เพื่อการกุศล นิ่มป่าแดง...ตามอ่านประสบการณ์จริง

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย numthip, 14 มิถุนายน 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    วันนี้ครึกครื้น....กรุงเทพฯฝนตก
    [​IMG]
     
  2. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    เรื่องเล่า : เล่าเรื่องที่มาของคำว่า"ยันฮี"

    ตอน : ลอกข้อมูลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเอามาเล่า

    สาเหตุที่ผมเอามาเล่า เพราะผมชื่นชมคณะกรรมการชุดนี้จากการศึกษา ไม่ได้รู้จักตัวจริง ว่าเป็นคณะกรรมการที่ดีที่สุด บริสุทธิ์สะอาดที่สุด ที่โครง

    การณ์ใหญ่ๆ ในประเทศไทยเคยมีมา ผมรู้จักตัวจริงของวิศวกรใหญ่ ในการก่อสร้างเขื่อนอยู่คนเดียวคือ ท่าน เกษม จาติกวณิช คณะกรรมการที่

    ศึกษาด้านต่างๆ จากข้อ 1 ถึงข้อ 6 หาอ่านกันเองนะครับ ทำไมผมถึงเขียน...คำตอบคือ...ผมนึกถึงความโง่ของผมในสมัยเด็กๆ คือมีครูท่านหนึ่งมา

    เล่าว่า ที่เขื่อน"ยันฮี"กำลังไฟฟ้าสูงมาก ขนาดเอาหลอดนีออนส์วางไว้เฉยๆ ไฟนีออนส์ยังติดได้โดยไม่ต้องใช้สายไฟ ผมไม่มีคำถามเรื่องไฟฟ้า

    เพราะความรู้เรื่องไฟฟ้าของผมขณะนั้น อยู่ในระดับถ้าครูถามว่า...ใครไม่เข้าใจให้ยกมือ ผมก็ไม่ยก ...ใครเข้าใจแล้วยกมือ ผมก็ไม่ยก (แต่ผมสอบ

    ได้เต็มนะ คือเก่งแบบตำรา...ให้ต่อไฟคงไม่กล้า)ผมยกมือถามครูว่า ยันฮี...แปลว่าอะไร (เพราะผมคิดว่า ยันฮี เป็นภาษาอังกฤษ)ครูตอบว่าไม่รู้...

    ไปหามา...ถ้าหาได้ให้มาบอกด้วย กว่าผมจะหาได้ก็หลายปี แต่ก่อนก็ชอบที่มาแบบของคุณดอกเหม นักเขียนในต่วยตูน พิเศษ เพราะคุณต่วยท่าน

    เล่าได้ขำดี แต่มาติดใจข้อคิดเห็นของท่าน ผู้ว่าฯปัญญา ฤกษ์อุไร ก็เลยตามหาต่อ(ถ้าใครชอบเรื่องของกรรม หรือการปล่อยสัตว์ ลองหามาอ่านดู

    ที่ท่านอดีตผู้ว่า พบกับหลวงพ่อจรัญฯ พร้อมกับคุณ ท เลียงพิบูล ) ช่วงที่เรียนไฟฟ้าในหลายๆหลักสูตร ที่ทางหน่วยงานส่งเรียน ก็ได้พบกับครูสอน

    ไฟฟ้าท่านหนึ่ง ที่สอนผมตั้งแต่เป็นนักเรียนอยู่ 2 ปี จนจบมาเป็นครูสอนไฟฟ้าได้แล้ว ก็ยังได้เรียนกับท่าน ยกเว้นพวกไฟฟ้า อีเลคทรอนิคส์ที่เรียน

    กับครูคนอื่นๆ ผมชอบครูไฟฟ้าท่านนี้มากคือไม่ดุ และผมชอบที่จะเรียบเคียงถามท่านเกี่ยวกับการท่องป่า ถ้าใครเคยอ่านเรื่องป่า อาจจะเคยเห็น

    ชื่อท่าน ส่วนใหญ่ท่านจะไปเที่ยวป่ากับเจ้าฟ้าเพชรราช และอดีตพระเอกดัง ชนะ ศรีอุบล ครูท่านนี้ใด้ให้อะไรๆ ที่อยู่นอกหลักสูตรผมก็เยอะ เรื่อง

