สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายควรทำไว้ในใจให้มั่นคง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ธัมมะสามี, 4 พฤษภาคม 2013.

  1. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... เล่ากันว่า ครั้งนั้น เมื่อสมเด็จพระมงคลโลกนาถประทับอยู่ ณ เมขละบุรีในนครนั้นนั่นแล สุเทวะมาณพและธัมมะเสนมาณพ มีมาณพพันหนึ่งเป็นบริวาร พากันบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

    ... เมื่อคู่พระอัครสาวกพร้อมบริวารบรรลุพระอรหัต ในวันเพ็ญเดือนมาฆะ พระศาสดาทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ในท่ามกลางภิกษุแสนโกฏิ นี้เป็นการประชุมพระสาวกครั้งแรก




    ..... ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ในการประชุมของบรรพชิต ในสมาคมญาติอันยอดเยี่ยม ณ อุตตรารามอีก นี้เป็นการประชุมพระสาวกครั้งที่ ๒



    ..... ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในท่ามกลางภิกษุเก้าหมื่นโกฏิ ในสมาคมคณะภิกษุพระเจ้าสุนันทจักรพรรดิ นี้เป็นการประชุมพระสาวกครั้งที่ ๓



    ..... ในสมัยนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าของพวกเราก็ได้มาอุบัติเกิดถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีนามอันเป็นมงคลว่า สุรุจิพราหมณ์

    ... อยู่มาวันหนึ่ง สุริจิพราหมณ์ได้ออกไปถวายนมัสการและสดับธรรมีกถา ณ สำนักแห่งองค์สมเด็จพระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมโลกนายกแล้ว จึงกราบทูลอาราธนาว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ วันพรุ่งนี้ ข้าพระบาทขออาราธนาพระพุทธองค์พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงไปรับอาหารบิณฑบาตของพระบาท พระเจ้าข้า "




    ..... สมเด็จพระมงคลศาสดาทรงรับอาราธนาแล้ว พราหมณ์ก็ถวายบังคมลามาสู่เรือนและรำพึงว่า

    ... " พัสดุสิ่งของทั้งหลายที่จะตกแต่งเป็นยาคูภัตตาหาร กับทั้งผ้าไตรจีวรที่จะถวายแก่พระภิกษุสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคที่อาราธนาได้เป็นจำนวนมาก ก็พอจะมีถวายทั่วทุกองค์ได้ ก็แต่ว่าสถานที่ๆ จะแต่งตั้งอาสนะที่นั่งของภิกษุทั้งหลายให้เพียงพอนี่แล รู้สึกว่าจะอัตคัตคับแคบขัดข้องนัก จักทำฉันใดดี "

    ... สุรุจิพราหมณ์เธอครุ่นคิดวิตกอยู่อย่างนี้ ก็เพราะว่าพระภิกษุสงฆ์สาวกของสมเด็จพระตถาคตเจ้าในกาลครั้งนั้นมีมากมายนัก นัยว่ามีตั้งแสนกว่ารูปขึ้นไป แต่ด้วยใจเลื่อมใสโอฬารกว้างขวาง เธอจึงนิมนต์อาราธนามาฉันที่เรือนของตนหมดทุกรูปไม่ทันคิด มาคิดได้เอาก็เมื่อกลับถึงบ้านแล้วนั่นเอง




    ..... ด้วยเดชะอำนาจอภินิหารทานบารมีของพระโพธิสัตว์เจ้าก็ให้บันดาลร้อนถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์สมเด็จพระอินทราธิราชเจ้าจอมไตรตรึงษ์สวรรค์ ท้าวเธอจึงพลันตรวจดูก็ทรงรู้เหตุว่า

    ... " พระบรมโพธิสัตว์สุรุจิพราหมณ์ เธออาราธนาสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้ากับพระภิกษุสงฆ์แล้ว บัดนี้ วิตกด้วยว่าจะตกแต่งปูลาดอาสนะให้พอเพียงแก่พระสงฆ์อันมากมายนักหนา กาลนี้ควรที่เราจะต้องลงไปช่วยสงเคราะห์ในบุญกรรมนั้น "




    ..... ทรงดำริดังนี้แล้ว สมเด็จพระอมรินราธิราชจอมทวยเทพเจ้าเหล่าชาวสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ จึงจำแลงแปลงเพศเป็นนายช่างใหญ่ มีมือถือขวานมายืนปรากฎอยู่ต่อหน้าพราหมณ์โพธิสัตว์ แล้วจึงทรงเอื้อนอรรถตรัสถามว่า

    ... " ท่านผู้เจริญ ท่านจะต้องการจ้างทำงานสิ่งใดบ้างหรือไม่ "

    ... " ท่านรับจ้างทำงานสิ่งใดเป็นบ้างเล่า " สุรุจิพราหมณ์ถามขึ้นทั้งๆ กำลังวิตกอยู่

    ... " ขึ้นชื่อว่าศิลปะศาสตร์ในการช่าง สิ่งไรที่ข้าพเจ้าจะมิได้รู้ มิได้เชี่ยวชาญนั้นมิได้มี คือ การสร้างโรงร้าน หรือเรือนอยู่ หรือมณฑปใหญ่ ใครจะจ้างทำสิ่งใดๆ ข้าพเจ้าก็ย่อมทำได้อย่างสวยงามสิ้นทุกประการ " อินทวัฑฒกี คือ นายช่างพระอินทร์บอกความสามารถของตน

    ... " ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว เรามีการที่จะจ้างท่านให้ทำสักอย่างหนึ่ง แต่ก็สงสัยว่าท่านจะทำไม่ได้เสร็จตามความประสงค์ของข้าพเจ้า " พราหมณ์กล่าวขึ้นตามความรู้สึกอันจริงใจของตนในขณะนั้น

    ... " ข้าแต่ท่านมหาพราหมณ์ การสิ่งใดของท่านมี ก็จงบอกแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าคิดว่าจักทำให้สำเร็จตามความต้องการของท่านได้ " นายช่างพระอินทร์รุกเร้าถาม

    ... สุรุจิพราหมณ์จึงว่า

    ... " ดูกรนายช่าง บัดนี้เราได้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์มีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ประมาณแสนกว่ารูปเอาไว้ให้มารับบิณฑบาตฉันในวันพรุ่งนี้ ตอนอรุณรุ่งเช้า เราคิดว่าจะจ้างให้ท่านสร้างมหามณฑปใหญ่ ให้ปูลาดเป็นอาสนะถวายพระสงฆ์มากมายเห็นปานนั้น ท่านยังจะสามารถรับทำได้หรือไม่ "

    ... " ข้าพเจ้า รับจะสร้างให้เสร็จตามความต้องการของท่านได้ แต่ว่าท่านสามารถจะให้ค่าจ้างแก่ข้าพเจ้าได้หรือ" นายช่างพระอินทร์กลับถามถึงเรื่องค่าจ้างแรงงาน

    ... " เอา เถิด...เมื่อท่านทำได้ตามความต้องการของข้าพเจ้าแล้ว ท่านประสงค์ค่าจ้างเท่าใด ข้าพเจ้าจะไม่ขัดข้องเลย แม้แต่ชีวิตของข้าพเจ้าก็ยินดีสละให้ได้ อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติที่ข้าพเจ้ามีอยู่เลย ขอให้ข้าพเจ้ามีสถานที่ๆ จะถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสงฆ์ตามความตั้งใจของข้าพเจ้าก็แล้วกัน " พราหมณ์กล่าวตอบ




    ..... อินทวัฑฒกีก็กล่าวว่า " ดีแล้ว "

    ... " ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าจะรับทำเอง ขอท่านจงบอกสถานที่ๆ จะก่อสร้างมณฑปนั้นเถิด "

    ... เมื่อสุรุจิพราหมณ์ชี้มือไปยังบริเวณเนื้อที่อันกว้างใหญ่ของตนแห่งหนึ่ง จึงไปยืนแลดูที่บริเวณนั้นด้วยกำลังเทพศักดามหานุภาพ ก็บันดาลภูมิสถานบริเวณกว้างใหญ่นั้น ให้มีอันเตียนเลี่ยนตลอดราบรื่นมีพื้นเสมอเป็นอันดี สมเด็จท้าวสักรินทรโกสีย์จึงดำริว่า

    ... " ในภูมิสถานมีประมาณเท่านี้ มหามณฑปแล้วไปด้วยแก้วเจ็ดประการ จงบังเกิดมี ณ กาลบัดนี้ "

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2013
  2. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... คราที่นั้น ก็บังเกิดมหัศจรรย์ด้วยเทพนฤมิต มหามณฑปวิภูสิตสำเร็จแล้วด้วยแก้วหลังใหญ่ ก็ทำลายปฐพีผุดขึ้นมา เสาและขื่อแห่งมหามณฑปนั้น ประดับสลับต้นกันแล้วไปด้วยแก้วและเงินทอง ตามเชิงข่ายรายรอบเขตมณฑปนั้น มีระบายตาข่ายกระดึงแก้วและทองห้อยอยู่ระยับสลับกันเป็นอันดี เวลามีลมอ่อนรำเพยพัด ก็อุบัติเสียงเสนาะศัพท์สำเนียงกระดึงดังวังเวงฟังเสียงดังเพลงทิพย์

    ... อนึ่ง ในที่ว่างบางแห่งย่อมมีทิพย์สุคนธบุปผชาติหอมฟุ้งขจรตลบอบอวลไปทั่วมหามณฑปสถาน แล้วสมเด็จท้าวมัฆวานเทวราชจึงอธิษฐานจิตเนรมิตว่า

    ... " อาสนะอันสมควรพร้อมทั้งตั่งรองเท้าน้ำใช้น้ำฉัน จงพลันบังเกิดขึ้นภายในมณฑปนี้ "

    ... ทรงอธิษฐานแล้ว ก็ทอดพระเนตรไปในมหามณฑปขณะนั้น อาสนะสงฆ์ครบจำนวนก็บังเกิดขึ้นพลันพร้อมไพบูลย์และมีตุ่มใหญ่ๆ เต็มไปด้วยน้ำใสตั้งไว้ตามมุมมหามณฑปนั้น



    ..... ครั้นสำเร็จสิ่งประสงค์แล้ว ก็กลับมาบอกความแก่สุรุจิพราหมณ์ผู้เป็นนายจ้าง ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งวิตกอยู่ในเรือนด้วยคิดว่า

    ... " บุรุษนายช่างนั้นคงทำไม่สำเร็จเสียมากกว่า เพราะตามธรรมดาต้องใช้เวลาสร้างนานเป็นเดือนเป็นปี " ครั้นท้าวโกสีย์แปลงมาบอกว่า

    ... " ข้าแต่ท่าน บัดนี้ มหามณฑปนั้น ข้าพเจ้าทำสำเร็จแล้ว ท่านจงไปดูก่อน เสร็จแล้วอย่าลืมย้อนกลับมาให้ค้าจ้างค่าออกแก่ข้าพเจ้าเสียก็แล้วกัน "

    ... พราหมณ์ผู้โพธิสัตว์เจ้าได้สดับดังนั้น ก็ดีใจรีบผลุนผลันลุกขึ้นออกไปดู ครั้นเห็นประจักษ์แจ้งแก่สายตา ก็มีความโสมนัสเป็นล้นพ้น มีกมลเต็มไปด้วยปีติ มิได้ทันที่จะคิดถึงสิ่งใด รีบกลับเข้าไปในเรือนเพื่อจักจ่ายทรัพย์อันเป็นค่าจ้างแก่นายช่างผู้วิเศษ ก็ให้เกิดเหตุอัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น เพราะว่าคนผู้เป็นนายช่างซึ่งทวงค่าจ้างอยู่เมื่อครู่นี้ ให้มีอันเป็นอันตรธานหายไปเสียแล้ว จึงได้สติวิจารณ์ดูด้วยปัญญา ก็ตระหนักแน่แก่ใจว่า

    ... " มหามณฑปประดับงามตระการเป็นปานนี้ มนุษย์ที่ไหนจักทำได้ นี่ชะรอยท้าวสหัสนัยน์จอมไตรตรึงษ์ทรงรู้ถึงความวิตกหนักใจของเรา จึงทรงพระอุตสาหะเสด็จมากระทำความอนุเคราะห์แก่อาตมาเป็นแน่แท้ "

    ... ครั้นตระหนักแน่ในใจฉะนี้ ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาเป็นทวีตรีคูณในบุญวิบากเป็นนักหนา จึงจินตนาการสืบไปว่า

    ... " ด้วยความงามของมหามณฑปมีความประเสริฐถึงเพียงนี้ อาตมาจะถวายทานแก่พระสงฆ์มีองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเป็นประธาน แต่เพียงเวลากาลวันเดียวหาควรไม่ จำเราจักอาราธนาพระสงฆ์ถวายทานสืบไปอีก ให้ได้สักเจ็ดวันเถิด นั่นแหละจึงจะสมควร "




    ..... ดำริดังนี้แล้ว สุรุจิพราหมณ์ผู้มีทรัพย์มหาศาลก็สั่งให้จัดแจงพัสดุสิ่งของสำหรับถวายทาน เพิ่มขึ้นอีกเป็นอันมาก ได้บำเพ็ญมหาทานบริจาคแด่พระสงฆ์มากมายสุดประมาณทุกๆ วันถ้วนถึงเจ็ดวัน

    ... ครั้นถึงวันอวสานที่สุดจะเลิกแล้วนั้น สุรุจิพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ได้จัดบำเพ็ญมหาทานเป็นพิเศษ คือ ครั้นพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยก็ให้ชำระบาตรเช็ดถูให้สะอาดดีแล้ว ก็ให้ใส่ให้เต็มด้วยน้ำมันเนย น้ำผึ้งน้ำอ้อยทั้งแสนกว่าบาตรเป็นส่วนเภสัชทานแล้ว

    ... ก็จัดการถวายไตรจีวรครบผ้าบริวารอันกอปรด้วยมูลค่าเป็นอันมาก แต่ผ้าไตรจีวรที่มิสู้งามที่ถึงแก่พระภิกษุนวกะผู้บวชใหม่สถิตย์ ณ อาสน์สุดท้าย ก็ยังมีค่านับได้หลายตำลึง จะป่วยการกล่าวไปใยถึงไตรจีวรที่ได้แก่พระเถระผู้ใหญ่ในสังฆมณฑลนั่นเล่า

     
  3. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... คราวนั้น สมเด็จพระมังคละบรมโลกุตมาจารย์ เมื่อจะทรงประทานภัตตานุโมทนากถา จึงทรงพิจารณาว่า

    ... " มหาพราหมณ์ผู้นี้ มีอุตสาหะมาบำเพ็ญอามิสมหาทานใหญ่ยิ่งนักฉะนี้ จะมีอานิสงส์เป็นประการใดหนอ "

    ... ก็ทรงทราบด้วยพระญาณทุกประการแล้ว จึงโปรดประทานพุทธฎีกาดำรัสพยากรณ์ว่า


    ... " ดูกรมหาพราหมณ์ กาลล่วงไปในอนาคตกำหนดไว้ ๒ อสงไขยเศษอีกแสนกัป ในเบื้องหน้านั้น ตัวท่านจะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่า พระสมณะโคดม ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุด ๒ อสงไขยกับเศษแสนกัปนั้น "



    ..... ครั้นได้สดับพระพุทธพยากรณ์จากพระโอษฐ์ของสมเด็จพระชินสีห์เช่นนี้ สุรุจิมหาพราหมณ์โพธิสัตว์ก็ปรีดาปราโมทย์ยิ่งนัก ดำริว่า

    ... " เราจักได้สำเร็จโพธิญาณเป็นเที่ยงแท้แล้ว ก็แต่ว่าบัดนี้ จักมีประโยชน์อันใด ด้วยฆราวาสวิสัยครองเรือนอยู่ จำเราจักสู้อุตสาหะบำเพ็ญเนกขัมมะบารมีออกบวชดีกว่า "

    ... เบื้องว่าพระโพธิสัตว์นั้น ครั้นคิดบำเพ็ญเนกขัมมะบารมีเช่นนี้ จึงสละสมบัติอันไพบูลย์มิได้อาลัย ออกบรรพชาในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าบรมศาสดา อุตสาห์บำเพ็ญคันถะธุระและสมถะกรรมฐาน ก็สำเร็จฌานอภิญญาสมาบัติ




