กรรมกำหนดทุกจริงแต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย redeye127, 16 สิงหาคม 2013.

  1. redeye127

    redeye127 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +1,474
    กรรมเป็นการกำหนดการกระทำ กำหนดอุปนิสัย กำหนดวาสนา กำหนดวิธีการดำเนินชีวิต แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ด้วยการทำความดี เริ่มง่ายๆจากคิดดี พูดดี และกระทำแต่สิ่งที่ดี เมื่อมีโอกาสได้ทำบุญก็ให้อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย กรรมไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมดแต่ถ้าเราพยายามจะต้องดีขึ้นบ้าง ยกตัวอย่างเช่น กรรมกำหนด บางคนเกิดมาทะเยอทะยาน บางคนเกิดมาสบายทั้งชาติ บางคนเกิดมาแทบไม่มีอะไรในชีวิตเลย แต่สิ่งเหล่านี้เวลาเราจะเริ่มแก้ไขให้เริ่มจากตัวเราก่อน เช่น ถ้าอยากรวยแต่กรรมกำหนดให้เราจน วิธีแก้ไขคือ ฝึกฝนตัวเราอยุ่เสมอให้เกิดความเชี่ยวชาญในหน้าที่ของเรา คิดสิ่งใหม่ๆและดีๆให้กับผู้มาใช้บริการ และต้องอดทนอย่างมากๆ เก็บออมทรัพสิน และที่สำคัญคือต้องอย่าน้อยใจในวาสนาแต่ให้มองโลกในแง่ดี ,,, เพราะมหาเศรษฐีบางคนรวยด้วยได้เพราะความอดทนไม่ได้รวยได้เพราะเส้นลายมือหรือวาสนาแต่เกิด สำคัญคือการทำบุญบ่อยๆถึงแม้จะไม่เห็นผลในทีเดียวแต่สิ่งที่เราได้คือความสบายใจ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้วครับ
     
  2. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    เข้าใจผิดไปมากแล้วครับ ศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ดี แล้วจะแยกแยะได้ว่ากรรมไม่ได้กำหนดอะไรๆไปอย่างที่ท่านจขกท สรุปเอง

    เมื่อแยกแยะได้ว่าอันใดมาจาก"ผล"กรรม อันใดเป็น"กรรมใหม่"ได้ จึงจะสามารถส่งตนไปในครรลองที่สมควรได้ เช่น เมื่อเกิดทะเยอทะยาน เวลานั้นเป็น"เจตนาใหม่" หรือกรรมใหม่แล้วทันที..เพราะเจตนาคือกรรม..

    ส่วนอุปนิสสัยนั้นไม่ใช่ผลกรรม ..แต่เป็นผลจากสั่งสมความนิยมในการทำกรรมต่างๆ หากเข้าใจผิดว่าอุปนิสสัยเป็นผลกรรม ก็จะเสียหายไปใหญ่โต เช่น เป็นคนขี้โลภ คิดว่าตนต้องใช้กรรมด้วยการขี้โลภ เลยก่อบาปเวรภัยให้ตนไม่สิ้นสุด หรือนิสัยมักโกรธ ก็ทำนองเดียวกัน วันๆได้แต่นึกโกรธด่าทอทะเลาะชาวบ้านไปทั่ว พอมีคนมาปรามก็อ้างว่า "ข้าำพเจ้าถูกกรรมนั่นเเหละซัดมาให้ชอบโกรธ จะทำอย่างไรได้เล่า?.."อย่างนี้ก็ไม่ประกอบด้วยเหตุผลเลย..

    หรือกรณีที่ป๊อบปูล่าร์มากๆ ที่อ้างว่า "เพราะกรรมจัดสรรมา หรือบันดาลมา"คือการเป็นชู้กับบุตร ภริยา สามีของคนอื่น แล้วยังตนให้ล่วงศีลด้วยอาการนั้นก็เสียหายทั้งแก่ตนและคนที่เกี่ยวข้อง..

    แม้การที่จะพยายามเปลี่ยนอกุศลให้เป็นกุศล ก็มาด้วยเหตุปัจจัยประกอบ หาได้เกิดเพราะใครๆสามารถบังคับบัญชาให้เป็นได้ดังใจไม่ บางที รู้ทังรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดีเป็นบาป แต่ก็ยังทำไป...เช่นขับรถกลางถนน ถูกปาดหน้าแทบชน เวลานั้น แทนที่จะนึกว่า เออ เราคงเีคยทำให้เขาอยู่ในสถานการณ์นี้ มาแล้วเช่นกัน แต่เปล่าเลย กลับหัวเสียบ่นด่าไปหลายคำ บางรายถึงกับเปิดกระจก ส่งคำด่าไปยังรถที่ตัดหน้า แต่บางรายส่งตัวออกไปนอกรถ มุ่งไปที่รถคันต้นเหตุ ด่าขรมพร้อมท้าประอวัยวะท่ามกลางจราจรติดขัด...บางราย ไม่ปล่อยนาทีนรกให้ผ่านเลย คว้าอาวุธที่ตนมีทั้งหลายออกไปข่มขู่เขา หรือลงมือปลิดชีวิตเขาก็มี..คงเคยเห็นกับตาเองหรือจากสื่อต่างๆกันพอควร..เพราะเหตุใด?..เพราะได้ปัจจัยเพื่อการตอบสนองด้วยโทสะ..

