางเก่า"
    ไม่มีศิษย์สายเทพ
    ไม่มีศิษย์พรหม
    ไม่มีอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ไม่มีอำนาจเทวฤทธิ์
    ไม่มีพลังจักรวาล
     
  18. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    วิญญาณขันธ วิญญาณ (ความรูแจงในอารมณ) เปนผลหรือการตอบสนองซึ่งมีอินทรีย ๖ อยางใดอยางหนึ่ง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) เปนปทัฏฐาน และมีประสบการณภายนอกที่สัมพันธกัน ๖ ประการอยางใดอยางหนึ่ง (รูปที่เห็นได เสียง กลิ่น รส สิ่งที่สัมผัสได และธัมมารมณ กลาวคือ ความนึกคิด) เปนวัตถุเครื่องรองรับ (เปนอารมณ)

    ตัวอยางเชน จักษุวิญญาณมี ตา เปนฐานและมีรูปเปนวัตถุรองรับ มโนวิญญาณมีใจ (มนัส) เปนฐาน มีธัมมารมณเปนวัตถุเครื่องรองรับ (อารมณ) ดังนั้น วิญญาณจึงเกี่ยวของกับอินทรีย (หรืออายตนะ) อื่นๆ ดวยประการฉะนี้ วิญญาณก็เหมือนกับเวทนา สัญญาและสังขารคือ มี ๖ ประการ ซึ่งสัมพันธระหวางอายตนะภายใน ๖ กับอารมณภายนอก ๖

    ควรที่จะเขาใจใหชัดวา วิญญาณไมไดจําวัตถุ (อารมณ) วิญญาณเปนเพียงความรูชัดชนิดหนึ่ง คือรูชัดความมีอยูของอารมณ เมื่อ ตากระทบกับสี เชน สีน้ําเงิน จักษุวิญญาณเกิดขึ้น ซึ่งเปนเพียงการรูชัดความมีอยูของสี แตวิญญาณไมไดจําวา มันเปนสีน้ําเงินไมมีการจําไดในขั้นนี้ ตัวสัญญา (ขันธที่ ๓) ตางหากซึ่งจําไดวา มันเปนสีน้ําเงิน คําวา จักษุวิญญาณ เปนการแสดงออกทางทัศนะที่กําหนดความคิดอันเดียวกัน ดังที่เราทราบตามภาษาธรรมดาวา “การเห็น” การเห็นโดยไดหมายความวา การจําได ดังนั้นจึงมีชนิดของวิญญาณแบบอื่นๆ อีก

    ตองย้ําไวตรงนี้ (สักนิดวา) วา ตามทัศนะทางพุทธศาสนา ไมมีสิ่งที่เที่ยงแท วิญญาณไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเรียกวา Self, Soul หรือ Ego ซึ่งตรงกันขามกับวัตถุรูป และอีกอยางหนึ่ง ไมควรถือวาวิญญาณเปนดุจภูตผีปศาจ ในสภาพที่ตรงขามกับรูปวัตถุ จุดนี้ควรจะย้ําเปนพิเศษ เพราะพระบรมศาสดาทรงคานวา “ดูกรโมฆบุรุษ เธอไดฟงเราประกาศธรรมทํานองนี้แกใคร? เรา(ตถาคต) ไดอธิบายดวยนัยเปนเอนกมิใชหรือ วิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยปจจัย (และวา) การเกิดขึ้นของวิญญาณที่ปราศจากปจจัยไมมีเลย” จากนั้นพระพุทธองคไดทรงดําเนินการอธิบายวิญญาณในรายละเอียดวา “วิญญาณมีชื่อ ตามปจจัยที่มันอาศัยเกิดขึ้นกลาวคือ อาศัยตาและรูปวิญญาณเกิดขึ้น และวิญญาณก็มีชื่อวา จักขุวิญญาณ อาศัยหูกับเสียง วิญญาณเกิดขึ้น วิญญาณนี้มีชื่อวา โสตวิญญาณ อาศัยจมูกและกลิ่น วิญญาณเกิดขึ้น เราเรียกวิญญาณนี้วา ฆานวิญญาณ อาศัยลิ้นกับรส วิญญาณเกิดขึ้น เราเรียกวิญญาณนี้วา ชิวหาวิญญาณ อาศัยรางกายและโผทัฏฐัพพารมณ วิญญาณเกิดขึ้น เราเรียกวิญญาณนี้วา กายวิญญาณ อาศัยใจและธัมมารมณ วิญญาณเกิดขึ้น เราเรียกวิญญาณนี้วา มโนวิญญาณ

    คัดลอกมาจากหนังสือ “พระพุทธเจาทรงสอนอะไร”
     
  19. พรหมาวตาร

    พรหมาวตาร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +66
    ไหนว่าหลวงปู่มั่นแนะวิธีถอนฯ

    แล้ววิธีการถอนฯนี้เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ลึกลับหรือ

