หมดแล้ว ปิดจองแหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคล รุ่น 2 (เช็คยอดจองที่หน้า 31)

ความคืบหน้าของแหวนสัตตภุชงค์โพชฌงคปริตร



ความคืบหน้าของแหวน จากเดิมที่ช่างแกะลายไว้แค่ 2 มิติ
ซึ่งดูแล้วไม่ชอบ ก็เลยให้แก้ไขใหม่ให้เป็น 3 มิติ



ช่างก็เลยทำการขึ้นโครงคร่าวๆ ให้ดูก่อนว่าต้องการให้นูนสุง นูนต่ำตรงจุดไหนบ้าง ซึ่งก็โอเค ถือว่าผ่านไปได้ 60% แล้ว
หลังจากนี้ช่างเขาถึงจะปั้นด้วยแวกซ์เขียวลงรายละเอียดต่างๆ
แต่ทั้งนี้ต้องขอบอกว่ายังอีกนานเพราะยังมีรายละเอียดอีกเยอะที่จะต้องทำ
อีกทั้งลายหนามเตยที่จะใช้ยึดหัวแหวน ช่างยังไม่ได้แกะเลย
งานนั้นก็นับว่าหินอีกงานหนึ่ง เพราะว่าขนาดมันเล็กมาก แล้วจะต้องแกะให้มีลายเป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้วด้วย
ซึ่งเมื่อเสร็จแล้วก็คาดว่าน่าจะสวยไม่แพ้แหวนนพสิทธิ์ฯ เหมือนกัน



อันนี้เป็นแค่โครงคร่าวๆ ยังไมได้ลงลายละเอียด ทำเพื่อให้ดูมิติว่าต้องการประมาณไหนก่อน
ตอนแรกคิดว่าจออกมาไม่สวยเหมือนรูป แต่พอดูจากโครงคร่าวๆ แล้วยังพอใจชื้น
แหวนนี้ตอนแรกว่าจะทำง่ายๆ ไม่อุดผง เพราะตอนทำแหวนนพสิทธิ์ฯ ขนาดแค่ไม่กี่วงยังนั่งอุดหลังขดหลังแข็งอยู่หลายวัน
แต่หลวงพ่อวิชัยท่านต้องการให้อุดผงได้แบบแหวนนพสิทธิ์ฯ ก็เลยจำเป็นต้องทำแบบเดิม



แหวนนี้หลวงพ่อวิชัยท่านตั้งใจมาก ท่านคอยถามอยู่เรื่อยเมื่อเจอหน้าว่าแหวนไปถึงไหนแล้ว
ท่านยังเมตตาบอกอีกว่าถ้าค่าใช้จ่ายมันสูงมากหมอไม่ไหวก็บอกหลวงพ่อเอาเงินหลวงพ่อก็ได้
และยังบอกอีกว่าถ้าผมจะหล่อเมื่อไรให้บอกท่านๆ จะเคลียร์คิวต่างๆ ลงมาหล่อด้วยตัวท่านเองเลยทีเดียว



แหวนรุ่นนี้ถือได้ว่าเป้นการทำแหวนรุ่นแรกของท่านเลยก็ว่าได้ แถมเป็นการใช้วิชาทำแหวนกันมะเร็งเป็นครั้งแรกอีกด้วย
หลายคนคงจะสงสัยว่ามันมีวิชานี้ด้วยเหรอ อย่าว่าแต่คนอื่นๆเลย ตัวผมเองก็สงสัย
เคยกราบเรียนถามท่านว่าวิชานี้มีจริงเหรอ ท่านก็ยืนยันด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่หนักแน่นว่าท่านมีวิชานี้จริง และกันได้จริง
แต่พอถามลงลึกถึงรายละเอียดว่าวิชานี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ท่านไปได้วิชานี้มาจากที่ไหน หรือเรียนมาจากใคร
ท่านก็เงียบ ยิ้ม ไม่ตอบ บอกแต่ว่าให้เชื่อหลวงพ่อเหอะว่าหลวงพ่อมีวิชานี้จริง
ดังนั้นถ้าใครยังสงสัยอีกก็ต้องไปถามท่านเองเผื่อจะได้คำตอบที่ดีกว่านี้