    เขื่อนยันฮี นี่ก็เหมือนกัน ท่านสอนผมตั้งแต่มียศเป็น นาวาตรี ชื่อครู สันทัด สามกษัตริย์ จนเป็นนาวาเอก และผมไม่เจอท่านอีกเลยตั้งแต่ลาออก

    จากราชการ เคยคุยกับน้องๆ สมาชิกที่มาที่บ้านไว้ว่า ไม่อยากเล่าอะไรๆ ที่มันมีอยู่ใน internet แต่มานึกอีกที ถ้าคนไม่รู้ว่าเรื่องมันเคยมี ก็ไม่รู้

    ว่าจะเปิดอะไร ? แต่เวลาผมเล่า...ผมจะใช้วิธีเล่าไปก่อน...ส่วนการหาข้อเท็จจริงจะเอาไว้ทีหลัง มันจะได้ไม่เสียอรรถรสของการเล่า......เลยเอามา

    แถมให้อีก นิดหน่อย....

    หน้า 8

    จากบันทึกของอาจารย์วิชา เศรษฐบุตร วิศวกรท่านหนึ่งในคณะสำรวจเบื้องแรก ในการพิจารณาเลือกสถานที่ที่เหมาะสม เพ่อก่อสร้างเขื่อนยันฮี เมื่อ

    เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2495 กล่าวไว้ว่า

    “นี่คือน้ำแม่ปิง เส้นทางชีวิตของชาวนครพิงค์ มันไหลไปอย่างนี้วันแล้ววันเล่า พัดพาเอาดินทรายจากภาคเหนือ ไปสู่ที่ราบลุ่มภาคกลาง ...สายน้ำที่

    ไหลไปลงทะเลวันแล้ววันเล่าเช่นนี้ สำหรับชาวไร่ชาวนา หมายถึงเส้นโลหิตที่หล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ธัญญาหาร สำหรับศิลปิน อาจนึกไปถึงทิวทัศน์อันงด

    งาม ที่มันได้สร้างขึ้นไว้ตลอดทาง แต่สำหรับพวกเราวิศวกรที่ไปยืนดูวันนั้น หมายถึงพลังงานซึ่งกำลังผ่านพวกเราไปเปล่า ๆ โดยไม่มีการควบคุมเอามา

    ก่อให้เกิดประโยชน์”“การล่องแก่งแม่ปิงครั้งนี้ เรียกว่าเป็น “Scientific Expedition” ครั้งสำคัญ คณะสำรวจประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชา

    ต่างๆ มีฝ่ายชลประทาน อุทกวิทยา ปฐพีวิทยา ธรณีวิทยา การกำลังไฟฟ้า ฯลฯ ทำการตรวจกระแสน้ำ ตรวจสภาพดิน หิน ป่าไม้ ฯลฯ มีผู้แทนจาก

    องค์การเอ็ม เอสเอ อีคาเฟ เอฟเอโอ และเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกันอีก 2 คนการเดินทาง โดยเรือล่องแก่งแม่น้ำปิง เริ่มต้นที่บ้านแอ่น จังหวัดตาก

    โดยเรือแม่ปะขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 7 วา รูปเรือเป็นแบบเรือฉลอม มีประทุนแข็งแรงอยู่ตอนกลาง หัวและท้ายเรืองอนเชิด ยื่นพ้นตัวลำเรือไปมาก

    สำหรับเป็นพื้นให้คนถ่อเดินค้ำเรือขึ้นเหนือน้ำ เมื่อความเจริญแผนตะวันตก เข้ามาสู่ประเทศไทยเราต่อมา เส้นทางคมนาคม กรุงเทพฯ – เชียงใหม่

    เปลี่ยนเป็นทางรถไฟ ไม่มีใครต่อเรือใหญ่ ๆ เช่นนี้ใช้งานกันอีกแล้ว

    เราใช้เรือ 2 ลำ ล่องจากบ้านแก่น ผ่านผาเผือก เกาะผาแดง บ้านก้อ ผาแมว ผาม่าน วังสิงห์ แก่งจาก แก่งสร้อย สบตึ๋น จนถึง ซอกเขายันฮี ซึ่งเป็นที่ๆ