    ..... ก็พระผู้มีพระภาคมงคลพุทธเจ้ามีพระนครชื่อว่า อุตตระนคร แม้พระชนกของพระองค์เป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าอุตตระ แม้พระชนนีพระนามว่า พระนางอุตตระ คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสุเทวะมหาเถระ และ พระธรรมเสนะมหาเถระ มีพระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระปาลิตะมหาเถระ มีคู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระแม่เจ้าสีวะลามหาเถรี และ พระแม่เจ้าอโสกามหาเถรี ต้นไม้พระศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อ ต้นนาคะ (กากะทิง) พระสรีระสูง ๘๘ ศอก พระชนมายุประมาณเก้าหมื่นปี ส่วนพระชายาพระนามว่า ยสวดี พระโอรสพระนามว่า สีวละ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์โดยยานคือม้า ประทับ ณ พระวิหารอุตตราราม อุปัฏฐากชื่ออุตตระ




    ..... เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นดำรงพระชนม์อยู่เก้าหมื่นปี ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน หมื่นจักรวาลก็มืดลงพร้อมกัน โดยเหตุอย่างเดียวเท่านั้น มนุษย์ทุกจักรวาลก็พากันร่ำไห้คร่ำครวญเป็นการใหญ่



    ..... สมเด็จพระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้นำโลก ยังดำรงอยู่เพียงใด ความตายของผู้ยังมีกิเลสในศาสนาของพระองค์ ก็ไม่มีเพียงนั้น พระผู้มีพระยศใหญ่พระองค์นั้น ทรงชูประทีปธรรม ยังมหาชนให้ข้ามโอฆสงสาร แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เหมือนดวงไฟลุกโพลงแล้วก็ดับไป ฉะนั้น


    ..... พระองค์ครั้นทรงแสดงความที่สังขารทั้งหลาย เป็นสภาวะธรรมแล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานเหมือนกองไฟลุกโพลงแล้วก็ดับ เหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างแล้ว ก็อัสดงคต ฉะนั้น



    ..... สมเด็จพระมงคลบรมครูนั้น มีท่านนันทะอุบาสก และวิสาขะอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก ท่านอนุฬาอุบาสิกาและสุมนาอุบาสิกาเป็นอุปัฏฐายิกา



    ..... สมเด็จพระมงคลมหามุนีสูง ๘๐ ศอก พระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระองค์ ไปไกลหลายแสนโลกธาตุในขณะนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏฏะสงสารได้มากมาย สาวกของพระองค์ใครๆ ไม่สามารถจะนับได้ ฉะนั้น



    ..... ครั้งนั้น สมเด็จพระสัมพุทธมงคลผู้เป็นนายกของโลก ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เพียงนั้น ในพระศาสนาของพระองค์ไม่มีการตายอย่างคนมีกิเลสเลย พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่ทรงชูดวงไฟ คือ พระธรรมสว่างจ้า ทรงช่วยมหาชนให้ข้ามพ้นวัฏสงสาร ทรงรุ่งเรืองเหมือนดาวธุมเกตแล้วเสด็จนิพพาน ทรงแสดงสภาวะแห่งสังขารในมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลก ทรงรุ่งเรืองเหมือนกองไฟ แล้วเสด็จเข้านิพพานเหมือนพระอาทิตย์อัสดงคต ฉะนั้น




    ..... สมเด็จพระพุทธมงคลเสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพานที่พระราชอุทยานชื่อ เวสสะระ พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์สูง ๓๐ โยชน์ ประดิษฐานอยู่ในพระราชอุทยานเวสสะระนั้น ฉะนี้แล ฯ.
     
  4. มหาพรหมราชา

    มหาพรหมราชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +903
    ขอ อนุโมทนา กับการกระทำความดี ของทุกๆท่านครับ สาธุ สาธุๆ
     
  5. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จพระสุมนะวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติ




    ..... เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าสมเด็จพระพุทธมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้นเสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพาน ทำหมื่นโลกธาตุให้มืดลงพร้อมกัน ด้วยเหตุอย่างเดียวอย่างนี้แล้ว ต่อมาจากสมัยของพระองค์ ในสารมัณฑกัปเดียวกันนั้นเอง เมื่อมนุษย์ทั้งหลายซึ่งมีอายุเก้าหมื่นปี แล้วก็ลดลงโดยลำดับจนเกิดมามีอายุเพียงสิบปี แล้วเพิ่มขึ้นอีกจนมีอายุถึงแสนปี แล้วลดลงอีกจนมีอายุเก้าหมื่นปี



    ..... ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์พระนามว่าสุมนะ ทรงบำเพ็ญบารมีสิบหกอสงไขยกำไรแสนกัป บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต อันเทวดาทั้งหลายอาราธนาแล้ว จุติจากดุสิตเทวโลกทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมาเทวี ในราชสกุลของพระเจ้าสุทัตตะ ณ เมขละนคร



    ..... พระโพธิสัตว์นั้นเจริญวัยมาโดยลำดับ อันเหล่าสตรีฝ่ายนาฏกะ (ฟ้อน, ขับ, บรรเลง)จำนวนสามแสนหกหมื่นนางบำเรออยู่ ณ ปราสาท ๓ หลังชื่อสิริวัฒนะปราสาท โสมวัฒนะปราสาท และอิทธิวัฒนะปราสาท อันเหล่ายุวนารีผู้กล้าหาญปรนนิบัติอยู่ เสวยสุขตามวิสัย เสมือนสุขทิพย์ ประหนึ่งเทพกุมาร ทรงให้กำเนิดพระโอรสที่ไม่มีผู้เปรียบ พระนามว่าอนูปมะ แก่พระนางวฏังสิกาเทวี



    ..... ทรงเห็นนิมิต ๔ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะแล้ว เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือพระยาช้างต้น ทรงผนวชแล้ว ชนสามสิบโกฏิก็บวชตามเสด็จพระโพธิสัตว์ซึ่งทรงผนวชอยู่



    ..... พระสุมนะบรมโพธิสัตว์อันชนสามสิบโกฏินั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือน ณ วันเพ็ญเดือนวิสาขะ เสวยข้าวมธุปายาสอันมีโอชะทิพย์ที่เทวดาใส่ที่นางอนูปะมา ธิดาของอโนมะเศรษฐีในอโนมะนิคมถวายแล้ว ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาละวัน ทรงรับหญ้า ๘ กำที่อนูปะมาชีวกถวาย เสด็จเข้าไปยังพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อต้นนาคะ (ต้นกากะทิง) ทรงทำประทักษิณต้นนาคะโพธิ์นั้น ทรงเอาหญ้า ๘ กำปูเป็นสันถัดหญ้ากว้าง ๓๐ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิเหนือสันถัตหญ้านั้น

    ... ต่อนั้น ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ทรงเปล่งอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ดังนี้.




    ..... พระผู้มีพระภาคสุมนะพุทธเจ้าทรงยับยั้งอยู่ ๗ สัปดาห์ ณ ที่ใกล้โพธิพฤกษ์ ทรงรับคำทูลอาราธนาของท้าวสหัมบดีมหาพรหมเพื่อแสดงธรรม ทรงใคร่ครวญว่าจะแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ทรงเห็นว่าชนที่บวชกับพระองค์สามสิบโกฏิ พระกนิษฐภาดาต่างพระมารดาของพระองค์ พระนามว่าสรณะกุมาร และบุตรปุโรหิตชื่อว่าภาวิตัตตะมาณพ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย ทรงพระดำริว่าจะทรงแสดงธรรมแก่ชนเหล่านั้นก่อน




    ..... จึงเสด็จโดยทางนภากาศ ลงที่พระราชอุทยานเมขละ ทรงส่งพนักงานเฝ้าพระราชอุทยานไปเรียกสรณะกุมาร พระกนิษฐภาดาของพระองค์และภาวิตัตตะมาณพ บุตรปุโรหิต แล้วทรงแสดงพระธรรมจักร ทรงยังสัตว์แสนโกฏิอย่างนี้ คือบริวารของคนเหล่านั้นสามสิบเจ็ดโกฏิ ชนที่บวชกับพระองค์สามสิบโกฏิ และเทวดาและมนุษย์อื่นๆ มากโกฏิ ให้ดื่มอมฤตธรรม นี้เป็นธรรมาภิสมัย ครั้งที่ ๑



    ..... สมเด็จพระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้นำโลก ทรงบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อทรงปฏิบัติปฏิปทาอันสมควรแก่ปฏิญญา ก็ได้ทรงสร้างอมตะนครอันประเสริฐมีศีลเป็นปราการอันไพบูลย์ มีสมาธิเป็นคูล้อม มีวิปัสสนาญาณเป็นทวาร มีสติสัมปชัญญะเป็นบานประตู ประดับด้วยมณฑปคือสมาบัติเป็นต้น เกลื่อนกล่นด้วยชน เป็นฝักฝ่ายแห่งโพธิญาณ เพื่อป้องกันรัตนะคือกุศล อันเหล่าโจรคือกิเลสทั้งหลายคอยปล้นสดมภ์ เพื่อประโยชน์แก่การเปลื้องมหาชนให้พ้นเครื่องพันธนาการคือภพ

    ... บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงอุบายเครื่องยึดถือเอาซึ่งรัตนะเหล่านั้นว่า


    ... " ก็กุลบุตรเหล่าใดไม่ประมาท ไม่มีตะปูเครื่องตรึงใจไว้ เป็นผู้มีสติ เป็นบัณฑิต(คือคนฉลาด) ประกอบพร้อมด้วยหิริโอตตัปปะ(ความละอายในการทำชั่วและเกรงกลัวผลของบาปกรรม) และวิริยะ(ความเพียร)เป็นต้น กุลบุตรเหล่านั้นย่อมยึดไว้ได้ซึ่งสินค้าคือรัตนะ (น่าจะเป็นพระอรหัตตผล) เหล่านี้ ดังนี้ "



    ..... ก็สมัยใด พระสุมนพุทธเจ้าผู้นำโลกทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ข่มความมัวเมาและมานะของเดียรถีย์ ณ โคนต้นมะม่วง กรุงสุนันทวดี ทรงยังสัตว์พันโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม สมัยนี้ เป็นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒



    ..... ก็สมัยใด เทวดาและมนุษย์ในหมื่นจักรวาลประชุมกันในจักรวาลนี้ ตั้งเรื่องนิโรธขึ้นว่า ท่านเข้านิโรธกันอย่างไร ถึงพร้อมด้วยนิโรธอย่างไร ออกจากนิโรธอย่างไร

    ... เทวดาในเทวโลกฝ่ายกามาวจร ๖ ชั้น พรหมในพรหมโลก พร้อมด้วยมนุษย์ทั้งหลาย ไม่อาจวินิจฉัยในการเข้า การอยู่และการออกจากสมาบัติ เป็นต้นอย่างนี้ได้ จึงได้แบ่งกันเป็นสองพวกสองฝ่าย

    ... ต่อนั้น จึงพร้อมด้วยพระเจ้าอรินทมะผู้เป็นนรบดี พากันเข้าไปเฝ้าพระสุมนะทศพล ผู้เป็นนาถะของโลกทั้งปวง ในเวลาเย็น พระเจ้าอรินทมะ ครั้นเข้าเฝ้าแล้ว จึงทูลถามนิโรธปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ... แต่นั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบนิโรธปัญหาแล้ว ธรรมาภิสมัยก็ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ สมัยนี้เป็นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2013
  6. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าสมเด็จพระสุมนะสัพพัญญูทรงมีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง ใน ๓ ครั้งนั้น

    ... สาวกสันนิบาตครั้งที่ ๑ พระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระอรหันต์พันโกฏิ ผู้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ทรงอาศัยนครเมขละ จำพรรษาแล้วก็ทรงปวารณาด้วยปวารณาครั้งแรก นี้เป็นสาวกสันนิบาตครั้งที่ ๑



    ..... สมัยต่อมา สมเด็จพระมุนีผู้ประเสริฐดังดวงอาทิตย์ ประทับนั่งเหนือภูเขาทองประมาณโยชน์หนึ่ง ซึ่งบังเกิดด้วยกำลังกุศลของพระเจ้าอรินทมะ ไม่ไกลสังกัสสะนคร เหมือนดวงทินกรส่องรัศมีอันงามในยามฤดูสารทเหนือยอดเขายุคนธร ทรงฝึกบุรุษเก้าหมื่นโกฏิซึ่งห้อมล้อมพระเจ้าอรินทมะ ตามเสด็จมา ทรงให้เขาบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาหมดทุกคน เหล่าภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตตผลในวันนั้นนั่นแลแวดล้อมแล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ในสันนิบาตอันประกอบด้วยองค์ ๔ นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒




    ..... สมัยใด ท้าวสักกะเทวราชเสด็จเข้าไปเพื่อเฝ้าสมเด็จพระสุคต สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าสุมนะอันพระอรหันต์แปดหมื่นโกฏิแวดล้อมแล้ว ก็ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓




    ..... ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพญานาคชื่อว่าอตุละ มีฤทธานุภาพมาก ท่านได้ยินว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก อันหมู่ญาติห้อมล้อมแล้วออกจากภพของตน บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าสุมนะบรมครูซึ่งมีภิกษุแสนโกฏิเป็นบริวาร ด้วยดนตรีทิพย์ ถวายมหาทาน ถวายผ้ารูปละคู่ แล้วตั้งอยู่ในพระไตรสรณาคมณ์



    ..... สมเด็จพระสุมนะบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงตรัสพยากรณ์อตุละพญานาคนั้นว่า

    ... " พญาอตุละนาคราชนี้ นานไปในอนาคตกำหนดได้ ๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนกัปแล้ว จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุดแห่ง ๒ อสงไขยกับแสนมหากัปนั้น "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระสุมนพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์




    ..... ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าสุมนะพระองค์นั้นทรงมีพระนครชื่อว่า เมขละ มีพระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ มีพระชนนีพระนามว่า พระนางสิริมาเทวี มีคู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสรณะมหาเถระ และ พระภาวิตัตตะมหาเถระ มีพระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอุเทนมหาเถระ มีคู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระแม่เจ้าโสณามหาเถรี และ พระแม่เจ้าอุปโสณามหาเถรี พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นนาคะ (กากะทิง) มีพระสรีระสูง ๙๐ ศอก มีพระชนมายุเก้าหมื่นปี มีพระมเหสีพระนามว่า พระนางวฏังสิกาเทวี มีพระโอรสพระนามว่า อนูปมะ ทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือพระยาช้างต้น มีอุปัฏฐากชื่ออังคะราชา ประทับ ณ พระวิหารชื่ออังคารามมหาวิหาร ทรงมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าวรุณะและสรณะ มีอัครอุปัฏฐายิกาชื่อจาลาและอุปจาลา



    ..... สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยส่วนสูง ทรงสูงเก้าสิบศอก งามเหมือนรูปบูชาที่ทำด้วยทอง หมื่นโลกธาตุก็เจิดจ้า

    ... ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงมีพระชนม์ยืนอย่างนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะสงสาร




    ..... สมเด็จพระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังหมู่ชนที่ควรข้ามให้ข้ามโอฆะสงสาร ยังหมู่ชนที่ควรตรัสรู้ให้ตรัสรู้ แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพานเหมือนเดือนดับ พระภิกษุขีณาสพเหล่านั้นและพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอเหมือนพระองค์นั้น ท่านเหล่านั้นมียศยิ่งใหญ่ สำแดงรัศมีที่ไม่มีอะไรเปรียบแล้วก็ปรินิพพาน พระญาณที่ไม่มีอะไรวัดได้นั้น และรัตนะที่ไม่มีอะไรชั่งได้นั้น ทั้งนั้นก็อันตรธานไปหมดสิ้น สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ



    ..... สมเด็จพระสุมนะสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระยศใหญ่ เสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพาน ณ วัดอังคารามมหาวิหาร พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ ณ วัดอังคารามมหาวิหารนั้น สูงถึง ๔ โยชน์ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดอังคารามมหาวิหารนั้นแล ฯ.
     
