<VSN><<<มาใหม่ สายเขาอ้อ อ.ชุม,อ.ปาล,อ.คง, สรุปรายการหน้า๑๐๓>>><NSV>

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 25 ธันวาคม 2010.

  1. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    หลวงป๋า(เสริมชัย ชยมงฺคโล)
    เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี


    หลวงป๋า & อานุภาพ ธาตุกายสิทธิ์

    หวังว่าพอจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ..ลองอ่านและพิจารณาดู


    เรื่องอานุภาพเหล็กไหล หรือพญาสมิงเหล็ก เท่าที่ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมาแต่โบราณกาล จนเป็นที่ฝังจิตฝังใจ กันอยู่ทั่วไปว่า มีอานุภาพในทาง “มหาอุด” คือ ปืนยิงไม่ออก 1 “คงกระพัน” คืออาวุธแหลมคมทุกชนิดทำ อันตรายไม่ได้ 1 และ “แคล้วคลาด” คือ ปลอดภัยจากสรรพอันตราย 1 อานุภาพทั้ง 3 ประการนี้ “มหาอุด” คือว่า ปืนยิงไม่ออก ดูจะเป็นอานุภาพที่ฝังใจผู้สนใจมีไว้ในครอบครองมากที่สุด และโดยเหตุที่วัตถุธาตุนี้หายากด้มาด้วยยากที่สุด จึงมีราคาแพงที่สุด

    ข้าพเจ้าก็ยังไม่ใช่เป็นผู้รู้แจ้งเจนจบหรือผู้ชำนาญในเรื่องนี้ เพียงแต่พอรู้เรื่อง มีความเข้าใจจากการประมวล ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ที่เชื่อถือได้ และจากประสบการณ์ที่ได้เคยเห็น ได้เคยสัมผัสมาแล้วบ้าง จึงใคร่จะเล่า สู่ท่านผู้อ่านที่ไม่เคยได้รู้หรือยังไม่เคยได้มีประสบการณ์ ได้รู้บ้าง เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น กว่าที่จะฝังจิตฝังใจ หรือผูกใจอยู่กับความเชื่อ อยู่แต่เพียงว่า “เหล็กไหลจะต้องยิงไม่ออก” ซึ่งเท่าที่ข้าพเจ้าทราบ วัตถุธาตุ ที่ชื่อว่า “เหล็กไหล” มิได้มีอานุภาพเช่นนั้นเสมอไป และยังกลับมีอานุภาพอื่นที่น่าสนใจยิ่งกว่าอานุภาพเพียงเท่านั้น

    เพราะแท้ที่จริง วัตถุธาตุ ที่ชื่อว่า “เหล็กไหล” หรือ “พญาสมิงเหล็ก” นั้น เป็นวัตถุธาตุที่มีกายสิทธิ์ กับทั้งจิตวิญญาณของผู้สร้างขึ้นด้วยฤทธิ์ ที่ได้พัฒนาจากอณูธาตุที่สร้างขึ้นแต่เดิมมาจนเป็นวัตถุธาตุกายสิทธิ์ใน ปัจจุบันนี้ เป็นเวลาช้านานนับประมาณไม่ได้

    อีกทั้ง เทพเทวาที่ติดตามเฝ้าปกปักรักษาอยู่ ซึ่งมีผลให้ จิตวิญญาณของผู้สร้างขึ้นด้วยฤทธิ์แต่เดิม และกายสิทธิ์ที่สถิตอยู่กับวัตถุธาตุนั้น เปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ และ อนตฺตา

    ครั้นเมื่อมาถึงยุคปัจจุบันนี้ จึงอาจมีอานุภาพตามคุณลักษณะของธาตุธรรม ที่จะเป็นฝ่ายพระ (ฝ่ายบุญกุศล) ล้วน ๆ ที่จะให้สุขสมบัติแก่ผู้มีอยู่ในครอบครองแต่ถ่ายเดียว หรือว่าจะมีอานุภาพตามลักษณะของธาตุธรรม เป็นฝ่ายมาร (ฝ่ายบาปอกุศล) ล้วน ๆ ที่จะให้ทุกข์สมบัติ แก่ผู้มีไว้ในครอบครองแต่ถ่ายเดียว และ/หรือจะมีลักษณะของธาตุธรรม 2 ฝ่าย ปะปนกัน ที่อาจให้ทั้งสุข สมบัติแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติดี มีศีลมีธรรม และ ที่ให้ทั้งทุกข์สมบัติแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติชั่ว ทุศีล ขาดหิริโอตตัปปะ และไร้คุณธรรม ได้ตามส่วนของเขา และตามระดับคุณธรรมของผู้มีไว้ในครอบครอง

    วัตถุ ธาตุกายสิทธิ์นี้เกิดมีขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของพวกฤาษีผู้มีฌาน (สมาธิระดับสูง) และอภิญญา (ความสามารถพิเศษ) แก่กล้า ในระหว่างอันตรกัป คือในระหว่างที่ว่างจากพระพุทธศาสนาเป็นระยะเวลายาวนานนั้น บรรดามนุษย์ผู้มีบุญ คือ คุณธรรมจากการที่ได้เคยรักษาศีลและเจริญภาวนาสมาธิมาก่อนที่ได้มาเกิดเป็น มนุษย์ในยุคนั้น ได้ออกบำเพ็ญพรต (ถือศีล) พรหมจรรย์ (การออกบวชเว้นเมถุน-คือเว้นชีวิตคู่)

    ด้วยมุ่งหวัง “อมตธรรม” ก็คือ ปรารถนาพระนิพพานที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ และที่เป็นบรมสุขนั้นแหละ แต่ไม่รู้จักทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ให้ถึงอมตมหานฤพานได้ เพราะยังไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ จึงได้แต่เจริญสมาธิภาวนาจนได้ฌานและอภิญญาแก่กล้า แต่ก็รู้ว่าตนเองนั้นยังไม่อาจพ้นความตายได้ ยังไม่เห็นทางที่จะถึงอมตธรรมที่ไม่ตายได้ ก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ยั่งยืนที่สุด ดุจว่าเป็นอมตธรรม เพื่อรอผู้ตรัสรู้ (พระพุทธเจ้า) มาตรัสสอนทางปฏิบัติให้ได้บรรลุถึงอมตธรรม เพื่อจักได้เข้าสู่กระแสธรรมนำไปให้ถึง อมตธรรมตามที่ได้มุ่งหวัง

    จึงค้นหาวิธีสร้างวัตถุธาตุอันเป็นที่สถิตแห่งจิตวิญญาณของตน ให้คงทนยั่งยืนที่สุด ดุจว่าเป็น อมตธรรมนั้นด้วยฤทธิ์อำนาจของตน ก่อนเบญจขันธ์ ของตนจะแตกทำลาย (ก่อนทำกาละ/ตาย) ครั้นพากันทำวัตถุธาตุนั้นขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจ ของพวกตนที่แก่กล้ารุนแรงจน เกินอำนาจการควบคุมให้อยู่ในสภาวะพอเหมาะตาม ต้องการได้ วัตถุที่ปรุงขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจนั้นก็ระเบิดเป็นจุณวิจุณ เป็นอณูธาตุเป็นที่สถิต อยู่ของจิตวิญญาณฤาษีนั้นเองด้วย และกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงด้วย

    และแม้เทพเทวาที่รู้คุณ วิเศษของวัตถุธาตุเช่นนั้น ก็ติดตามครอบครองยึดถือเป็นเจ้าของอณูธาตุเหล่านั้นมีทั้งที่ กระจัดกระจาย ออกนอกแนวแรงดึงดูดของโลก คือหลุดออกไปนอกโลก และทั้งที่กระจัดกระจายไปในบรรยากาศของโลก แล้วตกลงสู่พื้นดิน และวิวัฒนาการไปตามธรรมชาติตลอดระยะเวลายาวนานหลายกัปหลายกัลป์ มาจนถึงปัจจุบันนี้ จึงมีสภาพ ลักษณะ และอานุภาพที่แตกต่างกันไปตามธรรมชาติ ที่แวดล้อม เป็นอยู่

    และเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ คือ ความเป็นสภาพไม่เที่ยง (อนิจฺจํ) ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย เป็นทุกข์ (ทุกฺขํ) คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้นาน จนถึงเป็น อนตฺตา ได้ในที่สุด

    อณูธาตุอันเป็นที่สถิตอยู่ของจิตวิญญาณธาตุของตน ดำรงคงทนยั่งยืนที่สุด ดุจอมตธรรมจึงต้องเสพ หรือ ดูดซึมสิ่งที่อยู่แวดล้อมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง อณูธาตุนั้นให้ดำรงคงอยู่คู่ กับเบญจขันธ์ของตน เช่น ในบริเวณบางแห่ง ที่มีแร่ธาตุประเภทอัญมณีมาก ก็จะวิวัฒนาการเป็นวัตถุธาตุที่ เหมือนอัญมณีสีต่าง ๆ ได้ บริเวณที่มีทั้งแร่ธาตุ ดินกากยายักษ์ หิน และทั้งว่านยาสมุนไพรที่วิเศษต่าง ๆ ที่เหมาะแก่การรักษาธาตุข นธ์ของเขา ก็จะเสพหรือดูดซึมเข้าไปปรุงหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ของเขาจึงวิวัฒนาการมาเป็น วัตถุธาตุ กึ่งอัญมณี-หิน-เหล็ก รวมกัน แต่ไม่ดูดเหล็ก

    กล่าวโดยส่วนใหญ่แล้วมีส่วนผสมของแร่เหล็กเป็นตัวยืน ที่เมื่อถูกเชิญ หรือถูกบังคับเรียกออกมาจากรังด้วยเวทมนตร์ของผู้ทรง วิทยาคม ก็จะไหลหรือย้อยหยดลงมาในสภาพเป็นของเหลว หรือยืดออกมาในสภาพ เป็นของอ่อนนิ่มก่อน จึงชื่อว่า “เหล็กไหล” เมื่อมากระทบกับอากาศเย็น หรือน้ำพระพทธมนต์ที่รองรับไว้ก็จะกลับแข็งตัวเหมือนโลหะเหล็ก หรืออัญมณีที่แข็งเหมือนเหล็ก.

    นอกจากนั้น วัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้ยังขยายขนาดและขยายเผ่าพันธุ์ มีสมาชิกทั้งแก่และอ่อนสถิตอยู่ร่วมกันในรัง ดุจดังว่าเป็นอาณาจักรของเขา เรียกว่า “รังเหล็กไหล” หรือ “โคตรเหล็กไหล”

    ผู้ที่มีธาตุกายสิทธิ์ช่วยให้ความคุ้มครองป้องกันสรรพอันตรายแก่ผู้มีไว้ในครอบครอง ผู้ทรงศีล ทรงธรรม ตามสมควรแก่บุญบารมี ทำหน้าที่เป็นภาคผู้เลี้ยง ช่วยให้ผู้มีไว้ในครอบครอง เจริญด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ เป็นอุปการะแก่การบำเพ็ญบารมีธรรมให้ถึงนิพพานสมบัติ แก่ผู้มีไว้ในครอบครอง ผู้ประกอบคุณธรรม เพิ่มพูนบารมีธรรม ได้เป็นอย่างดี

    ธาตุกายสิทธิ์ประเภทดีมีคุณธรรม จะช่วยชักนำให้ผู้มีอยู่ในครอบครองปฏิบัติธรรมอยู่ในคุณความดี คือ ทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล เป็นต้น ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อที่จะเขาจะได้อนุโมทนาบุญ และได้มีโอกาสบำเพ็ญบารมีธรรมด้วยจึงให้แต่คุณแก่ผู้มีไว้ในครอบครอง ผู้เป็นคนดีมีศีลมีธรรม ส่วนธาตุกายสิทธิ์ประเภทที่ด้อยคุณธรรม ก็ปรารถนาอยู่ว่าผู้ที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของจะปฏิบัติอยู่ในคุณธรรมดี เพื่อที่เขาจะได้ร่วมอนุโมทนาและได้มีโอกาสบำเพ็ญบารมีธรรมด้วย เพื่อเลื่อนภูมิจิตใจให้สูงขึ้นแต่ถ้าเจ้าของเป็นคนชั่วช้า ลุแก่อำนาจกิเลส (โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ) ธาตุกายสิทธิ์ประเภทนี้ กลับจะให้โทษแก่ผู้ครอบครองได้ง่าย และรุนแรงด้วย