ส่วนเรื่องการเปิดจอง เนื่องจากงานคืบไปอย่างช้ามาก ล่าสุดเข้าไปดูงานมาเมื่อวันเสาร์ที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา
ช่างเพิ่งขึ้นหนามเตยให้แต่ยังไม่ได้ลงลายละเอียดในหนามเตยเลย
หลังจากนั้นต้องไปคัดลายให้คมชัดลึกและขัดผิวให้เรียบเนียน แล้วจึงไปยิงเลเซอร์อักขระตัวยันต์ต่างๆ
แล้วทำตัวอย่างเพื่อให้หลวงพ่อวิชัยท่านไปหาขนาดหัวหยก ซึ่งก็ต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง
ซึ่งเมื่อดูเวลาแล้วเดือนนี้คาดว่าช่างก็คงยังปั้นไม่เสร็จอีกตามเคย
ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะไปทำต้นปีหน้าเลย เพราะต่อให้ช่างปั้นเสร็จเดือนนี้ก็คงจะเสร็จแค่โครงแหวน
ดังนั้นท่านที่กลัวพลาดก็จะได้ไม่ต้องกังวลใจถามมาบ่อยๆ เพราะจะเปิดให้จองเดือนมกราคมปีหน้าเลย
ส่วนราคาก็ต้องรอต้นทุนหัวหยกจากหลวงพ่อวิชัยก่อนถึงจะบอกราคาได้
ประมาณการณ์ว่าน่าจะตกวงละ 1,500-2,000 บาท ประมาณนี้

 

ขออนุโมทนาบุญกับคุณหมอด้วยนะ ถ้าหลวงพ่อท่านรับรองยืนยันมั่นเหมาะอย่างนั้นแล้ว
ขอให้คุณหมอสร้างให้เยอะๆเลย เพื่อให้เพียงพอกับสาธุชนที่จะร่วมบุญบูชา
และเป็นการช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้คนที่เป็นโรคนี้ได้อีกเป็นจำนวนมาก
แม้คนที่ยังไม่เป็นโรคนี้ ต่างก็ต้องการที่จะร่วมบุญบูชาด้วยเช่นกัน

 

สืบเนื่องจากมีผู้ที่พลาดหวังจากการจองแหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคลในรุ่นแรกไป และปัจจุบันมีราคาเช่าหาที่สูงมาก
ซึ่งก็ได้มีผู้ที่ไม่ได้สั่งจองไว้ได้ขอให้สร้างแหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคลรุ่น 2 ขึ้นมาใหม่ แต่ก็ยังไม่มีวาระอันควรจึงไม่ได้ดำเนินการใดๆ
จนบัดนี้กาลเวลาล่วงเลยผ่านมา 1 ปีแล้ว ประจวบกับทางลูกศิษย์ของ หลวงน้าลำใย วัดสะแก นำโดย พระอาจารย์มานิตย์ วัดสะแก
ท่านมีความประสงค์อยากจะสร้างแหวนให้หลวงน้าท่านอธิษฐานจิตขึ้นมาสักรุ่นหนึ่ง
ท่านเห็นรูปแบบแหวนนพสิทธิ์ฯ แล้วชอบใจมากจึงได้ขอให้ทางผมช่วยดำเนินการจัดการให้

สำหรับแหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคล รุ่น 2 ที่จะจัดสร้างในครั้งนี้จะมี 2 รูปแบบ คือ



แบบที่ 1 เหมือนรุ่นแรกทุกอย่าง ยกเว้นเปลี่ยนจากหัวที่มียันต์เป็นหัวเกลี้ยงและจารยันต์แทน โดยหัวแหวนนี้สร้างไว้ตั้งแต่ทำแหวนรุ่นแรก

1. รูปแบบเก่า ท้องวงเป็นยันต์เฑาะว์มหาพรหม สร้าง 100 วง จะมีเฉพาะ
- เนื้อเงิน 50 วง
- เนื้อสัตโลหะ 50 วง
โดยหัวแหวนของแบบที่ 1 จะเป็นหัวเมฆสิทธิ์แบบเรียบ จารยันต์
(หัวเมฆสิทธิ์เป็นของเก่าที่ทำไว้ตั้งแต่รุ่นแรก เสกเรื่อยมาพร้อมกับแหวนรุ่นแรก)


แบบที่ 2 เปลี่ยนยันต์ใต้ท้องแหวน และปรับท้องวงให้มีขนาดใหญ่ขึ้น สีของเนื้อสัตตะจะออกขาวกว่าแบบแรก