    เหมาะสำหรับสร้างเขื่อนตามความประสงค์ของเรา เพราะมีหินแกรนิตรองรับเป็นฐานทีแข็งแรง และโอกาสที่จะมีช่องโพรง ให้น้ำรอดไปได้มีน้อย ทำให้

    ไม่ต้องเสียค่าอุดด้วยซีเมนต์มาก และยังอยู่ใกล้จังหวัดตาก ซึ่งจะตัดทางขนส่งเครื่องจักรก่อสร้างได้ง่าย ด้านเหนือทำนบมีแอ่งบ้านนา ซึ่งจะกลายเป็น

    อ่างเก็บน้ำมหึมา”

    วิศวกรผู้ทำการสำรวจโดยมีเป้าหมายเพื่อหาตำแหน่งสร้างเขื่อน มิได้คิดถึงเฉพาะการสร้างเขื่อนตามนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น ท่านยังได้นึกถึงผู้คนใน

    พื้นที่ด้วย “แน่ละ เมื่อสร้างเสร็จชาวบ้านจะต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น จะต้องเสียสละที่ดินซึ่งหักร้างถางพง เพื่อความเจริญของส่วนรวม แกอาจได้ที่ดินท้าย

    ทำนบ ซึ่งจะมีน้ำระบายให้แกทำนาได้อย่างสบายใจตลอดปี “และท่านก็มีความรักในธรรมชาติอันสวยงาม เช่นเดียวกับนักอนุรักษ์ทั้งหลาย โดยได้

    แสดงความพอใจในตำแหน่ง ที่ได้ตกลงเลือกนั้น ดังนี้

    “ธรรมชาติได้เป็นใจกับเราเหลือเกิน ตรงไหนวิวสวย ๆ ก็ไม่อำนวยให้เราสร้างทำนบ แต่ตอนที่ไม่มีใครสนใจกับวิวนั่นแหละ กลับเป็นที่เหมาะกับงาน

    ของเรา”

    หมายเหตุ : ต่อมากรมชลประทาน ได้ตกลงที่จะสร้างเขื่อนรูปโค้ง ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งจากเดิม ตามบันทึกของ อาจารย์วิชา เศรษฐบุตร มาเป็นที่เขา

    แก้ว ซึ่งเป็นซอกเขาถัดมาทางใต้น้ำ ห่างจากซอกยันฮีประมาณ 1 กิโลเมตรและได้รับพระราชทานพระปรมาภิไธยมาเป็นชื่อเขื่อนว่า “เขื่อนภูมิพล”

    ขอขอบคุณเจ้าของข้อมูล ขอขอบคุณสมาชิกที่ตามอ่าน สวัสดีครับ

    ปล.ท่อนนี้ก็ได้เพียงประโยคที่ว่า"จนถึงยอดเขายันฮี" ผมไม่ยืนยันเหมือนเดิม อาจจะเป็นภาษาบาลีหรือสันสกฤต หรือมคธก็ได้ คืออาจจะเขียนบัง

    เขียนหลบ แบบหนังสือขอม จากยัน...ห...แล้วมาออกเสียงเป็น ฮี เหมือนในเจ็ดตำนานก็ได้ และขอขอบคุณหนังสือ หนังสือ"ชีวิตและความหวัง

    เกษม จาติกวณิช" ที่เล่าเรื่องละเอียดมากเกี่ยวกับการสร้างเขื่อน และการหาเงินก้อนใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทย คือ 65 ล้านเหรียญ

    สหรัฐในสมัยนั้น เป็นแรงบรรดาลใจให้เขียนและลอกเขามาในตอนนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2013
  3. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ดวงนี้แปลกดี มีดาวดี ๆ หลายดวง ดาวเสียก็มีปนอยู่ด้วย