    ฉะนั้น ของดีต้องอยู่กับคนดี จึงดีเลิศ คนไม่ดีถึงจะได้ครอบครองของดีก็มีอยู่ได้ไม่นาน ส่วนคนดีได้ครอบครองของที่มีอานุภาพที่ทั้งดีและไม่ดีก็จะมีแต่ดี ไม่มีโทษ แต่คนไม่ดีที่ได้ครอบครองของที่มีอานุภาพทั้งดีและ
    ไม่ดีย่อมไม่ได้ผลดี และยังจะชักนำกันไปในทางที่ไม่ดีอันมีโทษได้เพราะฉะนั้นผู้มีของดีหรือมีของที่มีอานุภาพทั้งดีและไม่ดีจึงต้องประพฤติปฏิบัติตนอยู่แต่ในคุณความดีโดยส่วนเดียวจะประมาทมิได้ จึงจะมีแต่ดีกับดีโดยตลอด

    เหตุที่มีข่าววัตถุธาตุกาย สิทธิ์/เหล็กไหลในปัจจุบันนี้มาก เพราะเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ
    1. มีการทำของเทียมขึ้นจำหน่ายให้แก่ผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยความโลภหรือด้วยความปรารถนาลามก
    2. ในยุคปัจจุบันนี้ ประเทศไทยเป็นที่ตั้งมั่นสำคัญของ

    พระพุทธศาสนาเป็นบ่อเกิดและที่สถิตอยู่ของ ผู้มีบุญบารมีผู้บำเพ็ญบารมีธรรมเพื่อความบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันตสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัพพัญญูพุทธเจ้าระดับอธิษฐานบารมีที่ได้กระทำมาแล้ว เป็นจำนวนมาก เทพเทวาผู้สัมมาทิฏฐิ ผู้ดูแลรักษาธาตุกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยง

    จึงเปิดบารมีธรรมแก่ผู้กำลังบำเพ็ญบุญบารมีในระดับต่าง ๆ ให้ได้รับธาตุกายสิทธิ์ ภาคผู้เลี้ยงที่มีอยู่ในโลก ในจักรวาลเพื่อเป็นอุปการะแก่การบำเพ็ญบารมีธรรมให้ยิ่งขึ้นไปได้สะดวก และเพื่อช่วยกันสืบบวรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยนี้ให้เจริญรุ่งเรืองและมั่นคงยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่ออำนวยประโยชน์สุขและความสันติสุขแก่สาธุชนหมู่ใหญ่ ทั้งแก่ชาวไทยและชาวโลกให้ได้มากที่สุดเป็นสำคัญ

    เหตุนั้นแท้ที่จริงแล้ว ธาตุกายสิทธิ์นี้จึงได้มีการใช้กันอยู่แล้ว ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมและศิษยานุศิษย์ ตลอดทั้งผู้ปกครอง ผู้กอบกู้ และผู้รักษาประเทศชาติบ้านเมืองไทยเรามาแต่โบราณกาลแล้ว เพียงแต่ไม่มีสื่อมวลชนกระจายข่าวกันมากและไม่มีการทำของเทียม (ปลอม) หลอกลวงจำหน่ายกันมากขึ้น ดังเช่นทุกวันนี้เท่านั้น


    น้ำเต้าพญาเหล็ก ธาตุกายสิทธิ์สีทอง วัดหลวงพ่อสดฯ ขนาด 4CM

    น้ำเต้าพญาเหล็ก สีทอง มีอานุภาพเด่นเรื่องเงินๆ ทองๆ มีน้อย หายากสุด


    พระท่านบอกว่า สำคัญอยู่ที่ "เทวดา" ที่รักษาธาตุกายสิทธิ์นั้น ว่ามีอานุภาพเพียงใด
    โดยขึ้นอยู่กับผู้ที่มีไว้ในครอบครองว่า เป็นคนดีมีศีลธรรม มากน้อยเพียงใด
    ถ้าผู้มีไว้ในครอบครอง เป็นผู้ที่สั่งสมบุญกุศลอยู่เสมอ (ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล)
    เเละอุทิศบุญกุศลนั้นเเก่เทวดาที่รักษาธาตุกายสิทธิ์นั้นด้วย เทวดาที่มาช่วยเหลือเรา ก็ยิ่งมีอานุภาพมาก ช่วยเหลือเราได้มาก

    น้ำเต้า ... สำเร็จจากพญาเหล็กทั้งองค์ ครับ


    [​IMG][​IMG]


    *ปิดรายการนี้ครับ(ราคาที่ทำบุญจากวัดครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 700px.jpg
      700px.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.1 KB
      เปิดดู:
      31,656
    • DSC01163.jpg
      DSC01163.jpg
      ขนาดไฟล์:
      301.1 KB
      เปิดดู:
      22,906
    • DSC01164.jpg
      DSC01164.jpg
      ขนาดไฟล์:
      359.7 KB
      เปิดดู:
      23,954
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2013
  2. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    ประวัติ หลวงปู่จันทร์ ขันติโก วัดโฉลกหลำเกาะพงั้น
    หลวงพ่อมีนามเดิมว่า จันทร์ นามสกุล จันทร์อินทร์ เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน 10 ปีชวด ประมาณ 2443 โยมบิดาของท่านชื่อ นายครบ โยมมารดาชื่อ นางทองดี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน คือ หลวงพ่อจันทร์, นางจอน, นายเกลื้อม, นางเคล้า, นางนวล, นางพัฒน์ จันทร์อินทร์ และน้องสาวต่างมารดา 1 คน คือ นางกระจ่าง พรหมรักษ์ หลวงพ่อจันทร์เกิด ณ. บ้านมะเดื่อหวาน ตำบลเกาะพะงัน อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

    คลอดเอาเท้าออก
    เมื่อหลวงพ่อจันทร์คลอดนั้น กล่าวกันว่าท่านเอาเท้าออกก่อน ด้วยผู้คนสมัยนั้นเชื่อสืบต่อกันมาว่า เมื่อใครเกิดก้างปลาติดคอ หากกลืนกล้วย กลืนข้าวปั้นเป็นก้อนแล้ว ก้างปลายังไม่หลุด ก็ให้ไปหาคนที่เวลาคลอดเอาเท้าออกก่อน แล้วให้คนผู้นั้นเอาหัวแม่เท้าจุ่มน้ำ เอาน้ำนั้นให้กิน ก้างปลาจักหลุดแล
    ดังนั้น เมื่อคนละแวกบ้านมะเดื่อหวานมีปัญหา ก้างปลาติดคอ หลังจากหมดทางแก้แล้วก็มักมาหาหลวงพ่อจันทร์ ผู้เป็นดั่งเสมือนที่พึ่งสุดท้าย เพื่อขอให้ท่านเอาหัวแม่เท้าจุ่มน้ำ สำหรับใช้ดื่มแก้ก้างปลาติดคออยู่เสมอ หลวงปู่จันทร์ จึงเป็นผู้ช่วยปลดเปลื้องทุกข์บางประการของชาวบ้านในยุคที่วิทยาการทางแพทย์ มีเพียงแค่ระดับภูมิปัญญาท้องถิ่น มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แม้หลวงพ่อจันทร์มรณภาพแล้ว หลายคนยังนิยมเอาเหรียญของท่านมาแช่น้ำทำเป็นน้ำมนต์ดื่มแก้อาการก้างติดคอ กันอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็ได้เห็นผลกันมาแล้วมากราบ

    ศิษย์หลวงพ่อเพชร วชิโร
    ราวปี พ.ศ. 2456 เมื่ออายุประมาณ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดมะเดื่อหวาน โดยมี หลวงพ่อเพชร วชิโร (พระครูวิบูลย์ธรรมสาร) เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชแล้วสามเณรจันทร์ก็ติดตามไปอยู่รับใช้และเล่าเรียนอักขระวิธี กรรมฐานวิปัสสนา กับหลวงพ่อเพชรที่วัดเขาน้อย การได้ศึกษาฝึกฝนกับหลวงพ่อเพชรซึ่งเป็นพระที่เคร่งครัดเชี่ยวชาญชำนาญการ สอนวิปัสสนากรรมฐาน นับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่เสมือนเป็นการช่วยสร้างพื้นฐานอันแน่นหนาในเรื่อง เอกัคตาจิต ให้ท่านตั้งแต่วัยเยาว์ รวมตลอดทั้งเคล็ดวิธีอุปเท่ห์ในทางเวทวิทยาคมบางประการด้วย เมื่อมีพื้นฐานที่แน่นหนา มั่นคง เหมาะสม ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เติบโต เจริญก้าวหน้าได้ดียิ่งในอนาคต

    สามเณรจันทร์ได้อยู่ศึกษาปฏิบัติ ปลูกสร้างพื้นฐานกับหลวงพ่อเพชร สุดยอดพระเถราจารย์ของเกาะพะงันเป็นเวลากว่า 2 พรรษาแล้วก็ลาสิกขาออกไปเผชิญโลกต่อไป ครั้นอายุครบอุปสมบทท่านได้บวชเป็นพระภิกษุ ตามประเพณีของลูกผู้ชายชาวไทย ณ วัดใหม่ (วัดศรีทวีป) อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุยรูปที่สาม เป็นพระอุปัชฌาย์บวชอยู่ 2-3 พรรษาก็สละเพศบรรพชิต ลาสิกขา แล้วท่านก็มีครอบครัว ภรรยาของท่านชื่อ นางหีดนุ้ย เป็นชาวใต้ เกาะพะงัน มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คนคือ
    1. นายเจน จันทร์อินทร์
    2. นางเจิม ชำนาญกิจ
    ครอบครัวของท่านตั้งอยู่ที่ บ้านบ่อผุด เกาะสมุย หลังจากภรรยาของท่านถึงแก่กรรม ท่านก็เกิดเบื่อหน่ายฆราวาสวิสัย ตระหนักในไตรลักษณ์ที่ว่า
    “สรรพสิ่งล้วน เปลี่ยนแปร ไม่แท้เที่ยง
    ทุกสิ่งเพียง ของสมมุติ อย่ายึดมั่น
    มิใช่ตัว ใช่ตนจริง ทุกสิ่งนั้น
    ล้วนแปลงผัน ล้วนทุกข์ท้น มิทนทาน”

    ประมาณ พ.ศ.2489 ท่านได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งหนึ่งด้วยเจตจำนงแน่วแน่ที่จะยึดถือ เป็นตัวตาย ตั้งใจที่จะให้ได้มีผ้าเหลืองห่อหุ้มศพ เป็นการบวชตลอดชีวิตที่จะไม่ลาสิกขาออกมาอีก ครั้งนี้หลวงพ่อจันทร์ อุปสมบทที่วัดสำเร็จ เกาะสมุยโดยมี พระครูทีปาจารคุณารักษ์(มี อินทสุวัณโณ) อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุย รูปที่ 4 เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า “ขันติโก” เมื่อหลวงพ่อจันทร์บวชแล้ว ได้มาอยู่ปฎิบัติธรรมที่บ้านโฉลกหลำ สถานที่ที่ท่านพำนักเป็นเพียงที่พักสงฆ์ เรียกว่า ที่พักสงฆ์เจริญสุข ซึ่งมีเพียงศาลาหลังเล็กๆ สำหรับที่พระภิกษุพักอาศัย ครั้นประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 25 บ้านโฉลกหลำ ได้กลายเป็นท่าเรือประมง ที่บรรดาเรือประมงซึ่งจับปลาอยู่บริเวณใกล้เคียงมักมาขายส่งปลาให้แก่เรือ รับซื้อที่เรียกว่า เรือห้องเย็น รวมทั้งอาศัยเป็นที่กำบังลมพักผ่อนและเติมเสบียงในช่วงฤดูที่มิใช่หน้าลม ว่าว ครั้นถึงยามฤดูลมว่าวประมาณระหว่างเดือน (จันทรคติ) 12 ถึงเดือน 2 อ่าวโฉลกหลำเป็นจุดรับลมว่าว ภายในอ่าวมีคลื่นลมแรง เหล่าเรือประมงจะต้องใช้อ่าวแห่งอื่น เช่น อ่าวน้ำตกธารเสด็จ เป็นท่าเรือ ด้วยความเป็นท่าเรือดังกล่าว ทำให้โฉลกหลำเป็นแหล่งที่มีเงินสะพัด เป็นแหล่งงาน เป็นที่แสวงโชค เป็นแหล่งธุรกิจที่สำคัญของเกาะพะงันในขณะนั้น ก่อนที่เกาะพะงันกลายเป็นแหล่งที่ท่องเที่ยวในปัจจุบันนี้

    เมื่อหลวงพ่อจันทร์ มาพำนักอยู่ยังที่พักสงฆ์เจริญสุขแล้ว ท่านได้ก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ รวมทั้งอุโบสถ กระทั่งทำที่พักสงฆ์ได้กลายเป็นวัดตามกฎหมาย โดยมีประกาศตั้งวัดเมื่อ วันที่ 14 กันยายน พ.ศ.2519 เรียกว่า สำนักสงฆ์โฉลกหลำ เมื่อได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2520 จึงเป็นสภาพเป็นวัดโดยบริบูรณ์ และใช้ชื่อว่า ”วัด” ได้ตามกฎหมายแล้วทางวัดก็ได้จัดงานผูกพัทธสีมาในปี พ.ศ. 2522 หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก จึงเป็นพลังสำคัญในการสร้างวัดและเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดโหลกหลำ

    สร้างเมรุ
    หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก ยังได้ชักชวนชาวบ้าน ภายใต้ความสนับสนุนร่วมแรงแข็งขันของท่านกำนันวุฒิ ชมอินทร์ อดีตกำนันดีเด่นของตำบลเกาะพะงัน คนดีที่โลกไม่เคยลืม ได้ช่วยกันสร้างเมรุในวัดโฉลกหลำ
    นับเป็นเมรุเผาศพแบบใหม่เป็นแห่งแรกของอำเภอเกาะพะงัน เพราะขณะนั้นวัดอื่นๆ ยังใช้เมรุแบบเก่าที่ตั้งโลงบนฐานปูน ตะแกรงเหล็ก ไม่มีอะไรปกปิด แล้วสุมเพลิงข้างล่างแบบที่ฝรั่งนักท่องเที่ยวเรียกแบบล้อเลียนว่า ที่กระทำบาบีคิว หรือ ที่ปิ้งบาบีคิว

    หลวงพ่อจันทร์ ขันติโก
    นายโชติ เมืองทอง เล่าว่าหลวงพ่อจันทร์ เป็นพระที่มีนิสัยใจคอเยือกเย็น ดีก็ไม่พูด ร้ายก็ไม่พูด แม้ใครนินทา ติเตียนก็ไม่พูด ไม่โต้ตอบ ใจคอท่านหนักแน่นมีขันติ มีความอดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่ชอบใจ นับว่าหลวงพ่อจันทร์เป็นผู้ที่มีความอดกลั้น อดทนสมกับฉายาของท่าน

    พระสมเด็จปกโพธ์ยุคต้น
    ปาฏิหารย์ หลวงพ่อจันทร์
    1 .หลงบ้าน
    ในงานวันขึ้นปีใหม่ ครั้งหนึ่งชาวบ้านโฉลกหลำจำนวนมากได้เข้าไปทำบุญปีใหม่ในวัดโฉลกหลำเพื่อ ความเป็นสิริมงคล จึงมีการนิมนต์หลวงพ่อจันทร์ มาอวยพรปีใหม่พร้อมทั้งประพรมน้ำพระพุทธมนต์
    นายโชติ เมืองทอง ซึ่งขณะนั้นไม่ค่อยเลื่อมใสนัก เมื่อมีผู้มาชวนไปรับการประพรมน้ำพระพุทธมนต์จากหลวงพ่อจันทร์ จึงได้กล่าวเป็นหมิ่นทำนองว่า “ประพรมน้ำ ถ้ายังไม่พอ ที่บ้านยังมีอีกบ่อ” เนื่องจากตามบ้านเรือนในท้องถิ่นไทยภาคใต้นั้นโดยส่วนมากนักขุดบ่อน้ำไว้ สำหรับใช้สอยประจำบ้านแทบทุกหลัง คำกล่าวเชิงหมิ่นของนายโชติ มีความหมายว่า หากน้ำพุทธมนต์ที่หลวงพ่อจันทร์ใช้ประพรมอยู่ไม่เป็นการเพียงพอก็ให้ไปเอา น้ำในบ่อที่บ้านของตน ซึ่งอยู่ใกล้วัดมาใช้แทนด้วย มีเจตนาที่จะชี้ให้เห็นว่า น้ำพระพุทธมนต์ของหลวงพ่อจันทร์ ก็เหมือนกับน้ำในบ่อที่บ้านนั้นแหละหามีอะไรแตกต่างกันไม่เสร็จพิธีแล้วนายโชติ ก็ยังนั่งเสวนาอยู่ในวัด จนเริ่มมืด ตามบ้านเรือนและภายในวัดต่างเปิดไฟฟ้าสว่างไสว เมื่อเห็นว่าค่ำแล้วนายโชติก็เดินกลับบ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ วัด ห่างจากเขตวัดเพียงประมาณ 50 เมตรเท่านั้น แต่ปรากฏว่านายโชติเดินวนเวียนรอบวัดอยู่ 2-3 รอบ ก็ยังหาหนทางที่จะเดินจากวัดไปยังบ้านไม่พบ กระทั่งฝ่ายภรรยาเห็นว่าค่ำมืดมากแล้วยังไม่กลับบ้านก็เลยออกมาตามหา นั้นแหละนายโชติจึงสามารถกลับบ้านได้ถูก เหตุการณ์หลงบ้านตนเองครั้งนั้นใครๆ ต่างเข้าใจว่านายโชติ เมาจนกลับบ้านไม่ถูก แต่นายโชติปฎิเสธว่ามิได้เมามายขนาดนั้น และบ้านก็ยังอยู่ติดกับวัดมองกันก็เห็นเพราะตั้งอยู่ในที่โล่ง ไม่มีทัศนียภาพอื่นมาบดบัง อีกทั้งบริเวณใกล้วัดก็มิได้มีบ้านเรือนอยู่หนาแน่นแต่ประการใด กับการได้เคยเดินเข้าออกมาแต่ไหนแต่ไรถึงจะเมาสักขนาดไหนก็ย่อมเดินกลับได้ ถูกอยู่ดี ส่วนเหตุที่เป็นดังนั้นคงเนื่องมาจากคำพูดที่นายโชติได้พูดเชิงดูหมิ่น บันดาลให้นายโชตหลงทาง เที่ยวเดินวนเวียนรอบวัด หาทางกลับบ้านไม่ถูก นายโชติยืนยันว่าที่หาทางกลับบ้านไม่ถูกในครั้งนั้นมิใช่เพราะความเมาอย่าง แน่นอน แต่เป็นเพราะบางสิ่งบางอย่างลึกลับเชื่อว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อ จันทร์ กระทำให้ตนต้องสำนึกว่าสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ มีศีล สมาธิและวิทยาคมย่อมกระทำบางสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ต่างจากสามัญธรรมดา ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเป็นต้นมานายโชติได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในอิทธิคุณของหลวงพ่อจันทร์เป็นอันมาก

    2.ไม่ค่อยจำวัด ในยามเวลากลางคืน
    บรรดาศิษย์ที่เคยอยู่รับใช้หลวงพ่อจันทร์ กล่าวพ้องต้องกันว่าในยามกลางคืนท่านไม่ค่อยจะจำวัด มักใช้เวลาในเพลากลางคืนสำหรับการสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิ กรรมฐาน เขียนผงเรียกสูตรนาม ทำพระ หรือปลุกเสกพระ โดยเฉพาะในคืนที่เป็นวันธรรมสวนะ ท่านมักทำพระ ปลุกเสกพระสมเด็จเสมอๆ หลวงพ่อจันทร์มักทำพิธีปลุกเสกพระเพียงลำพัง ท่านจะใช้เวลานั่งบริกรรมปลุกเสกพระเกือบตลอดทั้งคืน และทำการปลุกเสกติดต่อกันหลายราตรี กระทั่งประจักษ์แจ้งว่าเป็นการเพียงพอเพียบพร้อมอิทธิสรรพคุณแล้วจึงจักออก แจกจ่าย ด้วยความพิถีพิถันในการประสิทธิอิทธิคุณในองค์พระดังกล่าว จึงยังผลให้ผู้มีพระสมเด็จหลวงพ่อจันทร์บูชา ต่างมั่งมีมากมายหลากหลายประสบการณ์

    3.สติปัฏฐาน
    เพราะเหตุที่หลวงพ่อจันทร์ได้ใช้เวลากลางคืนปฏิบัติกิจต่างๆ ไม่ค่อยได้พักผ่อน ไม่ค่อยได้จำวัดในเวลากลางคืนเลย ท่านจึงต้องใช้เวลาพักผ่อนในตอนกลางวัน ช่วงบ่ายเป็นประจำ
    แต่น่าแปลกนักที่ว่า ขณะที่ท่านกำลังจำวัดอยู่นั้นเมื่อพระบวชใหม่รูปใดซึ่งมักชอบท่องจำบทสวด เสียงดังอยู่ในกุฏิใกล้ๆ กันนั้น เกิดออกเสียงอักขระในบทสวดมนต์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนแม้เพียงตัวเดียว หลวงพ่อจันทร์ก็จะร้องทักเสียงที่ผิดอักขระทันที ทั้งๆ ที่ท่านกำลังจำวัดอยู่ จึงเป็นที่เชื่อกันว่าหลวงพ่อจันทร์ คงปฏิบัติแนวสติปัฏฐานด้วย ดังนั้น แม้ยามนอนหลับขณะกำลังจำวัดอยู่ ก็ยังมีสติกำกับ ยังได้ยิน สามารถรับรู้อยู่ตลอดเวลา

    ศึกษาตำราหลวงพ่อเพชร
    มีตำราเป็นสมุดโบราณเล่มหนึ่งซึ่งบันทึกเรื่องราวเวทวิทยาคม มนตราอักขระเลขยันต์ พิธีอุปเท่ห์ต่างๆ ที่สืบทอดกันมาแต่บรรพกาล เป็นตำราของเก่าที่ หลวงพ่อเพชร วชิโร อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุย รูปที่สอง พระเถราจารย์ที่ชาวประชานับถือกันว่าเป็น พระสงฆ์ระดับเหนือโลก องค์หนึ่งของสุราษฎร์ธานี หลวงพ่อจันทร์ได้เคยนำมาศึกษาฝึกฝนทดลองปฏิบัติในครั้งที่หลวงพ่อเพชรยัง อยู่ในวัยหนุ่ม ตำราเล่มนี้มีชื่อเรียกขานในหมู่ลูกศิษย์ว่า ” ตำรา ตาขาว ” ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งตามนามของท่านผู้เป็นเจ้าของเดิม ด้วยเหตุที่ ตาขาวผู้เป็นเจ้าของเดิมของตำราพระเวทเล่มนี้ มีศักดิ์ (ตามความเกี่ยวเนื่องทางสายเลือด) เป็นปู่ของหลวงพ่อจันทร์ ดังนั้นหลังจากหลวงพ่อเพชรมรณภาพแล้ว ตำราดังกล่าวจึงตกทอดสู่หลวงพ่อจันทร์ ท่านจึงได้รับตำราศักดิ์สิทธิ์ไว้เป็นคู่มือปฏิบัติ ประกอบกับหลวงพ่อจันทร์เคยมีพื้นฐานที่แน่นหนามั่นคงในทางเอกัคตาจิต ตั้งแต่ที่เคยบวชเป็นสามเณร เคยฝึกฝนปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อเพชร ครั้นมีตำราคู่มือปฏิบัติที่พร้อมสรรพ จึงทำให้ท่านสามารถบรรลุสัมฤทธิ์ผลได้ แม้จะเป็นการศึกษาด้วยตนเอง

    4.หนังเหนียว
    นายสามารถ เรืองโรจน์ เคยเห็นหลวงพ่อจันทร์ นั่งลับมีดโกนตราตุ๊กตาคู่ ซึ่งเป็นมีดโกนที่ผู้ใช้ต่างเชื่อถือในคุณภาพ ความคมกริบ เพื่อไว้สำหรับปลงเกศาในวันโกน หลวงพ่อจันทร์นั่งลับมีดโกนอยู่ครู่ใหญ่จนคมกริบดีแล้ว ท่านได้ใช้มีดโกนเล่มนั้นกรีดแขนของท่านอย่างแรง นายสามารถเห็นแล้วตกใจ คิดว่าเลือดคงไหลโกรกเป็นแผลเหวอะหวะ และงุนงงว่าอยู่ดี ๆไยท่านถึงได้ทำร้ายตัวเองเช่นนั้น แต่ปรากฏว่าคมมีดโกนมิอาจทำอันตรายใดๆ ให้แก่ผิวหนังของท่านได้ แม้ท่านจักได้กรีดซ้ำหลายหนก็ตาม อีกครั้งหนึ่ง นายชา ชมจันทร์ อาสาลับมีดโกนให้หลวงพ่อจันทร์ ได้นั่งลับมีดอยู่เป็นเวลานานกระทั่งเห็นว่าคมดีแล้วก็ยื่นมีดถวายท่านพร้อม กับพูดทำนองว่า ”มีดคมขนาดนี้ รับรองปลงผม 2-3 หัว ใช้เวลาไม่กี่นาที” หลวงพ่อจันทร์ รับมีดโกนมามองดูแล้วกล่าวว่า ”คมยังไง” พร้อมกับใช้มีดโกนนั้นกรีดแขนของท่านอย่างแรง แทนที่เลือดจะไหลทะลัก ผิวหนังเป็นแผลตามรอยมีดกรีดดั่งสามัญวิสัยตามปกติกลับไม่ เป็นว่าไม่ระคายผิวท่านเลย นายชาเห็นดังนั้นแล้วถึงร้องไห้โฮ บ่นว่า อุตสาห์นั่งลับอยู่ตั้งนานนึกว่าจะคม ที่ไหนได้กลับเชือดเนื้อเถือหนังหลวงพ่อจันทร์ก็ไม่เข้า

