หลวงปู่มั่นแนะนำวิธีการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือผี เข้าทรง การนับถือเทพเจ้าต่างๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 3 มิถุนายน 2013.

  1. โคกปีป

    โคกปีป สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +20
    รูปเหมือนพระอาจารย์มั่นภูริทัตโต ที่มีอยู่ในที่ต่างๆทุกวัดของวัดธรรมยุติ มีไว้เพื่อประโยชน์อันใดครับตอบด้วยครับ
     
  2. nuns

    nuns เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +626
    รบกวนไปหาหนังสือเกี่ยวกับประวัติคณะสงฆ์ธรรมยุตมาอ่านด้วยครับ

    พอดีผ่านมาพบเข้า จึงอยากเรียนว่ารบกวนไปหาหนังสือเกี่ยวกับประวัติคณะสงฆ์ธรรมยุตมาอ่านด้วยครับ ไม่เช่นนั้นจะทำให้สับสนกันมากขึ้น:'(

     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คำถามนี้เหมือนปลาไม่เห็นน้ำ นกไม่เห็นฟ้า ท่อนซุงมันเข้าตาหรือครับ คำถามแบบนี้ผมยกคำสอนของหลวงพ่อวิริยังค์มาตอบไว้แล้วตั้งแต่โพสต์ที่ห้าครับ
     
  4. ติโลกเหลน

    ติโลกเหลน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +86
    หากผ่านมาอีกครั้งขอความกรุณาบอกชื่อหนังสือเกี่ยวกับประวัติคณะสงฆ์ธรรมยุติ เล่มที่ ฉบับที่ พิมพ์ครั้งที่ รวมถึงผู้แต่ง ที่เป็นหนังสือเล่มเดียวกันกับหนังสือที่ท่านเคยอ่านมา ช่วยบอกผมให้ทราบด้วยครับ เพื่อเราจะได้เข้าใจตรงกัน ขอบคุณมากๆครับที่ให้คำแนะนำ
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ศาสนาที่บูชาเทวดาประจำธรรมชาติ หรือเชื่อว่าในธรรมชาติต่างๆ เช่นดิน น้ำ ลม ไฟ ต้นไม้ ภูเขา ตลอดจนดาวนพเคราะห์ มีเทวดาประจำอยู่ ศาสนาประเภทนี้เรียก ธรรมชาติเทวนิยม ศาสนาประเภทนี้ไม่มีศาสดาเจ้าลัทธิเป็นตัวเป็นตนที่มีชื่อเสียงอะไร แต่ก็เป็นความเชื่อถือที่มีอิทธิพลฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์สืบมาจนทุกวันนี้ ชาวอินเดียโบราณ ชาวกรีกและโรมันโบราณ มีความเชื่อถือในเรื่องเทวดาประจำธรรมชาติอยู่ไม่น้อย ดังจะเห็นได้ว่า พิธีลอยกระทงในวันเพ็ญเดือน 12 ของไทยก็สืบมาจากความเชื่อของอินเดียโบราณที่ว่ามีเทวดาประจำแม่น้ำ การที่เราเททิ้งของโสโครกหรือถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงในน้ำบางโอกาส เป็นการล่วงเกินพระแม่คงคา ถึงปีจึงควรมีการลอยกระทงเป็นการบูชาและขอขมา ในบัดนี้ชาวไทยนับถือศาสนาพุทธโยมีเหตุผลยิ่งขึ้น ความเชื่อถือที่เป็นฝ่ายธรรมชาติเทวนิยมและศาสนาพราหมณ์จืดจางลงไปมาก จึงมีผู้อธิบายเรื่องการลอยกระทงว่าเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่หาดทรายแม่น้ำนัมมทา ทั้งนี้ เพื่อให้ชาวพุทธทำได้โดยไม่กระดากใจ ความเชื่อในเรื่องเทวดาประจำดาวพระเคราะห์ คือพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร เป็นต้นนั้น มีต้องกันทั้งฝ่ายอินเดีย กรีก และโรมัน ในปี พ.ศ. 2497 ผู้เขียนมีโอกาสไปดูเมือง "ปอมเปอี" อันตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่มีภูเขาไฟพ่นถ่านเถ้ากลบทับเมืองของชาวโรมันโบราณ ยังได้เห็นซากโบสถ์ยูปีเตอร์ (พระพฤหัสบดี) ซึ่งถือกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งปัญญา ความรู้ แม้การที่คนไทยเราถือกันว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันครูก็สืบมาแต่ความเชื่อถือทำนองนี้

    ท่าทีของพระพุทธศาสนาที่มีต่อศาสนาประเภทนี้ ปรากฏในพุทธภาษิตบทหนึ่ง ซึ่งพระใช้เป็นบทสวดมนต์ตามวัดต่าง ๆ อันเป็นใจความได้ว่า “มนุษย์ที่ถูกความกลัวคุกคาม ย่อมยึดถือที่พึ่งต่าง ๆ กันมากมาย เช่น ภูเขา,ป่า,ต้นไม้,เจดีย์ (คำว่าเจดีย์ หมายถึงอนุสาวรีย์ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นมีแพร่หลายในสมัยก่อนพระพุทธศาสนา และในสมัยพุทธกาล) ที่ซึ่งเช่นนั้นยังไม่ใช่ที่พึ่งอันปลอดโปร่ง อันนับได้ว่าเป็นที่พึ่งชั้นเลิศ พึ่งแล้วก็ยังไม่พ้นไปจากทุกข์ได้ แต่ผู้ใดนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ เห็นอริยสัจ 4 ประการ ด้วยปัญญาอันชอบ คือ เห็นทุกข์ เห็นเหตุให้ทุกข์เกิด เห็นความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ที่พึ่งนั้น จึงเป็นที่พึ่งอันปลอดโปร่ง อันนับได้ว่าเป็นที่พึ่งชั้นเลิศ พึ่งแล้วย่อมพ้นทุกข์ได้”