  7. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จพระเรวตะสัทธาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติในโลก



    ..... ต่อมา ภายหลังสมัยของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าสุมนะบรมศาสดา เมื่อศาสนาของพระองค์อันตรธานไปแล้ว พวกมนุษย์ที่มีอายุเก้าหมื่นปี ก็ลดลงโดยลำดับจนมีอายุสิบปี แล้วก็เพิ่มขึ้นโดยลำดับจนมีอายุหนึ่งแสนปี แล้วก็ลดลงอีกจนมีอายุหกหมื่นปี



    ..... สมัยนั้น พระศาสดาพระนามว่า เรวตะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก แม้พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีแปดอสงไขยกำไรแสนกัปแล้ว บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเป็นภพที่รุ่งโรจน์ด้วยรัตนะเป็นอันมาก พระองค์อันเหล่าเทวดาและพรหมทั้งหลายมีท้าวสักกะเทวราชเป็นประทานอาราธนาให้จุติเพื่อตรัสเป็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก รื้อขนเหล่าพุทธเวไนยสัตว์สู่พระนิพพาน

    ... พระองค์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นแล้ว ก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางวิปุลา ผู้ไพบูลย์ด้วยคุณราศีอันงดงามและน่าจับใจ ซึ่งเป็นจุดรวมดวงตาของชนทั้งปวง เรืองรองด้วยความงาม ซึ่งเกิดจากดวงหน้าและดวงใจอันมีสิริน่ารักดุจดอกบัวบานตระการตา อัครมเหสีในราชสกุลของพระเจ้าวิปุลราช ผู้ไพบูลย์ด้วยความมั่งคั่งทุกอย่าง อันเกลื่อนด้วยเหตุเกิดแห่งสิริสมบัติ ทรงถูกห้อมล้อมด้วยราชบริพารอันงดงามประมาณมิได้ ประดับกายด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงในกรุงสุธัญญะวดี ซึ่งมีทรัพย์และข้าวเปลือกพร้อมสรรพ ถ้วนกำหนดทศมาสก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ดุจพญาหงส์ทองบินออกจากจิตรกูฏบรรพต



    ..... พระองค์มีปราสาท ๓ หลัง ชื่อสุทัสสนะปราสาท รตะนัคฆิปราสาท และอาเวฬะปราสาท สตรีจำนวนสามหมื่นสามพันนาง มีพระนางสุทัสสนาเทวีเป็นประธานก็ปรากฏ



    ..... พระเรวตะราชกุมารนั้นอันเหล่ายุวนารีผู้กล้าหาญแวดล้อมแล้ว ทรงครองฆราวาสวิสัยเสวยสุขอยู่หกพันปี เหมือนเทพกุมาร



    ..... เมื่อพระโอรสพระนามว่า วรุณะ ของพระนางสุทัสสนาเทวีประสูติ พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการคือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ แล้วทรงเครื่องนุ่งห่มอย่างดีเบาๆ มีสีสรรต่างๆ ทรงสวมกุณฑลมณีมุกดาหาร ทรงทองพาหุรัดมงกุฏและกำไลพระกรอย่างดี ทรงประดับด้วยของหอมและดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง เป็นกลุ่มที่ทำความงามอย่างยิ่ง

    ... เหมือนดวงจันทร์ในฤดูสารท อันจตุรงคินีเสนาทัพใหญ่แวดล้อมแล้วประหนึ่งดวงจันทร์อันหมู่ดาราแวดล้อม

    ... ประหนึ่งท้าวสหัสนัยน์อันหมู่เทพชั้นไตรทศแวดล้อมแล้ว

    ... และประหนึ่งท้าวหาริตมหาพรหมอันหมู่พรหมแวดล้อมแล้ว

    ... สมเด็จพระเรวตะมหาโพธิสัตว์เจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือ รถเทียมม้า ทรงเปลื้องเครื่องสรรพาภรณ์ ประทานไว้ในมือพนักงานเรือนคลังหลวง ทรงตัดพระเกศาและมงกุฏของพระองค์ ด้วยมีดที่ลับคมกริบเฉกเช่นกลีบดอกบัวเกิดในน้ำที่ไร้มลทินและไม่วิกล แล้วทรงโยนขึ้นไปในอากาศ




    ..... ท้าวสักกะเทวราชก็ทรงเอาผอบทองรองรับพระเกศาและมงกุฎนั้นไว้ ทรงนำไปยังภพดาวดึงส์ ทรงบรรจุไว้ ณ พระเกศแก้วจุฬามณีเจดียสถาน ที่ดาวดึงส์พิภพ ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงครองผ้ากาสายะ ที่เทวดาถวายแล้วทรงผนวช บุรุษโกฏิหนึ่งก็บวชตามเสด็จพระองค์



    ..... พระมหาบุรุษนั้นอันบุรุษเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ๗ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดาเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อว่า สาธุเทวี ถวายแล้ว ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาละวัน ตอนเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำที่อาชีวกผู้หนึ่งถวายแล้ว เสด็จเข้าไปที่พระศรีมหาโพธิพฤกษ์คือ ต้นนาคะ (กากะทิง) อันประเสริฐที่น่าชื่นชม ทรงทำประทักษิณโพธิพฤกษ์ชื่อต้นนาคะ ทรงลาดสันถัตหญ้า กว้าง ๕๓ ศอก แล้วประทับนั่งอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ฯ.




    ..... ได้ยินว่า พระเรวตะศาสดาทรงยับยั้ง ณ ที่ใกล้โพธิพฤกษ์นั่นแล ๗ สัปดาห์ ทรงรับคำอาราธนาของท้าวสหัมบดีมหาพรหม เพื่อทรงแสดงธรรม ทรงใคร่ครวญว่าจะแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ทรงเห็นภิกษุโกฏิหนึ่งที่บวชกับพระองค์ และเทวดากับมนุษย์อื่นเป็นอันมากเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย

    ... จึงเสด็จไปทางอากาศ เสด็จลงที่พระวิหารวรุณาราม อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม ที่ลุ่มลึกละเอียด มีปริวัฏ ๓ ซึ่งผู้อื่นประกาศไม่ได้ ทรงยังภิกษุโกฏิหนึ่งให้ตั้งอยู่ในพระอรหัตตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ ส่วนผู้ที่ตั้งอยู่ในมรรคผล ๓ กำหนดจำนวนไม่ถ้วน


    ..... สมเด็จพระเรวตะบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสพระธรรมเทศนาไว้ว่า

    ... " การจำแนกขันธ์ ๕ ธาตุ ๑๘ โดยกำหนดนามรูปเป็นต้น

    ... กำหนดรูปธรรมและอรูปธรรม โดยสภาวะลักษณะและสามัญลักษณะเป็นต้น ชื่อว่ากำหนดขันธ์และธาตุ

    ... อนึ่งพึงทราบการกำหนดขันธ์และธาตุ แม้โดยอนิจจานุปัสสนาเป็นอาทิ โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า

    ... รูป(คือร่างกายนี้ ประกอบกันขึ้นจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีอวัยวะ ๓๒ ประการ)เปรียบเหมือนก้อนฟองน้ำเพราะไม่ทนต่อการย่ำยีและเพราะต้องขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเป็นต้น

    ... เวทนา(คือ ความรู้สึกทุกข์ สุข และเฉยๆ) เปรียบเหมือนฟองน้ำเพราะรื่นรมย์อยู่ชั่วขณะ

    ... สัญญา(คือ ความจำ) เปรียบเหมือนพยับแดดเพราะความย่อยยับไป

    ... สังขาร(คือ ความคิดต่าง หรือในปัจจุบันเรียกกันเท่ห์ๆว่า จินตนาการ)ทั้งหลายเปรียบเหมือนต้นกล้วยเพราะไม่มีแก่น

    ... วิญญาณ(คือ ระบบประสาทต่างหรือทางแพทย์เรียกว่า ประสาทวิทยา) เปรียบเหมือนนักเล่นกลเพราะลวง

    ... รูปเป็นของไม่เที่ยง

    ... เวทนาเป็นของไม่เที่ยง

    ... สัญญาเป็นของไม่เที่ยง

    ... สังขารเป็นของไม่เที่ยง

    ... วิญญาณเป็นของไม่เที่ยง

    ... รูปไม่ใช่ตัวตนแห่งเราของเราจริง

    ... เวทนาไม่ใช่ตัวตนแห่งเราของเราจริง

    ... สัญญาไม่ใช่ตัวตนแห่งเราของเราจริง

    ... สังขารไม่ใช่ตัวตนแห่งเราของเราจริง

    ... วิญญาณไม่ใช่ตัวตนแห่งเราของเราจริง

    ... สังขาร คือ ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง

    ... สังขาร คือ ร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัวตนแห่งเราของเราจริง ไม่นานเราทุกคนต้องทิ้งร่างกายนี้ไป ฯ."




    ..... ก็สมเด็จพระเรวตะพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีอภิสมัย ๓ เหมือนกัน แต่อภิสมัยครั้งที่ ๑ ของพระองค์ เหลือที่จะนับจำนวนของผู้ตรัสรู้ได้




    ..... สมัยต่อมา ได้มีพระราชาพระนามว่าอรินทมะ ผู้ทรงชนะข้าศึกในอุตตระนคร ซึ่งเป็นนครฝ่ายเหนือ ได้ยินว่า พระเจ้าอรินทมะพระองค์นั้นทรงทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงนครของพระองค์ ทรงมีชนสามโกฏิห้อมล้อมเสด็จออกไปรับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า นิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น ทรงถวายมหาทาน ๗ วันแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ทรงทำการบูชาด้วยประทีป กว้างสามคาวุต เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมมีนัยอันวิจิตร เหมาะแก่พระหฤทัยของพระเจ้าอรินทมะนั้น ในที่ประชุมนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่เทวดาและมนุษย์พันโกฏิ



    ..... สมัยต่อมา สมเด็จพระเรวตะศาสดาทรงอาศัยอุตตระนิคมประทับอยู่ ประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ๗ วัน

    ... ได้ยินว่า ครั้งนั้น มนุษย์ชาวอุตตระนิคมนำเอาข้าวต้มข้าวสวย ของขบฉัน เภสัชและน้ำปานะเป็นต้น ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์แล้วพากันถามว่า

    ... " ท่านเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหน "

    ... ภิกษุทั้งหลายก็บอกแก่มนุษย์เหล่านั้นว่า

    ... " ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้านิโรธสมาบัติ "




    ..... เมื่อล่วงไป ๗ วัน พวกเขาก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากนิโรธสมาบัติ ทรงรุ่งโรจน์ด้วยพุทธสิริของพระองค์หาที่เปรียบมิได้ เหมือนดวงอาทิตย์ในฤดูสารท จึงทูลถามคุณานิสงส์ของนิโรธสมาบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคุณานิสงส์ของนิโรธสมาบัติแก่มนุษย์เหล่านั้น ครั้งนั้นเทวดาและมนุษย์ร้อยโกฏิ ก็ตั้งอยู่ในพระอรหัตตผล นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  8. พงศ์ภูพาน

    พงศ์ภูพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +4,432
    ..." ท่าน ธัมมะสามี "..ครับ.

    ผมขอโอกาส...ขอบคุณ เเทนทุกๆท่าน ณ ที่นี้

    ที่ ทำใหพวกเรา ใด้ รับกระเเสเเห่ง ..."พระธรรม"...ที่ท่าน อัญเชิญมาให้เรา ใด้อ่าน...

    (เนื้อ หา ดีมากครับ จัดวรรคตอน เเละใช้ตัวหนังสือ ใด้น่าอ่านมาก ๆ )...

    ...."ใด้ทราบ ความ เป็นมา เเห่ง องค์สมเด็จ พระจอมไตรบรมศาสดา "..หลายพระองค์..


    ผมใด้อ่านข้อเขียนของท่าน เเล้ว ระลึกถึง..การเห็นคุณค่าเเห่ง ..พระธรรม ที่ .." พระบรมโพธิสัตว์เจ้า .."..

    ..ท่าน "จุดไฟ เผา สรีระท่านเอง ".

    .. " หรือ ตัด พระศอ "..

    .เพื่อ บูชา "พระพุทธเจ้า ..เเละธรรมะ ที่พระองค์ตรัสออกมา "..


    ขออาราธนา พระบารมีเเห่งพระรัตนตรัย .. บารมีเเห่ง ท่าน พรหมเทวดา คุณครู อาจารย์ คุณเเห่งท่าน บุพการี...จงดลบันดาล เเด่ ท่าน..

    "ธัมมะสามี "..ทั้งญาติมิตรบริวาร..จง เป็นผู้นิรทุกข์ ..มีความสุข ที่ สมบูรณ์เเบบ ..เเละ ขอให้ บารมี เเห่ง ..

    "พระโพธิญาณ"..ที่ท่าน ปรารถนาไว้ จงสำเร็จ ..ดังประสงค์


    ด้วยรัก เเละ นับถือ ..ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2013
  9. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ในสุธัญญะวดีนคร พระอรหันต์ที่บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาจำนวนนับไม่ถ้วน ได้มีสันนิบาตครั้งที่ ๑ ในมหาปาติโมกขุทเทศครั้งที่ ๑



    ..... ในเมขละนคร พระอรหันต์ที่บวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทานับได้แสนโกฏิ ก็ได้มีสันนิบาตครั้งที่ ๒



    ..... พระอัครสาวกเบื้องขวาของพระผู้มีพระภาคเจ้าสมเด็จพระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า พระวรุณะมหาเถระ ผู้อนุวัตรตามพระธรรมจักรเป็นยอดของภิกษุผู้มีปัญญาทั้งหลาย เกิดอาพาธ

    ... ในครั้งนั้น สมเด็จพระเรวตะพุทธเจ้าผู้บรมครูของโลก ทรงแสดงธรรมอันแสดงถึงไตรลักษณ์ (คืออนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของร่างกาย ทุกขัง ความที่ร่างกายมีแต่ความทุกข์ทนได้ยาก อนัตตา ความที่ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตนแห่งเราของเราจริง) แก่มหาชนที่ประชุมกันเพื่อต้องการถามภิกษุไข้ ทรงยังบุรุษแสนโกฏิให้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา แล้วให้ตั้งอยู่ในพระอรหัตตผล ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในสันนิบาตที่ประกอบด้วยองค์ ๔ นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓




    ..... ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพราหมณ์ชื่อว่า อติเทวะ ในรัมมะวดีนคร ถึงฝั่งในพราหมณธรรม เห็นสมเด็จพระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า มีจิตเลื่อมใสฟังธรรมมีกถาของพระองค์แล้วตั้งอยู่ในสรณะ กล่าวสดุดีพระทศพลด้วยคาถาพันโศลก บูชาด้วยผ้าห่มมีค่าเรือนพัน แม้สมเด็จพระเรวตะพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์อติมานพโพธิสัตว์นั้นว่า

    ... " อติเทวะมาณพผู้นี้ นานไปในอนาคตจักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ในภัทรกัปอันจักมี ณ ที่สุดแห่ง ๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนกัป "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์




    ..... ก็สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเรวตะบรมโลกนาถพระองค์นั้น ทรงมีพระนครชื่อว่า สุธัญญะวดี พระชนกพระนามว่า พระเจ้าวิปุลราช พระชนนีพระนามว่า พระนางวิปุลา คู่พระอัครสาวกชื่อ พระวรุณะมหาเถระ และ พระพรหมเทวะมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระสัมภวะมหาเถระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระแม่เจ้าภัททามหาเถรี และ พระแม่เจ้าสุภัททามหาเถรี พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นนาคะ (กากะทิง) พระสรีระสูง ๘๐ ศอก พระชนมายุหกหมื่นปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสุทัสสนา พระโอรสพระนามว่า วรุณะ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือ รถเทียมม้า




    ..... ครั้งนั้น เปลวพระรัศมีแล่นออกจากพระวรกายของสมเด็จพระเรวตะพุทธเจ้าพระองค์นั้นยอดเยี่ยม แผ่ไปโยชน์หนึ่งเป็นนิตย์ ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน



    ..... วรุณะอุบาสก และ สรภะอุบาสก เป็นอัครอุปัฏฐาก นางปาลาอุบาสิกา และ นางอุปปาลาอุบาสิกา เป็นอัครอุปัฏฐายิกา


    ..... สมเด็จพระเรวตะพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีพระวรกายสูง ๘๐ ศอก ทรงเปล่งปลั่งพระรัศมีสว่างไสวไปทั่วทิศ ดังพระอาทิตย์อุทัย ฉะนั้น

    ... พระรัศมีอันเป็นระเบียบสว่างไสว ที่เกิดในพระพุทธสรีระแผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ ทั้งกลางวันและกลางคืน

    ... ในขณะนั้น มนุษย์มีอายุหกหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุเท่านั้น ทรงช่วยให้หมู่ชนข้ามพ้นวัฏฏะสงสารได้เป็นอันมาก ทรงแสดงกำลังพระพุทธเจ้าแล้ว ประกาศอมตธรรมในโลก ไม่ทรงมีอุปาทานเสด็จนิพพาน เพราะสิ้นความถือมั่นว่าเป็นผู้เลิศ ทรงมีพระวรกายมีรัศมีดังแก้ว พระธรรมที่ไม่มีอะไรเสมอเหมือน หายไปหมดทุกอย่าง สังขาร(คือร่างกาย)ทั้งปวงว่างเปล่าหนอ




    ..... สมเด็จพระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงยศใหญ่ มีพระปัญญามาก อันมนุษย์และเทวดาทั้งหลายบูชาแล้ว เสด็จดับล่วงลับดับขันธปรินิพพาน ณ พระราชอุทยานมหานาคะวัน พระธาตุของพระองค์แผ่ไปกว้างขวางในประเทศนั้นๆ เหมือนพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้า ฉะนี้แล ฯ.
     