    ถ้าตนไม่เคยมีปรกติ(อุปนิสสัย) เจริญเมตตาหรือพิจารณาข้อธรรมต่างๆ เช่นมรณานุสสติมาเป็นต้น ที่จะปรากฏคิดได้ในยามนั้นว่า..."โอหนอ ที่เขาเร่งรีบเช่นนั้นคงเพราะมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่ง ขอให้เขาถึงที่หมายด้วยความปลอดภัยทันความจำเป็นด้วยดี...หรือ...ชีวิตนี้ไม่เที่ยงเลย นี่เราอาจตายเพราะอุบัติเหตุเช่นนี้ได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถูกหนอ "...แล้วระลึกถึงพระพุทธคุณต่อได้ด้วยความชำนาญ....ฯลฯ

    ดังนั้นการกล่าวหาว่ากรรมกำหนดอะไรๆไปทุกเรื่องจึงเป็นความเห็นที่ไม่ถูกตรงที่ต้องแก้ไข..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  3. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    อำนาจของกรรมที่มีต่อชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำรัสว่า เรามีกรรมเป็นของตน เราเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น เราเป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด เราเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งพาอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลกรรมนั้น

    จากพุทธดำรัสนี้ สรุปความได้ว่า ที่เราเกิดมานี้ก็ด้วยอำนาจกรรม เกิดมามีรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอเป็นอย่างไรก็ด้วยอำนาจกรรม เกิดมาในฐานะใด ดำรงอยู่อย่างไร ชีวิตดำิิเนินไปทางไหนก็ด้วยอำนาจกรรม เราจึงจำแนกกรรมตามบทบาทที่มีต่อชีวิตได้ดังนี้

    ๑. กรรมที่ทำให้เรามาเกิด นับแต่จิตส่ายเพราะอวิชชาเป็นปฐม
    ๒. กรรมที่ตบแต่งขัณฑ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
    ๓. กรรมในสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ที่เราประสบ ซึ่งมีบ่วงกรรมผูกพันอยู่
    ๔. กรรมในปรากฏการณ์ของชีวิต ที่เราต้องพบเมื่อถึงเวลา ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดีตามที่เราได้ทำไว้ กรรมสนองตามเวลานั้นเรียกว่า เวรกรรม ซึ่งกล่าวได้ว่าทั้งชีวิตเรานี้ คือผลของกรรมทั้งสิ้น ซึ่งเราอาจแก้ไขกรรมด้วยการไม่ผูกโกรธและอาฆาตพยาบาทจองเวร ควรต้องใช้การอโหสิกรรมและการแผ่เมตตา

    ศาสนาพุทธไม่ต้องการให้มีความเชื่อใดๆ โดยไม่ใช้ปัญญา เป็นศาสนาแห่งเหตุผล ศาสนาอื่นๆ เกือบทั้งหมดล้วนให้คำตอบอย่างฟันธงแจ่มชัด และให้เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาแห่งศรัทธาและความเชื่อ แต่เป็นศาสนาแห่งปัญญา ความเชื่อโดยไม่มีปัญญายิ่งเป็นกรงขังจิตให้หมกมุ่นวนเวียนอยู่แต่เรื่องนั้น โดยไม่เกิดปัญญาขึ้นมาได้เลย..เรื่องของกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ที่ควรทำความเข้าใจให้ได้อย่างรู้แจ้งชัดเจน..เพื่อสนับสนุนหนทางให้เข้าใก้ลกระแสพระนิพพานโดยเร็ว..^^
     
  4. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    ไม่ใช่กรรมหรือคะ ที่ทำให้บางคนคิดได้, บางคนคิดไม่ได้, บางคนงมงาย, บางคนเกิดราศีนี้จึงชอบสิ่งนี้ จึงพาตัวเองไปเจอปัญหารูปแบบนี้ อีกคนเกิดอีกราศี พื้นฐานไม่คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว อะไรก็ช่างมัน เลยทุกข์น้อยกว่าคนที่เกิดในราศีที่มีอีโก้สูง ......ไม่ใช่กรรมหรือที่ทำให้คนนึงมองปัญหาเดียวกันแต่คนนึงทุกข์มากจนฆ่าตัวตาย ส่วนอีกคนกลับไม่รู้สึกอะไรเลย...... ไม่ใช่กรรมหรอกหรือ...... ทำไมเราไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยคนได้ ถ้าไม่ใช่กรรมมันกำหนดมาแล้วว่าเราต้องมามีนิสัย หรือแนวคิดแบบนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  5. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ที่คิดได้หรือไม่ได้นั้น มาจากเหตุปัจจัยมากมายประกอบกันครับท่านดัชเชส จะเหมารวมว่า ที่เขาคิดได้หรือไม่ได้นั้นเพราะกรรมอย่างเดียวไม่ได้แน่ ท่านดัชเชสพึงทราบหลักการที่สำคัญในพระพุทธศาสนา..คือหลักปฏิจจสมุปปบาทที่ อธิบายว่า ไม่มีอะไรหรือสิ่งใดเกิดขึ้นลอย ๆ หรือเกิดเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว..