    ตกลงรู้ตัวรึป่าวว่าทำไรอยู่ หรือจะเอาชนะความเหงาด้วยการวางยาไปวันๆ

    แล้วเมื่อไหร่ตัวเองจะถอนได้เสียที
     
  20. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    เมื่อก่อนคงจะไม่เข้าข้างคุณ อุรุเวลา คงจะหาเหตุผลที่มีอยู่ล้านแปดมาถกเถียง แต่บัดนี้ผมรู้ความจริงแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุด คือพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าอย่างอื่นไม่มี มี มีเยอะด้วยแต่ดีแบบหลอกๆต้มเราไปวันๆเท่านั้นเอง คนก้อรู้เท่าตาเนื้อเห็น เทพก้อรู้เท่าตาทิพย์ พรหมก้อรู้เท่าตาพรหม แต่พระบรมสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้และเห็นด้วยตาธรรม จึงสอนสาวก และสาวกก้อมาสอนเรา แต่คนเราก้อมีอยู่4จำพวก จะเป็นแบบไหนท่านเลือกเอง ตอนนี้ผมรู้ว่าผมเป็นพวกใต้น้ำพึ่งขึ้นมาจากโคลนตมได้ไม่ได้ รอดพ้นปูปลาไปบ่างก้อยังดี และยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก พระบรมครูยังเคยบอกว่าที่รู้นะแค่หนึ่งกำมือ ที่ไม่บอกยังมีอีกมาก แต่ท่านบอกแค่นี้เพราะหนทางนี้เป็นทางดับทุกข์ ทางอื่นมีอีกมากที่เราจะหลง อย่าลืมพวกเราๆ ท่านๆก้อหลงกันมาแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้างั้นก้อไม่ต้องมาเกิดมาตายแบบนี้ เทพก้อหลง พรหมก้อหลง แต่พระพุทธเจ้าท่านเหนือเทพเหนือพรหมมากมายนัก พระรัตนตรัยเท่านั้นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง คิดดูสิขนาดพกาพรหมยังคิดว่าตัวเองสร้างโลกเลย จนพระบรมครูต้องไปสอนไปบอก พรหม เทพ อมนุษย์ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมีเยอะ ขนาดหัวหน้าเทพหัวหน้าพรหมยังสอนลูกน้องไม่ได้เลย เมื่อก่อนว่ากันว่า มีคนสงสัยกันว่าอะไรคือมงคลของชีวิต ภุมมเทวาก้อสงสัย ไปถามรุขเทวา ก้อสงสัย ไปถามอากาสเทวา ก้อสงสัย ไปถามสวรรค์ชั้น1 จน6ชั้นก้อไม่มีใครตอบได้ ดังไปถึงชั้นพรหม ก้อตอบไม่ได้ จนพรหมท่านหนึงตอบว่า อีกไม่นานจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเกิด แล้วค่อยไปถามกัน จนรู้ว่าอะไรเป็นมงคลของชีวิต เป็นแบบแผนมงคล38ประการ ให้เราเทพพรหม ทุกชั้นฟ้าถึงได้ปฎิบัติกัน อ้าวแล้วก่อนหน้านี้ละรู้อะไรกัน ทั้งมนุษย์เทพพรหม ก้อรู้แค่ที่ ตา ทิพย์ ปัญญา ของตัวจะยั้งถึงเท่านั้นเอง มีนาคท่านหนึ่งทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าพเจ้าเมื่อก่อนเป็นสาวกของพุทธองค์ ทำธรรมปฎิบัติอยู่20000ปี มีเหตุทำไห้ตะไคร์น้ำขาด สิ้นชีพต้องมากำเนิดเป็นนาค ไม่ได้อัตภาพมนุษย์ต้องเลื่อยไปด้วยอก ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าเลย ตลอดพุทธันดรหนึ่ง พระพุทธเจ้าเลยตรัยว่า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก การดำเนินชีวิตเป็นของยาก การเกิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของยาก การได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก เพราะทุกอย่างจะมาบันจบกันนี้แทบไม่มีเลย เพระฉะนั้นเราๆท่านๆ รู้ตัวแล้วนะครับว่าโชคดีขนาดไหน ถึงแม้ไม่เห็นพระพุทธองค์ แต่ยังได้ฟังธรรมยังอยู่ในศาสนาของพระองค์อยู่ โชคดีแล้วนะครับ ลองปรับความคิดใหม่ วางใจเป็นกลางไม่มีอคติ แล้วคิดตามเหตุผล ผมรู้ครับว่าประเทศไทยเราเป็นไงและระแวกนี้เป็นไง