หัวแหวนเป็นหยก อาจจะมีสีเขียวอ่อนแก่ไม่เท่ากัน

นิลกินเหล็ก เป็นธาตุกายสิทธิ์ิอย่างหนึ่ง เป็นนิลแท้ๆแต่มีคุณสมบัติแม่เหล็กดูดติด จะมีความมันวาวกว่านิลปกติ

2. แบบยันต์ใต้ท้องแหวน เป็นยันต์นะซ่อนหัวของ ลป.ดู่ วัดสะแก
แบบที่ 2 นี้จะมีการขยายขอบวงกับความหนาของท้องแหวนให้หนามากขึ้น สร้าง 900 วง
แบบที่ 2 จะมีการสร้าง 2 เนื้อ คือ เนื้อเงิน และเนื้อสัตตโลหะ (เนื้อสัตตะจะคนละสูตรกับแบบแรกเรียกอีกอย่างว่า เนื้อกายสิทธิ์) เช่นเดียวกัน
แต่แบบที่ 2 หัวแหวนจะมี 2 แบบ คือ
- หัวหยก
- หัวนิลกินเหล็ก ซึ่งเป็นนิลแท้ๆ แต่มีคุณสมบัติแม่เหล็กดูดติด (อันนี้เป็นดำริของท่านที่จะจัดหามาเอง)

อัตราค่าบูชา
ค่าบูชาแบบที่ 1 ท้องแหวนยันต์เฑาะว์มหาพรหม (มีแต่หัวแหวนเมฆสิทธิ์อย่างเดียว)
- เนื้อเงิน สร้าง 50 วง 2,500-
- เนื้อสัตตโลหะ (สีแบบพิงค์โกลด์) สร้าง 50 วง 1,500-
(แบบที่ 1 เต็มแล้ว)

แบบที่ 1 จองเต็มหมดแล้วทั้ง 2 เนื้อ

ค่าบูชาแบบที่ 2 ท้องแหวนยันต์นะซ่อนหัว
1. เนื้อเงิน (สร้างตามจอง)
- หัวหยก 3,000-
- หัวนิลกินเหล็ก 2,500-
2. เนื้อสัตตโลหะ (หรือเนื้อกายสิทธิ์ สีจะออกทองอมขาว) สร้าง 900 วง
- หัวหยก 1,500-
- หัวนิลกินเหล็ก 1,000-
สำหรับเนื้อสัตตโลหะแบบที่ 2 นี้ มีแค่ 20 ขนาดให้เลือก เพราะท่านระบุขนาดและจำนวนมาไว้ดังนี้
- เบอร์-53 30 วง
- เบอร์-54 30 วง
- เบอร์-55 30 วง
- เบอร์-56 50 วง
- เบอร์-57 50 วง
- เบอร์-58 50 วง
- เบอร์-59 50 วง
- เบอร์-60 50 วง
- เบอร์-61 50 วง
- เบอร์-62 50 วง
- เบอร์-63 50 วง
- เบอร์-64 50 วง
- เบอร์-65 100 วง
- เบอร์-66 50 วง
- เบอร์-67 50 วง
- เบอร์-68 50 วง
- เบอร์-69 50 วง
- เบอร์-70 20 วง
- เบอร์-72 20 วง
- เบอร์-74 20 วง
(แบบหัวนิลกินเหล็กปิดรับจองแล้ว เหลือแต่หัวหยกอย่างเดียว)

คุณสมบัติของหัวแหวนแต่ละชนิด
1. หัวเมฆสิทธิ์ ก็จะเด่นไปทางหนุนดวง เสริมดวง
2. หัวหยก ก็จะเด่นไปทางปรับธาตุในร่างกาย
3. หัวนิลกินเหล็ก เป็นธาตุกายสิทธิ์อย่างหนึ่งในตระกูลเหล็กไหล
เป็นนิลที่มีสายแร่เหล็กอยู่ในเนื้อจึงมีคุณสมบัติแม่เหล็กดูดติด เด่นไปทางโภคทรัพย์