    อาทิตย์ ๑ เป็นมหาอุจ อยู่ราศีเมษแรกเริ่มราศีถูกฝาถูกหลักพอดี เป็นผู้มีศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิในหลักวิชาการ มีตำแหน่งงานใหญ่โต ยิ่งเป็น๕ กับลักค์ครอบครัวเป็นปึกแผ่นฐานะดี

    อายุ ๓๔ จะมีเคราะห์หนักพึงระวัง

    เสาร์๗ เป็นมหาอุจ จะเป็นผู้มีฝีมือในทางช่างประดิษฐ์ งานก่อสร้างสถาปัตย์ วาดภาพ จิตรกร เป็น ๑๑ แก่ลักค์บอกถึงวาสนา ฐานะความสมหวัง

    อายุ ๒๖ มีเคราะห์แต่ก็คงผ่านพ้นมาแล้ว

    พฤหัส ๕ ปักหลักอยู่เกษตรราศีร่วมลักคณา มีความรู้ระดับผู้เชี่ยวชาญ หรือไม่ก็เป็นครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้มีคุณธรรมล้ำเลิศ

    สงสัยว่าหากบวชเป็นพระคงได้เป็นพระราชาคณะ หรือพระเกจิเรืองวิชาเป็นแน่

    จันทร์ ๒ เป็นราชาโชค มีคูครองที่ดี มีศักดิ์ศรีมีความสมบูรณ์ หรือเจ้าชะตาทำงานก็ได้ตำแหน่งดี ๆ เป็นผู้นำเป็นหัวหน้าเขา ยิ่งอาทิตย์เป็นอุจยิ่งส่งกันให้พุงพรวด ๆ

    ศุกร์ ๖ เป็น ประ มักจะประพฤติตนในทางเสื่ิอมเสีย มีวิชาหรือกิจการก็ไม่เกิดผลรุ่งแล้วร่วง ยกเว้นศุกร์เป็นประอยู่ราศีเมษ กลับร้ายเป็นดี

    เจ้าชะตาได้เกณฑ์นี้พอดี โคตรเฮ็งจริง ๆ ให้ระวังเรื่องเกี่ยวกับ ตา อย่าประมาท

    ราหู ๘ เป็น นีจ อยู่ภพอริ ระวังจะต้องคดีความทำให้เสื่อมเสีย หากพลาดท่าจะติดคุกเอาได้ หรือไม่ก็เสียทรัพย์อย่างหนัก เจ้าเรือนอริอยู่ภพปุตตะแถมเป็นประอีกด้วยแสดงว่า เด็ก ๆ จะนำทุกข์นำความเดือดร้อนมาให้ หรือทุกข์เกี่ยวกับเด็ก

    พอดีเลยอยากได้ลูกแต่ยังไม่มี ก็เลยทุกข์เพราะเรื่องของเด็ก ๆ

    อังคาร ๓ ร่วมกับ มฤตยู ๐ มักจะเหนื่อยเป็นพิเศษเพราะอยู่ในจำพวกเป็นผู้นำมีหน้าที่ความรับผิดชอบสูง ให้ระวังเรื่องอุบัติเหตุเกี่ยวกับของมีคม

    พุธ ๔ ศุกร์ ๖ ร่วมราศีชีวิตคู่มั่นคง แต่พุธเป็นกาลกิณีวันเกิดคงมีปากมีเสียงกันบ้างแต่เคลียร์กันได้หายห่วง


    หากว่าต้องขอลูกบุญธรรมจากพระจากเจ้าเป็นแน่แท้ เวลาขอพูดให้ตรงเอาให้ชัดประมาณว่า ยังไม่มีลูกมาขอลูกจากหลวงพ่อมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ใครพร้อมจะเกิดขอให้หลวงพ่อประทานให้ ขอให้ผู้ที่จะมาเกิดนั้นเป็นคนดีมีศีลธรรมเลี้ยงง่าย หากเขาทำผิดก็ขอให้ลงโทษเฆี่ยนตีสั่งสอนได้ตามสมควร

    ............................