ผมเกิดมาก้อเจอ เจ้าพ่อเจ้าแม่เจ้าปู่ ปู่ฤาษี เข้าวัดบ่างเป็นบ่างครั้ง ก่อนห่วยออกก้อต้องเห็นคนไปไหว้ ต้นไม้ศานพระภูมิ ลบหลู่ ไม่ได้ท่านมีพลังมากจะบันดาลความโชคดี ความรวยให้เฉพาะผู้ที่นับถือเท่านั้น และลงโทษผู้ที่ลบหลู่ ผมก้อเจอมาแบบเนี้ยครับ และแทบจะทุกคนด้วยใช่ใหมครับ เห็นอะไรศักสิทธิ์ ก้อกราบก้อไหว้ เคยถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องทำงี้ เขาก้อตอบว่านับถือกันมาเป็นพันปีแล้ว ความเชื่อแบบนี้ อ้าวแล้วถ้าเชื่อกันมาผิดๆละ เขาก้อตอบว่าถ้าผิดหรือไม่ดีก้อคงอยู่มาได้ไม่ถึงขนาดนี้มั่ง เออก้อน่าจะจริง แล่วก้อกราบไหว้กันต่อไป ทั้งพระเครื่องเครื่องรางของขลัง เทพฮินดู เทพมหายาน กราบไหว้หมด สงสัยประวัติเทพองค์ต่างๆก้อหาข้อมูลมาก้อยิ่งนับถือ แต่ละท่านนั้นยิ่งใหญ่จริงๆ คงไม่เป็นไรยังไงก้อนับถือพุทธอยู่ เสริมด้วยเทพคงไม่เป็นไร ของแค่ช่วยให้ มีโชค มีลาภ มีสุขภาพแข็งแรง ค้าขายร่ำรวย มีเงินเยอะ มีอำนาจวาสนาบารมี เป็นเจ้าคนนายคนเหนือคน ก้อพอละ แล้วก้อไหว้ต่อไป จนสงสัยศาสนาเกิดมาได้ยังไง อ้อเมื่อก่อนคนไม่มีที่พึ่งจึงพึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นพึ่งธรรมชาติ แต่ธรรมชาติไม่มีตัวตนจึงสร้างตัวแทนขึ้นมา จากบ้านป่า มาเป็นเมือง จากศาลเพียงตาแบบกะดิน มาเป็นเมืองกลายเป็นเทวลัยยิ่งใหญ่ ให้สมกับเกียรติยศศักศรีของพระราชา ของเมืองตัวเอง ออเป็นงี้นี้เองเลยกลายเป็นความเชื่อเลยกลายเป็นศาสนาแต่ต้องยิ่งใหญ่ เลยเอาความเชื่อไปบอกต่อๆกันไป ว่าที่ตัวนับถืออยู่นี้ ยิ่งใหญ่หาใดเปรียบพระราชาเมืองข้ายังเป็นเทพลงมาปกครองมนุษย์ จากองค์แทนธรรมชาติเป็นเทพ จากเทพธรรมดาเป็นมีหลายหัวหลายมือ มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ คุ้มหมดทั้งโลกมนุษย์ สวรรค์อะไรก้อชั่งที่มีมาคุ้มหมด พวกแรกที่นับถือตายไปก้อไปเป็นแบบที่ตัวนับถือก้อมาบอกมาสอนพวกที่อยู่ทีหลัง เลยเกิดเป็นศาสนา ศึกษาดูอ้อ ศาสนานางี้เป็นงี้ นู้เป็นนู้น ต้องเชื่อพระเจ้าไม่เชื่อบาปตกนรกอ้าว ต้องนับถือบวงสรวงและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าไม่งั้นจะไม่ช่วยอ้าว แต่มีอยู่ศาสนาหนึ่งสอนง่ายมากแต่เข้าใจอยากมาก แค่เหตุกับผล แค่สองคำแต่ลึกมากมาก แค่มีเหตุก้อมีผลต่างๆตามมามากมาย คิดดูก้อจริงดังว่า ชั่งก้อตัวเราดีก้อตัวเรา ดีก้อไปเป็นเทพ ชั่วก้อไปตกนรก เป็นผีเป็นอะไรไป เหตุอยู่ที่ตัวทั้งนั้นไม่มีใครมาบังคับหรือวางชีวิตไว้แล้ว ผมไม่อยากจะให้ใครเชื่อแต่อยากให้คิดตามหลัก เหตุผล หลักกาลมาสูตร มันยากครับที่จะเปลี่ยนความเชื่อที่มีมายาวนาน แต่ถ้าหากมันไม่จริงหรือหลอกลวง แล้วเราทำไมไม่ค้นหาความจริง แล้วรู้ด้วยตัวเราเอง หรือลองศึกษาจากผู้ที่รู้ก่อนเราแล้วมาสอนเราละครับ ขอโทษด้วยที่พิมมายาวเหยียด นานๆเข้ามาทีไม่ได้มาบ่อย ลองไปคิดดูนะครับ ที่สำคัญต้องทิ้งอคติและความเชื่อทุกอย่าง แล้วลองศึกษาดูอีกที แล่วจะเจอคำตอบ คำตอบอะไรผมก้อไม่รู้ เพราะผมก้อยังรู้ไม่มาก แต่ที่รู้ตอนนี้คือ ผมมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิตของผมแล้วครับ ปล ผิดพลาดประการใดบอกกล่าวด้วย ผมผู้น้อยความรู้ไม่มาก ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...