การสั่งจองกรุณาระบุ
1. แบบแหวนว่าต้องการแบบที่ 1 หรือ 2
2. ชนิดของเนื้อ
3. ถ้าเลือกแบบที่ 2 ระบุด้วยว่าต้องการหัวแบบไหน
4. เบอร์แหวน ถ้าใครไม่ทราบว่าตัวเองใส่แหวนเบอร์อะไร ให้ตัดกระดาษเป็นแถบเล็กๆ พันรอบนิ้วตรงส่วนที่กว้างที่สุดของนิ้วนั้น
ทำเครื่องหมายตรงที่บรรจบกัน แล้วนำมาเทียบกับไม้บรรทัดวัดออกมาเป็นเซนติเมตร
แล้วเทียบกับตารางข้างล่างก็จะได้เบอร์แหวนตามที่ต้องการ

เปิดรับจองตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 24 กันยายน 2556 ผู้จองต้องชำระเงินทั้งหมดก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2556
ถ้าหากใครจองไม่ทันสามารถรอไปบูชาหลังออกพรรษาได้ที่กุฏิพระอาจารย์มานิตย์ วัดสะแก พระนครศรีอยุธยา (หลังศาลาหลวงพ่อขาว)
และหลังจองจะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นรายการละ 500-
ส่วนผู้ที่จองผ่านผมจะรับแหวนได้สิ้นเดือนธันวาคมก่อนปีใหม่
(เพราะจะต้องนำไปเสกเพิ่มเติม โดยเฉพาะแหวนหัวหยกจะต้องให้หลวงพ่อวิชัยท่านเสกด้านกันโรคมะเร็งให้โดยเฉพาะด้วย)

ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาเอ็นมาร์ค พลาซ่า (บางกะปิ)
ออมทรัพย์ เลขที่ 4050486983
อานุภาพ สหภิญโญชนม์
083-0442661

กรุณาโอนเงินเป็นจุดทศนิยมเพื่อง่ายต่อการตรวจสอบ และมีค่าจัดส่ง 100 -ไม่ว่าจะจองกี่วงก็ตาม

วิธีวัดขนาดแหวน

ให้ตัดแถบกระดาษกว้างประมาณ 1 ซม.มาพันรอบนิ้วแล้วทำเครื่องหมายที่กระดาษมาบรรจบกันเอาไว้
(ถ้าข้อนิ้วแตกก็ต้องวัดตรงข้อนิ้วที่แตก)
แล้วคลี่ออกมาวัดความยาวหน่วยเป็นเซนติเมตร แล้วให้เทียบกับตารางข้างล่างนี้



ซึ่งวิธีนี้ก็อาจจะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง ดังนั้นถ้าใครเคยใส่แหวนขนาดเท่าไรอยู่ก็ให้ใช้ของเดิมที่ตนเองเคยใส่
แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ขอแนะนำให้ไปลองวัดที่ร้านทองใกล้ๆ บ้านจะแน่นอนกว่า

และเนื่องจากมีการเปลี่ยนวิธีวัดขนาดใหม่
ดังนั้นจึงขอเลื่อนการแจ้งขนาดแหวนจากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 21 ไปเป็นวันอังคารที่ 24 นี้แทน
หลังจากนั้นจะเปลี่ยนแปลงขนาดไม่ได้แล้ว เพราะจะส่งขนาดและจำนวนให้กับทางโรงหล่อทำบล๊อคไว้ก่อน

 

แหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคล​

​

แหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคลนี้ สร้างขึ้นโดยอาศัยต้นเค้ามาจาก แหวนนพสูรย์
ที่มีบันทึกอยู่ในตำรับวิชาการสร้างแหวนมหาจักรพรรดิของ วัดประดู่ทรงธรรม พระนครศรีอยุธยา
จัดเป็น 1 ในแหวน 13 ชนิด ที่ตำราระบุไว้ เท่าที่พอจำได้ก็มี
นิ้วเพชรพระอิศวร ดัชนีพระอุมา นาคีคำรณ อำนาจราชสีห์ รัศมีพระพุทธเจ้า กษัตริย์สามรี เป็นต้น
แหวนแต่ละอย่างเนื้อหาและกรรมวิธีการสร้างจะไม่เหมือนกัน เป็นเคล็ดเฉพาะของแหวนแต่ละอย่าง
ซึ่งปัจจุบันมีแต่จะสาบสูญจากการสืบทอดไปเรื่อยๆ