    เขียนผง
    เดิมทีเดียวหลวงพ่อจันทร์เขียนผงลบผงเก็บไว้สำหรับผสมแป้งหอมทาตัว เมื่อผู้ใช้หลายคนได้ประจักษ์ถึงสรรพคุณในทางเมตตามหาเสน่ห์ มหานิยม มีประสบการณ์บ่อยๆเข้าผู้ศรัทธาเลยขอให้ท่านทำเป็นพระ เมื่อผู้ศรัทธารบเร้าเรียกร้องมากๆ เข้าในที่สุดหลวงพ่อจันทร์ก็ได้ตอบสนองคำร้องขอของผู้ศรัทธา จึงทำพระรูปสี่เหลี่ยมอย่างที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า พระสมเด็จ ออกมา โดยพระรุ่นแรกของท่านสร้างออกมาประมาณหลังจาก พ.ศ. 2510

    อนึ่ง หลวงพ่อจบ เรืองโรจน์ เคยบอกว่า หลวงพ่อจันทร์เป็นผู้มีความสามารถชำนาญใน การทำยันต์เต่าเรือน มาก โดยได้ศึกษาเคล็ดวิธีจากตำราตาขาวฉบับที่หลวงพ่อเพชร วชิโร เคยศึกษา
    นายสามารถ เรืองโรจน์ สมัยเมื่อเป็นนักเรียนชั้นประถมและเป็นเด็กวัดด้วย เคยแอบดูหลวงพ่อจันทร์ทำผงพระในกุฏิเวลากลางคืน เห็นท่านขึงผ้าขาวไว้ผืนหนึ่งที่หน้าโต๊ะบูชา ความสูงของผ้าอยู่ระดับศีรษะ (เวลานั่ง) แล้วท่านก็ก้มลงเขียนอักขระในกระดานชนวนที่วางอยู่ด้านล่างของผ้าขาว แท่งดินสอที่ใช้เขียนในอักขระเป็นแท่งผงปั้นที่ท่านได้จัดทำขึ้นเอง เขียนไปบริกรรมไปจนหมดแท่งผง แล้วท่านก็ลุกขึ้นทำการกวาดผงจากข้างบนผ้าขาวที่ขึงไว้ด้านบน
    นายสามารถยืนยันว่า ไม่เคยเห็นท่านกวาดผงจากกระดานชนวน เพราะผงได้ลอยขึ้นไปอยู่ทางด้านบนของผ้าขาวที่ขึงไว้ข้างบนซึ่งไม่ทราบว่า ลอยขึ้นไปได้อย่างไรกัน นับว่าหลวงพ่อจันทร์มีกรรมวิธีทำผงที่แปลกกว่าใคร เพราะโดยส่วนมากพระคณาจารย์ต่างๆ มักใช้ผงพระจากกระดานชนวน หรือที่ทะลุลงใต้กระดานชนวน แต่หลวงพ่อจันทร์กลับใช้ผงที่ลอยทะลุผ้าขึ้นไปอยู่บนด้านบนของผ้าที่ขึงไว้ เหนือศีรษะอีกทีหนึ่ง เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก

    พระสมเด็จ
    พระสมเด็จหลวงพ่อจันทร์ได้สร้างออกมาเป็นระยะตลอดชีวิตของท่าน การจำแนกระหว่างรุ่นแรกกับรุ่นหลังๆ มักดูกันที่เนื้อหา ความอ่อน-แก่ของปูน คือพระรุ่นหลังๆ จะมีความแก่ปูนมากกว่ารุ่นแรกๆ วรรณะของพระยุคแรกมักมีสีน้ำตาลหรือเหลืองอ่อน หนึกนุ่มกว่า กับทั้งมีร่องรอยของผงถ้วยนรสิงห์บดผสมอยู่ด้วย แต่โดยส่วนมากแล้ว นักเล่นหามักไม่ค่อยจำแนกรุ่น เพราะถือว่าเจตนาในการสร้างของหลวงพ่อ ก็มิได้ตั้งเกณฑ์กำหนดรุ่นไว้ และถือว่าพระยุคแรกหรือยุคหลังมีความแตกต่างกันนิดหน่อยของเนื้อหาขององค์ พระเท่านั้น ส่วนสรรพคุณอิทธิคุณนั้นมิได้แตกต่างกันแต่อย่างใด
    พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์มีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ทรง อาทิเช่น
    1. พระสมเด็จฐานสามชั้น จำแนกออกได้เป็นสามแบบ กล่าวคือ
    1.1 พิมพ์ใหญ่ มีขนาดประมาณ 2.6 x 3.9 ซม. ส่วนหนาประมาณ 0.5 ซม. เส้นซุ้มคู่และที่ระหว่างเส้นซุ้มกับขอบองค์พระมีลวดลายเป็นเส้นนูน
    1.2 พิมพ์กลาง องค์พระจะอยู่ภายในครอบแก้ว หรือเส้นซุ้มเดี่ยว
    1.3 พิมพ์เล็ก องค์พระจะอยู่ภายในเส้นซุ้มเดี่ยว เช่น เดียวกับพิมพ์กลาง
    2. พระสมเด็จฐานเจ็ดชั้น เป็นพระที่มีน้อย ไม่ค่อยจะได้พบเห็น
    3. พระสมเด็จฐานเก้าชั้น องค์พระอยู่ภายในเส้นซุ้มเดี่ยว
    4. พระสมเด็จพิมพ์แหวกม่าน
    5. พิมพ์ขุนแผน
    6. พิมพ์นางพญา มีหลายแบบ
    7. พิมพ์ปิดตา
    ในแต่ละพิมพ์ มีขนาดแตกต่างกันอยู่บ้าง และมีรูปแบบศิลปะย่อยๆ แตกต่างกันออกไปอีก สรุปรวมจำแนกอย่างละเอียดแล้ว พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์มีจำนวนประมาณ 30 กว่าพิมพ์ พระของท่านส่วนมากเป็นพระเนื้อผง มีเนื้อว่านอยู่เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

    วิธีการสร้างพระผงของหลวงพ่อจันทร์
    ท่านจะทำออกมาเรื่อยๆ คือเมื่อท่านเขียน ผงนอโม ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ฯลฯ ได้จำนวนพอสมควรแล้วก็เอามาผสมกับมวลสารอื่นๆ เช่น เกสรดอกไม้ ผงถ้วยนรสิงห์บดละเอียด แร่เหล็กไหลเกาะพะงัน ที่ตกทอดมาจากหลวงพ่อเพชร (เฉพาะยุคแรกเท่านั้น) ข้าวก้นบาตร กล้วยหอม ฯลฯ แล้วตำให้อยู่ในตัวครกเล็กโดยส่วนมาก โดยเฉพาะในยุดแรกๆ หลวงพ่อจะเป็นผู้ดำเนินการด้วยตัวท่านเองหมดทุกขั้นตอน ทั้งการผสม การตำ การกดพิมพ์ ภายหลังมีพระเณรมาช่วยตำ ช่วยกดพิมพ์บ้าง แต่ก็อยู่ภายใต้การดูแลควบคุมอย่างใกล้ชิดของท่าน แม่พิมพ์ที่ใช้สร้างพระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์ โดยส่วนมากมักเป็นแม่พิมพ์ที่แกะจากหินลับมีดโกน ซึ่งมีความเปราะ แตกหักง่าย ใช้ได้ไม่นานก็มักชำรุดต้องเปลี่ยนแม่พิมพ์ใหม่ เป็นเหตุให้ พระของท่านมีรูปแบบศิลปะพิมพ์ทรงแยกย่อยได้ประมาณกว่า 30 พิมพ์ โดยมีรูปลักษณ์หลักอยู่ 4 แบบ คือ สมเด็จสามชั้น เจ็ดชั้น เก้าชั้น และพิมพ์แหวกม่าน ดังกล่าวแล้ว ครั้นพิมพ์พระสมเด็จแล้ว ท่านก็เลือกฤกษ์ยามตามพิธี เริ่มทำการปลุกเสกโดยลำพัง ติดต่อกันไปเรื่อยๆ ตามอุปเท่ห์กลวิธีที่เล่าเรียนมา กระทั่งถูกต้องครบถ้วนตามกระบวนการตำราพิธี มั่นใจในอิทธิคุณ อันสัมฤทธิ์แล้ว ก็จักนำมาออกแจกจ่ายให้ญาติโยม

    ด้วยเหตุนี้ ยุคสมัยอ่าวโหลกหลำมีสถานภาพเป็นท่าเรือประมงสำคัญแห่งหนึ่งในภาคใต้ฝั่ง ตะวันออก เรียกประมงจากจังหวัดต่างๆ ได้แวะเวียนอาศัยพักหลบลม จำหน่ายปลา พักผ่อนและเติมเสบียงอยู่เสมอ พวกเรือประมง (ยุคนั้น) โดยมากเป็นคนในแถบที่ชาวเกาะเรียกว่า “พวกเมืองใน” คือพวกชาวไทยที่พูดสำเนียงภาคกลางในจังหวัดชายทะเลละแวกปริมณฑลของกรุงเทพ ฯ เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ ”พวกวันอ๋อ” หรือ พวกตะวันออก เช่น ระยอง จันทบุรี รวมทั้งที่มาจากเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กับปากน้ำหลังสวนชุมพร จึงทำให้พระสมเด็จหลวงพ่อจันทร์จำนวนมากได้รับการแจกจ่ายไปอยู่ตามจังหวัด ชายทะเลเหล่านั้น

    พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์ ปรากฏอิทธิคุณในด้านต่างๆ ทั้ง คงกระพัน มหาอุตม์ เมตตา มหาเสน่ห์ ฯลฯ แต่ที่โด่งดังเป็นอันมากก็คือ เรื่องมหาเสน่ห์ แต่ ณ ที่นี้ จะของดเว้นกล่าวถึงในส่วนรายละเอียด เพราะเกรงว่าอาจมีผลข้างเคียงในทางที่กลายเป็นการชี้โพรงให้กระรอก เพราะการบันทึกเรื่องราวไว้เป็นลายลักษณ์อักษรสิ่งตีพิมพ์นั้น เป็นสิ่งที่ควรอยู่ถาวร ทั้งสามารถแพร่หลายไปได้โดยกว้าง มิอาจจำกัด ควบคุม จำแนกรับรู้ข่าวสารได้ ไม่ได้มีข้อจำกัดเหมือนการเล่าด้วยวาจา ที่อาจเลือกเฟ้นผู้รับมีวงจำกัดในการเผยแพร่ และคงอยู่แต่ในเพียงความทรงจำ อีกทั้งการนำอิทธิคุณ ความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์ของวัตถุบูชาแทนพระรัตนตรัย ไปใช้ในการเสริมสนองขุนเลี้ยงตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ และการกระทำข่มเหงกดขี่ บีบบังคับ เอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ ย่อมมิใช่เจตนารมณ์ของการเกิดแห่งวัตถุบูชา และมิใช่วัตถุประสงค์ของท่านผู้สร้าง ผู้เสกวัตถุบูชา เหล่านั้น อิทธิคุณความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์ของวัตถุบูชาแทนพระรัตนตรัยควรมีไว้ สำหรับเพื่อการป้องกัน ปกป้องให้รอดปลอดพ้นจากทุจริตมิจฉากรรม จำกัดกรรมที่มิควรประสงค์มิให้บังเกิดหรือเสริมสนองเอื้ออำนวยกิจอันควรแก่ การณ์เท่านั้น ด้วยข้อจำกัดของการสื่อสารที่มิอาจเฟ้นผู้รับการสื่อสารได้ เพื่อมิให้เกิดผลข้างเคียงในทางลบ แม้พระสมเด็จของหลวงพ่อจันทร์จักมีประสบการณ์มากมายในทางนี้ ก็ต้องกราบขออภัยที่จำเป็นต้องงดเว้นการกล่าวถึงวิธีการรายละเอียดแห่งการ ปรากฏผลด้านมหาเสน่ห์ของสมเด็จหลวงพ่อจันทร์ไว้ ณ ที่นี้

    อนึ่ง หลวงพ่อจันทร์ ได้มีข้อห้ามประการสำคัญข้อหนึ่ง สำหรับผู้ใช้พระของท่านนั่นคือ ห้ามอมพระ (ห้ามเอาพระใส่ปากอม) โดยเด็ดขาด