    เมื่อวิเคราะห์ดูคำกล่าวของพระพุทธศาสนาข้อนี้ จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนาชี้ไปที่พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และตัวปัญญาที่รู้แจ้งประจักษ์ความจริงว่า อะไรเป็นทุกข์ และต้นเหตุของทุกข์แล้วหาทางดับทุกข์ให้ได้ว่า เป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง การชี้ไปที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น ก็เห็นได้ว่าเป็นอันเดียวกับการชี้ไปที่ตัวปัญญาเห็นแจ้งความจริง เพราะพระพุทธเจ้าเองก็เคยทรงแสดงว่า “ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั่นชื่อว่าเห็นธรรม” อันบ่งว่าพระพุทธเจ้าไม่อื่นไปจากธรรม ธรรมไม่อื่นไปจากพระพุทธเจ้า ส่วนพระสงฆ์ที่แท้นั้น หมายถึง ผู้ตรัสรู้ธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ทางให้ ที่เรียกว่า อริยสงฆ์ ถ้าไม่ตรัสรู้ธรรมก็ยังไม่จัดเป็นอริยสงฆ์ ตกลงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้ง 3 ก็รวมลงเป็นหนึ่งได้ คือ รวมลงที่ธรรม การที่จะรู้แจ้งธรรมได้ก็ต้องอาศัยปัญญา และปัญญาที่สูงสุดในทางพระพุทธศาสนานั้น มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองลอย ๆ หากต้องอาศัยเหตุเกิด 3 ประการ การคิดนึก 1 การศึกษาสดับตรับฟัง 1 การลงมือปฏิบัติให้เกิดความรู้แจ้งประจักษ์ในผลนั้น 1 พระพุทธเจ้าเองที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ทรงอาศัยการฝึกฝนอบรมปัญญาในข้อสุดท้าย คือ ลงมือปฏิบัติทดลองอันผ่านการลองผิดลองถูกมาเป็นเวลานานถึง 6 ปี จึงประสบผลสำเร็จในที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นอันสรุปได้ว่า ที่พึ่งชั้นสูงสุดทางพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่สิ่งภายนอก เช่น ต้นไม้ ภูเขา และสิ่งลึกลับอื่น ๆ แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนอบรมตนในทางที่ถูก เพื่อให้เกิดปัญญา ตรัสรู้สัจธรรมอันเป็นเหตุให้พันจากความทุกข์ และปัญญาที่ถูกต้องนั้นเอง จะทำให้เรารู้ว่าพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์มิใช่สิ่งภายนอก หากรวมลงเป็นหนึ่งที่สัจธรรมนั่นเอง

    คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนาโดย สุชีพ ปุญญานุภาพ
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ศาสนาที่บูชาเทวดาผู้สร้างโลก คือ เชื่อว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ รวมทั้งตัวโลกต้องมีเทพผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่สร้างขึ้น มนุษย์ทั้งหลายจึงควรจงรักภักดี วิงวอนและขอพรจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ มีฤทธิ์ มีอำนาจนั้นศาสนาประเภทนี้เรียกว่า เทวนิยม ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู หรือพราหมณ์ จัดเข้าในประเภทเทวนิยมนี้ เพราะแต่ละศาสนาแม้จะเรียกพระเจ้าไปคนละอย่าง ก็คงรวมลงในความเชื่อว่ามีพระเจ้าสร้างโลกด้วยกัน ตามความรู้สึกของชาวยุโรปซึ่งเคยอบรมกันมาในทางให้เชื่อถือในเรื่องพระเจ้าสร้างโลก ถ้าใครสอนในทางตรงกันข้าม ก็รู้สึกเป็นการเสียหายอย่างร้านแรง ฉะนั้น ฝรั่งที่นับถือพระพุทธศาสนาในยุโรปเมื่อแต่งตำราว่าด้วยพระพุทธศาสนาจึงลังเลเอามาก ๆ ว่าจะกล่าวถึงพระพุทธศาสนาในทางไหนดี ทั้งนี้อาจกลัวจะจูงคนได้น้อย ถ้ากล่าวว่าพระพุทธศาสนาเป็น
    อเทวนิยม ไม่สอนว่ามีพระเจ้าสร้างโลก อย่างไรก็ตามบางคนก็กล้ากล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพราะถือว่าเป็นเรื่องของการหาเหตุผลใครจะมีความฝังใจอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    ท่าทีของพระพุทธศาสนาที่มีต่อศาสนาประเภทนี้ อาจอธิบายได้ด้วยคำพูดสั้น ๆ ว่า ศาสนาประเภทเทวนิยมเชื่อใน พรหมลิขิต คือ โชคชะตาของมนุษย์เราสุดแต่พระพรหมหรือพระเจ้าจะกำหนดให้ แต่พระพุทธศาสนาเชื่อใน กรรมลิขิต คือ การกระทำของเราเอง สร้างโชคดีโชคร้ายหรือความเจริญความเสื่อมให้แก่ตัวเราเอง เพราะฉะนั้นในคำสอนทางพระพุทธศาสนา จึงไม่มีที่ให้แสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าหากสอนให้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ สร้างความเจริญให้แก่ตน ด้วยความขยันหมั่นเพียรตามปกติธรรมดานี้เอง ความหนักเน้นแห่งคำสอนของพระพุทธศาสนาจึงอยู่ที่การเว้นความชั่ว ประพฤติความดีและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด ดังได้กล่าวไว้แล้วในหลักทั่ว ๆ ไปแห่งพระพุทธศาสนา...

    อาจมีคำถามขึ้นว่า พุทธศาสนิกชนก็มีการสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย และในบทสวดมนต์บางแห่งก็มีการขอพรเหมือนกัน เรื่องนี้ขอตอบว่า ผู้แต่งบทสวดมนต์ในชั้นหลังได้แทรกลงไปจริง แต่การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนานั้น เรื่องดั้งเดิมเป็นการท่องจำพระพุทธภาษิตหรือคำสั่งสอนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่บทสวดมนต์ เมื่อแปลออกแล้วจะเป็นเรื่องสอนในทางประพฤติ ปฏิบัติ เช่น มงคลสูตร สอนถึงข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อันเป็นสิริมงคล 38 ประการ กรณียเมตตสูตร สอนถึงการแผ่ไมตรีจิตไปในบุคคลและสัตว์ทุกประเภท อย่าคิดเบียดเบียนประทุษร้าย แม้พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสว่า ผู้ใดเกาะชายสังฆาฏิของพระองค์ ก็หาชื่อว่าเห็นพระองค์ไม่ ผู้ใดบูชาด้วยเครื่องสักการะต่าง ๆ ก็หาชื่อว่าบูชาพระองค์ด้วยการบูชาอันยอดเยี่ยมไม่ ผู้ใดปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจึงชื่อว่าบูชาพระองค์ด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม อันนี้เป็นการแสดงหลักพระพุทธศาสนาอย่างตรงไปตรงมา

