หัวใจสำคัญของการปฏิบัติอยู่ที่นี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กลายแก้ว, 10 ตุลาคม 2013.

  1. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    สิ่งที่ต้องเข้าไปดู หรือ ให้เห็นตลอดเวลา เปิดตาใจ คือ ตาปัญญา สัมมาทิฐิ(ดู เห็น) และตาปัญญา สังมาสังกัปปะ (พิจารณา) เกียวกับกาย-ใจ เฝ้าดู การเกิด-ดับ เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาอย่างนี้จริงหรือไม่


    ลองเอาความเป็นกู(อัตตา) ไปบังคับไม่ให้ เช่น ลมหายใจ หายใจเข้าออกจนสุดแล้ว บังคับให้หยุดหรือกลั้นลมหายไว้ บังคับไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกันให้ใช้ปัญญาพิจารณา (สัมมาสังกัปปะ) ตามไปด้วย ลองสังเกตุูดูให้ดีทุกระยะดูว่า มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายจิตใจบ้าง


    ที่ท่านจะเห็นคือรู้จักทุกขัง คือ ความทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ เกิดกับร่างกายก่อน แล้วความอึดอัดในอกกลั้นหายใจไม่ได้อีกต่อไป ท่านก็จะได้รู้เห็น ความทุกข์ที่แท้จริงเกิดขึ้นกับร่างกาย อึดอัดกระสับกระส่าย

    ผู้ที่เห็นความทุกข์กายทรมานที่ใจ เรียกลึกลงไปตามลำดับนี้ คือ ตาปัญญา(สัมมาทิฐิ) (นาม ปัญญา) ผู้ที่ชีั้ให้เห็นความจริงเหล่านี้ คือ ตาปัญญา (สัมมาสังกัปปะ) ตัวจิตที่เฝ้าสังเกตุพิจารณาอยู่กับสภาวะนั่นเอง ทั้งหมดนี่คือกระบวนการให้เห็นทุกข์

    ผลที่เห็นคือ คือเห็นอัตตา ที่ไปบังคับธาตุลม คือลมหายใจที่เข้าออกตามธรรมชาติ คือ จิตโง่ที่ไปพยายามบังคับลมหายใจ ตาปัญญาเห็นว่าลมหายใจ บังคับไม่ได้ นิโรธะ ความเป็นปกติสุข เมื่อไม่มีกู(อัตตา) ไปบังคับลมหายใจ
     
  2. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ข้าพเจ้าจึงได้คำตอบว่า การเริ่มก้าวเดินทางเข้าสู่ทางสายเอก หรือ ทางสายกลางมัฌชิมาปฏิปานี้ ก็คือ การเริ่มพิจารณาค้นหา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เห็นตามกำลังสติปัญญาของตน เมื่อรู้ได้บ้างแล้ว ไม่ว่าจะหยาบหรือละเอียด ที่กายและใจ ดู หรือ เห็น พิจารณาแล้วว่าเป็นจริง แล้วยอมรับได้บ้าง เริ่มละกิเลตัณหาให้เบาบางบ้าง รู้เห็นสิ่งที่เกิดมากระทบกับใจ แล้วรู้ที่มาที่ไป รู้เหตุและปัจจัย รู้ตามความเป็นจริง ยอมรับ ไม่ฝืน เริ่มปล่อยวาง ถึงจะทุกข์ก็ทุกข์ไม่นาน เพราะเราเริ่มรู้แล้ว


    เมื่อเราได้สั่งสมไว้เป็นภูมิปัญญา ภูมิรู้ ภูมิธรรม ที่เรียกว่าเจอเหตุการณ์จริงแล้วสามารถแก้ไขได้ ให้เกิดการกระทำถูกต้อง นั่นคือ การก้าวเดินตามมรรค ซึ่งถ้าเราไม่สามารถจะทำนิพพานชาตินี้ได้ ชาติต่อไปที่มีเก็บแล้วไว้ในจิต
    คือ ปัญญา สิ่งที่สะสมไว้ย่อมต้องมาสร้างต่อแน่นอน
     