เนื่องจากแหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคลนี้อาศัยเค้าโครงและรูปแบบมาจากแหวนนพสูรย์
จึงขอเล่ารายละเอียดของแหวนนพสูรย์เพื่อเป็นพื้นฐานสักเล็กน้อย

 

แหวนนพสูรย์ ที่ อาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ร่วมกันจัดสร้างกับ หลวงปู่สี วัดสะแก​

“ ศูล ”หมายถึง หลาว หอกที่มีใบคล้ายใบพระขรรค์หรือใบเสมา
“ นภศูล ” หมายถึง ศูลที่อยู่บนฟ้า ซึ่งก็คือ ยอดปราสาท ยอดปรางค์ ซึ่งอาจจะมีแค่ศูลเดียวไม่ต้องมีถึง 9 ศูลก็ได้
นภศูลมีคุณสมบัติในการป้องกันฟ้าผ่า โดยมีการลงมนต์รามสูรป้องกันเอาไว้
<O</O“ นภสูร ”หมายถึง อสูรที่อยู่บนฟ้า ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึง ราหูและรามสูร<O</O
“ สูรย์ ” แปลว่า ดวงอาทิตย์ <O</O
“ นพสูรย์ ”ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง พระอาทิตย์ 9 ดวง แต่หมายถึง ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ที่รับรังสีแห่งสูรย์ (ดวงอาทิตย์)
แล้วสะท้อนแสงสูรย์นั้นออกเป็นรัศมีของตนตามคติโหราศาสตร์

<O</O
“ แหวนนพสูรย์ (แหวนเพกา 9 ยอด) ” เป็นแหวนแก้คราสเคราะห์
จัดเป็นแหวนที่หาชมได้ยากมากแทบจะเป็นตำนานไปแล้ว
มีตำนานการสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาของวัดประดู่โรงธรรม
จะสร้างถวายให้เจ้านายชั้นสูงเท่านั้น บุคคลธรรมดาจะไม่มีสิทธิ์สวมใส่เพราะถือเป็นของสูง
ต้องสร้างให้ถูกต้องตามหลักพิชัยสงคราม กรรมวิธีการสร้างนั้นแสนจะยาก
มีขั้นตอนการสร้างที่สลับซับซ้อนมาก ต้องทำตามตำราอย่างเคร่งครัด
ด้วยเป็นศาสตร์และศิลป์ชั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์และปรากฏการณ์ธรรมชาติ 2 ประการ คือ ราหูและอสนีบาตซึ่งหมายถึง รามสูรนั่นเอง
ผู้สร้างต้องเชี่ยวชาญในการขับดาวตามสูตรสุริยาตร์ ต้องรู้นักขัตฤกษ์ รู้มนต์ที่เป็นหัวใจนพเคราะห์แต่ละดวง หัวใจพระราหู หัวใจรามสูร

<O</O
รูปแบบของแหวนนพสูรย์ เป็นการจำลองลักษณะของการยึดหัวแหวน (เพกา)
ให้มีลักษณะคล้าย นภศูล ซึ่งมีด้วยกัน 9 ฝักเพกา จึงเรียกว่า นพศูล
แหวนนี้เป็นแหวนเสริมดวง ตรงกลาง คือ พระอาทิตย์ หมายถึง เจ้าของแหวน
แวดล้อมด้วยดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ดวง อันเป็นบริวารของพระอาทิตย์
หากดวงชะตาดี หัวแหวนจะสดใส หากมีเคราะห์หัวแหวนก็จะหม่นหมองลง

<O</O
หัวแหวนทำด้วยโลหะธาตุศักดิ์สิทธิ์ เช่น สัตตโลหะ นวโลหะ เมฆพัตร เมฆสิทธิ์
หรือธาตุกายสิทธิ์ที่มีลักษณะกลม เพื่อสื่อความหมายถึง พระอาทิตย์
จับด้วยเพกา 9 กลีบ อันหมายถึง ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ดวง ที่เป็นบริวาร

<O</O
ตัวเรือน ทำด้วยโลหะที่ผ่านการลงอักขระลบถมหลายครั้ง (รีด-ลงอักขระ-หลอม ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง)
จึงมาทำตัวเรือนให้มีขนาดพอที่จะสวมใส่นิ้วนางมือขวาได้พอดี
และมีข้อกำหนดของตัวแหวนอีกอย่าง ก็คือ ขาที่จับกับหัวแหวน (เพกา) ต้องมี 9 ขา
แต่ละขาทำเป็นรูปใบเสมา หรือ กลีบบัว
และตรงท้องแหวนต้องเว้นไว้เป็นวงกลม เพื่อจารอักขระ