    เพราะฉะนั้น บทสวดมนต์ทางพระพุทธศาสนาส่วนใหญ่จึงเป็นข้อความในพระไตรปิฎก อันเป็นหลักคำสอนต่าง ๆ ส่วนที่มีผู้แต่งขึ้นเป็นบทเบ็ดเตล็ดในภายหลังที่มีขอพรต่าง ๆ นั้น เป็นเรื่องเพื่อปลอบใจและทำใจให้สบาย และเป็นเพียงส่วนน้อย ไม่ใช่หลักการใหญ่ทางพระพุทธศาสนาเพราะถึงอย่างไรก็เป็นที่ยอมรับกันว่า ถ้าบุคคลไม่ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ดีที่ชอบแล้ว ก็จะไม่ได้รับผลที่ดีที่ชอบ การสวดมนต์ที่แสดงถึงหลักความประพฤติปฏิบัติจึงเป็นเพียงการกล่าวถึงตำรายา ยังไม่สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ การลงมือประพฤติปฏิบัติจึงเป็นการรับประทานยาซึ่งสำคัญกว่าและจำเป็นกว่า เพราะเป็นเงื่อนสำคัญที่จะให้หายโรคภัยไข้เจ็บอย่างแท้จริง

    เป็นอันสรุปว่า พระพุทธศาสนาไม่สอนเรื่องพระเจ้าสร้างโลกและไม่สอนเรื่องการมีฤทธิ์เดชดลบันดาลสร้างสรรค์ของพระเจ้า หากสอนให้มนุษย์สร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่ตนเองด้วยการกระทำที่ดีที่ชอบของตนเอง

    คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนาโดย สุชีพ ปุญญานุภาพ
     
  7. กานโถม

    กานโถม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +115
    ถ้าพระโน้มน้าวให้ทหารบวชไม่สึกในยามสงครามได้ทั้งหมด ประเทศคงล่มจม
    ถ้าพระโน้มน้าวให้ชาวนาบวชไม่สึกได้ทั้งหมด ประชาชนคงอดอยาก
    ถ้าพระโน้มน้าวให้ตำรวจบวชไม่สึกได้ทั้งหมด บ้านเมืองคงมีแต่โจร
    ถ้าพระโน้มน้าวให้คนงานก่อสร้างบวชไม่สึกได้ทั้งหมด คนเราคงอยู่ถ้ำกันอีก

    ไม่ได้ต่อต้านการชักชวนให้พึ่งพระพุทธเจ้า แต่ใครก็มีหน้าที่ต้องทำ ดังนั้นการไปกล่าวหาคนอื่นว่างมงายโง่งมนับว่ามองโลกแคบ ไร้เดียงสา อ่อนต่อโลกมาก อย่างนี้จะสอนใครได้ เพราะตนเองยังไม่เดียงสาต่อโลกเลย กรรมจริงๆ
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ทางฆราวาสท่านเน้นหนักการเชื่อถือ เพราะปรากฏว่าพุทธบริษัทบางจำพวกพากันไปนิยมนับถือในสิ่งที่ผิดเสียมาก เช่นนับถือภูตผีปีศาจ นับถือศาลเจ้าที่ นับถือการเข้าทรง นับถือเทพเจ้าต่างๆ นับถือศาลพระภูมิ นับถือต้นไม้ใหญ่ นับถืออารามเก่าแก่ ซึ่งการนับถือสิ่งเหล่านี้นั้น มันผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้าโดยแท้ เป็นการนับถือที่งมงายมาก ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทไม่ควรที่จะนับถือสิ่งเหล่านี้เลย เพราะเมื่อไปนับถือสิ่งเหล่านี้เข้า ก็เท่ากับเป็นอ่อนการศึกษามากหรือขาดปัญญาในพระพุทธศาสนา เขาเหล่านั้นได้ปฏิญาณตนว่าได้ถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้วกลับมีจิตใจกลับกลอกหลอกหลอนตนเอง ไม่นับถือจริง เพราะถ้านับถือจริง ก็ต้องไม่นับถือสิ่งที่งมงาย ที่พระพุทธองค์ทรงตำหนิแล้ว ดังนั้นจึงปรากฏในภายหลังว่า ภิกษุผู้เป็นชั้นหัวหน้าผู้ที่ได้รับการอบรมจากท่านอาจารย์มั่น ฯ แล้ว จะต้องรู้จักวิธีการแก้ไขผู้นับถือผิดเกี่ยวกับภูตผีปีศาจเป็นต้นได้ทุกองค์ ถ้าแก้สิ่งงมงายเหล่านี้ไม่เป็น หรือพลอยนับถือไปกับเขาเสียเลย ก็จะรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ศิษย์ท่านอาจารย์มั่น ฯ แน่นอน เพราะว่าการแก้เรื่องภูตผีปีศาจเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากการนับถือที่ฝังอยู่ในสันดานมานานแล้ว และสถานที่อันเป็นเทวสถานหรือภูตผีอยู่ ก็จะถือว่ามันศักดิ์สิทธิ์ พากันหวาดเสียวไม่กล้าจะถ่ายถอนหรือกำจัดออกไป ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้แนะนำทั้งวิธีการจัดการเกี่ยวกับการถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวิธีการแนะนำโดยอุบายต่าง ๆ เมื่อท่านแนะวิธีแล้ว ท่านจะใช้ให้ไปทดลองปฏิบัติงานดูถึงผลงานที่ท่านเหล่านั้นไปปฏิบัติงาน

    ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้อธิบายว่า "อันที่จริงการนับถืองมงายนี้เกิดจากการไม่เข้าใจถ่องแท้ในพระพุทธศาสนา หรือขาดการศึกษาอย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนานั้นเอง ยิ่งชาวชนบทห่างไกลความเจริญแล้ว ก็ยิ่งมีแต่เชื่อความงมงายกับสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นล่ำเป็นสันจึงเป็นสิ่งที่แก้ยากมากทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงว่าชาวชนบทจะพากันหลงงมงายหรอก แม้แต่ชาวเมืองหลวงอย่างในกรุงเทพฯ ก็ตาม ยังพากันหลงงมงายในสิ่งเหล่านั้นมาก เช่น เจ้าพ่อนั้นเจ้าพ่อนี้ บางแห่งก็พากันสร้างเป็นเทวสถานแล้วก็ไปบูชาถือเอาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปก็มีมากมาย"