  3. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ว่าแล้วเชียว ต้องตอบแบบนี้ นั่นเป็นพิธีกรรมของการบวช
    ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่ พระอุปัชฌา จะต้องบอกมูลกรรมฐาน หรือ "ตจปัญจกกรรมฐาน"

    ว่าแต่ เอ้..ขันธ์5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    ดังนั้น ผู้จะพิจารณาขันธ์5 โดยความเป็นไตรลักษณ์ ทั้งพระฆราวาส
    คือ รูป ก็ไม่พ้น เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ หรือในอาการ32 ซึ่งเป็นในส่วนของรูป หรือธาตุ4

    บางวัดบางพระอาจารย์ หากมีธรรมเนียมพิธีการปฏิบัติ

    ก็จะมีการให้กล่าวคำสมาทานศีล และขึ้นพระกรรมฐาน ระลึกในคุณความดี
    เพื่อเป็นกำลังพิจารณาธาตุ4 ขันธ์5 รูปนาม ต่อไป

    เรื่องของเรื่องตั้งแต่ต้น คุณบอกว่า "พระสอนคนธรรมดาปฏิบัติไม่ได้"
    เราจึงไล่รุก พอไล่ไปไล่มา ดันตอบกลับลำหลบมุม

    หากจะเอาจริงๆ การบวชการออกจากเรือนนั้นดีแน่นอน แต่ต้องปฏิบัติดี ปฏิบัติตรงนะ เป็นการเปิดทางให้สว่าง
    เพราะหนทางฆราวาสนั้นเป็นที่คับแคบ พัวพันด้วยกามคุณ มากกว่า

    เข้าเรื่อง ของฆราวาส ไม่แน่อาจจะมีบางคนเคยไปขึ้นพระกรรมฐานตามแบบพิธีการ
    กับพระวัดใดวัดหนึ่งท่านอาจจะบอกให้ระลึกในอนุสสติ มีศีลานุสติ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เป็นหนึ่งในกรรมฐานหรือไม่

    พอพระไม่ให้กรรมฐาน ขจรก็จะไม่สามารถที่จะเจริญกรรมฐาน ด้วยการพิจารณารูปไม่เที่ยง ไม่ได้ มันใช่หรือ

    ทั้งที่สำนักปฏิบัติกรรมฐาน พระสอนฆราวาส ทั้งเป็นปุถุชนหรือไม่ปุถุชนไม่ทราบ
    ซึ่งก็มีอยู่เยอะแยะ ซึ่งมันไม่ใช่คนละเรื่องเซี่ยงเมี่ยงเดียวกัน เฉกเช่น "เอกะ กับ เอกัค" ซื่อสัตย์ไหม

    แต่กลับมาบอกว่า ให้เป็นเรื่อง พระให้กรรมฐาน5 แก่ฆราวาสไม่ได้ซะงั้น

    ทั้งที่ บอกแต่ตอนต้น

    v

    สาวกอุบาสก อุบาสิกา ในสมัยพุทธกาล ไม่มีใครบอกทางให้หรือ
    จู่ๆไม่มีใครให้ทำกรรมฐานไม่พิจารณาอะไรเลย กลับสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ก็หลายท่าน

    "พระอัสสชิ" บอกอะไรให้กับ "อุปติสสะ" ในสมัยที่เป็นฆราวาส (ท่านพระสารีบุตร)

    ถ้าสาวลึกลงไปแล้ว เอาเข้าจริง "กรรมฐาน" แปลว่าอะไร ?

    หากไม่แปลว่า "การงานที่เป็นเหตุ แห่งการบรรลุคุณวิเศษ" จะให้แปลว่าอะไร

    ในพระบาลี ตามนัยแห่งมูลฎีกา
    "กมฺมเมว วิเสสาธิคมนสฺส ฐานนฺติ กมฺมฐาน"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ตุลาคม 2013
  4. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ...ผมว่าน่าจะมีอะไรทำให้คุณเข้าใจผิดนะครับ ไม่รู้สิแต่รู้สึกอย่างนั้น ถ้าจะให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง อธิบายใหม่อีกทีได้ไหมว่าเพราะอะไร...หรือ...
    เท่านี้ละกัน
     