    ดังนั้นที่เขาคิดได้หรือไม่ได้..จึงมาได้จากเหตุปัจจัยต่างๆเช่น..

    1. เคยสั่งสมสันดานในความสามารถคิดได้หรือไม่ได้ในเรื่องนั้นๆมา ครั้นประจวบกับเรื่องทำนองเดียวกันหรือคล้ายกันก็คิดได้หรือไม่ได้อย่างที่ตนเคยชำนาญมาแล้ว..

    2.คบค้ากับกัลยาณมิตรหรือพาลมิตร บางคนคิดไม่ได้ แต่พอคบกัลยาณมิตรได้ฟังเขา ก็คิดได้ ส่วนบางคนเคยคิดได้ดี พอคบพาลเข้า ก็ได้อุปนิสสัยจากพาลชน คิดไม่ได้ก็มี

    3. ได้ศึกษามาหรือไม่ได้ศึกษา ก็คิดได้หรือไม่ได้เช่น ได้อ่านข้อธรรมตามเว็บ ก็คิดได้ บางคนเกิดมาก็ไม่เคยมีบุญตาได้เห็นสาระธรรมใดๆเลย เช่นนี้จะให้คิดได้ไปทั้งหมดก็ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้ มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงคิดได้เองโดยไม่ต้องเรียนจากใคร..

    4. ตนเองขวนขวายที่จะคิดได้หรือไม่ได้เองด้วยเหตุผลร้อยแปด เช่น เห็นเขาใส่บาตร ดูเขาประสบความสำเร็จ ตนก็ขวนขวายบ้างเพราะหวังผล บางคนเห็นเขาใส่บาตรแต่เขาฐานะไม่ดีเท่าตน แทนที่จะนึกอนุโมทนาก็ด่าล้อเขาว่าไม่เต็มไปฉิบเป็นต้น ..

    5. วัย ตนยังวัยรุ่นวัยเยาว์ คิดไ่ด้แต่เรื่องบันเทิง ไม่รู้สาระขอวชีวิต สนุกไปวันๆ บางคนวัยรุ่นเกเร แต่พอเข้าวัยกลางคน เริ่มคิดได้ เพราะผ่านชีวิตมามาก มีประสบการณ์ ละเว้นเรื่องชั่วหยาบได้บ้าง ไม่กร่างอย่างแต่ก่อน..เป็นต้น
    ฯลฯ

    ส่วนเกิดราศีอะไรๆแล้วจะเป็นคนคิดได้หรือไม่ได้นั้น ไม่ปรากฏในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย ความจริงมีว่า เกิดราศีใดๆเมื่อยังเป็นปุถุชน ต่างก็ถูกกิเลสบงการให้คิดได้บ้าง ไม่ได้บ้างเอาแน่อะไรไม่ได้ ..ดูเถิด บางคนเกิดราศีเดียวกับพระพุทธเจ้า ยังสวมระเบิดพลีชีพวิ่งไล่ฆ่าใครๆอยู่ก็มีมากมาย ไม่เห็นว่าจะคิดอะไรได้ ...!!หรือบางคนอาจเกิดราศีเดียวกับพระเทวทัต แต่บรรลุอรหันต์ไปแล้ว ทำไมคิดได้!!..เรื่องราศีเกิดจึงไม่ใช่ความจริงในสากลที่จะระบุได้ว่าใครคิดได้ไม่ได้ตามราศีเกิด ท่านดัชเชสพึงเข้าใจตามนี้ครับ..

    ไม่ใช่กรรมทั้งหมดหรอกครับ ส่วนหนึ่งมาจากอุปนิสสัยที่สั่งสมมาจนชำนาญ คนที่เคยคิดฆ่าตัวตายมาในชาติก่อนๆ เขาก็ชำนาญชอบใจในการคิดฆ่าตัวตายเมื่อได้เหตุปัจจัยปัจจุบันที่กระตุ้นได้ง่ายๆ.. ..

    แต่มีอยู่..คนบางคน ทุกข์มาก เขาพยายามฆ่าตัวตาย แต่ไม่สำเร็จ ..เขาได้หันเข้าหาพระธรรม ได้ทราบภัยของการฆ่าตัวตาย ได้ทราบความจริงว่า ที่ตนทุกข์เพราะบาปเก่าซัดมา เขาได้ปัญญาเปลี่ยนนิสสัยที่ไม่ดีต่างๆ เช่นพยาบาทใครๆที่ทำให้ตนทุกข์ได้ หันมาแก้ไขใจตนได้ พบความสงบเย็นใจได้..เขาตั้งใจจะรักษาชีวิตไว้ให้ยาวนานเพราะเป็นโอกาสได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมที่หาได้ยากในทุกกาล..คนเหล่านี้มาเล่าในภายหลังว่า ถ้าตายไปตอนนั้นคงได้ลงอบายทุคติ ต่างไม่คิดทำลายชีวิตตนอีกเลย..นี้เรียกว่า เขาเปลี่ยนนิสัยได้ใช่หรือไม่...หากใครๆไม่อาจเปลี่ยนนิสัยได้ พระธรรมของพระพุทธเจ้าก็คงไม่มีประโยชน์อะไร จะไปเพียรปฏิบัติให้เมื่อยทำไม....จริงใหมครับท่านดัชเชส...