<O</O
ซึ่งตำราการสร้างแหวนนพสูรย์นี้ก็ตกทอดมาถึง หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ
จนมารู้จักและแพร่หลายกันมากในยุคของ “ อาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ” และ “ หลวงปู่สี วัดสะแก ”
โดยท่านทั้งสองได้สร้างแหวน “ นพสูรย์ ” ร่วมกันจำนวนสร้าง 9 วง
โดยอาจารย์เฮงจะเป็นผู้จัดสร้าง คือ เริ่มตั้งแต่การจัดหาโลหะธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่จะนำมาทำเป็นหัวแหวน ทองคำที่จะนำมาทำเป็นตัวเรือน
เมื่อเสร็จแล้ว หลวงปู่สีจะเป็นผู้เสกอีกทีเป็นอันเสร็จสมบูรณ์

<O</O
ปัจจุบันทราบว่าตำราการสร้างแหวนนพสูรย์นี้ได้ตกทอดมาอยู่กับ อาจารย์วันชัย ตันติศิรินันท์
ฆราวาสสายตรงผู้สืบทอดวิชาของอาจารย์ทั้งสอง
ซึ่งท่านอาจารย์วันชัยก็ยังได้มีการสร้างแหวน “ นพสูรย์ ” อยู่ แต่สร้างเฉพาะบุคคลเท่านั้น
ราคาต้นทุนการสร้างก็สูงมากเลยทีเดียว ในปี 2550 ราคาตกวงละ 45,000 บาท

<O</O
อานุภาพของแหวนนพสูรย์ เชื่อกันว่าผู้ใดได้สวมใส่แล้วจะเป็นศิริมงคลแก่ตนยิ่ง
จะมีพลังอำนาจเกิดขึ้นกับตัว จะทำให้เครื่องรางต่างๆ ที่อยู่ในตัวเรามีความขลังมากยิ่งขึ้น
และเมื่อสวมใส่ไปในงานมงคลต่างๆ จะเพิ่มความเป็นมงคลให้กับงานนั้นๆ
และที่สำคัญคือเมื่อเราได้สวมใส่แหวน “ นพสูรย์ ”อำนาจมนต์ดำต่างๆ จะไม่สามารถทำอะไรได้เลย

<O</O

 

แหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคล แม้จะไม่ได้สร้างขึ้นตามตำราของแหวนนพสูรย์ทั้งหมด
เพราะบางอย่างเป็นเคล็ดที่ถ่ายทอดเฉพาะศิษย์ที่สืบสายวิชาโดยตรง
แต่ทางผู้สร้างก็พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่พอจะทำได้เพื่อให้เกิดอิทธิคุณสูงสุดตามที่ตำราระบุไว้
โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบรูปลักษณะของแหวน
จัดหาโลหะที่จะมาทำหัวแหวนและตัวเรือน
ตลอดไปจนถึงการลงแผ่นยันต์และชนวนมวลสารซึ่งเป็นมวลสารเฉพาะ

รูปแบบของแหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคล
ได้ออกแบบมาเพื่อเน้นด้านอิทธิฤทธิ์ มหาอำนาจ มหาปราบ คุ้มครองดวงชะตา และส่งเสริมบารมีโดยเฉพาะ
จึงได้ออกแบบให้

· ด้านหนึ่ง เป็นรูป ตรี คฑา จักร สังข์ (คฑา จะเห็นแต่ด้ามเนื่องจากโดนตรีบังอยู่) ซึ่งเป็นเทพอาวุธของพระนารายณ์
ผู้ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 4 มหาปราบโลก อันได้แก่ (พระนารายณ์ พาลี สุครีพ และหนุมาน)
· ด้านหนึ่ง เป็นเทพศาสตราทั้ง 5 ประการ ที่ถือได้ว่าเป็นเทพอาวุธที่ร้ายแรงยิ่งของสามภพ คือ