  5. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    หรือคุณจะอยากมีพัดยศ มีเงินเดือนประจำตำแหน่ง ล่ะจ๊ะ ระดับเจ้า เจ้าคณะตำบลนี่ ยังไม่ธรรมดาเลยนะท่าน พัดลมไม่เอา ต้องติดแอร์ เหมือนสวรรค์เมืองทิพย์ มีหูทิพย์ตาทิพย์ ทั้งโทรทัศน์ โทรศัพท์ ตู้เย็น รถประจำตำแหน่งด้วย

    เอาสิ ท่านว่า พระที่ไหนที่อยู่ดีกินดี ร่ำรวยแบบนี้จะอยากมาสอน คนจนจนล่ะท่าน นะจ๊ะ คนจนจนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เจอกับเจ้าอาวาสหรอกนะจ๊ะ
     
  6. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ก็พูดกันกับเรื่องปัจจุบันนี้ พระสงฆ์ในปัจจุบันนี้ ไปยกมาทำไมตั้งไกล นั่นมัน 2556 ปีมาแล้ว ยกมาทำไมจ๊ะ พูดไม่รู้เรื่องจริงๆ

    เก่งจริงๆเลยเรื่องยกพระสงฆ์สมัยพุทธกาลมาคุยนี่ แต่เรื่องพระสงฆ์ในปัจจุบันนี้ ไม่เห็นจะกล้าพูดเลย นะจ๊ะ กลัวหรือจ๊ะ

    ตกลงท่านคือคนที่พูดภาษาคน ไม่รู้เรื่องหรือจ๊ะ

    ผมพูดว่า พระไม่สมควรสอนกรรมฐาน ให้กับคน ที่ไม่ไช่พระ เพราะถ้าสอนแล้ว มันจะต้องไปบวชเป็นพระเท่านั้น ตามครูผู้สอนอย่างแน่นอน ที่ผมต้องพูดก็เพราะว่า สุดท้าย พระสารีบุตร บวชมั้ยล่ะ คำตอบคือ บวชเป็นพระไงจ๊ะ แล้วถ้าใครไม่บวชล่ะ จะเกิดกรรมไงจ๊ะ
    เพราะถ้าใครจะบวชเป็นพระได้ ญาติโยมต้องไม่มีคนคัดค้านแม้แต่เสียงเดียว นะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2013
  7. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ที่ผมต้องพูด เพราะมีบางคน อยากเรียนกรรมฐานกับพระ อยากฝึกกรรมฐานจากพระ แต่ไม่ยอมที่จะบวชเป็นพระ มันจะติดค้างไปทุกชาติไปนะจ๊ะ
     
  8. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    สาวกอุบาสก อุบาสิกา ในสมัยพุทธกาล ไม่มีใครบอกทางให้หรือ
    จู่ๆไม่มีใครให้ทำกรรมฐานไม่พิจารณาอะไรเลย กลับสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ก็หลายท่าน

    "พระอัสสชิ" บอกอะไรให้กับ "อุปติสสะ" ในสมัยที่เป็นฆราวาส (ท่านพระสารีบุตร)พระสารีบุตรนี่บวชเป็นพระมั้ยจ๊ะ
    ถ้าสาวลึกลงไปแล้ว เอาเข้าจริง "กรรมฐาน" แปลว่าอะไร ?

    หากไม่แปลว่า "การงานที่เป็นเหตุ แห่งการบรรลุคุณวิเศษ" จะให้แปลว่าอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2013
  9. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    เถียงแบบข้างๆคูๆ เถียงแม้กับสิ่งที่ตนเองยกมา เอง
    เถียงเพราะต้องการเอาชนะ เถียงเพราะไม่เคยยอมรับความจริง

    ก็บอกว่า ไปเรียนกรรมฐานจากพระ อยากเป็นพระหรือยังไง ถ้าอยากเรียกกรรมฐานจากพระก็ให้ไปบวชเป็นพระก่อนค่อยเรียน
    ไม่เข้าใจภาษาไทยหรือไงจ๊ะ
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ทำไมต้องไปบังคับมันครับ?