    แต่ที่แท้แล้ว พระธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น มีประโยชนและประสิทธิภาพในการเปลี่ยนนิสัยจากปุถุชนคนกิเลสหนา ให้กลายเป็นอริยบุคคลนั่นเทียว ไม่มีคำสอนอื่นใดทำได้เลย ท่านดัชเชสเห็นด้วยใหมขอรับ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2013
  6. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    ดังนั้นท่าน ddman กำลังจะบอกว่า ความทุกข์ที่ดิฉันมีอยู่ขณะนี้และแก้ไม่ได้ ไม่ใช่กรรม ? ตามกราฟชีวิตดวงเกิดของดิฉันเป็นคนที่ ระดับความสุขคือ จาก10 ได้แค่เลข 3 คือ ต่ำมากอยู่ขั้นนรกภูมิ.......เพราะจากพื้นฐานนิสัยเป็นคนที่ ตั้งแต่เกิดมาแล้ว อาจจะมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติสักอย่างในจิตใจด้วย ดิฉันไม่เคยอยู่ในโลกปัจจุบัน และมักตั้งคำถาม ขวนขวายจะให้ โลกมันสวยงาม เหมือนในจิตใจของตัวเองเสมอ นั้นคือเหตุผลที่ ทำให้ตั้งแต่เด็กๆมา ดิฉันไม่ถูกกับญาติพี่น้องทั้งฝ่ายพ่อและแม่ ไม่ชอบอะไรสักอย่างในสังคมที่มันมีอยู่ พยามแสวงหาจะไปอยู่ในทีที่ใกล้เคียงในจินตนาการตัวเอง และการพยามของดิฉันก็เส้นยาแดงผ่าแปดทุกครั้ง แต่ก็ผ่านมาได้ แต่ครั้งสุดท้าย ที่หนักที่สุดคือ ดิฉันต้องมาสูญเสียคนที่สำคัญในชีวิต ท่านคิดว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่กรรม แต่เป็นอุปนิสัยที่ติดอยู่ในวิญญาณที่สั่งสมมาหลายชาติ งั้นหรือ คะ ถ้าไม่ใช่กรรมเหตุใดมันจึงแก้ไม่ได้คะ
     
  7. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    จริงอยู่ ผลกรรมที่ไม่ดีกำลังส่งให้ท่านดัชเชสได้รับ มีความเดือดร้อนนานัปการ ...นี้ส่วนหนึ่ง..แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ท่านเดือดร้อนทุกข์ หากท่านพิจารณาอย่างเที่ยงตรงจะพบว่าที่เดือดร้อนเพราะอำนาจกิเลสนั้นมีมากกว่าจากวิบากกรรมเสียอีก..

    ในขณะที่รับวิบากไม่ดี ..ท่านดัชเชสเองก็"ทำกรรมใหม่" ตอบสนองกับอารมณ์ที่ไม่ดีที่กรรมเก่าส่งมาให้ตลอดเวลา.. จะด้วยการคิดเคืองขุ่นใจในพฤติกรรมของชนทั้งหลายที่เกี่ยวข้องเพราะสั่งสมอุปนิสสัยในการไม่ยอมรับความจริงในปัจจุบัน(ดังทีีท่านดัชเชสเล่ามาว่าเป็นคนช่างฝันตั้งแต่เด็ก) จึงได้ติดอยู่ภาพคืนวันอันแสนชื่นบานในอดีต เมื่อคนรักยังมีชีวิตอยู่...ทำให้ไม่พอใจเพราะคิดว่าบรรดาญาติผู้ตายนั่นเองเป็นต้นเหตุนำทุกข์มาให้ ..หากท่านดัชเชสใส่ใจโดยแยบคายสักนิดว่า..

    ๑. ที่คนรักต้องตายจาก ก็ด้วยอำนาจกรรมตัดรอน ใครเล่าจะห้ามปรามปกป้องกันได้ ห ากเขายังมีบุญดีรักษาแล้วไซร้ ต่ิอให้มีอาวุธร้ายแรงสักปานใด ชีวิตเขาจะไม่สูญเสียไปได้เลย..ทั้งอาการที่เขาต้องเสียชีวิตนั้นก็มาด้วยเจตนาเก่าที่เขาเคยมีเคยล่วงไว้แล้ว จะโทษใครอื่นได้ไฉน?

    ๒. แม้ท่านดัชเชสเอง ในอดีตภพก็เคยทำความเดือดร้อนใจแก่ใครๆมาในทำนองคล้ายๆที่ตนกำลังประสบในเวลานี้ หากเราไม่เคยทำร้ายจิตใจใครๆมา ที่เราจะต้องพบเรื่องทำนองนี้ย่อมไม่อาจเป็นได้เลย ..