    พระสมเด็จมหาเสน่ห์ หลวงปู่จันทร์วัดโฉลกหลํา พะงัน พิมพ์คะแนน 3ชั้นซุ้มคู่

    พิมพ์ที่นิยมค่าบูชาตอนนี้เกินหมื่นไปแล้วครับ ตอนนี้มาเลย์เข้ามากว้านซื้อไปหมดครับ ยิ่งองค์ไหนมีรอบมีดขูดเอาผงไปใช้ ยิ่งได้ราคาครับ แต่มีข้อห้ามคือห้ามผิดลูกเมีย ต้องรับผิดชอบไปเลย....สมัยก่อนนักเลงแม่กลองยังเคยเดินเรือมาเอาพระของท่าน ขนาดพระเมืองเพชรและพระเมืองชลอยู่ใกล้ๆ และมีดีมากมาย แต่ก็ยังขวนขวายมาลองพระถึงพงัน นักเลงคนนี้บอกว่าหลวงปู่จันทร์ท่านทำไว้ครบ แขวนเดี่ยวได้เลยตั้งแต่ จีบสาวยันตะลุมบอน เลือดออกแค่ยางบอนครับ...ส่วนคู่อริถ้าด้อยกว่าหลวงพ่อทาบหรือหลวงพ่อแก้ว โดนยิงทะลุเรือเจ็บ-ตายหมดครับ.. ปัจจุบันพระสมเด็จหลวงปู่จันทร์เป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากในหมู่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างเสาะแสวงมาบูชาเพราะเชื่อมั่นในพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องมหาเสน่ห์เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้ที่พบเห็น ดีเยี่ยมในทางเมตตามหานิยมเกื้อกูลในการประกอบอาชีพทำมาหากิน จนเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างและเป็นที่กล่าวขาน กันจนติดปากว่า"ขุนแผนเมืองใต้" แต่ในด้านมหาอุด คงกะพันก็ไม่ได้เป็นรองในด้านมหาเสน่ห์เลย เรียกได้ว่าพุทธคุณครอบจักรวาล...ส่วนมวลสารในการสร้างพระสมเด็จของหลวงปู่จันทร์จะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกับพระผงสำนักอื่น เพราะวัสดุที่หลวงปู่ใช้ผสมล้วนแล้วแต่หากันในบริเวณเกาะหรือในทะเล เพราะวัสดุที่หลวงปู่ให้ลูกศิษย์ไปหามาเป็นตัวผสมล้วนแล้วแต่เป็นของดีและมีพุทธคุณอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเป็น กัลปังหา ปูนเปลือกหอยและเกสรดอกไม้หรือว่านยาต่างๆ และผงปถมังที่หลวงพ่อลบทะลุกระดาน โดยหลวงปู่จันทร์ท่านจะหาวันและเวลาดีๆในการบริกรรมคาถาในการสร้างพระสมเด็จ ..ในปัจจุบันสมเด็จหลวงปู่จันทร์หายากยิ่งนัก เพราะผู้ที่นำไปบูชาแล้วเกิดประสบการณ์และปาฎิหารย์ ต่างๆอย่าโชกโชน จึงเป็นวัตถุมงคลที่เห็นไม่มากนักในยุคปัจจุบัน...สำหรับบรรดาลูกศิษย์ที่ต้องการพุทธคุณที่เด่นชัดในเรื่องมหาเสน่ห์และโชคลาภ โภคทรัพย์ดีมากๆ ครับยังกะแขวนวัดปากน้ำเลยครับ

    ปัจจุบันพระสมเด็จหลวงปู่จันทร์เป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากในหมู่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างเสาะแสวงมาบูชาเพราะเชื่อมั่นในพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องมหาเสน่ห์เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้ที่พบเห็น ดีเยี่ยมในทางเมตตามหานิยมเกื้อกูลในการประกอบอาชีพทำมาหากิน จนเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างและเป็นที่กล่าวขานกันจนติดปากว่า"ขุนแผนเมืองใต้" แต่ในด้านมหาอุด คงกะพันก็ไม่ได้เป็นรองในด้านมหาเสน่ห์เลย เรียกได้ว่าพุทธคุณครอบจักรวาล...ส่วนมวลสารในการสร้างพระสมเด็จของหลวงปู่จันทร์จะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกับพระผงสำนักอื่น เพราะวัสดุที่หลวงปู่ใช้ผสมล้วนแล้วแต่หากันในบริเวณเกาะหรือในทะเล เพราะวัสดุที่หลวงปู่ให้ลูกศิษย์ไปหามาเป็นตัวผสมล้วนแล้วแต่เป็นของดีและมีพุทธคุณอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเป็น กัลปังหา ปูนเปลือกหอยและเกสรดอกไม้หรือว่านยาต่างๆ และผงปถมังที่หลวงพ่อลบทะลุกระดาน โดยหลวงปู่จันทร์ท่านจะหาวันและเวลาดีๆในการบริกรรมคาถา ในการสร้างพระสมเด็จ ร่วมสร้างและกดพิมพ์โดยชาวบ้านที่ อาศัยอยู่ในบริเวณรอบเกาะพงันและพระเณรในวัด...ในปัจจุบันสมเด็จหลวงปู่จันทร์หายากยิ่งนัก เพราะผู้ที่นำไปบูชาแล้วเกิดประสบการณ์และปาฎิหารย์ ต่างๆอย่าโชกโชน จึงเป็นวัตถุมงคลที่เห็นไม่มากนักในยุคปัจจุบัน.... .สมัยก่อนนักเลงแม่กลองยังเคยเดินเรือมาเอาพระของท่านครับ ขนาดพระเมืองเพชรและพระเมืองชลอยู่ใกล้ๆ และมีดีมากมาย แต่ก็ยังขวนขวายมาลองพระถึงพงัน นักเลงคนนี้บอกว่าหลวงปู่ จันทร์ท่านทำไว้ครบ แขวนเดี่ยวได้เลยตั้งแต่ จีบสาวยันตะลุมบอน เลือดออกแค่ยางบอนครับ...ส่วนคู่อริถ้าด้อยกว่าหลวงพ่อทาบหรือหลวงพ่อแก้ว โดนยิงทะลุเรือเจ็บ-ตายหมดครับ ตามที่"อาจารย์สมตา แห่งคลองวังพระเครื่อง" ศิษย์ก้นกุฏิหลวงพ่อ ท่านเล่าว่า พระสมเด็จของหลวงพ่อ ท่านทำใว้ มากมาย ใส่กระด้งบ้าง ถาดจีนบ้าง รองด้วยผ้าจีวรบ้าง แม่พิมพ์ก็เป็นทั้งไม้ ทั้งปูนพลาสเตอร์ แต่พระท่านไม่เคยเหลือจากวัดเลย แม้ท่านจะทำพระเป็นกิจวัตรก็ตาม ก่อนจากหลวงพ่อบอกว่า ให้ไปดีมีสุข มีคนรัก คนไคร่ ถ้าไปหมู่บ้านไหน ดูแล้วเขาไม่ชอบเรา ให้ท่องคาถา"มิสังพุทธธัง 3 จบ" แล้วเอาพระกูใส่ในบ่อเลย รับรอง จะรักมึงทั้งหมู้บ้าน......

    [​IMG]



    *ปิดรายการนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2013
  3. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    รูปหล่อปั้ม หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม ชัยนาท รุ่นแรก ย้อนยุค เนื้อแร่

    สภาพสวยเดิมๆพร้อมกล่องจากวัด รูปหล่อปั้ม หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม ชัยนาท ย้อนยุค รุ่นแรก เนื้อตะกั่ว ตอกโค๊ตที่ด้านหลัง จำนวนการสร้าง ประมาณ3,000องค์ ขนาดประมาณ 1นิ้ว พิธีพุทธาภิเษกที่วัดโฆษิตารามครับ

    [​IMG]
    [​IMG]



    ให้บูชาองค์ละ 750บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pp1-horz.jpg
      pp1-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      388.9 KB
      เปิดดู:
      20,365
    • pp3-horz.jpg
      pp3-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      269.2 KB
      เปิดดู:
      13,728
    • luangporguay.jpg
      luangporguay.jpg
      ขนาดไฟล์:
      257.4 KB
      เปิดดู:
      10,394
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2013
  4. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    หลวงปู่ปรุง สาสโน วัดธรรมเจดีย์ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี

    ท่านเกิดเมื่อวันเสาร์ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๔๗ เกิดปีเดียวกับหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญเเก่กว่าหลวงพ่อกวยหนึ่งปี(หลวงพ่อกวยเกิด วันพุธ ปีมะเส็งพ.ศ.๒๔๔๘)

    หลวงปู่ปรุง พื้นเพท่านเป็นคนย่านวัดห้วยเจริญสุข ต.พักทัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี

    สมัยหนุ่ม ได้บวชเรียนกับหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ รุ่นเดียวกับ หลวงพ่อปู่เย็น วัดสระปรียญ หลวงพ่อกวย วัดบ้านเเค หลวงพ่อเเพ วัดพิกุลทอง หลวงพ่อบัว วัดเเสวงหาอ่างทอง เป็นต้น

    สมัยตอนบวช นอกจากเรียนวิชากับหลวงพ่อศรีเเล้วก็เรียนกับอีกหลายหลวงพ่อ เช่นหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อเคน วัดดงเศรษฐีหลวงพ่อคำวัดตลุกคู่ จ. อุทัย เเละกับอีกหลายอาจารย์ที่เป็นสงฆ์เเละฆราวาส

    จากนั้นสึกออกมามีครอบครัว เช่นเดียวกับหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ หลวงปู่เย็นบวชเเล้วสึกออกมามีครอบครัว เเล้วตอนเเก่ก็มาบวชอีก

    สายหลวงพ่อศรี มีทั้งสึกออกมามีครอบครัว เเละบางรูปก็ไม่สึก เช่นหลวงพ่อกวยหลวงพ่อเเพ เเละท่านอื่นๆ

    หลวงปู่ปรุงกลับมาบวชอีกครั้งเมื่ออายุอยู่ในช่วงห้าสิบกว่าถึงอายุหกสิบ

    หลังจากบวชอีกครั้ง ก็ออกธุดงค์ร่วมยี่สิบปีออกเเสวงหาความสงบเเละเรียนวิชาเพิ่มกับอีกหลายสาย

    เมื่ออายุได้๘๐ปี จึงหยุดธุดงค์เเละกลับมาที่สิงห์บุรีมาจำพรรษาที่วัดธรรมเจดีย์ คาดว่าหลวงปู่เป็นผู้สร้างวัดนี้

    ที่วัดธรรมเจดีย์ ท่านได้ออกวัตถุมงคลเป็นรุ่นเเรกๆเเละหลายรุ่นจากประสบการณ์ของพระเครื่องของท่านทำให้ชื่อเสียงโด่งดังเเละมีคนรู้จักท่านมากขึ้น

    ช่วงปลายอายุ หลวงปู่ปรงได้ย้ายจากวัดธรรมเจดีย์มาจำพรรษาที่วัดห้วยเจริญสุขเพื่อช่วยสร้างโบสถ์ที่วัดนี้ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน

    จนเมื่อปลายปี๒๕๔๐ หลวงปู่ปรุงได้มรณภาพลงที่วัดห้วยเจริญสุข อายุได้๙๕ปี ๔เดือนเเละ๓วัน ซึ่งไล่เลี่ยกับหลวงปู่เย็น(มรณภาพ ปี๒๕๓๙ อายุ ๙๔ปี)

    สรุป ท่านเรียนมาสายเดียวกับหลวงพ่อกวยเเละหลวงปู่เย็น ตำราอาคมเก่าๆของหลวงปู่ ปัจจุบันเก็บรักษาโดยอ.เซียน ศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่เมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดธรรมเจดีย์

    เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่ปรุง สาสโน วัดธรรมเจดีย์ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี เนื้อทองแดงรมดำ พระอรหันต์แห่งเมืองสิงห์บุรี ปี2533 ออกเป็นครั้งแรก ในนามวัดธรรมเจดีย์ที่ท่านจำพรรษาอยู่ และเป็นเหรียญฉลองอายุที่ 85 ปี ท่านเก่งมากครับ ท่านสมถะมากๆครับ


    [​IMG]


    ให้บูชาองค์ละ 750บ.ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2014
  5. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    พระผง คง ไชย ชุม พิมพ์ขุนแผนออกศึก ติดเหล็กไหล ปี 2513 หายากมากครับ