    ในเรื่องเหล่านั้นพระเถระบางองค์ถือว่าไม่สำคัญ แต่ท่านได้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกทีเดียว เพราะการจะเข้าถึงซึ่งความเป็นพระอริยะในขั้นแรกคือพระโสดาบัน ก็จะต้องแก้ไขถึงความเชื่อถือในเรื่องความงมงายเหล่านี้ให้หมดไป

    เพราะท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านต้องการสอนคนให้พ้นทุกข์จริงๆ สอนคนให้ เป็นอริยะกันจริงๆ ซึ่งบางคนพากันบำเพ็ญภาวนา ได้รับการยกย่องจากพระอาจารย์ของตนว่ามีธรรมปฏิบัติชั้นสูงเกิดขึ้นในใจแล้ว แต่เขานั้นยังมีความหลงงมงายในการนับถือเหล่านั้น ใช้ไม่ได้เป็นอันขาด ชั้นสูงในที่นี้ท่านหมายเอาถึงอริยสัจจ์ เพราะวิกิจฉาความลังเสสงสัยต้องไม่มีแก่ใจของบุคคลผู้มุ่งหน้าปฏิบัติเพื่อความเป็นอริยะ

    ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ฉบับสมบูรณ์ โดยพระอาจารย์วิริยังค์
     
  9. พรหมณี

    พรหมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,547
    ค่าพลัง:
    +12,863
    จริงๆแล้วก็ดีทั้งธรรมยุตและมหานิกายค่ะ เพียงแต่ว่าช่วงเวลาไหนที่จะพึ่งธรรมยุต ช่วงเวลาไหนจะต้องพึ่งมหานิกาย การทำความเพียรหรือความเข้าใจแบบสุดโต่งอาจทำให้มีการยึดมั่นถือมั่นได้

    มีพระหลายองค์ในสายธรรมยุตก็ไปไม่ถึงดวงดาว มีพระสายมหานิกายเป็นพระอริยเจ้าก็มากอย่างเช่นเจ้าคุณนรฯ
    ฉนั้นเราอย่าเพิ่งมาปฏิเสธมหานิกาย เพียงปรับความยืดหยุ่นสักนิดก็จะพอมองเห็นอะไรเลาๆบ้าง
     
  10. กานโถม

    กานโถม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +115
    อย่างนี้ไม่ต่างกับสมัยยุคกลาง ที่ศาสนาจักรประกาศตนว่า ผู้ที่เชื่อตนเท่านั้นที่ถูก ผู้อื่นที่เห็นต่างล้วนเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า งั้นสิ

    และในอาหรับที่ว่า นอกจากผู้ที่นับถือพระเจ้าของตนแล้ว ล้วนเป็นคนนอกศาสนาที่ฆ่าแล้วไม่บาป งั้นสิ

    เพียงแต่เอาพระพุทธเจ้ามาอ้าง แล้วประกาศความชอบธรรมให้ตนเอง เพื่อครอบงำผู้อื่น เป็นคนดีที่ชี้หน้าคนอื่นว่าเลว งั้นสิ

    พระพุทธเจ้าเอง พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวหาว่าการเอื้อเฟื้อต่อเทวดาเป็นเรื่องผิด ซ้ำยกย่องการระลึกถึงเทวดา ถือเป็นเทวตานุสติกรรมฐานอีกด้วย

    ไม่เถียงที่มีกลุ่มคนที่งมงายในเรื่องปาฏิหารย์ที่เกิดจากการขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระภูมิเจ้าที่ เจ้าพ่อเจ้าแม่ เพราะสิ่งเหล่านี้มีทั้งหลอกลวงและของจริง

    ที่ว่าของจริงนั้น คือ วิญญาณที่มีอยู่จริงในโลก ซึ่งล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ที่เรียกว่ามีกรรมร่วมกัน ดังนั้นการที่วิญญาณเหล่านั้นสามารถช่วยเหลือได้ นั่นแสดงว่ามีกรรมร่วมกันจึงเกื้อกูลกันได้ และการที่มีกตเวทิตาต่อวิญญาณที่ช่วยเหลือ ถือเป็นการแสดงออกถึงน้ำใจที่อารีต่อเพื่อนร่วมโลก ไม่ถือเป็นการนับถือที่งมงาย การตัดสินผู้อื่นโดยภายนอกจึงไม่ต่างกับหลวงเหียที่ถือคัมภีร์ด่าพระพุทธรูป เพราะตนเองไม่ได้รู้ใจใคร จึงไม่ควรคิดแทนคนอื่น
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ลองคิดทบทวนประโยคที่ทิ้งท้ายไว้ "ตนเองไม่ได้รู้ใจใคร จึงไม่ควรคิดแทนคนอื่น" ที่เขียนมาทั้งหมดแน่ใจหรือว่าไม่ได้คิดแทนคนอื่น ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี บางศาสนานับถือพระเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ศาสนาประเภทนี้เรียกว่า เทวนิยมเขานับถือพระเจ้าพึ่งพระเจ้าเขาไม่ได้งมงายนับถือภูตผีปีศาจฯ
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อย่างไรจึงจะเรียกว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี เนื่องจากเห็นว่าบางคนชอบทำบุญทำทานกับวัดแต่ยังตระหนี่กับคนทั่วไป
    และไม่ศึกษาแก่นธรรม ในขณะที่บางคนสนใจเนื้อหาธรรมแต่ก็อาจทำผิดศีลบางข้อในบางเวลา


    คำตอบ – ตามหลักว่าผู้ที่ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ จึงจะได้ชื่อว่าเป็น
    พุทธศาสนิกชน ความหมายของพุทธศาสนิกชนคือ ผู้ยึดถือพระรัตนตรัยเป็นแนวในการดำเนินชีวิต

    เมื่อเป็นอุบาสกอุบาสิการแล้วควรมีหลักธรรมบางประการในการดำเนินชีวิต เช่น อุบาสกธรรม ๕ คือ
    ธรรมของอุบาสกที่ดี ประกอบด้วย
    ๑. มีศรัทธา
    ๒. มีศีล
    ๓. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล คือ มุ่งหวังผลจากการกระทำและการงาน มิใช่จากโชคลางและสิ่งที่ตื่นกันว่าขลัง
    ศักดิ์สิทธิ์
    ๔. ไม่แสวงหาทักขิไณยภายนอกหลักคำสอนนี้ คือ ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา
    ๕. กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานี้เป็นเบื้องต้น คือ ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา

    คัดลอกมาจากหนังสือ ๙๙ คำถาม เกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราช ที่ระลึกงานฉลองพระชันษา ๙๙ ปี ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕
     
  13. กานโถม

    กานโถม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +115
    รู้อะไรดีขนาดไหนถึงแยกปิศาจภูติผีออกจากเทวดา เทพเจ้า พระเจ้า เพราะทั้งหมดก็คือสิ่งเดียวกัน ต่างกันตรงหน้าที่ที่แสดงใช้คนเรารับรู้เท่านั้นเอง ขอให้ท่านปฏิบัติให้ถึงที่สุดเสียก่อน และไปอ่านพระไตรปิฏกให้แตกฉานก่อนที่จะเผยแพร่คำสอนของพระพุทธศาสนา เพื่อที่จะไม่สร้างเวรกรรมให้กับตนเอง การสอนที่ไม่ถูกถือเป็นมิจฉาทิฐิ เจตนาท่านดีแล้วผมขออนุโมทนา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2013
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมเผยแผ่คำสอนของครูบาอาจารย์บ้าง จากพระไตรปิฏกบ้าง ไม่ใช่คำสอนของผม ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์สอนไว้ดีแล้วครบถ้วนแล้ว และน้อยมากที่ผมอาจจะแสดงความคิดเห็นส่วนตัวบ้าง ผมไม่ได้สร้างเวรกรรมกับใคร แต่ใครไม่เห็นด้วยกับคำสอนของครูบาอาจารย์ ล่วงเกินครูบาอาจารย์สร้างเวรกรรมเองเป็นทิจฉาทิฐิของคนๆ นั้นไม่เกี่ยวกับผม ผมเชื่อและศรัทธาในพระธรรมและหลวงปู่หลวงตาทั้งหลายท่านเป็นพระปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบท่านสอนให้ถอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะมันงมงายเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ทางเข้าถึงความเป็นอริยะ ผมไม่ศรัทธาพระที่สอนให้นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครศรัทธาพระที่สอนให้นับถือเทพเจ้า เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ศาลเจ้า ศาลพระภูมิ นับถือต้นไม้ นับถือของขลัง พระรดน้ำมนต์พ่นน้ำมนต์ พระหมอดู พระหมอผี พระปลุกเสก พระตระกรุดของขลัง พระลงเลขยันต์ พระใบ้หวย พระเจิมบ้านเจิมรถ พระพิธีกรรม พระขายพระ พระแบบนี้มีเยอะใครนับถือเชิญตามทิฐิของท่าน เจตนาของท่านนั้นคือกรรมของท่านไม่เกี่ยวกับผม
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ทีนี้มันก็เหนียวแน่น มันยึดเนื้อที่ไว้ได้มาก ไสยศาสตร์นี้มันเหนียวแน่น ยึดเนื้อที่ในจิตใจของคนไว้ได้มาก มันก็เลยปนกัน. ทีนี้มันก็ปนกันเหมือนแม่น้ำสองแควไหลมาพบกันรวมกัน แควไหน มันใหญ่มาก มันมากมันก็ทำหน้าที่ได้มาก. เดี๋ยวนี้เรื่องของไสยศาสตร์ กำลังมีอิทธิพลเหนือจิตใจของมวลชน. คำว่ามวลชนนี้หมายความว่าคนทั้งหมดมาก ปัญหาก็เกิดขึ้นเต็มไปหมด, แล้วฝ่ายอันธพาลก็ได้เปรียบ ฝ่ายอันธพาลเขาถือไสยศาสตร์ เขาก็ได้เปรียบ ได้เปรียบในการที่จะยึดไสยศาสตร์นั่นแหละ เป็นเครื่องส่งเสริมกำลังใจ ให้กระทำได้อย่างลงคอ, แม้เป็นการกระทำที่เลวทรามโหดร้ายทารุณอย่างไร ก็ได้อาศัยกำลังไสยศาสตร์นี้ เป็นเครื่องส่งเสริมกำลังใจ.

    ถ้าเราจะพูดว่า ขุนแผนที่เขาสรรเสริญกันนัก เขาฆ่าลูกในท้องของเขาออกมาได้ อย่างนี้ มันด้วยกำลังอะไร? มันก็ด้วยเรื่องไสยศาสตร์, แล้วขุนแผนกลับได้รับการยกย่องนับถือ ว่าดี เก่ง นั่นน่ะ มันเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ถ้าเขาถือพุทธศาสตร์จะทำอย่างนั้นไม่ได้ จะฆ่าเสีย แล้วเอาลูกออกมาทำอะไรอย่างที่ว่าในนิยายเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้นไม่ได้. นี่ไสยศาสตร์มันส่งเสริมให้ทำได้ถึงอย่างนั้น ฆ่าเมียฆ่าลูกเอาลูกออกมาทำ เป็นอะไร, นี่ด้วยอำนาจอันแรงร้ายของสิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์. เดี๋ยวนี้มันก็ยังอาละวาดอยู่ในโลก เพราะจะทำอะไรรุนแรง มันก็ต้องทำด้วยความคิดที่นอกเหนือไปจากสติ ปัญญาหรือเหตุผล ต้องไปตามความยึดถือที่งมงาย มันจึงจะทำได้.

    นี่ถือพุทธปนไสยนั่นแหละ, เราก็พูดกันได้ทุกคนที่ว่าถือพุทธปนไสยนั้นจริงที่สุด, เดี๋ยวนี้ถือพุทธปนไสยอย่างปนเปกัน. ไสยศาสตร์ได้เปรียบ เพราะว่าถูกเพาะให้งอกให้เจริญขึ้นมาตั้งแต่เกิด, ตั้งแต่แรกเกิดออกมาจากท้องแม่ ก็ได้รับการเพราะเมล็ดเพาะพืช งอกงามขึ้นมาตามลำดับ, แล้วพอมา ได้รับพุทธศาสตร์ทีหลังบ้าง มันก็มีอาการปนเปกัน โดยที่ไสยศาสตร์มันก็ไม่ยอมถอยไป, มันยังยืนอยู่ มันก็เลยได้ปนกัน ระหว่างพุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์. เหมือนกับแม่น้ำสองแคว, แม่น้ำแควหนึ่งน้ำใส แม่น้ำแคว หนึ่งน้ำขุ่น, พอมาบรรจบกันเข้าก็ปนกันอย่างนั้นแหละ ในจิตใจของมนุษย์นี้มันก็มีการปนกัน ระหว่างพุทธกับไสย แล้วเราก็ถือลัทธิพุทธปนไสยกันได้โดยสะดวก.