    ของแถม ในหนังสือใบลาน "ผูกนิพพานโลกีย์" มีคาถาขอลูกบอกเอาไว้ดังนี้

    "เอจุตโตปะโนอักเข จุตโตมิเมมิหัง ปุตตะปาเสสะสังคะโห

    พุทโธโหติ อะนาคะเต ฯ


    ภาวนาขอบุตรประเสริฐ ภาวนาทั้งสองคนให้ได้พร้อมกัน ดีนักแล

    ในตำราไม่ได้บอกรายละเอียดวิธีใช้คงต้องสุ่มทดลองเอาเอง

    .............................

    ในหนังสือของเก่าอีสานบอกไว้ว่า "ผู้ใดมีลูกยากหากอยากมีลูกให้หาราก "ต้นค ว ย งู" มาฝนทาสะดือฝ่ายหญิงก่อนร่วมสังวาสมีลูกง่ายนักแล"

    ปล. ต้นที่ว่าภาคกลางเรียก หญ้าพันงู รูปร่างหน้าตาตามภาพมี ๒ ชนิดคือเขียวกับแดง ผมเองก็ลืมไปว่าใช้เขียวหรือแดง เอาไปลองดูเผื่อลางเนื้อชอบลางยา รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ได้เขื่อนมาใช้ประโยชน์ แต่ก็เสียผืนป่า เสียสัตว์ป่า และแหล่งโบราณคดีไปเป็นจำนวนมาก น่าเสียดายจริง
     
  5. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    ลองนึกถึงประโยชน์ของเขื่อนดูสิครับ
    1.บำรุงร้านคาราโอเกะ เมาได้ที่ก็ยิงกันตาย ช่วยลดประชากรล้นโลก
    2.ทำน้ำให้อุ่น ทำเตียงให้เย็น สำหรับอาบอบนวด ช่วยแพร่กระจายเชื้อ ลดประชากร และกระจายรายได้
    3.ให้พลังงานสร้างแสงสีเสียงในเธค ล่อให้เยาวชนมาเที่ยวแล้ว ส่งเสริมพฤติกรรม และจำหน่ายอบายมุข
    4.ลดพื้นที่ป่า สร้างรีสอร์ท
    5.ลดพื้นที่สร้างอ๊อกซิเจน ลดพื้นที่ดูดอาร์บอนไดอ๊อกไซน์ ลดพื้นที่สร้างความชุ่มชื้น(ฝน) เพื่อกักเก็บน้ำไว้ชลประทาน
    6.หน้าแล้ง ก็เก็บน้ำไว้ผลิตไฟฟ้า
    7.หน้าน้ำ ก็เร่งระบายให้ท่วมทุ่ง กำจัดนกหนูแมลงศัตรูพืช
    8.สร้างงาน สร้างรายได้ กำจัดชุมชนคนพื้นเมือง
    9.ไม้ที่จะจม ก็ส่งคนไปตัด ไม่ให้เสียของ
    10.สัตว์ป่าที่หนีน้ำ ก็มาชุมนุนกันหนาแน่นกว่าเดิม ทำให้ล่าได้ง่าย ไม่ต้องเข้าป่าลึก
    ฯลฯ
     
  6. numthip

    numthip เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    7,094
    ค่าพลัง:
    +65,143
    มาสนับสนุน
    ๑ แทนคุณพ่อ เป็นอุจจ์ ทายได้ว่า คุณพ่อดีมาก เป็นผู้มีเกียรติ(น่าจะรับราชการ เพราะช่วงหลังๆ เห็นดวงเพื่อนสมาชิกรับราชการแล้ว เป็นเกียรติเป็นศรีกันทั้งนั้น) ได้รับการอุ้มชูอุปถัมภ์ด้วยดี

    อายุเต็ม 34 ระวังให้มากเป็นพิเศษก็ดีครับ คู่ครอง หุ้นส่วน การเงินจะเกี่ยวข้องกับเงินก้อนโต(ระวังเรื่องการขัดแย้ง) ระวังเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียง ให้ตรงไปตรงมาตลอดชีวิต จะตัดปัญหาเรื่องความวิตกกังวลไปได้