    พระผงคงไชยชุม ปี2513 รุ่นนี้ สร้างเมื่อปี 2513 มีด้วยการ ๓ พิมพ์ คือ พิมพ์ขุนแผน, พิมพ์ 2 หน้า อ.คง กับ อ.ทองเฒ่า ปรมาจารย์เขาอ้อ และเทพนิมิต ผสมด้วยผงก้นกรุ 108กรุ ด้วยผงว่านยา ซึ่งพระอาจารย์คง กับอาจารย์ ชุมไชยคีรี สะสมและเข้าพิธี ปลุกเศก ทยอยกันมาตั้งแต่สงครามโลก ถึงปัจจุบัน ครั้งนี้ เป็นครั้งสุดยอดที่ 17 โดยมีเนื้อผงว่านยา 500 กว่าชนิด เพิ่มเติมด้วยผงยันต์วิเศษ เช่น ผงยันต์อิทธฺเจ ผงยันต์ตรีนิสิงเห ผงยันต์นะปถมัง ผงยันต์นอโมพระอินทร โดยพระอาจารย์ไชย ปสญณจิตฺโต ผู้เชี่ยวชาญในเลขยันต์อักขระพิธีตามตำรา ได้ทำพิธีชักยันต์มาเป็นเวลา 3เดือนเต็ม และมวลสารที่นำมาสร้างพระเครื่องในครั้งนี้ ประกอบด้วยผงวิเศษ ว่านต่างๆ ดังนี้
    กรุสุพรรณบุรี-ผงพระขุนแผนกรุวัดบ้านกร่าง ผงพระขุนแผนไข่ผ่าซีก ผงพระเนื้อชินกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
    กรุสุโขทัย-พระเนื้อชิน พระเนื้อดิน กรุวัดมหาธาตุ พระผงหลวงพ่อโต วัดป่ามะม่วง ผงพระกรุวัดช้างล้อม ผงระกรุวัดป่ากล้วย ผงพระนางพญาเสน่ห์จันทน์ ผงพระกรุวัดพระเชตุพน ฯลฯ
    กรุพิษณุโลก-ผงพระเนื้อดินเผา วัดสะตือ ผงพระเนื้อดินเผา วัดท่ามะปราง ผงพระเนื้อดินเผา วัดจุฬามณี ผงพระกรุวัดชีปะขาว
    ผงพระอาจารย์แปลก วัดราชบูรณะ ผงพระกรุวัดนางพญา ผงพระกรุวัดอรัญญิก ผงพระพุทธรูปที่ชำรุด วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
    กรุนครศรีธรรมราช-ผงพระคัมภีร์พระไตรปิฎก วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ผงตะไคร่พระเจดีย์ทุกองค์ในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ผง พระหักกรุวัดท่าเรือ ผงอิฐพระเจดีย์วัดท่าเรือ ผงพระเนื้อดินเผากรุวัดนางตรา ผงวัดท้าวโคตร ผงว่าน 108 ของพล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช
    กรุเพชรบูรณ์-ผงดินพระหัก เจ้าพ่อหลักเมือง ผงดินพระป่นวัดเสือ ผงดินหักป่นวัดช้างเผือก ผงดินพระหักป่นวัดพระแก้ว ผงดินพระหักป่นวัดมหาธาตุ
    กรุพัทลุง-ผง ดินดิบสมัยศรีวิชัย ถ้ำคูหาสวรรค์ ผงอิทธิเจพระครูสิทธิยาภิรัต (เอียด ปทุมสโร) วัดดอนศาลา ผงพระหักป่นวัดเขาเจียก ผงดินท้องถ้ำเขาไชยสน ผงดินดิบสมัยศรีวิชัยถ้ำอกทะลุ
    กรุลำพูน-ผงพระรอดมหาวัน ผงพระเปิม ผงพระสาม หรือพระตรีกาย

    คณะศิษย์จึงถวายพระนามพระผงครั้งนี้ไว้เป็นอนุสรณ์มงคล นามว่า พระผงวิเศษ คงไชยชุม เพราะอาจารย์ทั้งสามรวมกันทำโดยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อแจกให้แก่ผู้ร่วมการกุศลในการสร้างพระอุโบสถ์วัดบ้านสวน

    เริ่มทำพิธี ผสมผงโดย พระอาจารย์คง อาจารย์ขุนแผน และขุนแผนเข้าประทับทรง พิมพ์พระโดยพระอาจารย์ทั้งสาม เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2513 ได้อุดมฤกษ์พิมพ์พระผงคงไชยชุม มีประชาชน ตลอดจนถึงอาจารย์พราหมณ์นับร้อย มาประชุมในโรงพิธี ณ พระอุโบสถวัดบ้านสวน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ลงมือพิมพ์พระเมื่อ เวลาประมาณ 10.00 น. หลังจากพิมพ์พระได้ 20 กว่าองค์ขุนแผนได้เข้าประทับทรงเด็กชายคนหนึ่ง สั้งให้เอาพระที่พิมพ์แล้วไปลองยิงให้ท่านดู ปรากฎว่าได้มีนายพุ่มเสมาทอง กำนัน ต.มะกอกเหนือ รับเอาพระพิมพ์ที่ยังเปียกๆ อยู่องค์หนึ่งไปติดที่ต้นมะพร้าวหลังพระอุโบสถ แล้วให้นายเนื่อง เพชรสุวรรณ ยิงด้วยปินรีวอลเวอร์ขนาด .32 มม. ต่อหน้าประชาชนที่มามุงดูกันอย่างแน่นขนัด ปรากฎว่ายิง 3 นัด กระสุนไม่ระเบิดแม้แต่นัดเดียว เข้าพิธีปลุกเศกพุทธภิเศก วันศุกร์ที่ 1 ถึง วันเสาร์ 9 พฤษภาคม 2513 รวม 9 วัน

    [​IMG][​IMG]

    [​IMG]


    *ปิดรายการนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2013
  6. kravity

    kravity เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,472
    ค่าพลัง:
    +34,745
    สวัสดีครับท่านพี่ มีหลวงพ่อกล่อม วัดหูแร่ไหมครับ

    ขอบคุณครับ
     
  7. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ไม่มีเลยครับท่าน
     
  8. kravity

    kravity เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,472
    ค่าพลัง:
    +34,745
    ขอบพระคุณมากๆครับ
     
  9. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    เหล็กไหล อ.ชุม สุดยอดหายากครับ

    เม็ดเหล็กไหล อ.ชุม ไชยคีรี หายากมากครับ ท่านได้มาเป็นก้อนใหญ่ ในป่าลึกทางภาคใต้ของประเทศไทยเมื่อประมาณปี 2509 ทำพิธีตัดเหล็กไหลออกเป็นชิ้นเล็กเท่าเมล็ดพริกไทยถึงเมล็ดมะขามแห้ง ออกแจกจ่ายให้คณะศิษย์ทำหัวแหวนไว้เป็นเครื่องรางป้องกันตัว ส่วนหนึ่งฝังไว้หลังพระเนื้อว่านยา 500 กว่าชนิด ทรงขุนแผนออกศึก ทรงรูปอาจารย์วัดเขาอ้อ จ.พัทลุง บางส่วนก็ฝังไว้ในตัวลูกศิษย์ส่วนวิธีใช้วิธีใช้เหล็กไหลมีดังี้ เหล็กไหลเป็นแร่ธาตุกายสิทธิ์ มีฤทธิ์มีอานุภาพอยู่ในตัว แต่มีเทวดารักษา เวลาใช้ออกชื่อปู่เจ้าเขาเขียว และพระฤาษีปลัยโกฎ ทำการปลุกเศกเพิ่มฤทธิ์ด้วยพระอักขระ 16 "นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง" 16 จบ แช่น้ำผึ้งรวงกินแก้โรคทุกชนิด ทำให้มีกำลังอายุยืน ฝังไว้ในตัว และนำติดตัวกันปืนทุกชนิด เป็นคงกระพัน มีอำนาจ มีกำลัง ปู่เจ้าฯไม่โปรดบุคคลไม่เชื่อและนำไปทดลองทำเป็นเล่น

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]



    สนใจรายการนี้PMมาได้เลยครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Gf6E6M.jpg
      Gf6E6M.jpg
      ขนาดไฟล์:
      146.6 KB
      เปิดดู:
      6,605
    • DSC01216.jpg
      DSC01216.jpg
      ขนาดไฟล์:
      192 KB
      เปิดดู:
      4,703
    • DSC01218.jpg
      DSC01218.jpg
      ขนาดไฟล์:
      270.9 KB
      เปิดดู:
      6,918
  10. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ล็อคเก็ตหลวงพ่อคูณ หลังจีวร,เกษา,ยาเส้น พร้อมเดิมเดิม สวยครับ ไม่ทราบปีและที่ออก ให้บูชาเบาๆ
    [​IMG]
    [​IMG]


    ให้บูชา 550บ.ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC01179.jpg
      DSC01179.jpg
      ขนาดไฟล์:
      226.4 KB
      เปิดดู:
      10,643
    • DSC01180.jpg
      DSC01180.jpg
      ขนาดไฟล์:
      291 KB
      เปิดดู:
      7,600
  11. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    สมเด็จหลวงพ่ออยู่หลังรูปเหมือน เนื้อผงใบลาน พิมพ์เล็ก กรุวัดดักคะนน จ.ชัยนาท

    สมเด็จหลวงพ่ออยู่หลังรูปเหมือน เนื้อผงใบลาน พิมพ์เล็ก กรุวัดดักคะนน จ.ชัยนาท
    สมเด็จกรุวัดดักคะนนนี้คนพื้นที่เล่าว่าเป็นสมเด็จที่หลวงปู่อยู่วัดดักคะนนชัยนาทสร้างบรรจุไว้ ซึ่งหลวงปูอยู่ท่านนี้เป็นพระร่วมสมัยกับหลวงปู่ศุข ปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อคงบางกะพี้
    ท่านมีอายุพรรษาอ่อนกว่าทั้ง 2 องค์โดยหลวงพ่อคงถือว่า
    มีความอาวุโสสุด ซึ่งทั้ง 3 ท่านนิยมไปมาหาสู่กันเสมอ
    จะเพื่อการใดไม่ทราบชัด คนแถบชัยนาทเรียกกันว่า คง-อยู่-ศุข
    3 คณาจารณ์แห่งลุ่มแม่น้ำท่าจีน
    หลวงปู่อยู่ก่อนหน้าที่จะมาปกครองวัดดักคะนน
    ท่านไปเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดบางขุนพรหม และได้รับมอบผงที่สมเด็จโตลบไว้และชิ้นส่วนสมเด็จที่ชำรุด
    จากเจ้าอาวาสวัดบางขุนพรหมในสมัยนั้นมามากพอสมควร
    ท่านจึงนำมาจัดสร้างสมเด็จของท่าน
    พระชุดนี้สร้างโดยหลวงพ่ออยู่ แห่งวัดดักคะนน พระผู้มีบารมีธรรมสูงส่งอีกทั้งเป็นพระที่มีวาจาสิทธิ์องค์หนึ่ง นอกจากนี้ท่านยังเป็นสหายสนิทกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระอาจารย์ทั้งสององค์ชาวบ้านที่ชัยนาท และจังหวัดใกล้เคียงต่างให้ความเคารพนับถือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หลวงพ่อทั้งสองต่างเดินทางไปมาหาสู่เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาซึ่งกันและกัน เป็นประจำจนเรียกว่ากินกันไม่ลง

    พระชุดนี้จึงไม่แปลกที่หลวงปู่ศุข จะมอบมวลสารชั้นยอดและมีส่วนร่วมในการจัดสร้าง รวมถึงการปลุกเศกด้วย พระสมเด็จที่สร้างมีทั้งหมด 5 พิมพ์คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ฐานแซม พิมพ์เจ็ดชั้นและเก้าชั้น เสร็จแล้วได้นำบรรุไว้ใต้ฐานพระประธานโบสถ์ จนกาลเวลาล่วงเลยมา พระได้แตกกรุออกมาเพราะพระประธานชำรุดเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ กรรมการวัดจึงมีมติที่จะรื้อและสร้างใหม่ จึงพบพระสมเด็จไหลทะลักออกมาจากใต้ฐานพระประธาน หลวงพ่อผลเจ้าอาวาสในขณะนั้นจึงนำมาให้ทำบุญและแจกจ่ายวัดต่าง ๆ ในละแวกนั้นเพื่อหาทุนสร้างโบสถ์ มีผู้ไม่ทราบข้อมูลเข้าใจผิดว่า เป็นพระสมเด็จของหลวงพ่อผล ภายหลังผู้ใช้ไปประสบอภินิหารหลายอย่าง จนชาวบ้านขนานนามว่า มีพระสมเด็จ "อยู่ - ศุข" จะอยู่รอด ปลอดภัยมีความสุข

    สมเด็จกรุวัดดักคะนนนี้คนพื้นที่เล่าว่าเป็นสมเด็จที่หลวงปู่อยู่วัดดักคะนน ชัยนาทสร้างบรรจุไว้ ซึ่งหลวงปูอยู่ท่านนี้เป็นพระร่วมสมัยกับหลวงปู่ศุข ปากคลอง หลวงพ่อคงบางกะพี้ ท่านมีอายุพรรษากาลอ่อนกว่าทั้ง 2 องค์โดยหลวงพ่อคงถือว่ามีความอาวุโสสุด ซึ่งทั้ง 3 ท่านนิยมไปมาหาสู่กันเสมอจะเพื่อการใดไม่ทราบชัดคนแถบชัยนาทเรียกกันว่า คง-อยู่-ศุข 3 คณาจารณ์แห่งลุ่มแม่น้ำท่าจีน