    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นตลอดเวลา เป็นธรรมชาติ โดยไม่มีอัตตาเข้าไปเกี่ยวข้องนะครับ
    ถ้าจะทำให้จิตเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยการเข้าไปบังคับ แน่ใจหรือว่าจิตจะเห็นไตรลักษณ์ที่แท้จริง ที่ปราศจากการแทรกแซง?
     
  11. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ..จำที่หลวงตาไปขอเรียนกรรมฐานกับหลวงปู่มั่นได้ไหมครับ..

    .." ความรู้ใด ที่ท่านมหาได้เรียนมา ขอให้ยกบูชาไว้บนหิ้งก่อน แต่อย่าได้เข้าใจว่าเราประมาทธรรมของพระพุทธองค์ .."หลวงปู่มั่นกล่าว

    นี่คือ ปัญหาของท่าน จขกท.อาจติดภาคตำรามากไป ..ยกขึ้นบนหิ้งก่อน ธรรมที่ท่านได้เรียนมา เมื่อถึงสภาวะโอกาส เขาจะมารวม มาให้คุณแก่ท่านเอง แต่ตอนนี้ยกไว้บนหิ้งก่อน...ลงมือปฏิบัติ สาธุ
     
  12. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    แล้วมันเกี่ยวกันยังไงละ พระอัสสชิเป็นพระอริยะเจ้า มานพน้อยก่อนนั้นเป็นปุถุชน พระอัสสชิบอกธรรมเล็กน้อย มานพนั้นก็เข้าใจพิจารณาเห็นความไตรลักษณ์ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพัดยศ หรือ พัดลม มันเกี่ยวกับ การมองเห็นที่ใช้สิ่งที่ไม่ใช่ตามองเห็นจะเรียกอะไรก็ช่างที่มองเห็น แต่ใครก็ตามที่ทำได้นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี ตามธรรมดาคือ ผู้เห็นก่อนก้บอกผู้ยังไม่เห็นและพร้อมจะเห็น มันก็เป็นเพียงเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ทีนี้ปัญหาคือ แล้วใครละที่เห็นแน่และเห็นมาก่อนหน้านั้นแล้ว มันจึงไม่ติดที่เป็นอะไรๆๆทั้งนั้น แต่อย่างน้อยก็ควรต้องเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ที่คุณคิดมันเป็นความคิดของความยึดติดว่าเพราะแบบนั้นจึงเป็แบบนี้ มันไม่ใช่ความหมายของธรรมะ แต่ประการใด ธรรมะที่นี้หมายถึงธรรมะที่พระพุทธเจ้าประธานให้ไว้พิจารณา ไม่งั้นมันก็คงต้องมีนั่นมีนี่จึงทำได้ เข้าถึงธรรมได้ เพียงแต่ที่ว่ามีนั่นมีนี่ มันคืออะไรละ มันสร้างจากอะไรถ้าสร้างจาก ธรรมชาติก็ควรจะเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าสร้างจากความคิดสังคม ประมวลเหตุผลไปตามความคิด วันหนึ่งมันจะย้อนเข้าหาตัวเองนะ อย่าไปยึด

    เพราะฟังแล้วไม่เกี่ยวกัน ระหว่างธรรมะกับยศฐามันคนละเรื่องลันคั๊บ
     
  13. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ถ้างั้นคุณวงกลม ลองอธิบายคำนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ
    อริยะสงฆ์สาวก สงฆ์สาวก สมมติสงฆ์ และ อริยะบุคคล เป็นเหมือนข้อสอบเลย อะไรเหมือนกันบ้างอะไรต่างกันบ้างและต่างกันอย่างไร
     
  14. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ถ้ากลับไปอ่านข้อความโพสนั้นดีๆ ไม่แปรไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง มาเป็น อนิจจัง สุขขัง อนัตตา ล่ะก็
    ขจรก็จะเห็นข้อความ ที่ได้หยิบยกมาที่มีทั้งในปัจจุบัน และก็ย้อนเพื่อให้เห็นภาพการเผยแผ่ธรรมในอดีต