    ดาวเสาร์๗ ในเรือนลาภะ จะสมหวังเป็นอย่างมาก แต่ก็มีเรื่องให้ลำคาญใจด้วย เพราะเป็นคู่ศัตรูกับเจ้าเรือนดาวศุกร์ อาจจะมีเรื่องยุ่งยากก่อนประสพความสำเร็จ หรือสำเร็จแล้วมาเจอเรื่องยุ่งยาก

    อายุ26 เจ้าตัวรู้ดี แต่คงไม่อยากเล่า

    ดาวพฤหัส๕ ตัวนี้ ผมทายได้แค่สุขภาพดี ไม่ออดๆแอดๆ เพราะเจ้าชะตารักสนุก คงไม่วิเวก ถ้าบวชเป็นพระ คงถือตัวน่าดู ปรกติก็ถือตัวอยู่บ้าง
    แต่เรื่องความเชียวชาญชำนาญการเห็นด้วยครับ เว้นเรื่องทำบุตร

    จันทร์๒ มาจากเรือนมรณะ จะได้งานไกลถิ่นเกิด เจ้าเรือนการงานคือ๔ ไปลอยคู่กับอุจจ์อาทิตย์ ก็ได้ยศตำแหน่ง ไปไหนใกล้ไกลก็เป็นที่ยอมรับ

    ศุกร์๖ เป็นประ ไม่ค่อยอิ่มกับการขี่ม้า ม้าไม่ค่อยวิ่ง หรือหาจังหวะขี่ไม่ได้
    ดีที่ได้พุธ๔ มาช่วย เหมือนม้าได้ยาดี แถมมาอยู่ราศีเมษ นอกจากได้ยาดี ยังจะมีเหตุจูงใจให้วิ่งอีก มีอาทิตย์ช่วยเสริมฐานะเป็นเกือก ให้วิ่งได้นานขึ้น.... แต่เจ้าตัวบอกว่า ไม่ค่อยได้ขี่ม้า เพราะเวลาไม่ค่อยมี ...สรุป "ไม่อิ่ม"

    ดาวราหู๘ เป็นนิจ มาจากเรือนสหัชชะ
    สหัชชะ หมายถึงลูกพี่ลูกน้อง เพื่อน ข่าวคราว แต่เป็นดาวราหู ก็เป็นเรื่องข่าวคาวได้เหมือนกัน ทางทักษาเป็นเดช
    ทายได้อีกว่า ใช้เดชมาก ก็เป็นโทษ
    จังหวะสองไปตกปุตตะ จะแปลว่าเด็กๆก็ได้ หรือแปลว่าเล็กๆน้อยๆ แต่บ่อยๆก็ได้ครับ และด้วยความเป็นนิจ จะเป็นคุณเป็นโทษ ก็เป็นเรื่องเล็กซะหมด

    เจ้าชะตาเป็นคนรักเด็ก และรักเด็กๆ ดูได้จากตนุเศษ

    ดาวเนื้อคู่ คือพุธ๔ รู้จักประณีประนอม ฉลาดพูด ถ้าพูดดีก็ชื่นใจ ถ้าพูดร้ายก็แทงใจดำ อายุน่าจะน้อยกว่า แต่เป็นคนกล้าแสดงออก แต่งตัวเก่ง (แต่ไม่ร้ายกาจอย่างที่ขู่)

    ส่วนหญ้าพันงู ถ้าใครใช้แล้วได้ผล โรงพยาบาลรับทำกิฟท์มีปัญหาแน่....

    ขอบคุณพี่ศนิวารมากครับ ช่วยผมทวนความรู้ได้เยอะเลย ไม่แน่ใจว่าที่ผมเอ่ยมา จะผิดตำราไหนบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้

    ใครรู้ช่วยแนะนำเพิ่มเติมได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2013
  7. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    ผมต้องขออภัย ถ้าหากข้อเขียนผมที่ลอกเอามาลงไว้ ทำให้ดูเหมือนว่าผมสนับสนุนการสร้างเขื่อน ไม่เห็นใจสัตว์ ไม่รักวัตถุ/โบราณคดี แต่ผมมี

    เจตนาเพียงเพื่อจะหาที่มาของคำว่าเขื่อนยันฮีเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องสัตว์...ผมเบียดเบียฬน้อยมากคือผมเลิกกินเนื้อและหมูมา 20 กว่าปีแล้ว(คงไม่