  10. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จพระโสภิตะปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า



    ..... ภายหลังสมัยของ สมเด็จพระเรวตะพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อพระศาสนาของพระองค์อันตรธานแล้ว

    ... พระโพธิสัตว์พระนามว่าโสภิตะ ทรงบำเพ็ญบารมีมาสี่อสงไขยกำไรแสนกัป ทรงรอตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต อันเหล่าทวยเทพทั้งหลายมีท้าวอมรินทราธิราชอ้อนวอนแล้วก็จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุธัมมาเทวี ในราชสกุลของพระเจ้าสุธัมมะราช ในสุธัมมะนคร




    ..... พระโสภิตะโพธิสัตว์นั้นถ้วนกำหนดทศมาส ก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ สุธัมมะราชอุทยาน เหมือนดวงจันทร์ลอดออกจากหลืบเมฆ

    ... พระโสภิตะโพธิสัตว์นั้นครองฆราวาสวิสัยอยู่หมื่นปี เมื่อพระโอรสพระนามว่าสีหะกุมาร ทรงถือกำเนิดในพระครรภ์ของพระนางมลิกาเทวีพระอัครมเหสียอดสนมนาฏเจ็ดหมื่นนางแล้ว

    ... ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการคือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ เกิดสลดพระหฤทัย ทรงผนวชในปราสาทนั่นเอง ทรงเจริญอานาปานสติในปราสาทนั้นนั่นแหละ ทรงได้ฌาน ๔ ทรงบำเพ็ญเพียรในปราสาทนั้น ๗ วัน




    ..... ต่อนั้น เสวยข้าวมธุปายาสรสอร่อยอย่างยิ่ง พระนางมลิกามหาเทวีถวายแล้ว ทรงเกิดจิตคิดจะออกมหาภิเนษกรมณ์ว่า

    ... " ขอปราสาทที่ประดับตกแต่งแล้วนี้ จงไปทางอากาศ ต่อหน้ามหาชนที่กำลังดูอยู่แล้ว ทำโพธิพฤกษ์ไว้ตรงกลาง แล้วลงเหนือแผ่นดิน และสตรีเหล่านี้ เมื่อเรานั่ง ณ โคนโพธิพฤกษ์ ไม่ต้องมีคนบอก จงลงจากปราสาทกันเองเถิด "

    ... พร้อมกับเกิดจิตดังนั้น ปราสาทก็เหาะจากพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุธัมมะราช ขึ้นสู่อากาศเฉกเช่นอัญชันบรรพตสีเขียวคราม

    ... ปราสาทนั้น มีพื้นปราสาทประดับด้วยพวงดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอบอวล เหมือนประดับประดาทั่วพื้นอัมพรรุ่งโรจน์ดั่งดวงทินกร กลุ่มที่กระทำความงามเสมือนธารน้ำทอง และดั่งดวงรัชนีกรในฤดูสารท มีข่ายขึงกระดิ่งงามวิจิตรนานาชนิดห้อยย้อย เมื่อต้องลมก็ส่งเสียงไพเราะน่ารักน่าใคร่ ดั่งดนตรีเครื่อง ๕ ที่ผู้ชำนาญบรรเลง




    ..... ด้วยเสียงไพเราะได้ยินมาแต่ไกล เสียงไพเราะนั้นก็หยั่งลงสู่โสตของสัตว์ทั้งหลาย ประหนึ่งถูกประเล้าประโลมทางอากาศ อันไม่ไกลชายวนะอันงามของต้นไม้ ไม่ต่ำนักไม่สูงนัก ในหมู่มนุษย์ที่ยืนเจรจาปราศรัยกันอยู่ในบ้านเรือน ทาง ๓ แพร่ง ๔ แพร่ง และในถนนเป็นต้น ประหนึ่งดึงดูดสายตาชนด้วยสีที่แล่นเรืองรองรุ่งโรจน์ด้วยรัตนะต่างๆ คือกิ่งอันงามของต้นไม้ และประหนึ่งโฆษณาปุญญานุภาพก็ดำเนินไปตลอดพื้นคัคนานต์



    ..... แม้เหล่าสนมนาฎนารี ณ ที่นั้นก็ขับกล่อมประสานเสียงด้วยเสียงอันไพเราะแห่งดนตรีอย่างดีมีองค์ ๕ เขาว่าแม้กองทัพ ๔ เหล่าของพระองค์ ก็งดงามด้วยอาภรณ์คือดอกไม้หอมและผ้ามีสีสรรต่างๆ ร่วงรุ้งรุ่งโรจน์เกิดจากประกายเครื่องอลังการและอาภรณ์ประดับกาย ไปแวดล้อมปราสาททางภาคพื้นนภากาศ ดุจกองทัพทวยเทพ ดุจแผ่นธรณีที่งามน่าดูอย่างยิ่ง



    ..... แต่นั้น ปราสาทก็ไปทำต้นโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นนาคะ ซึ่งสูง ๘๘ ศอกลำต้นตรงอวบกลม ประดับด้วยดอกใบอ่อนตูมไว้ตรงกลาง แล้วลงตั้งที่พื้นดิน ส่วนเหล่าสนมนาฏนารี ใครๆ มิได้บอก ก็ลงจากปราสาทนั้นหลีกไป



    ..... แม้พระโสภิตะมหาบุรุษผู้งามด้วยคุณสมบัติเป็นอันมากทำมหาชนเป็นบริวารอย่างเดียว ทรงยังวิชชา ๓ ให้เกิดในยามทั้ง ๓ แห่งราตรี

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะทรงบรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ เป ฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา




    ..... ทรงยับยั้ง ณ ที่ใกล้โพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ ทรงรับการอาราธนาธรรมของท้าวสหัมบดีมหาพรหม

    ... ทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุว่าจะทรงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ ก็ทรงเห็นอสมะกุมารและสุเนตตะกุมาร พระกนิษฐภาดาต่างพระมารดาของพระองค์ว่า

    ... " กุมารทั้งสองพระองค์นี้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสสัย สามารถแทงตลอดธรรมอันละเอียดลุ่มลึกได้ เอาเถิด เราจะแสดงธรรมแก่กุมารทั้งสองนี้ "

    ... แล้วเสด็จมาทางอากาศ ลง ณ สุธัมมะราชอุทยาน โปรดให้พนักงานเฝ้าพระราชอุทยานเรียกพระกุมารทั้งสองพระองค์มาแล้ว อันพระกุมารพร้อมทั้งบริวารแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรท่ามกลางมหาชน




    ..... สมเด็จพระโสภิตะพุทธเจ้าทรงมีธรรมาภิสมัย ๓ ครั้ง

    ... สมเด็จพระโสภิตะสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ท่ามกลางบริษัทนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๑ นับไม่ได้ด้วยจำนวนผู้ตรัสรู้



    ..... สมัยต่อมา สมเด็จพระโสภิตะพุทธเจ้าทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้นจิตตะปาฏลี ใกล้ประตูกรุงสุทัสสนะ ประทับนั่งทรงแสดงอภิธรรม เหนือพื้นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ โคนต้นปาริฉัตรในภพดาวดึงส์ อันเป็นภพที่สำเร็จด้วยนพรัตน์และทอง จบเทศนา เทวดาเก้าหมื่นโกฏิตรัสรู้ธรรม นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒.



    ..... สมัยต่อมา พระราชกุมารพระนามว่าชัยเสนะ ในกรุงสุทัสสนะ ทรงสร้างวิหารประมาณโยชน์หนึ่ง ทรงสร้างพระอาราม ทรงเว้นไว้ระยะต้นไม้ดีเช่นต้นอโศก ต้นสน จำปา กะถินพิมาน บุนนาค พิกุลหอม มะม่วง ขนุน อาสนศาลา มะลิวัน มะม่วงหอม พุดเป็นต้น ทรงมอบถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำอนุโมทนาทาน ทรงสรรเสริญการบริจาคทานแล้วทรงแสดงธรรม ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่หมู่สัตว์พันโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓
     
  11. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... พระราชาพระนามว่า อุคคตะ ก็สร้างพระวิหารชื่อว่า สุนันทะ ในกรุงสุนันทะ ถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในทานนั้น พระอรหันต์ร้อยโกฏิซึ่งบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชาประชุมกัน

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันตขีณาสพเจ้าเหล่านั้น นี้เป็นสาวกสันนิบาตครั้งที่ ๑




    ..... คณะธรรมในเมขละนคร สร้างมหาวิหารที่น่ารื่นรมย์อย่างดี ชื่อว่าธัมมะคณาราม ถวายแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานอีก แล้วได้ถวายทานพร้อมด้วยบริขารทุกอย่าง

    ... ในสมาคมนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระโสภิตะทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ในสันนิบาตการประชุมพระอรหันต์เก้าหมื่นโกฏิ ซึ่งบวชโดยเอหิภิกขุภาวะ นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒




    ..... ส่วนสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำพรรษาในภพของท้าวสหัสนัยน์ อันหมู่เทพแวดล้อมแล้ว เสด็จลงจากเทวโลก ในดิถีปวารณาพรรษา ทรงปวารณาพร้อมด้วยพระอรหันต์แปดสิบโกฏิ ในสันนิบาตที่ประกอบด้วยองค์ ๔ นี้เป็นสาวกสันนิบาตครั้งที่ ๓



    ..... ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพราหมณ์ชื่อว่า สุชาตะ เกิดดีทั้งสองฝ่าย ในกรุงรัมมะวดี ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะแล้วตั้งอยู่ในสรณะแลศีล ๕ ได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอดไตรมาส

    ... แม้สมเด็จพระโสภิตะบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์สุชาตพราหมณ์นั้นว่า

    ... " สุชาตะพราหมณ์ผู้นี้ นานไปในอนาคตจักได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้า ในกาลภัทรกัปป์อันจักมี ณ ที่สุด แห่ง ๒ อสงไขยกับเศษอีกแสนกัป "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ร่าเริง บันเทิงใจ ได้ทำความเพียรอย่างแรงกล้า เพื่อให้สำเร็จแก่พระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ




    ..... สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีพระนครชื่อว่า สุธัมมะ พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุธัมมะ พระชนนีพระนามว่า พระนางสุธัมมา คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสุเนตตะมหาเถระ และ พระอสมะมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอโนมะมหาเถระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระแม่เจ้านกุลามหาเถรี และ พระแม่เจ้าสุชาดามหาเถรี พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นนาคะ พระสรีระสูง ๕๘ ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางมลิกาเทวี พระโอรสพระนามว่า สีหะกุมาร พระสนมนาฏนารีสามหมื่นเจ็ดพันนาง ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี ทรงออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือปราสาท อุปัฏฐากพระนามว่า พระเจ้าชัยเสนะ



    ..... พระมหามุนี สูง ๕๘ ศอก ส่งรัศมีสว่างไปทุกทิศ ดังดวงอาทิตย์อุทัย ป่าใหญ่มี
    ดอกไม้บานสะพรั่ง อบอวลด้วยกลิ่นหอมนานา ฉันใด ปาพจน์ของสมเด็จพระโสภิตะพุทธเจ้า ก็อบอวลด้วยกลิ่น คือศีลฉันนั้นเหมือนกัน

    ... ขึ้นชื่อว่ามหาสมุทร อันใครๆ ไม่อิ่มได้ด้วยการเห็นฉันใด

    ... ปาพจน์ของสมเด็จพระโสภิตะพุทธเจ้าอันใครๆ ก็ไม่อิ่มด้วยการฟังฉันนั้นเหมือนกัน




    ..... ในขณะนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระองค์ทรงดำรงพระชนมายุอยู่เท่านั้น ทรงช่วยหมู่ชนเป็นอันมากข้ามพ้นวัฏฏะสงสาร

    ... พระองค์ทรงประทานพระโอวาทและการพร่ำสอน ทรงสั่งสอนหมู่ชนที่เหลือให้เผากิเลสดังเปลวไฟไหม้เชื้อแล้ว เสด็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก

    ... พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสมอเหมือน และพระสาวกผู้บรรลุพลธรรมทั้งหลาย หายไปหมดสิ้นแล้ว สังขาร(คือร่างกายนี้)ทั้งปวงว่างเปล่าจริงหนอ



    ..... พระสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐพระนามว่าโสภิตะ ทรงเสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพาน ณ สีหารามมหาวิหาร พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์แผ่กว้างไปในประเทศนั้นๆ ฉะนี้แล ฯ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2013
  12. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จพระอโนมทัสสีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า



    ..... เมื่อสมเด็จพระโสภิตะสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ภายหลังพระศาสนาของพระองค์อันตรธานแล้ว ล่วงไปอสงไขยหนึ่ง ก็ว่างเว้นพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ

    ... เมื่อหนึ่งอสงไขยนั้นล่วงไปแล้ว ในวรกัปหนึ่ง มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิด ๓ พระองค์ คือ

    ... สมเด็จพระอโนมทัสสีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ... สมเด็จพระมหาปทุมวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ... สมเด็จพระนารทะปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า




    ..... บรรดาสมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์นั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญบารมีสิบหกอสงไขยแสนกัป บังเกิด ณ สวรรค์ชั้นดุสิต อันทวยเทพทั้งหลายมีท้าวสักกะเทวราชอ้อนวอนแล้ว ก็จุติจากดุสิตเทวโลกนั้น

    ... ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางยโสธรา ผู้มีพระเต้าถันงามช้อน อัครมเหสีในราชสกุลของพระเจ้ายสวา กรุงจันทะวดีราชธานี




    ..... เล่ากันว่า เมื่อพระอโนมทัสสีกุมารอยู่ในครรภ์ของพระนางยโสธราเทวี ด้วยอานุภาพบุญบารมี พระรัศมีแผ่ไปตลอดเนื้อที่ประมาณ ๘๐ ศอก รัศมีดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ข่มไม่ได้ ถ้วนกำหนดทศมาส พระนางก็ประสูติพระโพธิสัตว์



    ..... ในวันรับพระนาม พระประยูรญาติเมื่อขนานพระนามของพระองค์ เพราะเหตุที่รัตนะ ๗ ประการ หล่นจากอากาศในขณะประสูติ ฉะนั้น จึงขนานพระนามว่า อโนมทัสสี เพราะเป็นเหตุเกิดรัตนะอันไม่ทราม

    ... พระองค์ทรงเจริญวัยโดยลำดับ ถูกบำเรอด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หนึ่งหมื่นปี

    ... เขาว่า พระองค์ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อ สิริปราสาท อุปสิริปราสาท สิริวัฑฒะปราสาท ทรงมีพระสนมนารีสองหมื่นสามพันนางมีพระนางสิริมาเทวีเป็นประมุข




    ..... เมื่อพระอุปวาณะ โอรสของพระนางสิริมาเทวีประสูติ พระอโนมทัสสีโพธิสัตว์นั้นก็ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการคือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ

    ... เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือพระวอ

    ... ทรงผนวชแล้ว ชนสามโกฏิก็บวชตามเสด็จพระองค์




    ..... พระมหาบุรุษอันชนสามโกฏินั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือน

    ... แต่นั้น ในวันวิสาขบูรณมี เสด็จบิณฑบาตในหมู่บ้าน อนูปมะพราหมณ์ เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดาอนูปมะเศรษฐีถวายแล้ว ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาละวัน ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่อาชีวกชื่ออนูปมะถวายแล้ว

    ... ทรงทำประทักษิณโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นอัชชุนะ ไม้กุ่ม ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๘ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ทรงยังวิชชา ๓ ให้เกิดในยามทั้ง ๓ เมื่อบรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงเปล่งพระอุทานว่า

    ..." เราแสวงหาตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบจึงต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก

    ... ชาติ(คือ)ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์

    ... ดูก่อนตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนให้เราอีกไม่ได้ โครงสร้างเรือนของท่านเราหักหมดแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อออกแล้ว จิตของเราถึงธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว "

    ... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... ต่อจาก สมัยของสมเด็จพระโสภิตะพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี ผู้เป็นยอดของสัตว์สองเท้า มีพระยศประมาณมิได้ มีพระเดชอันใครๆ ละเมิดได้ยาก พระองค์ทรงตัดเครื่องผูกพันทั้งปวง รื้อภพทั้ง ๓ เสียแล้ว ทรงแสดงมรรคาที่สัตว์ไปไม่กลับแก่เทวดาและมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงกระเพื่อมเหมือนสาคร อันใครๆ เข้าเฝ้าได้ยากเหมือนบรรพต มีพระคุณไม่มีที่สุดเหมือนอากาศ ทรงบานเต็มที่แล้วเหมือนพญาสาละพฤกษ์ แม้ด้วยการเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สัตว์ทั้งหลายก็ยินดี สัตว์เหล่านั้นฟังพระดำรัสของพระองค์ซึ่งกำลังตรัสอยู่ ก็บรรลุอมตะธรรม




    ..... สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสีทรงยับยั้งอยู่ ณ โคนต้นพระศรีโพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์ อันท้าวสหัมบดีมหาพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ เพื่อทรงแสดงธรรม ทรงเห็นชนสามโกฏิซึ่งบวชกับพระองค์ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย ทรงใคร่ครวญว่า เดี๋ยวนี้ชนเหล่านั้นอยู่กันที่ไหน ก็ทรงเห็นชนเหล่านั้นอยู่ ณ สุธัมมะราชอุทยาน กรุงสุภะวดี สมเด็จพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าจึงเสด็จไปทางอากาศ ลงที่สุธัมมะราชอุทยาน




    ..... พระองค์อันชนเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ท่ามกลางบริษัทพร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ณ ที่นั้น อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ร้อยโกฏิ



    ..... ภายหลังสมัยต่อมา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ณ โคนต้นประดู่ ใกล้ประตูโอสธีนคร ประทับนั่งเหนือแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ภพดาวดึงส์ ซึ่งพวกอสูรครอบงำได้ยาก ทรงยังฝนคือพระอภิธรรมให้ตกลงตลอดไตรมาส ครั้งนั้น เทวดาแปดสิบโกฏิตรัสรู้



    ..... สมัยต่อจากนั้น สัตว์เจ็ดสิบแปดโกฏิตรัสรู้ในการที่ทรงแสดงมงคลปัญหา นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓



    ..... พระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสีทรงมีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง

    ... ใน ๓ ครั้งนั้น ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันต์แปดแสน ซึ่งเลื่อมใสในธรรมที่ทรงแสดงโปรดพระเจ้าอิสิทัตตะ ณ กรุงโสเรยยะ แล้วบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชานี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑

    ... ในเมื่อทรงแสดงธรรมโปรดพระสุนทรินธระ กรุงราธวดี นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒

    ... ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันต์หกแสนผู้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา พร้อมกับพระเจ้าโสเรยยะ กรุงโสเรยยะ อีก นี้เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2013
  13. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นเสนาบดียักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง มีฤทธานุภาพมาก เป็นอธิบดีของยักษ์หลายแสนโกฏิ

    ... พระโพธิสัตว์นั้นได้สดับว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็มาเนรมิตมณฑป สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ งามน่าดูอย่างยิ่ง เสมือนวงดวงจันทร์งามนักหนา ถวายมหาทานแด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ณ มณฑปนั้น ๗ วัน

    ... เวลาอนุโมทนาภัตทาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า

    ... " ในอนาคตกาล เมื่อล่วงไปหนึ่งอสงไขยกำไรแสนกัป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าสมเด็จพระสมณะโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้วก็ร่าเริง สลดใจ อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไปเพื่อบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์




    ..... พระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสีพระองค์นั้นทรงมีพระนครชื่อว่า จันทะวดี พระชนกพระนามว่า พระเจ้ายสวา พระชนนีพระนามว่า พระนางยโสธรา คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระนิสภะมหาเถระ และ พระอโนมะมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระวรุณะมหาเถระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระแม่เจ้าสุนทรีมหาเถรี และพระแม่เจ้าสุมนามหาเถรี พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นอัชชุนะ (ไม้กุ่ม) พระสรีระสูง ๕๘ ศอก พระชนมายุหนึ่งแสนปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางสิริมา พระโอรสพระนามว่า อุปวาณะ ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หนึ่งหมื่นปี พระองค์เสด็จมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือพระวอ พระเจ้าธัมมกะเป็นอุปัฏฐาก เล่ากันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารธัมมาราม




    ..... พระมหามุนีสูง ๕๘ ศอก พระรัศมีของพระองค์ แล่นออกเหมือนดวงอาทิตย์

    ... ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี พระองค์เมื่อทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมาก ให้ข้ามโอฆะสงสาร

    ... ปาพจน์ คือ ธรรมวินัย อันพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้คงที่ ปราศจากราคะ ไร้มลทิน ทำให้บานดีแล้ว ศาสนาของพระชินพุทธเจ้า จึงงาม

    ... พระศาสดา ผู้มีพระยศประมาณมิได้นั้นด้วย คู่พระอัครสาวก ผู้มีคุณที่วัดไม่ได้เหล่านั้นด้วย ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวงก็ว่างเปล่า แน่แท้




    ..... สมเด็จพระอโนมทัสสีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาชินเจ้า เสด็จปรินิพพาน ณ ธรรมารามมหาวิหาร พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์สูงถึง ๒๐ โยชน์ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดธรรมารามมหาวิหารนั้น ฉะนี้แล ฯ.




    ..... คู่พระอัครสาวกคู่นี้คือหลวงพ่อพระสารีบุตรมหาเถระและหลวงพ่อพระโมคคัลลานะมหาเถระ ก็ได้ทำปณิธานปรารถนาเพื่อเป็นพระอัครสาวกในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสีพระองค์นี้

    ... ประวัติหลวงพ่อพระสารีบุตรมหาเถระและหลวงพ่อพระโมคคัลลานะมหาเถระ ในปัญหากรรมของหลวงพ่อทั้ง ๒ องค์นี้ มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังนี้



    ..... ในที่สุดหนึ่งอสงไขยเศษอีกแสนกัป นับถอยหลังไปแต่ภัททกัปนี้ ท่านหลวงพ่อพระสารีบุตรมหาเถระบังเกิดในครอบครัวพราหมณมหาศาล ชื่อ สรทะมาณพ ท่านหลวงพ่อพระโมคคัลลานะมหาเถระบังเกิดในครอบครัวคฤหบดีมหาศาล ชื่อสิริวัฑฒะกุฏมพี ทั้ง ๒ คนเป็นเพื่อนเล่นฝุ่นด้วยกันมา เมื่อบิดาล่วงลับไป สรทะมาณพก็ได้ทรัพย์เป็นอันมากซึ่งเป็นสมบัติของสกุล




    ..... วันหนึ่ง สรทะมาณพ นั่งอยู่ในที่ลับคิดว่า

    ... " เราไม่รู้อัตภาพในโลกนี้ ไม่รู้อัตภาพในโลกอื่น ขึ้นชื่อว่าความตายเป็นของแน่สำหรับเหล่าสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาแล้ว ควรที่เราจะถือบวชสักอย่างหนึ่ง แสวงหาโมกขธรรม "




    ..... สรทะมาณพนั้นไปหาสิริวัฑฒะกุฏมพีผู้สหาย กล่าวว่า

    ... " เพื่อนสิริวัฑฒะ เราจักบวชแสวงหาโมกขธรรม เจ้าจักบวชพร้อมกับเราไหม "

    ... สิริวัฑฒะกุฏมพีตอบว่า

    ... " ไม่ได้ดอกเพื่อน เจ้าบวชคนเดียวเถิด "




    ..... สรทมาณพคิดว่า

    ... " คนเมื่อไปปรโลก จะพาสหายหรือญาติมิตรไปด้วยหามีไม่ กรรม(คือความดีและชั่วเท่านั้น)ที่จะติดตามเราไปได้ "




    ..... ต่อนั้นก็สั่งให้เปิดเรือนคลังรัตนะให้มหาทานแก่คนกำพร้า คนเดินทางไกล วณิพกและยาจกทั้งหลาย แล้วบวชเป็นฤาษี มีคนบวชตามสรทะมาณพนั้น อย่างนี้คือ คน ๑-๒ คน ๓ คน กลายเป็นฤาษีจำนวนประมาณ ๗๔,๐๐๐ รูป

    ... สรทะฤาษีนั้นทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้บังเกิดแล้วก็สอนกสิณบริกรรมแก่ฤาษีเหล่านั้น ฤาษีเหล่านั้นก็ทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้บังเกิดทุกรูป




    ..... สมัยนั้น พระพุทธเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี ทรงอุบัติขึ้นในโลก ในพระนครชื่อว่าจันทะวดี พระพุทธบิดาเป็นกษัตริย์พระนามว่า ยสวันตะ พระพุทธมารดาเป็นพระเทวีพระนามว่า ยโสธรา ต้นไม้ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นอัชชุนะพฤกษ์ ต้นกุ่ม (ต้นรกฟ้าขาวก็ว่า) พระอัครสาวกทั้ง ๒ ชื่อว่าพระนิสภะมหาเถระ และพระอโนมะมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อพระวรุณมหาเถระ พระอัครสาวิกาทั้ง ๒ ชื่อพระแม่เจ้าสุนทรามหาเถรีและพระแม่เจ้าสุมนามหาเถรี ทรงมีพระชนมายุ ๑๐๐,๐๐๐ ปี พระวรกายสูง ๕๘ ศอก พระพุทธรัศมีพระวรกายแผ่ไป ๑๒ โยชน์ มีภิกษุเป็นบริวาร ๑๐๐,๐๐๐ รูป




    ..... ต่อมาวันหนึ่ง สมเด็จพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูโลกเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นสรทะฤาษี ทรงพระดำริว่า

    ... " วันนี้ เพราะเราไปหาสรทะฤาษีเป็นปัจจัย จักมีธรรมเทศนากัณฑ์ใหญ่ และสรทะฤาษีนั้นจักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกองค์ที่ ๑ สิริวัฑฒะกุฏมพีสหายของเขาจักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกองค์ที่ ๒ จบเทศนาฤาษี ๗๔,๐๐๐ รูปบริวารของเขาจักบรรลุพระอรหัต ควรที่เราจะไปที่นั้น ดังนี้”

    ... แล้วทรงถือบาตรและจีวรของพระองค์ ไม่เรียกใครอื่นเป็นปัจฉาสมณะ เสด็จโดยลำพังพระองค์เดียวเหมือนราชสีห์

    ... เมื่อเหล่าอันเตวาสิก ศิษย์ของสรทะฤาษีออกไปแสวงหาผลาผล ทรงอธิษฐานว่า

    ... " ขอสรทะฤาษีจงรู้ว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า "

    ... เมื่อสรทะฤาษีกำลังดูอยู่นั่นเอง ก็เสด็จลงจากอากาศ ประทับยืนบนพื้นดิน

    ... สรทะฤาษีเห็นพระพุทธานุภาพและพระสรีระสมบัติของพระองค์ จึงพิจารณาลักษณมนต์ ก็รู้ว่า

    ... " ธรรมดาผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้ เมื่ออยู่ครองเรือนก็ต้องเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เมื่อบวชก็ต้องเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้ทรงเปิดกิเลสดุจหลังคาเสียแล้วในโลก มหาบุรุษผู้นี้ต้องเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย "

    ... จึงออกไปต้อนรับ ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ปูอาสนะถวาย




    ..... พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูแล้ว แม้สรทะฤาษีก็ถือเอาอาสนะที่สมควรแก่ตน นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง

    ... สมัยนั้น ฤาษี ๗๔,๐๐๐ รูปก็ถือผลาผลมีโอชะอันประณีตๆ มาถึงสำนักของอาจารย์ มองดูอาสนะที่พระพุทธเจ้าและอาจารย์นั่งแล้วกล่าวว่า

    ... " ท่านอาจารย์ พวกเราเที่ยวไปด้วยเข้าใจว่า ไม่มีใครเป็นใหญ่กว่าท่านในโลกนี้ แต่บุรุษผู้นี้เห็นทีจะใหญ่กว่าท่านแน่ "

    ... สรทะฤาษีจึงกล่าวว่า

    ... " พ่อเอ๋ย พวกเจ้าพูดอะไร พวกเจ้าประสงค์จะเปรียบขุนเขาสิเนรุราชซึ่งสูง ๖,๐๐๐,๐๐๐ โยชน์ ทำให้เท่ากับเมล็ดพันธุ์ผักกาด ลูกเอ๋ย พวกเจ้าอย่าเปรียบเรากับพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเลย "




    ..... ครั้งนั้นฤาษีเหล่านั้นคิดว่า

    ... " ถ้าบุรุษผู้นี้จักเป็นผู้ไม่มีคุณธรรมใดๆแล้วไซร้ อาจารย์ของเราคงไม่นำมาเปรียบเช่นนี้ ที่แท้บุรุษผู้นี้ต้องเป็นผู้มีคุณธรรมใหญ่หนอ "

    ...ทุกรูปจึงหมอบกราบแทบเบื้องพระยุคลบาทของสมเด็จพระอโนมทัสสีบรมโลกนาถเจ้า ไหว้ด้วยเศียรเกล้า




    ..... ลำดับนั้น อาจารย์จึงกล่าวกะฤาษีเหล่านั้นว่า

    ... " พ่อเอ๋ย ไทยธรรมของเราที่คู่ควรแก่พระพุทธเจ้าไม่มีเลย ในเวลานี้เป็นเวลาภิกษาจาร พระศาสดาก็เสด็จมาแล้วในที่นี้ พวกเราจักถวายไทยธรรมตามกำลัง พวกเจ้าจงนำผลาผลของเราที่ประณีตๆ มา ”

    ... ลูกศิษย์ก็ล้างผลไม้ให้สะอาดแล้วให้นำมาให้แก่ท่านสรทะฤาษี ท่านสรทะฤาษีล้างมือแล้วก็วางใส่ในบาตรของสมเด็จพระตถาคตด้วยตนเอง พอพระศาสดาทรงรับผลาผล เทวดาทั้งหลายก็ใส่ทิพย์โอชะลง ท่านสรทะฤาษีก็กรองน้ำถวายพระพุทธเจ้าด้วยตนเอง




    ..... ลำดับนั้น เมื่อพระศาสดาประทับนั่งเสวยเสร็จแล้ว ท่านสรทะฤาษีก็เรียกอันเตวา
    สิกมาทุกคน นั่งพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นสาราณียกถา (ถ้อยคำให้หวนระลึกถึงกัน) ในสำนักพระศาสดา

    ... พระศาสดาทรงดำริว่า พระอัครสาวกทั้งสองจงมาพร้อมกับภิกษุสงฆ์

    ... พระอัครสาวกเหล่านั้นรู้พระดำริของพระศาสดา มีพระขีณาสพแสนองค์เป็นบริวาร มาถวายบังคมพระศาสดาแล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง




    ..... ลำดับนั้น ท่านสรทะฤาษีเรียกพวกอันเตวาสิกมาพูดว่า

    ... " พ่อทั้งหลาย อาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งก็ต่ำ อาสนะที่พระสมณะแสนองค์นั่งก็ไม่มี วันนี้ ควรที่ท่านทั้งหลายจะกระทำพุทธสักการะให้โอฬาร ท่านทั้งหลายจงนำดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นจากเชิงเขามาเถิด "

    ... เวลาที่กล่าวย่อมเป็นเหมือนเนิ่นนานแต่วิสัยของผู้มีฤทธิ์เป็นอจินไตย เพราะเหตุนั้น ดาบสเหล่านั้นจึงนำดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นมา โดยกาลชั่วครู่เดียวเท่านั้น ตกแต่งอาสนะดอกไม้ประมาณโยชน์หนึ่งสำหรับพระพุทธเจ้า สำหรับพระอัครสาวกทั้งหลาย ๓ คาวุต สำหรับภิกษุที่เหลือต่างกันกึ่งโยชน์เป็นต้น สำหรับภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์ประมาณอุสภะเดียว