    หลวงปู่อยู่ก่อนหน้าที่จะมาปกครองวัดดักคะนนท่านไปเรียนพระปริยัติธรรมที่ วัดบางขุนพรหม และได้รับมอบผงที่สมเด็จโตลบไว้และชิ้นส่วนสมเด็จที่ชำรุดจากเจ้าอาวาสวัด บางขุนพรหมในสมัยนั้นมามากพอสมควร ท่านจึงนำมาจัดสร้างสมเด็จของท่านซึ่งมีอยู่ 5 พิมพ์คือสมเด็จเนื้อผงขาวหลังเรียบพิมพ์ 3 ชั้น/ 7 ชั้น/ 9 ชั้น พิมพ์ใหญ่ขนาดครึ่งฝ่ามือเป็นพระคะแนน และเนื้อผงใบลานหลังรูปท่าน

    หลวงปู่อยู่ท่านนี้จากปากคำของคนเฒ่าคนแก่เล่าสืบมาว่าท่านเก่งถึงขนาดที่ ใช้มือจับเหล็กสลักโบสถ์ที่ยังมีไฟแดงๆอยู่แทนครีมคีบและตอกด้วยมือเปล่าๆ แทนฆ้อนได้
    สำหรับประสบการณ์ถือว่าแปลกกว่าสมเด็จโดยทั่วๆไปเพราะนอกจากจะมีพุทธคุณใน ด้านเมตตามหานิยมโชคลาภตามมาตรฐานตำรับสมเด็จแล้วยังมีพุทธคุณในด้านบู๊ค่อน ข้างหนาหู เรื่องล่าสุดที่ได้รับฟังมาเหตุเกิดที่ จ.นครสวรรค์ ผู้ร้ายถูกตำรวจล้อมยิงในระยะใกล้ๆแบบวงรำวงเลยว่างั้น แต่ปรากฏว่ายิงไม่ออกซักกระบอกเลยในคอเจ้ากรรมมีสมเด็จดักคะนนองค์เดียว เท่านั้น


    ข้อมูลจากหนังสือสมเด็จต่างวัด

    หลวงปู่อยู่อดีตเจ้าอาวาสวัดดักคะนน พระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยกับหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านได้สร้างพระพิมพ์สมเด็จเรียกว่าสมเด็จขาวและสมเด็จดำ โดยสมเด็จขาวสร้างจากผงพุทธคุณ ที่่ท่านลบตามสูตรมูลกัจจายน์ ส่วนสมเด็จดำสร้างจากผงใบลานจารอักขระคัมภีร์โบราณผสมกับผงพุทธคุณ พระสมเด็จขาวและสมเด็จดำ มีอายุการสร้างกว่า 99 ปี และบรรจุกรุไว้ และแตกกรุในสมัยที่หลวงพ่อผลเป็นเจ้าอาวาส พระชุดนี้จึงปรากฏคราบกรุให้เห็นโดยทั่วไป พระสมเด็จขาวและสมเด็จดำชุดนี้มีประสบการณ์ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาดและคงกระพันชาตรี

    พระกรุดักคะนนชัยนาจอายุราว 99 ปีมวลสารที่บรรจุในองค์พระของสมเด็จพุฒจาร์โตที่หลวงพ่อทองอยู่ได้นำมาผสมใน องค์พระกรุสมเด็จพระสมเด็จนี้ได้จัดขึ้นเมื่อปี พ. ศ. 2455 กรุแตกเมื่อปี พ. ศ. 2500 รวมแล้วราว 99 กว่าปี
    ผงพระสมเด็จกรุดักคะนน สร้างจากผงวิเศษของสมเด็จโต หลวงปู่อยู่เอาใส่เรือพายมาวัดปากคลองมะขามเฒ่า ถวายให้หลวงปู่ศุข ปลุกเสกเป็นกรณีพิเศษ

    ข้อแตกต่างระหว่างพระสมเด็จขุนอินทประมูลและสมเด็จกรุวัดดักคะนน คือ
    รูปแบบพิมพ์พระจะคล้ายกันแต่พระสมเด็จกรุขุนอนิทประมูลเนื้อจะแกร่งกว่าสมเด็จดักคะนนและคราบกรุของสมเด็จกรุขุนอินประมูลนั้นหนามากไม่สามารถล้างออกได้ง่ายๆส่วนคราบกรุสมเด็จกรุวัดดักคะนนจะไม่หนาเท่าสมเด็จกรุขุนอินทประมูล ทั้งคราบกรุส่วนใหญ่จะมีสีแดงครับและให้สังเกตที่มือของสมเด็จขุนอินทประมูลจะยื่นออกมายาวกว่าสมเด็จดักคะนนครับพระ 3 กรุคือกรุดักคะนน กรุวัดขุนอินทร และสมเด็จก้นย่ามมีความคล้ายคลึงกันมาก

    [​IMG][​IMG]


    ให้บูชา 1,250บ.ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0008-small.jpg
      0008-small.jpg
      ขนาดไฟล์:
      142.9 KB
      เปิดดู:
      8,858
    • dkn1.jpg
      dkn1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.6 KB
      เปิดดู:
      6,775
    • dkn2.jpg
      dkn2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.7 KB
      เปิดดู:
      4,684
  12. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    พระครูสังฆรักษ์ (หลวงพ่อโปร่ง โชติโก)

    ช่วงเป็นฆราวาส สถานะเดิม ชื่อ โปร่ง นามสกุล อยู่กลัด เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๓ ตรงกับวันอังคาร แรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเมีย ณ.บ้านเลขที่ ๖๓/๑/๑ หมู่ ๕ ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี โยมบิดาชื่อ นายเปรื่อง อยู่กลัด ส่วนโยมมารดาชื่อ นางทองหล่อ อยู่กลัด หลวงพ่อท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๔ คน เป็นชาย ๓ คน หญิง ๑ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ ปัจจุบันพี่สาวและน้องชาย ได้เสียชีวิตแล้ว ยังเหลือน้องชาย ๑ คน ตอนเป็นเด็กจนกระทั่งเป็นหนุ่ม ท่านดำเนินชีวิตเหมือนกับเด็กทั่วไป ท่านเรียนประถมศึกษา ตั้งแต่ชั้นประถม ๑ – ๓ ที่โรงเรียนวัดรางกำหยาด ต.บางภาษี อ.บางเลน จ.นครปฐม ส่วนชั้นประถมปีที่ ๔ ท่านได้ย้ายมาเรียน ที่โรงเรียนชมนิมิต ต.บางจาก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ

    การอุปสมบทครั้งแรก

    พออายุ ๒๐ ปี ท่านก็ได้อุปสมบทตามประเพณี อย่างคนหนุ่มที่เป็นชาวพุทธทั่วไป ช่วงที่ท่านบวชนั้นเป็นช่วงเกิดการปฏิวัติพอดี มีชื่อเรียกว่า กบฏแมนฮัดตัน ช่วงที่ท่านบวชอยู่ ๑ พรรษานั้น ท่านได้ไปเรียนกัมมัฏฐานกับหลวงปู่หลิมที่ วัดน้อยเมืองชล (การภาวนาหลวงปู่หลิมสอนว่า ตอนนอนให้ว่า อะระหัง สุขคะ ตะถานัง พอตอนตื่นนอน ให้ว่า อะระหัง สุคะโต ภะคะวา เสด็จครรไล ในอัฏษฏางคิกกะมรรค และก็ให้บริกรรมคำว่า อรหัง) แต่ตอนหลังได้มีผู้หญิงมาชอบ ท่านเห็นว่าจะอยู่ไม่ได้ก็เลยสึกออกมาใช้ชีวิตฆราวาสอีกครั้ง หลังจากสึกแล้วท่านก็ไปอยู่ที่หัวหิน ไปทำงานเป็นนายท้ายเรือตังเก ลากอวนอยู่ที่หัวหิน บางครั้งก็ไปลากถึงประเทศเขมร จากนั้นท่านได้มีครอบครัว โดยได้ลูกสาวตำรวจมาเป็นคู่ชีวิต มีบุตรด้วยกัน ๓ คน พอมาพักหลังได้เกิดมีปัญหาครอบครัว ท่านจึงได้คิดกลับมาอุปสมบทอีกครั้ง

    ประวัติช่วงอุปสมบทครั้งที่ ๒

    เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๙ ที่วัดนาขวาง ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร วันที่ ๒๔ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๙ มีพระอุปัชฌาย์ คือพระครูสมุทรธรรมสุนทร (หลวงพ่อสุด) พระกรรมวาจาจารย์คือ พระอาจารย์น้อย พระอนุสาวนาจารย์คือ พระครูพยนต์ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดนาขวาง ๑ พรรษา จากนั้นท่านก็ขออนุญาตหลวงพ่อสุดออกจาริก พอจะค่ำที่ไหนจะปักกลดที่นั่น แล้วก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ

    ช่วงแรกที่ท่านเดินนั้น ท่านเดินอยู่แถวภาคกลางช่วงเพชรบุรี หัวหิน แล้วก็เดินจาริกไปเรื่อย ตอนหลังก็จะไปทางเหนือ ก็เดินไป เริ่มต้นจากพระราม ๖ แล้วก็เดินตามทางรถไฟ ไปตรงบางเขน เพื่อจะไปพระพุทธบาท แต่เดินผิดทาง ไปทางลพบุรีออกไปทางหนองแซง พอไปถึงก็ไปถามชาวบ้านแถวนั้นว่า พระพุทธบาทไปทางไหน เขาบอกว่าหลวงพ่อมาผิดทางแล้ว ก็เลยเดินกลับลงมาอีก ช่วงนั้นก็หาที่ปฏิบัติธรรมด้วย ก็เดินกลับลงมาทางสุพรรณบุรี และไปวัดหลวงพ่อขอม แล้วก็ไปอ่างทอง จากนั้นจึงย้อนขึ้นมาทางบางเลน ย้อนขึ้นไปทางกำแพงแสน แล้วก็มาที่โพธาราม จากนั้นก็มาที่ชุมพร จึงได้ไปหาหลวงปู่มุมตั้งใจว่าจะไปจำพรรษากับหลวงปู่มุม แต่จำพรรษาไม่ได้ เพราะว่าหลวงปู่มุมท่านเป็นธรรมยุต ส่วนหลวงพ่อเป็นมหานิกาย ก็เลยไปจำพรรษาที่วัดถ้ำเขาพลู ที่ อ.ประทิว จ.ชุมพร

    ตอนนั้นว่าจะมาหาหลวงพ่อจีต แต่ว่าหลวงพ่อจีตได้มรณภาพแล้ว เหลือแต่หลวงพ่อเภา ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำเขาพลู ๔ พรรษา พอออกจากวัดถ้ำเขาพลู ท่านก็ได้ขึ้นไปเชียงรายจะไปหาหลวงพ่อดาบส สุมโน ระหว่างทางได้เดินไปหาหลวงปู่แหวน ต่อจากนั้นได้ไปอยู่ที่เมืองพร้าว แล้วก็ข้ามไปที่เวียงป่าเป้า ก็เลยไปเจอหลวงพ่อดาบส อยู่ที่ถ้ำปลา ก็เลยช่วยสร้างพระธาตุอยู่ที่ถ้ำปลา สร้างเสร็จปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ใช้ระยะเวลาประมาณ ๒ ปี ๒ เดือน กับอีก ๒๘ วัน

    พอเสร็จจากนั้นก็ขึ้นไปอยู่ที่พระธาตุจอมกิตติ แล้วก็ออกไปจันทบุรี ไปทางปราจีนบุรี ออกไปอยู่ที่ถ้ำเสือ ตรงกับวัดจันยาควนอุบลอยู่ อ.ขลุง เข้าพรรษาที่นั้นพอดี พอออกพรรษาท่านก็ลงมาอยู่ที่ จ.ชุมพร ช่วงนั้นหลวงปู่สงฆ์มรณภาพพอดี ท่านพักอยู่ไม่กี่วัน ท่านก็เดินลงไปอยู่ที่ ตะรุเตา ที่ จ.สตูล อยู่หลายเดือน แล้วก็ออกมาอยู่ที่รัฐภูมิก็หลายเดือน จึงเดินทางต่อไปที่ควนเนียง บ้านไพ ซึ่งในเขตนั้นมีคนจีนอยู่เยอะ ท่านไปอยู่กับคนจีนเป็นส่วนใหญ่ ท่านเคยว่า “เรากับคนจีนนั้นถูกคอกันดี” หลังจากนั้นท่านก็กลับมาที่ จ.ชุมพรอีก มาอยู่ที่ ถ้ำพรุตะเคียน (วัดในปัจจุบัน)