    ทีนี้ถ้าพูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ เล่าเรื่องลัทธิศาสนา ที่มาสู่เมืองไทยแผ่นดินแหลมทอง ของไทยนี้. ลัทธิไสยศาสตร์มาก่อน มาจากอินเดีย ลัทธิพราหมณ์มาก่อน มาสู่แผ่นดินนี้ก่อน, ลัทธิพุทธนี้เพิ่มมาทีหลัง ก็เลยรากฐานมันไม่ลึกเหมือนลัทธิไสยศาสตร์. ที่บ้านเมืองเราเมืองไชยานี้ สังเกตดูสักหน่อยก็จะเห็นได้ว่า หน้าวัดจะมีโบสถ์พราหมณ์ ถ้าไม่รื้อทิ้งเสียหมดคงจะมีกันทุกวัด, วัดโบรมโบราณตั้งพันกว่าปีนั้น หน้าวัดจะมีโบสถ์พราหมณ์ ที่ไว้พระนารายณ์ ไว้พระอิศวรอะไรก็ตาม, แสดงว่าคนเราถือพร้อมกันทั้งพุทธทั้งพราหมณ์. เจ้านายเขาไม่ว่า เพราะว่า ให้มันถือก็แล้วกัน, มันจะเป็นเครื่องยึดหน่วงจิตใจ ให้ทำความดี ให้ร่วมมือกับบ้านเมือง, แล้วบางทีเรื่อง ของพราหมณ์ ก็มาอยู่ในโบสถ์ของพุทธเป็นบางอย่างบางครั้งก็มี.

    เมื่อเขาขุดเจดีย์วัดแก้วนั้น เจดีย์องค์ใหญ่ในช่องกลางที่เป็นช่องประธานก็ยังพบศิวลึงค์ พบพระคเณศ ซึ่งเป็นของฝ่ายพราหมณ์ฝ่ายฮินดู รวมอยู่กับพระพุทธรูปเหล่านั้นด้วย; หมายความว่าเคยได้รับความยกย่องนับถือพร้อม ๆ กันไป เรื่องถือพุทธปนพราหมณ์ เดี๋ยวก็ไหว้เทวดาที, เดี๋ยวก็ไหว้พระพุทธเจ้าที, เดี๋ยวก็ไหว้พระเจ้านั้นทีนี้ที. ขนบธรรมเนียมประเพณีตามบ้านเรือน ก็มีออกชื่อทั้งฝ่าย พุทธและฝ่ายพราหมณ์, ถึงวันสงกรานต์ไหว้อะไรกันบ้างคิดดูเถอะ. พอถึงวันสงกรานต์จัดที่บูชาไหว้อะไรกันบ้าง? ไหว้นางสงกรานต์ ไหว้ท้าวมหาพรหม ไหว้อะไรต่าง ๆ. นี้แสดงว่าชาวพุทธน่ะเขาถือ พุทธปนพราหมณ์กันมาอย่างนี้, นี้เรียกว่าความที่ปนเปกัน.

    คำว่าศักดิ์สิทธิ์ คำว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นมันมีความหมายหลายแง่มุม : ศักดิ์สิทธิ์อย่างพระธรรม ก็ศักดิ์สิทธิ์ไปทางหนึ่ง, ศักดิ์สิทธิ์อย่างพระเจ้า ก็ศักดิ์สิทธิ์ไปอีกทางหนึ่ง. แต่ศักดิ์สิทธิ์อย่างพระเจ้านี้เข้าใจง่าย เด็ก ๆ รับเอาได้ทันที, ถ้าศักดิ์สิทธิ์อย่างพระธรรมนี้ เด็ก ๆ เข้าใจไม่ได้ รับเอาไม่ได้ ว่า นโม ตั้งพันครั้งหมื่นครั้งแล้ว มันก็ยังรู้ไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าคืออะไร; แต่ถ้าว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างพระเจ้าพระอินทร์ พระพรหมพระอะไร รับได้ทันที เชื่อได้ทันที, มีความศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นในใจทันที. นี่ความศักดิ์สิทธิ์มันไม่ยุติธรรม มันยืดหยุ่นได้ แล้วแต่ใครจะผันไปทางไหน, ผันความศักดิ์สิทธิ์ไปทางไหน, มันมีความเข้าใจได้ต่าง ๆ สำหรับคำว่าศักดิ์สิทธิ์ ๆ. แล้วศักดิ์สิทธิ์ที่เด็ก ๆ เข้าใจได้ง่ายนั่นแหละมันได้ เปรียบ, เป็นเรื่องไสยศาสตร์ทั้งนั้น ที่เด็ก ๆ จะเข้าใจได้ง่ายทันที; ฉะนั้นมันจึงมีการปนกันมาก ปนกันลึกซึ้ง.