    ค รั้นพิจารณาไปตามข้อธรรมว่าด้วยกรรมและผลเช่นนี้ได้ ก็ขึ้นอยู่กับท่านดัชเชสว่าจะเลือกยุติความพยาบาทวิตกทีีเกิดได้หรือไม่ หากทำได้ ท่านดัชเชสก็พ้นทุกข์ในเรื่องความเดือดร้อนใจเพราะความชังได้ระดับหนึ่ง การที่ท่านดัชเชส สามารถ"เลือก"ที่จะวางใจให้ยอมรับ หรือไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดแล้ว เป็นอดีตไปแล้วนั้น คือจุดต่อเนื่องของการทำกรรมใหม่ต่อไป.. จะดีหรือชั่ว กำหนดตรงว่า ทำหรือคิดแล้วเบียดเบียนใครๆหรือไม่..

    ท่านดัชเชสพึงทราบว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไร ..แม้อุปนิสสัยก็คือสังขารธรรมที่มาจากการประกอบประชุมของปัจจัยต่างๆ เขาก็ไม่เที่ยงหรือเป็นเช่นนั้นตลอดไปถ้าใครๆต้องมีอุปนิสสัยเช่นนั้นตลอดไปแล้ว คนที่ชั่วร้ายอย่างพระองคุลีมาลย์ ที่เที่ยวไล่ฆ่าคนเป็นพัน ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนอุปนิสสัยให้เป็นพระอรหันต์ไปได้ ..ขนาดพระเทวทัตที่ว่าชั่วหนักที่สุด ยังได้รับพระพุทธพยากรว่าจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต..นี่หมายความว่า คนเราไม่ได้มีนิสัยใดคงทนเที่ยงเเท้เช่นนั้นไปตลอดเลย..แต่เเปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยอำนาจเหตุปัจจัย..

    ...ท่านดัชเชสเอง ข้าพเจ้าก็เชื่อมั่นว่าในความช่างฝันนั้นก็ทราบความจริงและพร้อมที่จะอยู่กับปัจจุบันตามจริงได้ด้วยสติปัญญาที่มาจากการสดับศึกษาทั้งปฏิบัติธรรมมานาน ท่านอย่าลืมความมีบุญอันดียิ่งของตนเองที่มีอยู่ และควรสืบเนื่องไปในสัมปรายภพนะครับ..

    การเพ่งเล็งตอกย้ำเกี่ยวกับทุกข์ที่เกิดแล้ว มีแต่พาใจให้ท้อแท้หดหู่ ที่จริง เรื่องดีๆก็มีสลับกันอยู่ พึงมองเห็นสิ่งดีๆบ้าง ย่อมยังใจให้แช่มชื่น เกิดกำลังใจที่จะต่อสู้อุปสรรคได้ด้วยความแยบคาย ไม่ต้องก่อเวรภัยให้สืบเนื่องไม่หยุดหย่อนได้

    เป็นกำลังใจให้ท่านดัชเชส พ้นทุกข์ด้วยความราบรื่นโดยเร็วครับ..

     
  8. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ถ้าในชาติก่อนดิฉันไปทำกรรมใส่ผู้อื่นไว้เหตุใด ยังมาเกิดเป็นคนได้อีกละคะ ส่วนคนที่ฆ่าคนก็น่าจะเกิดเป็นสัตว์ แต่ทำไมยังมาเกิดเป็นคน แล้วมาตายก่อนอายุอันควร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2013
  9. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ... ที่ท่านดัชเชสและคนรักได้อัตภาพมนุษย์ในชาตินี้นั้น เพราะผลเเห่งมหากุศล มี ทาน ศีลหรือภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งแน่แท้...

    ส่วนเมื่อได้อัตภาพมนุษย์แล้ว จะมีผลกรรมดีหรือกรรมชั่วอื่นๆตามมาส่งให้ได้รับนั้นเป็นคนละตอนกันนะครับ ..

    ผลกรรมที่มาส่งผลนั้น อาจเป็นกรรมที่ทำไว้ชาติที่แล้ว หรือเมื่อแสนล้านอสงไขยกัปป์ก็ได้.. เราอาจลืมไปแล้ว แต่กรรมไม่ลืมเราแน่ๆ...

    เรื่องราวของท่านดัชเชสและคนรักนั้น หากไปถามพระพุทธเจ้าแล้วย่อมได้คำตอบแน่ชัดชนิดเป๊ะๆเลยทีเดียวว่า ได้เคยทำดีอะไรมา ทำบาปใดมา ด้วยวิธีใด ทำที่ใหน เมื่อไร เพราะเหตุไรฯลฯ อย่างละเอียด....เรียกว่าถ้าทราบแล้ว จะต้องร้องว่า..."..อ้อ!..เป็นเช่นนั้นเอง สมควรแล้วแก่เหตุ!" ..ย่อมเกิดความสังเวชสลดใจในกงกรรมกงเกวียนที่หมุนเวียนจากผู้ทำกลายเป็นผู้ถูกกระทำ ..เวลานั้นความเมตตากรุณานึกสงสารคนที่ทำบาปกรรมใหม่ย่อมตั้งขึ้นได้..พยาบาทวิตกที่เคยท่วมทับอาจหายไปทันทีไม่เหลือหรอเลยเพราะรักตัวไม่คิดก่อเวรผูกตนไว้ให้ทุกข์แล้วๆเล่าๆก็เป็นได้..