    ..... เมื่อตกแต่งอาสนะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านสรทะฤาษียืนประคองอัญชลีตรงพระพักตร์พระตถาคต แล้วกราบทูลว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอจงเสด็จขึ้นอาสนะดอกไม้นี้ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด "

    ... ครั้นกล่าวแล้ว จึงได้กล่าวเป็นคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

    นานาปุบฺผํ จ คนฺธญฺจ สมฺปาเทตฺวาน เอกโต
    ปุบฺผาสนํ ปญฺญาเปตฺวา อิทํ วจนมพฺธรวึ ฯลฯ​

    ... " ข้าพระองค์ร่วมกันรวบรวมดอกไม้ต่างๆ และของหอมมาตกแต่งอาสนะดอกไม้ ได้กราบทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระผู้กล้าหาญ อาสนะนี้ตกแต่งไว้เพื่อพระองค์ เหมาะสมแก่พระองค์ ขอพระองค์จงยังจิตของข้าพระองค์ให้ผ่องใส ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้เถิด "

    ... พระพุทธเจ้าได้ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน ทำจิตของเราให้ผ่องใส ทำโลกพร้อมทั้งเทวดาให้ร่าเริง




    ..... เมื่อพระศาสดาประทับนั่งอย่างนี้แล้ว พระอัครสาวกทั้งสองกับเหล่าภิกษุที่เหลือ ก็นั่งบนอาสนะอันถึงแล้วแก่ตนๆ ท่านสรทะฤาษีถือฉัตรดอกไม้ใหญ่ยืนกั้นเหนือพระเศียรพระตถาคตเจ้า

    ... พระศาสดาทรงเข้านิโรธสมาบัติด้วยพระดำริว่า

    ... " สักการะนี้จงมีผลมากแก่ฤาษีทั้งหลาย "

    ... พระอัครสาวกทั้งสองก็ดี ภิกษุที่เหลือก็ดี รู้ว่าพระศาสดาทรงเข้าสมาบัติก็พากันเข้าสมาบัติ เมื่อพระตถาคตเจ้านั่งเข้านิโรธสมาบัติตลอด ๗ วัน




    ..... พวกอันเตวาสิกท่านสรทะฤาษี เมื่อถึงเวลาภิกขาจาร ก็บริโภคมูลผลาหารของป่า ในเวลาที่เหลือก็ยืนประคองอัญชลีแด่พระพุทธเจ้า ส่วนสรทะฤาษี แม้ภิกขาจารก็ไม่ไป ยับยั้งอยู่ด้วยปีติและสุขทั้ง ๗ วัน โดยทำนองที่ถือฉัตรดอกไม้อยู่นั่นแหละ

    ... สมเด็จพระศาสดาทรงออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ตรัสเรียกพระนิสภะมหาเถระอัครสาวกผู้นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาว่า

    ... " นิสภะ เธอจงทำบุปผาสนานุโมทนาแก่ฤาษีทั้งหลายผู้กระทำสักการะ "

    ... พระเถระดีใจเหมือนทหารใหญ่ได้ลาภมากจากสำนักของพระเจ้าจักร พรรดิ ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณ เริ่มอนุโมทนาเกี่ยวกับการถวายอาสนะดอกไม้ ในเวลาจบเทศนาของพระอัครสาวกนั้น จึงตรัสเรียกทุติยสาวกว่า

    ... " อโนมะ แม้เธอก็จงแสดงธรรม "

    ... ฝ่ายพระอโนมะเถระพิจารณาพระไตรปิฎกพุทธวจนะมากล่าวธรรมกถา ด้วยเทศนาของพระอัครสาวกทั้งสอง แม้ฤาษีสักรูปหนึ่งก็ไม่ได้ตรัสรู้

    ... ลำดับนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาทรงดำรงอยู่ในพุทธวิสัยอันหาประมาณไม่ได้ ทรงเริ่มพระธรรมเทศนา ในเวลาจบเทศนา เว้นท่านสรทะฤาษี ฤาษีแม้ทั้งหมดจำนวน ๗๔,๐๐๐ รูปบรรลุพระอรหัตตผล

    ... พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ ตรัสว่า

    ... " จงเป็นภิกษุมาเถิด "

    ... ในขณะนั้นเอง ผมและหนวดของฤาษีเหล่านั้นก็หายไป บริขาร ๘ ก็ได้สวมสอดเข้าในกายทันที




    ..... ถามว่า เพราะเหตุไร ท่านสรทะฤาษีจึงไม่บรรลุพระอรหัตตผล

    ... ตอบว่า เพราะมีจิตฟุ้งซ่าน

    ... ได้ยินว่า จำเดิมตั้งแต่เริ่มฟังเทศนาของพระอัครสาวกผู้นั่งบนอาสนะที่สองของพระพุทธเจ้า ผู้ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณแสดงธรรมอยู่ ท่านสรทะฤาษีนั้นเกิดความคิดขึ้นว่า

    ... " โอหนอ แม้เราก็ควรได้หน้าที่ที่พระอัครสาวกนี้ได้ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้จะเสด็จอุบัติขึ้นในอนาคต "

    ... ท่านสรทะฤาษีนั้นไม่อาจทำให้แจ้งมรรคผล ก็เพราะความปริวิตกนั้น จึงถวายบังคมสมเด็จพระตถาคตเจ้าแล้วยืนตรงพระพักตร์ กราบทูลว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุผู้นั่งบนอาสนะติดกับพระองค์ชื่อไร ในศาสนาของพระองค์ "

    ... สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาตรัสว่า

    ... " ภิกษุนี้ผู้ประกาศตามพระธรรมจักรที่เราประกาศแล้ว ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ แทงตลอดโสฬสปัญหา ชื่อว่านิสภะเถระอัครสาวกในศาสนาของเรา "

    ... ท่านสรทะฤาษีได้ฟังแล้วจึงได้ทำความปรารถนาว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กั้นฉัตรดอกไม้ตลอด ๗ วันกระทำสักการะนี้ใด ด้วยผลของสักการะนี้นั้น ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาเป็นท้าวสักกะหรือเป็นพรหมสักอย่างหนึ่ง แต่ในอนาคต ขอให้ข้าพระองค์พึงเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เหมือนพระนิสภะมหาเถระนี้เถิด พระเจ้าข้า "

    ... พระศาสดาทรงส่งอนาคตังสญาณไปตรวจดูว่า ความปรารถนาของสรทะฤาษีนี้จักสำเร็จไหมหนอ ก็ได้ทรงเห็นว่าล่วงไปหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปจะสำเร็จ ก็แหละครั้นทรงเห็นแล้ว จึงตรัสกะท่านสรทะฤาษีว่า

    ... " ความปรารถนาอันนี้ของท่านจักไม่เป็นของเปล่า แต่ในอนาคตล่วงไปหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าสมเด็จพระสมณะโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า จักอุบัติขึ้นในโลก จักมีพระพุทธมารดานามว่า มหามายาเทวี จักมีพระพุทธบิดานามว่า สุทโธทนมหาราช จักมีพระโอรสนามว่า ราหุล จักมีพระอุปัฏฐากนามว่า อานนท์ จักมีพระทุติยสาวกนามว่า โมคคัลลานะ ส่วนตัวท่านจักเป็นพระอัครสาวกของสมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้านั้น นามว่า พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร "

    ... ครั้นทรงพยากรณ์ท่านสรทะฤาษีนั้นอย่างนี้แล้วตรัสธรรมกถา มีภิกษุสงฆ์เป็นบริวารเสด็จเหาะไปทางอากาศ




    ..... ฝ่ายท่านสรทะฤาษีไปยังสำนักของพระเถระผู้เคยเป็นอันเตวาสิก แล้วให้ส่งข่าวแก่สิริวัฑฒะกุฏุมพีผู้เป็นสหายว่า

    ... " ท่านผู้เจริญ ท่านจงบอกสหายของข้าพเจ้าว่า ท่านสรทะฤาษีผู้สหายของท่าน ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกในศาสนาของสมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้าผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคต ณ ที่ใกล้บาทมูลของสมเด็จพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ส่วนท่านจงปรารถนาตำแหน่งทุติยสาวกเถิด "

    ... ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ไปโดยครู่เดียวก่อนหน้าพระเถระทั้งหลาย ได้ยืนอยู่ที่ประตูนิเวศน์ของสิริวัฑฒะกุฏุมพี

    ... สิริวัฑฒะกุฏุมพีปราศัยว่า

    ... " นานหนอ พระผู้เป็นเจ้าจะได้มา "

    ... แล้วให้นั่งบนอาสนะ ส่วนตนนั่งบนอาสนะตัวที่ต่ำกว่าถามว่า

    ... " ก็อันเตวาสิกบริษัทของท่านไม่ปรากฏหรือขอรับ "

    ... ท่านสรทะฤาษีกล่าวว่า

    ... " เจริญพร สหาย สมเด็จพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าเสด็จมาในอาศรมของพวกอาตมภาพ อาตมาภาพได้กระทำสักการะแด่พระองค์ท่านตามกำลังของตนๆ พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ฤาษีทั้งหมด ในเวลาจบเทศนา ฤาษีที่เหลือบรรลุพระอรหัตตผล เว้นอาตมภาพ "

    ... สิริวัฑฒะกุฏุมพีถามว่า

    ... " เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่บวชเล่าขอรับ "

    ... ท่านสรทะฤาษีกล่าวว่า

    ... " อาตมภาพเห็นพระนิสภะมหาเถระอัครสาวกของพระศาสดาแล้ว จึงได้ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าสมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้า ผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคต แม้ตัวท่านก็จงปรารถนาตำแหน่งทุติยสาวกในศาสนาของสมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเถิด "

    ... สิริวัฑฒะกุฏุมพีกล่าวว่า

    ... " ท่านขอรับ กระผมไม่มีความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า "

    ... ท่านสรทะฤาษีกล่าวว่า

    ... " การกราบทูลกับพระพุทธเจ้า จงเป็นภาระของอาตมภาพ ท่านจงตระเตรียมอธิการ (คือสักการะอันยิ่งยวด) ไว้เถิด "




    ..... สิริวัฑฒะกุฏุมพีฟังคำของท่านสรทะฤาษีแล้ว จึงให้ปรับสถานที่ประมาณ ๘ กรีส ด้วยไม้วัดหลวงให้มีพื้นที่เสมอกัน ณ สถานที่ในนิเวศน์ของตน แล้วให้เกลี่ยทรายโปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ ๕ ให้สร้างมณฑปมุงด้วยดอกอุบลขาบ ตกแต่งพุทธอาสน์ จัดอาสนะสำหรับพระภิกษุแม้ที่เหลือ เตรียมเครื่องสักการะสัมมานะใหญ่โต แล้วให้สัญญาณแก่ท่านสรทะฤาษีเพื่อทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า

    ... ท่านสรทะฤาษีได้ฟังคำของสิริวัฑฒะกุฏุมพีนั้นแล้ว จึงพาภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ไปยังนิเวศน์ของสิริวัฑฒะกุฏุมพีนั้น

    ... สิริวัฑฒะกุฏุมพีกระทำการรับเสด็จ รับบาตรจากพระหัตถ์ของพระตถาคต นิมนต์ให้เสด็จเข้าไปยังมณฑป ถวายน้ำทักษิโณทกแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ผู้นั่ง ณ อาสนะที่ตกแต่งไว้แล้ว เลี้ยงดูด้วยโภชนะอันประณีต ในเวลาเสร็จภัตกิจ ให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ครองผ้าอันควรค่ามาก แล้วกราบทูลว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความริเริ่มนี้ เพื่อต้องการฐานะอันมีประมาณเล็กน้อยก็หามิได้ ขอพระองค์ทรงกระทำความอนุเคราะห์ตลอด ๗ วัน โดยทำนองนี้แหละ "

    ... พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว

    ... สิริวัฑฒะกุฏุมพีนั้นยังมหาทานให้เป็นไปไม่ขาดสายตลอด ๗ วันโดยทำนองนั้นนั่นแหละ แล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ายืนประคองอัญชลี กราบทูลว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญท่านสรทะฤาษีสหายของข้าพระองค์ปรารถนาว่า ขอให้เป็นอัครสาวกของพระศาสดาองค์ใด ข้าพระองค์ขอเป็นทุติยสาวกของพระศาสดาองค์นั้นเหมือนกัน "

    ... พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตทรงเห็นว่าความปรารถนาของเขาสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่า

    ... " ล่วงไปหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปจากวรกัปนี้ไป ท่านจักเป็นทุติยสาวกของสมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้า "

    ... สิริวัฑฒะกุฏุมพีได้ฟังคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นผู้ยินดีร่าเริง




    ..... ฝ่ายสมเด็จพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงทำภัตตานุโมทนาแล้ว พร้อมทั้งพระภิกษุบริวารเสด็จกลับไปยังพระวิหาร

    ... จำเดิมแต่นั้นมา สิริวัฑฒะกุฏุมพีกระทำกรรมงามตลอดชีวิตแล้วบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ในวาระจิตที่สอง

    ... ท่านสรทะฤาษีเจริญพรหมวิหาร ๔ มีฌานสมาบัติมิได้เสื่อม ได้บังเกิดในพรหมโลก ฉะนี้แล ฯ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2013
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    กราบอนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ แถมเขียนตัวโตเหมาะกับสายตาคนแก่ดีแท้ๆ
     
  15. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252

    ตามเอายาลม กับยาดมมาเผื่อซือเจ๊ นั่งฟังพระสูตรด้วยคนครับ
     
  16. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จพระมหาปทุมวิริยาธิกะสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า​




    ..... ต่อจากสมัยของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสีสัพพัญญูพุทธเจ้า มนุษย์ทั้งหลายมีอายุแสนปีแล้วลดลงโดยลำดับจนมีอายุ ๑๐ ปี แล้วเพิ่มขึ้นโดยลำดับอีกจนมีอายุได้หนึ่งแสนปี



    ..... ครั้งนั้น พระศาสดาพระนามว่ามหาปทุม ทรงอุบัติขึ้นในโลก แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ทรงบำเพ็ญบารมีมาสิบหกอสงไขยกำไรแสนกัป บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตรอเพื่อตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อถึงกาลของพระองค์แล้วท่านท้าวสักกะเทวราชพร้อมพรหมและเทวดาทั้งหลายพากันมาอาราธนาให้พระองค์จุติเพื่อตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อขนปวงสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่เมืองแก้วพระนิพพาน สมกับที่เพียรสร้างพระบารมีมาเนิ่นนาน พระมหาปทุมโพธิสัตว์รับอาราธนาจากเทวดาและพรหมทั้งหลายแล้ว ได้จุติจากนั้นแล้วก็ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอสมา ผู้ที่ไม่มีผู้เสมอด้วยพระรูปเป็นต้น อัครมเหสีในราชสกุลของพระเจ้าอสมะราช กรุงจัมปกะ ครบกำหนดทศมาสแล้ว พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์ของพระชนนี ณ จัมปกะราชอุทยาน




    ..... เมื่อพระกุมารสมภพ ฝนดอกปทุมหล่นจากอากาศตกลงทั่วชมพูทวีป ด้วยเหตุนั้น ในวันขนานพระนามพระกุมารนั้น พวกโหรและเหล่าพระประยูรญาติ จึงขนานพระนามว่า มหาปทุมกุมาร



    ..... พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่หนึ่งหมื่นปี ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่านันทุตตระปราสาท วสุตตระปราสาท และยสุตตระปราสาท ปรากฏพระสนมนารีสามหมื่นสามพันนางมีพระนางอุตตราเทวีเป็นประมุข



    ..... ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อรัมมะราชกุมารของพระนางอุตตรามหาเทวีสมภพ พระองค์ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ทรงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือรถเทียมม้า บุรุษโกฏิหนึ่งบวชตามเสด็จพระมหาสัตว์ซึ่งทรงผนวชอยู่นั้น



    ..... พระมหาสัตว์อันบุรุษเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือน

    ... ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสซึ่งนางธัญญะวดี ธิดาของสุธัญญะเศรษฐี กรุงธัญญะวดี ถวายแล้ว

    ... ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ มหาสาละวัน เวลาเย็นทรงรับหญ้า ๘ กำซึ่งติตถกะอาชีวกถวาย แล้วเสด็จเข้าไปยังโคนพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อ ต้นมหาโสณะ (ไม้อ้อยช้างใหญ่) ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๓๘ ศอก

    ... ประทับนั่งขัดสมาธิอธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ทรงเจริญอานาปานสติ ยังจตุตถฌานให้บังเกิด ทรงทำให้แจ้งวิชชา ๓ ในยามทั้ง ๓ ทรงเปล่งพระอุทานว่า

    ... " เราแสวงหาตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบจึงต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก ชาติคือความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนอีกไม่ได้ โครงสร้างเรือนของท่านเราหักหมดแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อออกแล้ว จิตของเราถึงธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว

    ... คติแห่งไฟที่ลุกโพลง ที่ภาชนะสัมฤทธิ์ที่นายช่างตีด้วยพะเนินเหล็กกำจัดแล้วก็สงบเย็นลงโดยลำดับ ไม่มีใครรู้คติความไปของมันได้ ฉันใด

    ... คติของพระขีณาสพผู้หลุดพ้นโดยชอบ ข้ามเครื่องผูกคือกามโอฆะ บรรลุสุขอันไม่หวั่นไหวก็ไม่มีใครจะรู้คติของท่านได้ ฉันนั้น ฯ."