    พุทธทาสภิกขุ
     
  17. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    รวมศาสนาไงครับแต่ยังขาด พระเยซูตรึงไม้กางเขน หลักๆสมัยนี้ก้อ อะไรก้อได้ขอแค่มีคนมาทำบุญที่วัดเยอะๆ พระสงฆ์เราถูกสอนปนพราหม์มาแบบนี้มานานหลายร้อยปีแล้วครับส่วนมหายานก้อพึ่งเข้ามา ตอนที่คนจีนมาอยู่แล้วเอาความเชื่อนี้ติดตามมาด้วย สมัยนี้จะทำพิธีอะไรยังต้องมีพราหมมาทำพิธีด้วยเลยครับ ไม่งั้นจะไม่ศักดิ์ศิทธิ์ พระก้อไม่มีความรู้จริงจะสอนคนเรา มีที่รู้จริงก้อน้อยเหลือเกิน เพราะเบื่อส่วนมากมักจะหนีไปอยู่ที่สงบ ไม่วุ่นวายมากกว่า ขนาดผมเมื่อก่อนยังเชื่อหัวปักหัวปำมามีจริง จนเจอผู้รู้สอนและพิจารณาตามความเป็นจริงก้อรู้ตามได้ทันครับ เกือบเสียหลังไปแล้วสิ แต่ต้องพิจารณาตามความเป็นจริงด้วยนะครับ เพราะถ้าเชื่อแบบหัวปักหัวปำก้อจะฟังหูไว้หูแล้วก้อลืม กลับไปนับถือเหมือนเดิม คิดถึงพระถ้าเราเป็นพระแล้วสอนคนให้เปลี่ยนความเชื่อ แล้วเหนื่อครับ คงจะปล่อยตามเวรตามกรรม หรือถ้าใครมีสติปัญญาตามหน่อย ก้อคงจะรู้บ่าง ว่าพระรัตนตรัยคือที่พึ่งที่ระลึกสูงสุดของพวกเราทั้งมนุษยเทพพรหมทั้งหลายทั้งอนันตจักรวาล ปล ขอโทษถ้าไปกระทบกระทังกับบ่างความเชื่อ โปรดบอกกล่าวด้วย ผมผู้น้อยพูดตามที่ได้เรียนได้ฟังมา ขอบคุณครับ
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อ่านมาจนกระทั่งถึงตรงนี้แล้ว...ตาลายทีเดียว...
    ก่อนอื่นก็ต้องขออนุโมทนา คุณอุรุเวลา ที่อุตสาหะ นำคำสอนครูบาอาจารย์มาเผยแผ่ เพื่อให้ผู้คนอีกจำนวนมาก ที่ยังไม่เคยได้รับรู้ รับฟัง ได้มีโอกาสได้เห็นคำสอนของท่าน...

    สมัยก่อนผมก็มีพี่ชายคนหนึ่ง ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับคุณ อุรุเวลา ... ผมชอบเรียกเฮียผมคนนี้ว่า ขรัวใบลานเปล่า ... ซึ่งอาจจะต่างกับคุณ อุรุเวลา ที่เป็นขรัวใบลานเต็ม นะครับ... เฮียผมคนนี้ก็ยกเอาพระไตรปิฎกมาอ้าง เอาคำสอนครูบาอาจารย์มาถ่ายทอด ซึ่งก็ถูกแต่ก็ยังไม่ใช่ หรือจะว่าใช่ แต่ก็ยังไม่ถูก ...

    ที่ว่าถูกแต่ยังไม่ใช่นี้ เนื่องจากว่า ภูมิธรรมที่ครูบาอาจารย์ท่านบรรลุแล้วนั้น เป็นปรมัตถสัจจะ จากนั้นท่านจึงกำหนดสมมติ เพื่อให้สามารถอธิบาย เป็นภาษาพูดได้ เมื่อพูดออกมาแล้วสิ่งนั้นจึงเป็นสมมติไป การเมื่อเราผู้ยังหลงอยู่ นำมากล่าวถึง จึงถึงได้เพียงสมมติ ย่อมไม่อาจแสดงให้ผู้ฟังเข้าถึงวิมุตได้ ดังนั้นการถกเถียงจึงเกิดขึ้นเนืองๆ ดังนั้นจะกล่าวว่าธรรมที่แสดงนี้ถูกต้องไหม ก็ถูกต้อง แต่ยังไม่ใช่เพราะยังเป็นสมมติ ครั้นจะแสดงที่เป็นวิมุตก็แสดงไม่ได้ ต้องปฏิบัติ อย่างถูกวิธีด้วย ประกอบด้วยเวลาอันควร บุคคลอันควร สถานที่อันควร ฑิฐิอันควร มีมรรคทั้ง ๘ องค์ ประชุม เสมอกัน ดังนั้นจึงเป็นของยาก...
     
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สำหรับลุงมหานี้ ก็ขออนุโมทนา ในการสร้างบุญสร้างกุศล ด้วยเจตนาที่หวังจะช่วยสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ซึ่งต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้น ไม่แน่...ซึ่งจะยังให้มีคนและสัตว์ตายเป็นแน่ แต่ว่าจะตายเมื่อไร มากน้อยเพียงใดนั้น ยังไม่แน่ แต่ว่าที่แน่ๆ คือ สิ่งใดขึ้นชื่อว่าเกิดขึ้นแล้ว จะไม่ดับไป เป็นไม่มี...ลุงมหาก็หวังว่าให้สัตว์ทั้งหลายจะตายก็ให้ถึงอายุขัยเสียก่อน จะมีสิ่งใดช่วยได้บ้างก็คงพยายามทุกวิถีทางอยู่ นี่ก็คงเพราะเมตตาจิตของลุงมหา ทั้งที่ความพยายามจะช่วยนี้ก็สร้างภาระลำบากให้ท่านไม่ใช่น้อย กำลังตนไม่พอก็อาศัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวาทั้งหลาย สายบุญบารมีมาช่วยกัน...

    เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพเทวา และพลังทั้งหลายนั้น มีมานานแล้ว เห็นทีจะมีมาก่อนพระพุทธศาสนาเสียอีก องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ได้ทรงปฏิเสธเสียทีเดียว ดังจะเห็นว่า เวลาพระไปเจริญภาวนา พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงประทาน บทสวดพระปริตฯ ให้กับพระสมมติสงฆ์ เพื่อป้องกันภัยอันเกิดจาก เทพเทวดาและสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งหลายที่จะดลบันดาลให้เป็นไปต่างๆนานาได้นั้น ซึ่งในที่นี้จะขอสมมติเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าศักดิ์สิทธิ์ ส่วนตัวพระปริตพร้อมคำแปลนั้น ท่านอุรุเวลา คงจะหามาแสดงได้ดีกว่า...