    ส่วนเหตุการณ์เรื่องราวในปัจจุบันที่เสียๆหายในวงการสงฆ์
    แน่นอนต้องมีผิดเพี้ยนอยู่บ้าง กับผู้แพ้ภัยที่เป็นสิ่งยั่วต่อบรรพชิต
    ไม่ใช่ว่าในอดีตไม่เคยเกิดขึ้น ไม่งั้นธรรมวินัยจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    "พระไม่สมควรสอนกรรมฐาน" ให้กับฆราวาสด้วยแล้ว
    จะให้ท่านผู้บริสุทธิ์สอนอะไรล่ะครับ ให้ท่านสอนเฉพาะละชั่ว ทำดี แค่นั้นหรอ
    และหลักการทำจิตใจให้บริสุทธิ์ที่ท่านเคยผ่านมา ซึ่งหมายถึงการทำกรรมฐานภาวนา ในการทำเหตุปัจจัย
    ฆราวาสผู้มีอินทรีย์ที่อบรมศีลดีแล้ว ไม่มีสิทธิ์รับรส อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เลยหรือ

    ถ้างั้นแล้ว ขจรผู้เข้าใจหลงตนว่าเองจบกิจตั้งแต่สมัยบวช ทำไมจึงสึกขาลาเพศ

    คงจะไม่ใช่เหตุผลที่ว่า เพราะต้องการมาโปรดฆราวาส

    ไต่ขอบวงกลมตกขอบข้างๆคูๆ แล้วก็กลับเรื่องโลกขอบด้ง ผิดเพี้ยนตามความเป็นจริง
    พยายามเพื่อจะนอกตำรา เพื่อให้ดูว่าไม่เป็นผู้ติดในตำรา จึงเอาทุกขัง มาเป็น สุขขัง

    จะต้องการเอาชนะไปเพื่ออะไร

    ใช่ไม่ใช่ วงกลม.
     
  15. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ถ้ากลับไปอ่านข้อความโพสนั้นดีๆ ไม่แปรไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง มาเป็น อนิจจัง สุขขัง อนัตตา ล่ะก็
    ขจรก็จะเห็นข้อความ ที่ได้หยิบยกมาที่มีทั้งในปัจจุบัน และก็ย้อนเพื่อให้เห็นภาพการเผยแผ่ธรรมในอดีต
    ............................
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์

    เมื่อฝึกสติปัฏฐาน จนเข้าใจ อริยัสัจ4 รู้ความจริงของทุกข์ รู้ความจริงของต้นเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และดับทุกข์ได้ ก็หมายถึง พ้นทุกข์เพราะรู้ความจริงไม่หลงว่า ที่จริงมันไม่มีทุกข์ ความไม่เที่ยงไม่ไช่เหตุแห่งทุกข์ไงจ๊ะ ที่ทุกข์เพราะหลงไปยึดมั่นถือมั่นให้ มันเที่ยงไงจ๊ะ แต่ควบคุมไม่ได้เลยทุกข์ นะจ๊ะ อย่าดำน้ำสิจ๊ะ

    ทีนี้เมื่อรู้ความจริงว่า ความไม่เที่ยงไม่ไช่เหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง นั่นเพราะ หนทางดับทุกข์คือ มรรคแปด ก็คือ ดับทุกข์ได้เพราะมรรคแปด เพราะมีมรรคแปด เป็นหนทางดับทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ทุกข์หรือความไม่เที่ยงนั้น มันดับได้ ไม่ไช่หรือจ๊ะ เอ๊ะ หรือ พระพุทธเจ้าท่านจะสอนผิดหรือจ๊ะ ไม่นะ เพราะ มรรคแปด เป็นหนทางดับทุกข์ได้จริงๆ ก็คือ ดับทุกข์ที่เกิดจากความไม่เที่ยงทั้งหลาย นั่นเอง หรือจะเถียงจ๊ะ

    ดังนั้นเมื่อความไม่เที่ยงถูกดับ เพราะหลงว่าเป็นทุกข์ มันก็คือรู้ความจริงว่า มันไม่ทุกข์ก็คือ สุขไงจ๊ะ
    หรือ ที่เคยหลงว่า ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ก้ความไม่เที่ยง เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ถ้าสิ่งเหล่านี้ เป็นทุกขขัง ที่ เที่ยงแท้แน่นอน ดับไม่ได้ แล้วพระพุทธเจ้าจะสอนมรรคแปด เพื่อดับทุกข์ ทำไมกันล่ะจ๊ะ