    ..... สมเด็จพระมหาปทุมสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จยับยั้งอยู่ใกล้พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ ๗ สัปดาห์

    ... ทรงรับอาราธนาท้าวสหัมบดีมหาพรหมเพื่อแสดงธรรมโปรดเหล่าพุทธเวไนย

    ... ทรงตรวจดูบุคคลซึ่งเป็นภาชนะรองรับพระธรรมเทศนา ก็ทรงเห็นภิกษุจำนวนหนึ่งโกฏิซึ่งบวชกับพระองค์

    ... ในทันใดก็เสด็จไปทางอากาศลง ณ ธนัญชัยราชอุทยาน ใกล้กรุงธัญญะวดี

    ... อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรท่ามกลางภิกษุเหล่านั้น

    ... ครั้งนั้น อภิสมัย(คือการได้บรรลุพระอรหัตตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ)ได้มีแก่สัตว์ร้อยโกฏิ นี้เป็นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑




    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... ต่อจากสมัยของสมเด็จพระอโนมทัสสีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า มหาปทุม เป็นยอดของสัตว์สองเท้า ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบได้ในโลก

    ... ทั้งศีลของพระองค์ก็ไม่มีอะไรเสมอ ทั้งสมาธิ ก็ไม่มีที่สุด ทั้งพระญาณอันประเสริฐ ก็นับไม่ได้ ทั้งวิมุตติ ก็ไม่มีอะไรเปรียบ

    ... ในการประกาศพระธรรมจักรของพระองค์ ผู้มีพระเดชที่ชั่งไม่ได้ อภิสมัยการตรัสรู้ ที่เป็นเครื่องลอยความมืดอย่างใหญ่ มี ๓ ครั้ง




    ..... สมัยต่อมา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมทรงให้สาละกุมารและอุปสาละกุมาร พระกนิษฐภาดาของพระองค์บรรพชาในสมาคมพระประยูรญาติ พร้อมทั้งบริวาร เมื่อทรงแสดงธรรมโปรดชนเหล่านั้น ทรงยังสัตว์เก้าสิบโกฏิให้ดื่มอมตธรรม นี้เป็นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒



    ..... ก็ครั้งที่สมเด็จพระมหาปทุมบรมโลกนาถ ผู้เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงแสดงธรรมโปรดพระธัมมะมหาเถระ อภิสมัยก็ได้มีแก่สัตว์แปดสิบโกฏิ นี้เป็นธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2013
  17. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ครั้งนั้น พระเจ้าสุภาวิตัตตะมีราชบริพารแสนโกฏิ ทรงผนวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ในสำนักของสมเด็จพระมหาปทุมพุทธเจ้าผู้มีพระพักตร์ดังดอกปทุมบาน ในสันนิบาตนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็นสาวกสันนิบาตครั้งที่ ๑



    ..... สมัยต่อมา สมเด็จพระมหาปทุมพุทธเจ้า พระมหามุนีผู้เลิศ ผู้มีคติเสมอด้วยโคอุสภะ เสด็จเข้าจำพรรษา ณ กรุงอุสภะวดี พวกมนุษย์ชาวนครประสงค์จะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงพากันเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดชนเหล่านั้น มนุษย์เป็นอันมากในที่นั้น มีจิตเลื่อมใสก็พากันบวชในสำนักของพระพุทธเจ้า

    ... แต่นั้น พระทศพลทรงปวารณาเป็นวิสุทธิปวารณากับภิกษุเหล่านั้น และภิกษุสาม
    แสนอื่นๆ นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒




    ..... ส่วนชนเหล่าใดยังไม่บวชในครั้งนั้น ชนเหล่านั้นฟังอานิสงส์กฐินแล้วก็พากันถวายกฐินจีวรที่ให้อานิสงส์ ๕ ในวันปาฏิบท ๕ เดือน

    ... แต่นั้น ภิกษุทั้งหลายอ้อนวอนพระสาละมหาเถระพระธรรมเสนาบดีอัครสาวกเบื้องขวาของพระผู้มีพระภาคเจ้ามหาปทุมพุทธเจ้าผู้มีปัญญาไพศาลนั้น เพื่อกรานกฐิน ได้ถวายกฐินจีวรแก่พระสาละมหาเถระนั้น

    ... เมื่อกฐินจีวรของพระมหาเถระอันภิกษุทั้งหลายทำกันอยู่ ภิกษุทั้งหลายก็เป็นสหายช่วยกันเย็บ ฝ่ายสมเด็จพระมหาปทุมสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงร้อยด้ายเข้ารูเข็มประทาน เมื่อจีวรสำเร็จแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จจาริกหลีกไป พร้อมด้วยภิกษุสามแสน




    ..... สมัยต่อมา สมเด็จพระพุทธสีหะประดุจบุรุษสีหะผู้ดำเนินไปด้วยความองอาจดังราชสีห์ เสด็จเข้าจำพรรษา ณ ป่าใหญ่ ที่มีดอกไม้หอมอย่างยิ่งมีผลไม้เป็นพวงมีกิ่งก้านอันอ่อนโน้ม มีค่าคบไม้ เสมือนป่าโคสิงคสาละวัน บริบูรณ์ด้วยห้วงน้ำที่เย็นอร่อย ประดับด้วยบัวก้านบัวสายไร้มลทิน เป็นที่สัญจรของหมู่เนื้อเช่นกวาง จามรี ราชสีห์ เสือ ช้าง ม้า โค กระบือเป็นต้น อันฝูงแมลงภู่และผึ้งสาว ที่มีใจติดกลิ่นดอกไม้อันหอมกรุ่น บินตอมว่อนเป็นฝูงๆ โดยรอบ อันเหล่านางนกดุเหว่ามีใจเบิกบานด้วยรสผลไม้ ส่งเสียงร้องไพเราะ แผ่วเบาคล้ายขับกล่อมอยู่ น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง สงัดปราศจากผู้คน เหมาะแก่การประกอบความเพียร

    ... สมเด็จพระตถาคตทศพลญาณเจ้า พระธรรมราชาพร้อมทั้งบริวาร ประทับอยู่ ณ ป่าใหญ่นั้น รุ่งโรจน์ด้วยพระพุทธสิริ มนุษย์ทั้งหลายเห็นแล้ว ฟังธรรมของพระองค์ก็เลื่อมใส พากันบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ครั้งนั้น พระองค์อันภิกษุสองแสนแวดล้อมแล้วก็ทรงปวารณาพรรษา นั้นเป็นสาวกสันนิบาตครั้งที่ ๓




    ..... ครั้งนั้น เมื่อสมเด็จพระตถาคตเจ้าพระมหาปทุมบรมครูเสด็จประทับอยู่ ณ ไพรสณฑ์นั้น

    ... (เหตุที่สมเด็จพระมหาปทุมบรมครูเจ้าเสด็จจำพรรษาที่ป่าใหญ่ เพราะมีพระประสงค์ตั้งใจจะโปรดพญาราชสีห์ผู้บรมโพธิสัตว์ให้มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าและในพระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลาย จะได้เป็นพลวะปัจจัยในการสร้างสมพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณในกาลภายหน้า)

    ... พระโพธิสัตว์ของเราถือกำเนิดเป็นราชสีห์ เห็นสมเด็จพระประทีแก้วทรงประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ๗ วัน ก็มีจิตเลื่อมใส ทำประทักษิณ เกิดปีติโสมนัส บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง ไม่ละปีติที่มีพุทธคุณเป็นอารมณ์ตลอด ๗ วัน ด้วยปีติสุขนั่นแล ก็ไม่ออกหาเหยื่อ ยอมสละชีวิตถวายแด่สมเด็จพระทศพลญาณเจ้า ยืนยามคอยเฝ้าถวายความปลอดภัยอยู่ใกล้ๆ สมเด็จพระพุทธเจ้า

    ... ครั้นล่วงไป ๗ วัน สมเด็จพระศาสดาก็ออกจากนิโรธสมาบัติ ผู้เป็นสีหะในนรชน ทรงตรวจดูจิตของพญาราชสีห์ ทรงพระดำริว่า

    ... “ ขอราชสีห์นั้นจงมีจิตเลื่อมใสแม้ในภิกษุสงฆ์ ขอสงฆ์จงมา ”

    ... พระภิกษุขีณาสพเจ้าหลายโกฏิก็พากันมาทันทีทันใด พญาราชสีห์ก็ยังจิตให้เลื่อมใสในพระอริยสงฆ์เจ้าเหล่านั้นด้วย




    ..... ครั้งนั้น สมเด็จพระศาสดามหาปทุมพุทธเจ้าทรงตรวจดูจิตของพญาราชสีห์นั้น เห็นว่ามีความเลื่อมใสดีแล้วในพระพุทธเจ้า พระธรรม และในพระอริยสงฆ์ ก็ทรงมีพระพุทธดำรัสตรัสพยากรณ์แก่พญาราชสีห์ว่า

    ... " พญาไกรสรสีหะราชนี้ จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ในภัททกัปอันจักมี ณ ที่สุดแห่งหนึ่งอสงไขยกับอีกแสนกัป ข้างหน้า "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้วก็ยิ่งเลื่อมใส อธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีทั้ง ๓๐ ทัศให้บริบูรณ์

    ... (ขอท่านทั้งหลายที่ได้อ่านอย่าได้กังขาว่าเหตุใดพญาราชสีห์จึงเข้าใจในพระดำรัสที่ตรัสพยากรณ์ได้ ที่พญาราชสีห์โพธิสัตว์สามารถเข้าใจที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสได้นั้น เพราะสมเด็จพระบรมครูทรงใช้นิรุติปฏิสัมภิทาญาณ คืออธิษฐานให้พญาราชสีห์สามารถเข้าใจในพระดำรัสที่ทรงตรัสพระพุทธพยากรณ์)




    ..... สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามหาปทุมพระองค์นั้นทรงมีพระนครชื่อว่า จัมปกะ พระชนกพระนามว่า พระเจ้าอสมะ พระชนนีพระนามว่า พระนางอสมา คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสาละมหาเถระ และพระอุปสาละมหาเถระ พุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระวรุณะมหาเถระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระแม่เจ้าราธามหาเถรี และพระแม่เจ้าสุราธามหาเถรี ต้นพระศรีมหาโพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นมหาโสณะ (อ้อยช้างใหญ่) พระสรีระสูง ๕๘ ศอก พระชนมายุหนึ่งแสนปี พระอัครมเหสีพระนามว่า พระนางอุตตรา ผู้ยอดเยี่ยมด้วยคุณมีพระรูปเป็นต้น พระโอรสของพระองค์น่ารื่นรมย์ยิ่ง พระนามว่า พระรัมมะกุมาร




    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... สมเด็จพระมหามุนี ทรงสูง ๕๘ ศอก พระรัศมีของพระองค์ไม่มีอะไรเสมอ แล่นออกไปทุกทิศ

    ... แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงรัตนะ แสงไฟ แสงมณี แสงเหล่านั้น พอถึงพระรัศมีของสมเด็จพระชินพุทธเจ้าอันสูงสุดก็ถูกกำจัดไปสิ้น

    ... ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุแสนปี สมเด็จพระมหาปทุมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะสงสาร

    ... พระองค์กับทั้งพระสาวก ยังสัตว์ทั้งหลายที่ใจอันกุศลอบรมให้แก่กล้าแล้ว ให้ตรัสรู้ไม่เหลือเลย ส่วนที่เหลือก็ทรงพร่ำสอนแล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน

    ... พระองค์ทรงละสังขารคือร่างกาย เหมือนงูละคราบเก่า เหมือนต้นไม้สลัดใบเก่า แล้วดับขันธปรินิพพานเหมือนดวงไฟที่ดับไปเพราะหมดเชื้อ ฉะนั้น

    ... สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามหาปทุมสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายในกาลครั้งนั้น ได้ล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานกันหมดแล้ว สังขาร คือ ร่างกายทั้งหลายทั้งปวงว่างเปล่าแท้หนอ



    ..... สมเด็จพระพิชิตมารผู้ประเสริฐพระนามว่าสมเด็จพระมหาปทุมวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ วัดธรรมารามมหาวิหาร พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์แผ่กว้างไปในประเทศนั้นๆ ฉะนี้แล ฯ
     
  18. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จพระนารทะปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า



    ..... เมื่อสมเด็จพระมหาปทุมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ศาสนาของพระองค์ก็อันตรธานไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายมีอายุแสนปี ลดลงโดยลำดับจนมีอายุสิบปีแล้วก็เพิ่มขึ้นอีก เป็นอายุหนึ่งแสนปีแล้วก็ลดลงจนมนุษย์มีอายุได้เก้าหมื่นปี



    ..... ครั้งนั้น พระศาสดายอดนรสัตว์พระนามว่านารทะ ผู้ทรงกำลัง ๑๐ มีวิชชา ๓ ผู้แกล้วกล้าด้วยเวสารัชชญาณ ๔ ผู้ประทานวิมุตติสาร อุบัติขึ้นในโลก



    ..... พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาสี่อสงไขยแสนกัป ทรงบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต พระองค์อันท้าวสักกะเทวราชเป็นประธานอ้อนวอนแล้ว จุติจากดุสิตเทวโลกนั้นแล้ว ก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอโนมาเทวี ผู้มีพระโฉมไม่มีที่เปรียบ พระอัครมเหสีในราชสกุลพระเจ้าสุเทวะ วาสุเทพแห่งวีริยะรัฐของพระองค์ กรุงธัญญะวดี ครบทศมาส พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ ธนัญชัยราชอุทยาน

    ... ในวันเฉลิมพระนาม เมื่อกำลังเฉลิมพระนาม เครื่องอาภรณ์ทั้งหลายที่สมควรเหมาะแก่การใช้สำหรับมนุษย์ทั้งหลายทั่วชมพูทวีป ก็หล่นจากต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นทางอากาศ ด้วยเหตุนั้น เขาจึงถวายเครื่องอาภรณ์ทั้งหลายที่สมควรสำหรับนรชนทั้งหลายแต่พระองค์ เพราะฉะนั้น พวกโหรและพระประยูรญาติทั้งหลายจึงเฉลิมพระนามว่า นารทะ




    ..... พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี มีปราสาท ๓ หลังเหมาะฤดูทั้ง ๓ ชื่อว่าวิชิตะปราสาท วิชิตาวีปราสาทและวิชิตาภิรามะปราสาท พระชนกชนนีได้ทรงทำขัตติยกัญญาผู้มีบุญอย่างยิ่ง พระนามว่าวิชิตเสนา ผู้ถึงพร้อมด้วยสกุลศีลาจารวัตรและรูปสมบัติให้เป็นอัครมเหสีแก่นารทะกุมารนั้น พระสนมนารีจำนวนแสนสองหมื่นนางมีพระนางวิชิตเสนานั้นเป็นประธาน




    ..... เมื่อพระนันทุตตระกุมารผู้นำความบันเทิงใจแก่โลกทั้งปวง ของพระนางวิชิตเสนาเทวีนั้น ประสูติแล้ว พระนารทะโพธิสัตว์นั้นก็ทรงเห็นนิมิต ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ อันจตุรงคเสนาทัพใหญ่แวดล้อมแล้วทรงเครื่องนุ่งห่มอันเบาดี สีต่างๆ สวมกุณฑลมณีมุกดาหาร ทรงพาหุรัดพระมงกุฏและทองพระกรอย่างดี ทรงประดับด้วยดอกไม้กลิ่นหอมอย่างยิ่ง ดำเนินด้วยพระบาทสู่พระราชอุทยาน ทรงเปลื้องเครื่องประดับทั้งหมด มอบไว้ในมือพนักงานรักษาคลังหลวง ทรงตัดพระเกศาและมงกุฏของพระองค์ที่ประดับด้วยรัตนะอันงามอย่างยิ่ง ด้วยพระขรรค์อันคมกริบ เฉกเช่นกลีบบัวขาบอันไม่มีมลทินด้วยพระองค์เอง แล้วทรงเหวี่ยงไปที่ท้องนภากาศ