    ท่านดัชเชส พึงเชื่อพระพุืทธเจ้าเถิดว่า เราทั้งหลายเกิดมานับภพไม่ถ้วนแล้วในสังสารวัฏที่หาเบื้องต้นไม่พบ...เราทั้งหลายทำกรรมมาทั้งดีและชั่วเกือบทุกชนิด ไปมาเกือบทุกภูมิแล้ว เว้นเสียแต่กรรมที่ทำให้ได้บรรลุุเป็นโสดาบันบุคคลที่ยังไม่ได้ทำหรือทำแล้วยังไม่ได้...(ไม่เช่นนั้น ป่านนี้คงไปเสวยสุขบนวิมานในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งแล้ว.)...ด้วยเหตุนั้น ชีวิตเราทุกคนจึงระคนด้วยความทุกข์สุข สลับกันไปมาราวนิยายนั่นแหละ ..

    ท่านดัชเชสพึงมีศรัทธามั่นคงว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้เท่านั้น"จริง, ถูกต้องและนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้แน่นอน"...สิ่งอื่นนอกนั้น ไม่แน่นอน ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง..การประพฤติปฏิบัติตามมรรค๘หรือทางที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว นำไปสู่ความไม่เกิดได้ในที่สุด..

    ส่วนความคิดทำลายชีวิตคือการส่งตนไปตายไม่รู้จบอีกในมากภพ เพราะกรรมทำไว้๑ครั้ง ให้ผลเป็นทวีคูณดังมีคำกล่าวว่า ทำบุญแล้วได้เกิดในสวรรค์๕๐๐ชาติบ้าง หรือทำบาปกล่าวตู่พระพุทธเจ้า ได้เกิดในนรก๑พุทธันดร(ช่วงเวลาที่โลกว่างพระพุทธศาสนา คือ ช่วงเวลาที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งสูญสิ้นแล้ว และพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ยังไม่อุบัติ. )บ้างเป็นต้น..นะครับ
     
  10. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    มีวิธีการที่จะสามารถพิสูจน์ได้ไหมคะ ว่าอดีตชาติ มีจริง แม้แต่คนที่กล่าวว่าตนเองระลึกชาติได้ เขารู้ได้ยังไรคะว่า มันเป็นภาพจริง ไม่ใช่นิมิตลวง เหมือนเวลาฝัน
     
  11. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ท่านดัชเชส หากเพียงมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าเท่านั้น จะทราบว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเรื่องอดีตชาติและภพหน้าไว้เป็นอันมาก...

    พระพุทธเจ้า เป็นผู้ทรงละกิเลสได้หมดจด ไม่ทรงกล่าวคำเท็จหรือหลอกลวงโลกด้วยสิ่งที่ไม่จริง..

    ท่านดัชเชสจะเชื่อใครดีระหว่างปุถุชน ที่ยังมีกิเลส.. กับพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระสัพพัญญุตตญาน คือความรู้ในสิ่งทั้งปวงทั้งหมดโดยไม่มีส่วนเหลือ ทั้งมีพระอนาวรณญานคือความรู้ที่ไม่มีเครื่องกั้นกางเลย..การพิสูจน์ว่าชาติหน้ามีโลกหน้ามีนั้น พระพุทธเจ้าท่าน"พิสูจน์"ได้แล้วจึงทรงนำมาเปิดเผยบอกกล่าว นะครับ การขวนขวายถามหาคนอื่นให้มาพิสูจน์นั้น ท่านดัชเชสจะเชื่อเขาด้วยเหตุผลใด?....

    ท่านดัชเชส พึงทราบความพิเศษของพระพุทธเจ้าที่ไม่มีใครเสมอเทียบเท่าใดเลย ตราบจนพระพุทธศาสนาสูญสิ้นหมดจดไปจากโลกทั้งมวล ..ท่านดัชเชส มีบุญดีที่ได้รู้จักพระพุทธศาสนา...ขอให้บุญดีของท่านรักษาท่านให้มีศรัทธาแรงกล้าในพระพุทธเจ้าเถิด เพราะศรัทธาเช่นนี้เท่านั้นเป็นความเกษมปลอดภัยแก่สรรพสัตว์ผู้หวังพ้นทุกข์...เมื่อไม่ศรัทธาในความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้าแล้ว ...ท่านดัชเชสจะวางใจพึ่งพาสิ่งใดกันเล่า?..อย่าได้เสียเวลากับการพิสูจน์ชาติใหนๆเลย เพราะจะได้แต่ความลังเลสงสัยไม่สิ้นสุด...

    เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งภพภูมิทั้งหมด พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ถี่ถ้วนละเอียดหมดจด ไม่มีใครเเสดงได้.. เพียงเราได้มีโอกาสศึกษาสดับรับฟังด้วยศรัทธา ย่อมได้ปัจจัยให้ปัญญาเกิดสามารถดำรงชีวิตไปตามครรลองที่เหมาะสมและมีความสงบสุขได้ตามกำลัง..