1) สักกัสสะ วะชิราวุธัง คือ วัชระ (สายฟ้า) ของ พระอินทร์
2) เวสสุวัณณัสสะ คะทาวุธัง คือ กระบอง ของ ท้าวเวสสุวรรณ
3) ยะมะนัสสะ นะยะนาวุธัง คือ นัยน์ตา ของ พระยายมซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ประดุจตาพระอิศวร เพ่งมองไป ณ ที่ใด จะมอดไหม้เป็นจุณ
4) อาฬะวะกัสสะ ทุสาวุธัง คือ ผ้าแพรแดงหรือผ้าโพกหัว (บางแห่งก็ว่าเป็นบ่วงบาศก์) ของ ท้าวอาฬวกยักษ์
จริงๆ แล้ว ทุสสาวุธ นี้มีลักษณะเป็นผืนผ้า
หากโยนขึ้นไปในอากาศ ก็จะทำให้ฝนแล้งถึง ๑๒ ปี
ถ้าทิ้งลงพื้นดิน ต้นไม้ต่างๆ ก็จะไหม้ทำลายถึง ๑๒ ปี
ถ้าทิ้งลงมหาสมุทร น้ำก็จะแห้งขอด
ถ้าทิ้งบนภูเขา แม้เขาสิเนรุมาศก็จะระเบิดกระจัดกระจายเป็นผุยผง
5) นารายะสะ จักกะราวุธัง คือ จักร ของ พระนารายณ์
(บางแห่งใช้ พุทธัสสะ ธัมมะจักกะวุธัง คือ ธรรมจักร ซึ่งถือว่าเป็น จักรแก้วพระพุทธเจ้า)

ซึ่งก็คือ ที่มาของพระคาถาปัญจเทพอาวุธ

สักกัสสะวชิราวุธธัง เวสสุวัณณัสสะคธาวุธธัง ยะมะนัสสะนัยยะนาวุธธัง อะฬะวะกัสสะทุสาวุธธัง นารายัสสะจักราวุธธัง
ปัญจะอาวุธธานัง เอเตสังอานุภาเวนะ ปัญจะอาวุธธา ภัคคะ ภัคคา วิจุณณัง วิจุณณาโลมัง มาเมนะ พุทธะสันติ คัจฉะอะมุมหิ โอกาเสติฐาหิ

แต่เนื่องจากจักรพระนารายณ์อยู่อีกด้านหนึ่งแล้ว จึงใส่ไว้แค่ 4 พอ
ส่วนกระบองของท้าวเวสสุวรรณโดนวัชระของพระอินทร์ซ้อนทับอยู่จึงเห็นแต่ด้ามกระบองโผล่มาให้เห็น

· ยอดแหวนประกอบด้วยเพกา (หนามเตย) 9 ยอด
ทำเป็นรูปใบเสมาแทนดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ดวง
ลงด้วย นวหรคุณ (หัวใจพระพุทธคุณ หรือ อิติปิโสเก้าห้อง) คือ
“ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ”
แทน คุณเก้าประการของพระพุทธเจ้า

1) อะระหัง หมายถึง เป็นผู้ดับเพลิงทุกข์ เพลิงกิเลสโดยสิ้นเชิง
บทนี้ใช้ด้านกันไฟทั้งปวง
2) สัมมาสัมพุทโธ หมายถึง เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยตัวพระองค์เอง
บทนี้ใช้เป็นตบะเดชะเสริมสร้างสง่าราศี
3) วิชาจะระณะสัมปันโน หมายถึง เป็นผู้พร้อมด้วยวิชาและจรณะ
บทนี้ใช้ด้านโภคทรัพย์โชคลาภ
4) สุคะโต หมายถึงเป็นผู้ดำเนินไปได้ด้วยดี
บทนี้ใช้ในด้านการเดินทาง ทั้งทางบก น้ำ อากาศ
5)โลกะวิทู หมายถึง เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
บทนี้ใช้ภาวนาเมื่อเข้าป่าหรือที่มืด
6) อนุตตโร ปุริสะทัมมะสารถี หมายถึง เป็นผู้ฝึกบุรุษผู้ควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
บทนี้ใช้ทางมหาอำนาจ ตวาดผี
7) สัตถาเทวะมนุษานัง หมายถึง เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
บทนี้ใช้ทางเมตามหานิยม สมณะ ขุนนางเอ็นดู
8) พุทโธ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
บทนี้ใช้ภาวนาอารมณ์ ทำให้ไม่ตกต่ำอับจน
9) ภะคะวา ติ หมายถึง เป็นผู้จำเริญ จำแนก ธรรม สั่งสอนสัตว์ดังนี้
บทนี้ใช้ในทางป้องกันภยันอันตรายอันจะกระทำแก่เรา
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์อมนุษย์ อสูรกาย สัตว์เดียรฉาน
ป้องกันการประทุษร้ายเหล่านั้นได้ทั้งสิ้นแล