    ช่วงที่อยู่วัดถ้ำเขาพลูนั้น (ท่านได้มาพักอยู่ที่ถ้ำพรุตะเคียนอยู่หลายครั้งจนญาติโยมเริ่มรู้จักท่าน) พอปีพ.ศ.๒๕๒๘ ได้มีการเปิดป่าให้ชาวบ้าน ช่วงนี้ท่านก็ได้กลับไปกลับมาจากถ้ำเขาพลู และที่ถ้ำพรุตะเคียนแห่งนี้ จากนั้นท่านก็ได้ชักชวนชาวบ้านซื้อที่ดินสร้างวัด พอซื้อแล้ว ท่านก็อยู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง จึงออกธุดงค์ไปอีก ตอนนั้นท่านก็ไปอยู่กับ หลวงพ่อดาบส สุมโน ที่อาศรมไผ่มรกต ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย โดยการเดินเข้าไปทางทุ่งใหญ่นเรศวร ผ่านที่อยู่ของพุทโธภาวนา แล้วออกจากพุทโธภาวนาแล้วก็ ไปที่คิดตี้ จากคิดตี้ก็มาที่ จะแก กู่ก้อง แล้วก็ขึ้นไปอยู่ที่ แก่นพระ กรูโบ ยูไนท์ ทีจอที เลตองคุ เปิ้งเคิ้ง แม่จันทะ และไปที่หนองหลวงตามลำดับเข้าพรรษาพอดี จำพรรษาอยู่ที่หนองหลวง ๑ พรรษา พอออกพรรษาก็ไปที่ ถ้ำตะโค้ะบิ๊ ออกจากนั้นก็ไปที่ อ.พบพระ แล้วก็เลยไปอยู่ที่ปางซ่าน แม่ละเมา แล้วจำพรรษาที่นั้น ออกพรรษาก็มาอยู่ที่ถ้ำเสือ เขาพระวอ อยู่สักพักหนึ่งก็ไปต่อที่ลำปาง และก็ไปเชียงใหม่ ไปอยู่ที่วัดป่าแดดกับอาจารย์บุญยืน จากนั้นก็มาหาหลวงพ่อดาบสที่ป่าอ้อดอนชัย จำพรรษา ๑ พรรษา

    พอปี ๒๕๓๑ ญาติโยมก็ไปนิมนต์ท่านมาอยู่ที่ถ้ำพรุตะเคียนอีก มาอยู่ได้พักหนึ่ง พระที่มาอยู่ด้วยก่อปัญหา ท่านพิจารณาเห็นว่าไม่สงบก็เลยไปอยู่ที่จันดี แต่ญาติโยมก็ตามไปนิมนต์ท่านให้กลับมาอยู่อีก ตั้งแต่นั้นมาท่านก็อยู่เป็นประจำจนมาถึงทุกวันนี้ แต่บางครั้งท่านก็จะออกไปจาริกบ้างถ้ามีโอกาส

    พระสมาน สํวโร เรียบเรียง


    [​IMG]

    *ปิดรายการนี้ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2014
  13. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    พระผงอายุยืน หลวงปู่สี ปี17 (เนื้อพิเศษ) ชานหมาก เกศา จีวร สร้าง 999 องค์ เท่านั้น

    หลวงปู่สีสุดยอดระดับไหนไม่ต้องอธิบายแล้วกระมังครับ
    แค่ท่านเอามือกวนๆพระเหรียญแค่ไม่กี่ที หลวงปู่แหวนท่านไม่ยอมเสกซ้ำให้ บอกว่าเต็มแล้วหาที่ลงให้ไม่ได้

    พระผงรุ่นนี้มีประกอบไปด้วยมวลสารสำคัญหลายอย่างดังนี้ ผงว่าน108 ดอกบัวบูชาหลวงพ่อโสธร ขี้ธูปจากที่บูชา สมเด็จโต วัดระฆัง วัดชนะสงคราม วัดอรุณ ขี้ธูปและดอกไม้จากศาลหลักเมือง ดอกไม้บูชาพระแก้วมรกต ดอกไม้บูชาพระนอนวัดโพธิ์ และศาลหลักเมืองที่สำคัญๆ น้ำมนต์จากวัดระฆัง วัดชนะสงคราม วัดอรุณ หลวงพ่อพระพุทธชินราช พิษณุโลก วัดสระเกศ วัดชัยพฤกษ์ วัดอินทร์ ผงดินใจกลางเมือง และดินจาก4 ทิศ ชานหมาก และน้ำหมากรวมทั้งผงวิเศษที่ท่านเขียนขึ้นขององค์หลวงปู่สี

    พระเนื้อผงของหลวงปู่
    น่าสะสม เพราะว่า มวลสารที่นำมาสร้างพระเนี่ยเป็นการรวมสุดยอดมวลสาร ทั้ง ชานหมาก ผงที่หลวงปู่เขียนและลบเอง เกศา และจีวร ที่ไม่อาจจะหาได้จากเหรียญเนื้อทองแดง เนื้อเงิน หรือแม้กระทั้งเนื้อทองคำ ที่คนสร้างถวายให้ท่านเสกให้ครับ ซึ่งมวลสารสำคัญที่นำมาผสมเพื่องสร้างพระอายุยืน (รุ่นพิเศษ) นี้ก็มี "ผงวิเศษ" ซึ่งหลวงปู่สีท่านได้รับการถ่ายทอดมาจากสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)ท่านนำมาผสมสร้างพระเครื่องที่ทรงคุณวิเศษที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ด้วยตัวท่านเองเลยทีเดียว โดยผงวิเศษนี้ประกอบด้วย ๗ ประการ คือ ปถมัง ปฐมบท สูตรพระเจ้า ๕ พระองค์ อันมี นะ โม พุท ธา ยะ อิทธิเจ เรียกสูตรธาตุไฟ ตรีนิสิงเห เรียกสูตรธาตุน้ำ ฆะเฏสิ เรียกสูตรธาตุดิน มหาพุทธา เรียกสูตรธาตุลม มหาราช และปิโยมหาราชมหาพุทธา


    ทั้งยังหลวงปู่สี ประกอบพิธีปลุกเสกเดี่ยว จึงมั่นใจได้ถึงความเข้มขลัง ด้วยความที่ หลวงปู่สี มีพลังจิตแก่กล้า เจตนาการจัดสร้างที่บริสุทธิ์ พระผงอายุยืนหลวงปู่สี (เต็มองค์) จึงมีพุทธคุณโดดเด่นรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นแคล้วคลาด ป้องกันภยันตรายรอบทิศ คงกระพัน และเมตตามหานิยม คณะศิษยานุศิษย์ หรือผู้ที่ห้อยคล้องพระผงอายุยืนหลวงปู่สี ต่างมีประสบการณ์หลากหลาย จัดเป็นวัตถุมงคลรุ่นสำคัญอีกรุ่นหนึ่งของเมืองนครสวรรค์ ยิ่งเนื้อพิเศษ ชานหมาก เกศา จีวร สร้างเพียง 999 องค์เท่านั้น สวยสมบูรณ์อย่างนี้หายากอย่างยิ่ง เพราะส่วนใหญ่จะอยู่กับศิษท์ใกล้ชิดเท่านั้น ใครสนใจห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงนะครับ

    [​IMG]



    *ปิดรายการนี้ครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 912-f71a.jpg
      912-f71a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.7 KB
      เปิดดู:
      7,621
    • see1-horz.jpg
      see1-horz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      242.7 KB
      เปิดดู:
      6,344
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2014
  14. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,968
    ค่าพลัง:
    +5,381
    ขอจองครับ----------
     
  15. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
  16. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,968
    ค่าพลัง:
    +5,381
    ได้โอนเงิน ๑๐๕๙ บาท (รวมค่าส่ง)เมี่อ ๒๗ สค. เวลาประมาณ๐๘.๒๒ น. เป็นค่าพระ ๑.เหรียญลพ.แก้ววัดสะพานไม้แก่น
    ที่อยู่ดูในpmครับ
     
  17. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รับทราบครับท่าน ขอบคุณครับ
     
  18. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    หลวงปู่แก้ว วัดสะพานไม้แก่น เทพเจ้าแห่งป่าช้าควนข้าวแห้ง ดินแดนที่ร่ำลือกันว่าผีดุ

    หลวงปู่แแก้ว พื้นเพเดิมท่านเป็นคน บ้านฉาง ต.บางโกระ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ท่านเป็นศิษย์ของ พระครูวิรัชโสภณ หรือ หลวงปู่แดง วัดศรีมหาโพธิ์
    ท่านออกธุดงควัตรมาตั้งแต่สมัยเป็นพระหนุ่ม บางครั้งก็แวะจำพรรษาตามป่าช้าในวัดต่างๆ จนเวลาล่วงเลยมาหลายปี
    ร่างกายท่านไม่แข็งแรงเหมือนก่อน ท่านจึงตัดสินใจจำพรรษา ที่วัดสะพานไม้แก่น อ.จะนะ จ.สงขลา
    หลังจากที่ท่านมาจำพรรษาที่วัดสะพานไม้แก่น ท่านได้พัฒนาอารามแห่งนี้จากสำนักสงฆ์เล็กๆ ให้กลายเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงามในเวลาเพียงไม่กี่ปี

    ปัจจุบันท่านอายุกว่า 100 ปี ถือได้ว่าท่านเป็นเกจิซึ่งบรรลุญาณวิเศษ แก่กล้ามหาเวทย์พุทธาคมและไสยศาตร์

    วัตถุมงคลของหลวงปู่แก้วมีพุทธคุณเข้มขลังในทางมหาอุดคงกระพัน และแคล้วคลาด
    เกิดประสบการณ์มากมายจากเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้
    ชาวไทย และชาวมาเลเซียต่างเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมากมายครับ

    เหรียญ รุ่นแรก หลวงปู่แก้ว "เทพเจ้าป่าช้าควนข้าวแห้ง" จ.สงขลา รุ่น สยบมาร ปี 2545 เนื้อทองแดงเถื่อน ผสมทองแดงยอดพระธาตุ ชนวนพระปิดตาพังพะกาฬ และปลอกกระสุนปืนสงคราม โลหะอถรรพเวทโครตขลัง ตอกโค๊ตที่สังฆาฎิ พระเกจิ ซึ่งบรรลุญาณวิเศษ แก่กล้ามหาเวทย์พุทธาคมและไสยศาตร์ พระเครื่องของท่านเกิดประสบการณ์มากมายหยุดปืน หยุดระเบิด สะกดพลังสยบภูต ผีปิศาจจอมมารร้ายกระทั่งสัตว์ป่าอสรพิษ เหรียญดีมีประสบการณ์ จากเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้มาแล้ว


    [​IMG][​IMG]

    [​IMG][​IMG]

    เหรียญที่2 ให้บูชา 999บ.ครับ

    ประสบการณ์จากวัตถุมงคลของหลวงปู่ครับ
    พ่อค้ายางพาราโดนคนร้ายใช้ M16 ยิงถล่มพรุนทั้งรถ แต่รอดตายมาได้ครับผม


    [​IMG][​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • kew1.jpg
      kew1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.9 KB
      เปิดดู:
      21,982
    • kew2.jpg
      kew2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.2 KB
      เปิดดู:
      21,546
  19. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ที่สงขลาบ้านผมยังมีเกจิอาจารย์อยู่อีกท่านหนึ่ง..ซึ่งคนในภาคกลางหลายๆท่าน
    ก็อาจจะรู้จัก..เพราะคุณใหญ่ ท่าไม้ แห่งหนังสือมหาโพธิ์ก็ยังเคยมาทำประวัติ
    ของท่าน..เกจิท่านนี้ปัจจุบันอายุได้ 90 กว่าปีแล้วครับ..ซึ่งเกจิท่านนี้ก็คือ
    " หลวงปู่แก้ว แห่ง วัดสะพานไม้แก่น อ.จะนะ จ.สงขลา "

    [​IMG]
    วัตถุมงคลของท่านไม่ว่า เหรียญ, ตะกรุด, ชานหมากล้วนมีประสบการณ์
    ยิงไม่ออก, แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ
    ประสบการณ์เหตุระเบิดเกาะบาหลี อินโดนีเซีย เมื่อปี45
    คนตายนับร้อย ลูกศิษย์หลวงปู่แก้ว ๖ คน ห้อยเหรียญนี้ไม่เป็นอะไร รอดชีวิตปาฏิหารย์ จึงโด่งดังไปทั่ว
    ชาวมาเลย์เซียขับรถพลิกคว่ำก็ไม่เป็นอะไร จึงนิยมเหรียญนี้มาก​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457

    จัดส่งให้แล้วนะครับวันนี้
    EJ297361376TH
     

แชร์หน้านี้

Loading...