    ท่านดัชเชสพึงพิจารณาตามควรนะครับ..
     
  12. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    นั้นก็ต้องการเครื่อง พิสูจน์คะแต่ ตอนนี้ดิฉันยังไม่เชือร้อยเปอร์เซนต์คะ ดิฉันเชื่อว่า สิ่งที่เราเจอมันเป็น random คนหลายคนเป็นคนดีแต่ก็ตายอย่างทรมาน ดิฉันชาตินี้ก็ไม่เคยไปทรมานจิตใจใครมาก่อน แต่ ตัวเองก็มาเจอเรื่องทรมานจิตใจแสนสาหัส

    แต่ตอนนี้ความรู้สึกก็ดีขึ้นแล้วคะ ไม่เศร้า แต่ก็ไม่สุข ดิฉันจะมีความสุขอีกครั้งได้ก็ต่อเมื่อ คนรักของดิฉัน เขาฟื้นขึ้นมาจากหลุม และกลับมาคุยกับดิฉันเหมือนเดิมนะคะ ตอนนี้เขาตายไปแล้ว ถ้าตามศาสนาพุทธเขาคงไปอยู่อีกภพนึง และคงลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้บ้าขนาดนี้
     
  13. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ดีใจมากมายที่ได้ทราบว่าท่านดัชเชสรู้สึกดีขึ้น ..:cool::cool:

    ส่วนที่ว่า.."ถ้าตามศาสนาพุทธเขาคงไปอยู่อีกภพนึง และคงลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้บ้าขนาดนี้".นั้น...ก็อย่าได้ปรักปรำตนเองจนเกินไป ที่จริงปุถุชนทั้งหลายก็วิปลาสกันทั้งนั้น แต่จะมากหรือน้อยด้วยอำนาจเหตุปัจจัยเช่นกัน ...

    ขอให้วันนี้ .และทุกๆวันเป็นอีกวันที่ท่านดัชเชสรู้สึกดีขอรับ ..
    hp_day;aa55;aa55;aa55
     
  14. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันไม่เข้าใจตัวเองอย่างนึงเรื่อง ความศรัทธา ความเชื่อ นี้ไม่ค่อยจะมี แต่ สันดาน กับพฤติกรรม ของดิฉันจะว่าไปแล้วค่อนไปทาง ศาสนาพุทธ อย่างเต็มๆ บางทีอาจจะมากกว่าหลายๆคนที่เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยและสวดมนต์ทุกวันนะคะ แต่บางอย่างดิฉันก็ตรงกับอิสลามเช่นเรื่องใส่ฮิยาบคลุมหัวนี้

    ชอบแนวทางการใช้ชีวิตแบบสมณเพศ ถึงเคยคิดว่าอยากไปบวช แม้ตัวเองยังไม่รู้ไม่เชื่อ ตามพระไตรปิฏกร้อยเปอร์เซนต์
     
  15. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    เรื่องมีอัธยาศัยต่างๆ ในตนเองนั้น ท่านดัชเชสก็ไม่ต่างจากคนจำนวนมากหรอกครับ ...นี่เป็นเีรื่องปรกติที่สุดของปุถุชน ที่มีจิตเปลี่ยนแปรไปตามอำนาจปัจจัยที่ตนสั่งสมมา.. บางเวลาก็นับถือเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา..หรือบางทีก็หันไปนิยมศาสนาอื่นๆ ตามกำลังคุ้นเคยที่เคยจดจำไว้ได้ด้วยนิยมในสิ่งนั้นๆมาก่อนแล้ว ..แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นก็เป็นไปเพราะความขวนขวายที่จะแก้ทุกข์ที่เกิดเฉพาะตนนั่นแหละ..ท่านดัชเชส พิจารณาเลือกเฟ้นตามที่เห็นประโยชน์... ที่จะบรรเทาทุกข์เฉพาะตนได้..นั่นเป็นสิ่งสำคัญครับ..
     
  16. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    แล้ว ต้องทำอย่าไรจึงจะได้พบผู้ตายอีกในชาติหน้าคะ
     
  17. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    คุณดันเชสครับ อย่าลืมนะครับว่าเรื่องของกรรมเป็นเรื่อง อจิณไตย หากมิใช่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกของพระองค์แล้วไม่มีผู้ใดรู้แจ้งแทงตลอดได้หรอกครับ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่จำแนกแยกแยะได้ต่างๆกันไปตามกำลังแห่งเหตุที่เกิดครับ ดังนั้นเรื่องของนาย ก มิสามารถจะนำมาเปรียบเทียบกับนาย ข ได้ เนื่องด้วยก็ทั้งคู่ก่อกรรมต่างวาระ ต่างเวลา ต่างน้ำหนักแห่งกรรม กันมา

    ศาสนาพุทธสั่งสอนให้เชื่อเรื่องกรรม เรื่องตายแล้วไม่สูญ ซึ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านก็สอนในเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล ( อิทัปปัจจยตา ) เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี ท่านสอนให้เชื่อตามหลักกาลามกะสูตร มิใช่ให้เชื่ออย่างงมงาย ลองนำไปปฏิบัติ เมื่อค้นพบด้วยตนเอง ( ปัจจัตตัง ) แล้วจึงค่อยเชื่อครับ