· ระหว่างตัวเพกาทั้ง 9 กับตัวเรือนแหวนจะคั่นด้วยลายเหลี่ยมเล็กๆ ล้อมรอบเหมือนกงจักร
แทน จักรแก้วของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีอานุภาพอยู่เหนือเทพศาสตราวุธทั้งมวล

เมื่อรวมองค์ประกอบต่างๆ แล้ว จึงเป็นที่มาของชื่อ “ แหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคล”

ที่มาของชื่อ “ แหวนนพสิทธิ์ฤทธิชัยมงคล” ซึ่งคำว่า

“ นพ ”ในที่นี้มาจาก “ นพเคราะห์ ”แทนดาวเคราะห์ประจำวันทั้ง 9 ที่ให้คุณและโทษแก่เจ้าของเรือนชะตา
“ สิทธิ์ ” มาจาก “ สิทธิ ”คือ เจ้าของ หมายถึง หัวแหวนที่แทนตัวเจ้าของแหวน เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์สถิตย์อยู่กลางจักรราศี
“ ฤทธิ ”มาจาก “ ฤทธิ์ ”หมายถึง อิทธิฤทธิ์ อำนาจ อันเกิดจากเทพศาสตราวุธทั้งปวง
“ ชัยมงคล ” มาจาก “ ชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ) ” ที่กล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้า
แม้แต่ผ้าแดงของอาฬวกยักษ์ 1 ใน 5 สุดยอดอาวุธที่แม้แต่สามโลกยังต้องเกรง ก็ยังพ่ายแพ้แก่พุทธบารมีของพระพุทธเจ้า

ข้อมูลชนวนเก่าของแหวนนพสิทธิ์ฯ รุ่นแรก

http://palungjit.org/threads/รวมสุดยอดสายวิชาแหวนนพสูรย์-ปรอทกินทอง.344557/page-21

 

ขอจองแหวนแบบที่ 1 เนื้อเงินหัวเมฆสิทธิ์

3 วงครับ

ขอวัดแปปนึงนะครับ

ขอบคุณครับ

 

จองแบบที่1 เนื้อเงิน 1วงครับผม
เบอร์ 63

 

ขอจองขนาด 58 จำนวน 2 วง

และขนาด 60 จำนวน 1 วงนะครับ

 

ขอจองแหวนแบบที่ 1 เนื้อสัตตโลหะ หัวเมฆสิทธิ์

1 วง ขนาด 58 ด้วยครับ

ขอบคุณครับ

 

ผมขอจองแหวนแบบที่1 เนื้อเงิน 1 วงครับ

ขนาด..เดี๋ยวค่อยมาบอกทีหลังนะครับ..พอดีจอดรถ จองแหวนก่อน

 

ขอจองแบบที่ 1 เนื้อเงิน 1 วง ครับ

 

จองแบบที่ 1 เนื้อเงิน ขนาดเบอร์ 66 จำนวน 1 วง ครับ

 

จองแบบที่ 1 เนื้อเงิน ขนาด 57 จำนวน 1 วง

 

นั้นแนะ ไวจริงพี่เรา อิอิ

 

ขอจองแบบที่ 1 เนื้อสัตโลหะ2วงครับ

 

จอง 1 วง ครับ
แบบที่ 1ท้องวงเป็นยันต์เฑาะว์มหาพรหม เนื้อสัตโลหะ เบอร์แหวน 60

 

จองแบบที่ 1 เนื้อสัตตโลหะ เบอร์ 59 จำนวน 1 วงครับ
จองแบบที่ 2 เนื้อสัตตโลหะ หัวหยก เบอร์ 59 จำนวน 1 วงครับ

 

จองเนื้อเงิน แบบที่ 1 จำนวน 7 วง

 

รายชื่อผู้จองแหวนแบบที่ 1 เนื้อสัตตโลหะ หัวเมฆสิทธิ์
วัดรอบนึ้วได้7เซ้นต์ เท่ากับเบอร์ไรครับ