    ... ท้าวสักกะเทวราชทรงรับพระเกศาและมงกุฏของพระองค์ด้วยผอบทอง นำไปภพดาวดึงส์ บรรจุไว้ที่พระเกศแก้วจุฬามณีเจดียสถาน



    ..... ฝ่ายพระมหาบุรุษทรงครองผ้ากาสายะที่เทวดาถวาย ทรงผนวช ณ อุทยานนั้นนั่นเอง บุรุษแสนคนก็บวชตามเสด็จ พระมหาบุรุษทรงทำความเพียรอยู่ในที่นั้น ๗ วัน

    ... วันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่พระนางวิชิตเสนาอัครมเหสีถวาย ทรงพักกลางวัน ณ พระราชอุทยานทรงรับหญ้า ๘ กำที่พนักงานเฝ้าพระสุทัสสนะราชอุทยานถวาย ทรงทำประทักษิณต้นมหาโสณะโพธิพฤกษ์ ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๕๘ ศอก ทรงประทับนั่งขัดสมาธิแล้วอธิษฐานจิตว่า

    ... " แม้หนังเอ็นกระดูกเท่านั้นจักเหลืออยู่ เนื้อและเลือดในสรีระนี้จักเหือดแห้งไปก็ตามที ประโยชน์ใด อันบุคคลจะลุถึงได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียรความบากบั่นของบุรุษ ถ้ายังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว จักหยุดความเพียรของบุรุษเสียเป็นไม่มี "

    ... พระองค์ทรงเริ่มเจริญอานาปานสติจนได้ฌาน ๘ เมื่อจิตสบายดีแล้ว ถอยลงมาอุปจารสมาธิ แล้วพระองค์คิดว่า

    ... " กิเลสทั้งหลายที่เข้ามาขัดข้องจิต ทำให้ทุกคนเห็นผิดเป็นถูกข้อนั้น มีอะไรบ้าง ขอจงปรากฏกับจิตของเรา "



    ... ในครั้งนั้น จิตพระองค์สว่างไสวยิ่งนัก ทรงเห็นเทวดาและพรหมทั้งหลายยืนประณมมือนมัสการพระองค์เต็มห้องจักรวาล ทรงยังปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้บังเกิด คือระลึกชาติของพระองค์ได้ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ

    ... ในยามที่สองทรงยังจุตูปปาตญาณให้บังเกิด ทรงเห็นการเกิดตายของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย

    ... ในยามที่สามทรงพิจารณาปฏิจจะสมุปบาท ในกาลปัจจุสมัยใกล้รุ่ง ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ตรัสเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก ทรงเปล่งพระอุทานว่า

    ... " เราแสวงหาตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบจึงต้องท่องเที่ยวไปตลอดชาติสงสารเป็นอันมาก ชาติ(คือ)ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนตัณหานายช่างผู้สร้างเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนอีกไม่ได้ โครงสร้างเรือนของท่านเราหักหมดแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อออกแล้ว จิตของเราถึงธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว "




    ..... แล้วพระองค์ทรงยับยั้งเสวยวิมุติสุขอยู่ ณ ที่ใกล้พระศรีมหาโพธิพฤกษ์ตลอด ๗ สัปดาห์ อันท้าวสหัมบดีมหาพรหมอาราธนาแล้ว ประทานคำรับรองแล้ว อันภิกษุแสนรูปที่บวชกับพระองค์ ณ ธนัญชัยราชอุทยานแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ


    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... ต่อจากสมัยของสมเด็จพระมหาปทุมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า นารทะ ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้า ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ

    ... พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นเชษฐโอรสน่าเอ็นดูของพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงสวมอาภรณ์แก้วมณีเสด็จเข้าพระราชอุทยาน ณ พระราชอุทยานนั้น มีต้นไม้งามกว้างใหญ่สะอาดสะอ้าน เสด็จถึงต้นไม้นั้นแล้วประทับนั่งภายใต้ต้นมหาโสณะ ณ ต้นไม้นั้น ก็เกิดญาณอันประเสริฐไม่มีที่สุดคมเปรียบด้วยวชิระ ก็ทรงพิจารณาความเกิดความดับของสังขารทั้งหลาย ทรงขจัดกิเลสทุกอย่างไม่เหลือเลย ณ ต้นไม้นั้น ทรงบรรลุพระโพธิญาณและพระพุทธญาณ ๑๔ สิ้นเชิง

    ... เขาว่า ในราชอุทยานนั้นมีต้นไม้ต้นหนึ่งชื่อว่ารัตตะโสณะ เขาว่าต้นรัตตะโสณะนั้นสูง ๙๐ ศอก ลำต้นเกลากลม มีค่าคบและกิ่งก้านสะพรั่ง มีใบเขียวหนาและกว้าง มีเงาทึบเพราะมีเทวดาสิงสถิต จึงปราศจากหมู่นกนานาชนิดสัญจร เป็นดิลกจุดเด่นของพื้นธรณี กระทำประหนึ่งราชาแห่งต้นไม้ ดูน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ทุกกิ่งประดับด้วยดอกสีแดง เป็นจุดรวมแห่งดวงตาของเทวดาและมนุษย์

    ... พระมหาบุรุษนารทะทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ทรงรับอาราธนาของท้าวมหาพรหม ทรงทำภิกษุแสนโกฏิซึ่งบวชกับพระองค์ ณ ธนัญชัยราชอุทยาน ไว้เฉพาะพระพักตร์แล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ภิกษุแสนโกฏิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2013
  19. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระยานาคชื่อโทณะ มีฤทธานุภาพมาก มหาชนสักการะเคารพนับถือบูชา อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ใกล้มหาโทณะนคร พวกมนุษย์ชาวชนบทในถิ่นใดไม่ทำการบวงสรวงพระยานาคนั้น พระยานาคนั้นก็จะทำถิ่นนั้นของมนุษย์พวกนั้นให้พินาศโดยทำไม่ให้ฝนตกบ้าง ให้ฝนตกมากเกินไปบ้าง ทำฝนก้อนกรวดให้ตกลงบ้าง

    ... ลำดับนั้น สมเด็จพระนารทะบรมศาสดาผู้ทรงเห็นฝั่ง ทรงเห็นอุปนิสัยของสัตว์เป็นอันมากในการแนะนำพระยานาคโทณะ อันภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว จึงเสด็จไปยังสถานที่อยู่ของพระยานาคนั้น

    ... แต่นั้น มนุษย์ทั้งหลายเห็นพระศาสดาแล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า

    ... " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระยานาคมีพิษร้าย มีเดชสูง มีฤทธานุภาพมาก อาศัยอยู่ในที่นั้น มันจักเบียดเบียน พระองค์ไม่ควรเสด็จไปพระเจ้าข้า "

    ... แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทำประหนึ่งไม่ฟังคำของมนุษย์เหล่านั้นเสด็จไป ครั้นเสด็จไปแล้วก็ประทับนั่งบนเครื่องลาดดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง ซึ่งพวกมนุษย์เซ่นสรวงพระยานาคนั้นในที่นั้น เขาว่า มหาชนประชุมกันด้วยหมายว่าจะเห็นการยุทธของสองฝ่าย คือสมเด็จพระนารทะจอมมุนีและพระยานาคโทณะ

    ... ครั้งนั้น พระยานาคเห็นสมเด็จพระนาคมุนีนั่งอย่างนั้น ทนการลบหลู่ไม่ได้ก็ปรากฏตัวบังหวนควัน แม้สมเด็จพระทศพลก็ทรงบังหวนควัน

    ... พระยานาคบันดาลไฟอีก แม้พระมุนีเจ้าก็ทรงบันดาลไฟบ้าง พระยานาคนั้นมีเนื้อตัวลำบากอย่างเหลือเกิน เพราะเปลวควันที่พลุ่งออกจากพระสรีระของพระทศพล ทนทุกข์ไม่ได้ก็ปล่อยพิษออกไป หมายจะฆ่าพระองค์ด้วยความเร็วแห่งพิษ ทั่วทั้งชมพูทวีปพึงพินาศด้วยความเร็วแห่งพิษ แต่พิษนั้นไม่สามารถจะทำพระโลมาแม้เส้นเดียวในพระสรีระของพระทศพลให้สั่นสะเทือนได้

    ... ทีนั้น พระยานาคนั้นก็ตรวจดูว่า พระสมณะมีความเป็นไปอย่างไรหนอ ก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพักตร์งามผ่องใส รุ่งเรืองด้วยพระพุทธรัศมี ๖ พรรณะเต็มที่ดุจพระอาทิตย์และพระจันทร์ในฤดูสารท ก็คิดว่า " โอ! พระสมณะนี้มีฤทธิ์มาก เราไม่รู้กำลังของตัวเองผิดพลาดไปเสียแล้ว " แสวงหาที่ช่วยตัวเอง ก็ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแหละเป็นสรณะ

    ... ลำดับนั้น สมเด็จพระนารทะมุนีเจ้าฝึกพระยานาคนั้นแล้ว ก็ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ เพื่อยังจิตของมหาชนที่ประชุมกันในที่นั้นให้เลื่อมใส ครั้งนั้น สัตว์เก้าหมื่นโกฏิก็ตั้งอยู่ในพระอรหัตตผล นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒




    ..... ครั้งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาทพระนันทุตตระกุมารพระโอรสของพระองค์ อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ



    ..... ก็ครั้งที่พราหมณ์สหาย ๒ คน ชื่อภัททะสาละและวิชิตมิตตะ กำลังแสวงหาห้วงน้ำคืออมฤตธรรม ก็ได้เห็นสมเด็จพระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้ายิ่ง ประทับนั่งในบริษัท เขาเห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการในพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตกลงใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก เกิดศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยบริวารก็บวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อสองสหายนั้นบวชแล้วบรรลุพระอรหัตแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุแสนโกฏิ นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑.




    ..... สมัยที่สมเด็จพระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพุทธวงศ์ จำเดิมแต่ทรงตั้งปณิธานของพระองค์ ในสมาคมพระญาติ ภิกษุเก้าหมื่นโกฏิประชุมกัน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒




    ..... ครั้งที่พระยานาคชื่อเวโรจนะ ผู้เลื่อมใสในการฝึกพระยานาคชื่อมหาโทณะ เนรมิตมณฑปที่สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขนาด ๓ คาวุตในแม่น้ำคงคา อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งบริวารให้ประทับนั่ง ณ มณฑปนั้น พร้อมทั้งบริวารก็นิมนต์เพื่อทรงชมโรงทานของตน ณ ชนบทของตน ให้เหล่านาฏกะนักฟ้อนรำนาคและนักดนตรีผู้บรรเลงดนตรีชื่อตาละ ซึ่งทรงเครื่องประดับแต่งตัวนานาชนิด ได้ถวายมหาทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งบริวารด้วยสักการะใหญ่ เสวยเสร็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำอนุโมทนาเสมือนเสด็จลงสู่มหาคงคา

    ... ในกาลนั้นทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุแปดล้านผู้ฟังธรรม เวลาจบอนุโมทนาภัตทาน เลื่อมใสแล้วบวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา นั้นเป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓




    ..... ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราบวชเป็นฤาษี เป็นผู้ชำนาญในอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ สร้างอาศรมอาศัยอยู่ข้างภูเขาหิมพานต์

    ... ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านารทะอันพระอรหันต์แปดสิบโกฏิและอุบาสกผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผลหนึ่งหมื่นแวดล้อม เสด็จไปยังอาศรมนั้น เพื่ออนุเคราะห์ฤาษีโพธิสัตว์นั้น

    ... ท่านฤาษีโพธิสัตว์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้านารทะเท่านั้นก็ปลื้มใจ สร้างอาศรมเพื่อเป็นที่ประทับอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งบริวาร ประกาศพระคุณของพระศาสดาสิ้นทั้งคืน ฟังธรรมกถาของพระผู้มีพระภาคเจ้า

    ... วันรุ่งขึ้นก็ไปอุตตรกุรุทวีป นำอาหารมาจากที่นั้น ได้ถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้า พร้อมทั้งบริวาร ถวายมหาทานอย่างนี้ ๗ วัน นำจันทน์แดงที่หาค่ามิได้มาจากป่าหิมพานต์บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยจันทน์แดงนั้น

    ... ครั้งนั้น สมเด็จพระทศพลญาณเจ้าอันเทวดาและมนุษย์แวดล้อมแล้ว ตรัสธรรมกถาแล้วทรงพยากรณ์ว่า

    ... " มหาฤาษีผู้มีมหานุภาพนี้ นานไปในอนาคตกำหนดแต่นี้ไปในที่สุด หนึ่งอสงไขยแสนกัป จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้า อย่างแม่นมั่นในภัททกัปนั้น "

    ... เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้วก็ยิ่งร่าเริงใจ จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้น เพื่อบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์




    ..... สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านารทะพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีพระนครชื่อว่า ธัญญะวดี พระชนกเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าสุเทวะ พระชนนีพระนามว่า พระนางอโนมา คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระภัททสาละมหาเถระ และพระชิตมิตตะมหาเถระ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระวาเสฏฐะมหาเถระ คู่พระอัครสาวิกาชื่อว่า พระแม่เจ้าอุตตรามหาเถรี และ พระแม่เจ้าผัคคุนีมหาเถรี โพธิพฤกษ์ชื่อว่า ต้นมหาโสณะ พระสรีระสูง ๘๘ ศอก พระรัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์แผ่ไปโยชน์หนึ่งเป็นนิตย์ ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี พระอัครมเหสีของพระองค์พระนามว่า พระนางวิชิตเสนา พระโอรสพระนามว่า นันทุตตระกุมาร พระองค์มีปราสาท ๓ หลังชื่อวิชิตะปราสาท วิชิตาวีปราสาท และวิชิตารามปราสาท พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี พระองค์เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยพระบาท



    ..... ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

    ... พระมหามุนีทรงสูง ๘๘ ศอก เช่นเดียวกับรูปปฏิมาทอง หมื่นโลกธาตุก็เจิดจ้า พระรัศมีวาหนึ่ง แล่นออกจากพระวรกายของพระองค์แผ่ไปทั้งทิศน้อยทิศใหญ่ แผ่ไปโยชน์หนึ่งทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีระหว่างทุกเมื่อ

    ... สมัยนั้น ชนบางพวกจุดคบเพลิงและตามประทีปให้ติดสว่าง ในที่รอบๆ โยชน์หนึ่งไม่ได้ เพราะพระพุทธรัศมีครอบงำไว้เสีย

    ... ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี สมเด็จพระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น ก็ยังหมู่ชนเป็นอันมาก ให้ข้ามโอฆะสงสาร

    ... ท้องฟ้างามไพจิตร ด้วยดวงดาวทั้งหลายฉันใด ศาสนาของพระองค์ก็งามด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน

    ... สมเด็จพระนราสภพระองค์นั้น ทรงทำสะพานคือธรรม เพื่อยังผู้ปฏิบัติที่เหลือให้ข้ามกระแสสังสารวัฎฏ์ แล้วเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

    ... พระพุทธเจ้าผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีผู้เสมอ พระองค์นั้นก็ดี พระขีณาสพทั้งหลายผู้มีเดชที่ชั่งไม่ได้เหล่านั้นก็ดี ทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขาร(คือร่างกาย)ทั้งปวงก็ว่างเปล่าแน่แท้



    ..... สมเด็จพระนารทะชินเจ้าผู้ประเสริฐ เสด็จล่วงลับดับขันธปรินิพพาน ณ สุทัสสนะนคร พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอันประเสริฐของพระองค์สูงถึง ๔ โยชน์ ก็ประดิษฐานอยู่ ณ สุทัสสนะนครนั้น ฉะนี้แล.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2013
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขอร่วมอนุโมทนาในมหากุศลที่ท่านเจ้าของกระทู้ ได้เป็นผู้เผยแผ่พระประวัติของเหล่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกครับ อันเป็นการสร้างศรัทธายิ่งต่อพุทธศาสนา และสืบทอดพระศาสนาสืบไปครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...