    ตนเองไม่รู้ ก็ไม่ว่ากันนะจ๊ะ สำหรับผม ความไม่เที่ยงนั่นแหล่ะ เป็นสุข

    อนิจจัง สุขขัง อนัตตา นะจ๊ะ ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่อย่างใด แต่เพราะรู้เห็น เข้าใจความจริง ของทุกข์แล้วว่า มันไม่มีทุกข์ เพราะดับทุกข์ได้เพราะมรรคแปดแล้ว นั่นเองนะจ๊ะ เมื่อไม่มีทุกข์ ก็จะพูดว่า มีสุข ไม่ได้หรือจ๊ะ ที นิพพานัง ปรมัง สุขขัง เขายังพูดกันได้

    และถ้า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าทุกข์มันเที่ยงแท้ แล้วมันจะมีนิพพานได้หรือจ๊ะ นะจ๊ะ อย่าดำน้ำนะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2013
  16. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    งั้นตอบง่ายๆนะจ๊ะ ว่า ปัจจุบันนี้ มีมั้ยจ๊ะ อริยะสงฆ์สาวก มีมั้ยจ๊ะ (ไม่มีแน่นอน ถึงรู้หรือไม่รู้ ก็ไม่มีแน่นอน)
    แล้ว อริยะบุคคล ที่คุณไม่รู้ มีมั้ยจ๊ะปัจจุบันนี้ มีมั้ยจ๊ะ (มีแน่นอนแค่คุณไม่รู้)
     
  17. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ไปเรื่อย "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เป็นหลักไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง

    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง นั่นพ้นหลักไตรลักษณ์ไปแล้ว

    แต่ทีนี้ขจร กับเอาเรื่องไตรลักษณ์ มาผสมยำรวมกัน กับสิ่งที่บรมสุข

    มันก็เลยเป็นเวรเป็นกรรมของคุณไง ที่หลงว่าจบกิจ ลาสิกขามาเป็น อรหันครองเรือน
     
  18. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ตามแต่ปัญญาของคุณจะเข้าใจเถิด นะจ๊ะ อธิบายมาหมดแล้ว นะจ๊ะ
    เชิญเข้าใจตามที่ตนเอง เชื่อไปเถอะ นะจ๊ะ
     
  19. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    เรียบร้อยโรงเรียนเจ เช่นกันๆ
     
  20. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    อริยะสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

    ทุกข์ คือ คิดว่า ขันธ์5 (กายเวทนาจิต)นี้เป็นกองทุกข์

    สมุทัย คือ คิดว่าความไม่เที่ยงของขันธ์ 5(กายเวทนาจิต) คือเหตุแห่งทุกข์

    นิโรธ คือผลของการดับทุกข์ คือ ฝึกสติปัฏฐานเพื่อให้พ้นออกจากกองทุกข์ คือ วางกายเวทนาจิต ออกจากการยึดมั่นถือมั่น พอไม่ยึดมั่นถือมั่น ในกายเวทนาจิต แล้ว ถือว่า นี่คือนิโรธ ดับทุกข์จาก กายเวทนาจิต ชั่วคราว ก่อน เพื่อค้นหาความจริงของพระไตรลักษณ์ ค้นหาความจริงของความไม่เที่ยง และเมื่อรู้ความจริงของความไม่เที่ยง จึงจะมาเรียนรู้การใช้มรรค เพื่อดับทุกข์ที่แท้จริง คือ การใช้ชีวิตไม่เป็น ให้เป็น นั่นเอง

    มรรคแปด คือ หนทางดับทุกข์ ก็คือ ทุกข์จริงๆไม่ไช่เกิดจาก ขันธ์5 แต่เป็นเพราะใช้ขันธ์5 ไม่เป็น ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นกลาง ไม่เป็นธรรมชาติ นั่นเอง นะจ๊ะ เลยเกิดอุปาทานขันธ์

    คือการใช้กายใจให้ถูกต้องตามมรรค คือการใช้รูปนามให้ถูกต้องตามมรรคก็คือผล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...