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเทวะทั้งหลาย สายใยบุญบารมีทุกท่าน เหล่านี้ ได้เคยช่วยให้คนและสัตว์จำนวนไม่น้อย ให้พ้นจากภัยพิบัติ ทั้งที่รู้และไม่รู้ว่าได้รับการช่วยเหลือก็ตาม สิ่งนี้ก็มีอยู่ ... แต่เมื่อพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ ได้ทรงแสดงถึงอริยสัจ 4 อริยมรรค 8 และมี มหาสติปัฏฐาน 4 อันทุกท่านรู้กันดีอยู่แล้วนั้น เป็นเพราะพระองค์ทรงเห็นว่า แม้ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนี้จะหลีกเลี่ยงได้แล้ว แต่มนุษย์และสัตว์ ยังคงไม่สามารถหลีกพ้นภัยจากวัฏฏะสงสาร ที่น่ากลัวว่า ภัยจากน้ำ จากดิน จากลม จากไฟ เป็นต้น เมื่อลุงมหา ช่วยชีวิตคนและสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากภัยพิบัติทางธรรมชาติได้แล้ว คนและสัตว์เหล่านั้น ยังไม่อาจพ้นภัยใหญ่คือวัฎฎะสงสารได้

    หากพ้นภัยในวัฏฏสงสารได้แล้วโดยสิ้นเชิง ย่อมไม่มีความจำเป็น ไม่เห็นค่า ภัยอันเกิดจากธรรมชาติเลย เพราะสิ่งนั้นคือธรรมชาติ ไม่อาจกล่าวว่าเป็นภัย มันเป็นไปของมันอย่างนั้นเอง เป็นอยู่อย่างนี้ วนเวียนอยู่ไป-มา ไปตามธรรม ตามกรรม อยู่คู่โลกนี้มานาน และจะอยู่ต่อไป

    ภัยจากวัฏฏะสงสารนี้ใหญ่หลวงนัก น่าหวาดกลัวนัก ข้ามพ้นได้ยาก แม้เทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก้อนหิน สายใยบุญทุกท่าน ก็ยังไม่อาจรอดพ้นภัยนี้ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้และนำวิธีการมาสอน เพื่อให้สาวกได้ปฏิบัติตาม จนกว่าจะพ้นภัยอันน่าสะพึงกลัวนี้...

    การที่ลุงมหา เจริญภาวนาไปจนกระทั่งเห็นจิตในจิตได้นั้น นับว่าเป็นเรื่องยาก เป็นที่น่าอนุโมทนายิ่ง และเมื่อเห็นจิตในจิตแล้ว ธรรมอันไม่มีภาษา ไม่มีเหตุ ไม่มีที่ไปที่มา จะปรากฎขึ้น ณ ที่ตรงนั้น เมื่อนั้นแล้ว จิตจะเห็นแจ้งในธรรม อันเป็นปรมัตถสัจจะ จนจิตถอนจากอุปทาน ณ ที่ตรงนั้นได้ เมื่อนั้นแล้ว ขอให้พิจารณาธรรมนั้นว่า ธรรมนี้แม้จะวิเศษปราณีตเพียงใด เมื่อก่อนนี้ไม่เคยบังเกิดแก่เรา บัดนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งใดขึ้นชื่อว่าเกิดขึ้นแล้ว ไม่ดับไปย่อมไม่มี จึงแม้ธรรมนี้ก็ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ทุกข์นี้ควรหรือที่เราจะยึดว่าเป็นเรา ว่าตัว ว่าตนของเรา เมื่อนั้นธรรมอันบรรลุแล้ว จึงสงเคราะห์รวมเข้าเป็นอนัตตา

    ต่อแต่นั้นจึงกลับมาพิจารณาที่จิตอีกครั้ง เมื่อจิตเห็นจิตย่อมเห็นความไม่เที่ยงแห่งจิต อุปทานอันยึดมั่นในจิตจะหมดไป จึงมาพิจารณาที่ผู้รู้ จนอุปทานในผู้รู้หมดไป เมื่อจิตก็ไม่ยึดเสียแล้ว ผู้รู้ก็ไม่ยึดเสียแล้ว ท่านจะเห็นสิ่งที่หลวงปู่เทสส์ท่านเรียกว่า "ใจ" เมื่อนั้่นท่านกลับมาอ่านคำสอน ที่คุณ อุรุเวลา นำมาพิมพ์ไว้นี้ จะเข้าใจ จะถึงใจ และจะซึ้งใจ ยังอาจจะมากกว่า ความซึ้งใจ ที่คุณ อุรุเวลา จะรู้สึกได้เสียอีก...
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สิ่งที่ลุงมหากล่าวมาถึง อ้างถึงนั้น ผมก็ขอยืนยันกับคุณอุรุเวลา ว่า มันมีอยู่อย่างนั้นทั้งหมด...จะว่าจริงทางโลก ตามสมมติบัญญัติ แต่ไม่จริงตามปรมัตถสัจจะก็ตาม...

    ต่อเมื่อลุงมหา เจริญภาวนาไปจนเห็น ใจ แล้วนั้น ...
    ท่านจะเห็นคุณของพระรัตนตรัย ว่าเป็นที่สุดแล้ว เป็นสรณะอันประเสริฐแล้ว หาสรณะอื่นอีกไม่ได้แล้วจริงๆ....
    ท่านจะกราบพระพุทธรูป ก็จะถึงพระพุทธเจ้า...
    ท่านจะกราบพระธรรม ก็จะถึงพระธรรม...
    ท่านจะกราบพระอริยสงฆ์ ก็จะถึงพระอริยสงฆ์...

    แต่ท่านจะกราบ รูปหล่อช้าง รูปหล่อม้า รูปหล่อ เทพอื่นๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ให้เอามาเป็นสรณะนั้น ท่านจะทำไม่ได้...
    ท่านจะสวดอ้อนวอนขอ ให้เทพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการบนบานสานกล่าว ต่อพระพุทธรูป เทวรูป เหล่านี้นั้นท่านจะทำไม่ได้ ด้วยจะเห็นว่าเป็น ศีลพตปรามาส เป็นการ ปรามาสต่อ พระรัตนตรัย...
    ก็เมื่อนั้น ลุงมหา จึงจะเข้าใจเจตนา ที่ คุณ อุรุเวลา นำเรื่องต่างๆเหล่านี้มาลงในกระทู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เช่นกัน เป็นความถูกต้อง ในอีกระดับขั้นหนึ่ง ซึ่งไปถึงได้ยากมาก ความจริงผมอยากจะใช้คำว่ายากที่สุดสัก 1 ล้านครั้ง

    อ่านไปแล้วก็เข้าใจทุกๆท่านดี...ผมไม่มีข้อขัดแย้งโต้แย้งแต่อย่างใด...จะว่าถูกก็ถูกด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ...จะว่าผิดมันก็ผิดด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ...ท่านว่าไหม...
     

แชร์หน้านี้

Loading...