    หลักการของพุทธศาสนาในด้านความเชื่อคือ ศรัทธา จาคะ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เมื่อปฏิบัติตามนี้ท่านจะพบว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น แท้จริงแล้วก็คือหลักของธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัวเรานั่นเองครับ

    สำหรับผมแล้วเชื่อมั่นและศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างปราศจากข้อกังขาแต่อย่างใด และผมก็หวังว่าเมื่อวันใดที่คุณดัชเชสถึงแล้วซึ่งพระรัตนตรัย วันนั้นปัญญาของท่านคงได้เปล่งประกายส่องสว่างขับไล่ความไม่รู้ที่มืดมนด้วยอวิชชาให้หมดสิ้นไปนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2013
  18. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ท่านดัชเชส มีความผูกพันธ์กับคนรักที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างหนักแน่น ..ความรู้สึกผูกพันธ์นี้นี่แหละคือ ตัวส่งที่มีพลังสามารถนำไปพบเจอกันได้อีก แต่จะชาติใดนั้น นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครบอกได้แน่..

    การเจริญกุศลทุกประเภทให้ยิ่ง เป็นสิ่งดีที่สุดที่ท่านดัชเชสสามารถทำได้ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่....และกุศลเท่านั้น ที่สามารถยังความสุขสมหวังมาให้ผู้ทำ .. นอกจากการทำกุศลแล้ว ยังมองไม่เห็นวิธีการอื่นใดจะนำสุขสมหวังมาให้ใครๆได้เลย นะครับ..
     
  19. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันไม่ได้อยากเกิดอีกหรอกคะ การเกิดมีแต่ความทุกข์....... แต่ดิฉันก็ไปนิพพานไม่ได้เช่นกัน ถ้าไม่สามารถชักจูงคนคนนี้ให้ไปนิพพานด้วยได้....... เพราะเขามีพระคุณต่อดิฉันมาก เหมือนพ่อแม่คนที่สองก็ว่าได้ ดิฉันไม่เคยมีอะไรเกินเลยกับเขา ดิฉันรักเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ เขาเป็นผู้ให้ชีวิต ให้ ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของดิฉันตั้งแต่เกิดมาประสบผลสำเร็จ ดิฉันไม่สามารถจะวางใจให้เป็นสุขได้ตราบใดยังไม่รู้ว่าเขา อยู่ที่ไหน สุขหรือทุกข์อยู่ และตอนนี้เขาเจออะไรอยู่ หรือไปเกิดที่ไหน ดิฉันเป็นห่วงเขาคะ
     
  20. Deep Blue

    Deep Blue เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +887
    ผมเชื่อว่าคุณ Duchess ไม่คิดที่จะลืมเพื่อนคนนี้หรอกครับ
    ไม่แม้แต่น้อย...

    คำแนะนำใดๆ จากเพื่อนสมาชิก ในการบอกให้ตัดใจ เลิกคิดถึง ผมว่าใช้ไม่ได้ผลในตอนนี้ (อย่างแน่นอน)
    เพราะใจคุณ ไม่เคยคิดที่จะทำอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว... จริงไหมครับ

    คุณอยู่ในเคสเดียวกับ "พระกีสาโคตมีเถรี" ตอนที่เพิ่งจะสูญเสียลูกใหม่ๆ

    ผมขอนำเสนอวิธีการที่ต่างออกไปครับ
    วิธีที่ว่าก็คือ -

    "หาเขาให้เจอ"

    พยายามรู้ให้ได้ ว่าเขาอยู่ที่ภพไหน ภูมิไหน อยู่ยังไง (คุณอาจจะกำลังทำอยู่ แต่คราวนี้เอาแบบเป็นจริงเป็นจังไปเลย)
    อาจจะด้วยการจ้างคนทรงหรือคนมีญาณ ขณะเดียวกัน ก็อ่านตำราศึกษาเรื่องภพภูมิควบคู่ไป
    อาจต้องใช้เงินมาก แต่คิดว่าคุณ Duchess คงไม่มีปัญหาในจุดนี้

    ถ้ายังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ ก็หาไปเรื่อยๆ ถ้าจะต้องใช้คนทรงหรือคนมีญาณเป็นสิบเป็นร้อย ก็ต้องทำ
    และก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
    ถึงตอนนั้น คุณอาจได้รับความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ
    ระหว่างนั้นก็ปฏิบัติธรรม ถือศีลไป... ดีไม่ดี ตอนนั้นคุณอาจจะกลายเป็นคนมีญาณ รู้เอง เห็นเอง
    สามารถติดต่อพูดคุยกับเพื่อนคนนั้น ในเวลาใดก็ได้ที่ต้องการ

    ผมว่าทำจริงๆ เดือนเดียว ก็จบงานแล้วครับ

    เมื่อรู้แล้วว่าเขาเป็นอะไร อยู่ที่ไหน เป็นเปรต อสุรกาย เทวดา หรือเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ก็ค่อยมาดูอีกทีว่าจะทำยังไงต่อไป... ดีไหมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...