    ถึงกับเป็นคนประเภท มือถือสากปากถือศีล) และผมก็เพิ่งพาหมาข้างถนนไปรักษาที่คลีนิคสัตวแพทย์ปู่เจ้าฯสำโรง โดยนอนรักษาที่คลีนิค ตั้งแต่

    25 มิ.ย. 56 ถึง 10 ส.ค. 56(รวม 46 วัน) ทั้ง x-ray ตรวจเลือด รักษาอาการติดเชื้อในกระแสเลือด หมามีอาการทางประสาท ต้องทำการรักษา

    แบบกายภาพบำบัดด้วย ทางคลีนิคเริ่มแจ้งหลังจากรับผลตรวจเลือดว่าจะทำการรักษาต่อหรือไม่ ผมแจ้งแม่บ้านให้ตอบไปว่า ผมมีงบให้เพียงแค่สี่

    หมื่น จะรักษาแค่เงินจำนวนนั้น ตกลงผมรักษาได้แค่นั้น คือแผลหายแต่เดินไม่ได้ ผมเอากลับมาบ้านรักษาเอง เดี๋ยวนี้มันเดินได้แล้ว แต่ต้องให้ยา

    วิตตามิน บี 12 ต่อไปเรื่อยๆ มันเป็นหมาที่ไม่ใช่ของผม ผมยังรักษามัน แสดงว่าผมไม่ได้เป็นคนใจร้ายกับสัตว์ ส่วนเรื่องป่า...ผมไม่เคยเผาถ่านหรือ

    ว่าตัดฟืนขาย แต่เคยช่วยเขาปลูกป่าต้นมะพร้าวหน้าโรงเรียน เรื่องวัตถุโบราณไม่มีความรู้ ได้แต่เคยดูรูป ถ้าจะให้ไปช่วยดูแลคงไม่มีปัญญา แต่ก็

    เคยช่วยเขาให้ได้งมวัตถุโบราณตามที่เคยเขียนไปแล้ว มากกว่านั้นคงจนปัญญา ถึงอยากจะทำให้เป็นรูปธรรมก็ไม่มีความสามารถพอ ก็อยากจะบอก

    ว่า เรื่องที่ลอกเอามาผมมีความจริงในใจไม่ใช่เสแสร้งคือ อยากจะเขียนที่มาของคำว่า"ยันฮี"เท่านั้น

    ส่วนเรื่องที่กล่าวถึงบางท่าน เช่น ดร.เกษม จาติกวณิช เพราะผมศรัทธาเป็นส่วนตัว ในฐานะที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านมาหลายปี และได้

    รับรู้ว่าทำไมถึงสร้างเขื่อนยันฮี ท่านไม่ใช่คนเริ่มต้น แต่ท่านได้เข้าไปทำเพราะท่านเป็นข้าราชการ ถ้าอ่านกันแบบอ่านเอาเรื่อง ก็จะเห็นว่าโครงการ

    เริ่มมาตั้งแต่ปี 2477 เสนอรัฐบาล ปี 2495 ออกพระราชบัญญัติ ปี 2500 ผมให้ความมั่นใจได้ว่า ถ้าผมจะศรัทธาใครสักคน ก็ไม่ใช่แค่เห็นหน้า

    หรือฟังใครว่าแค่นั้น มีใครให้ข้อมูลผมอย่างง่ายๆ ได้บ้างว่า ก่อนมมีเขื่อนยันฮี ประเทศไทยทำนากี่ไร ได้ช้าวปีละกี่ตัน หลังจากทำเขื่อนยันฮี ทำนา

    ได้กี่ไร่ ได้ข้าวปีละกี่ตัน ก่อนทำเขื่อนยันฮี เรามีปัญหาเรื่องไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน เพราะไฟฟ้าอยู่ในมือคนต่างชาติ และบริษัทเอกชน กลางวันไม่

    จ่ายไฟ เพราะไม่คุ้มทุน บริษัทห้างร้านเริ่มมีมากขึ้น การดำเนินธุรกิจประสบปัญหา การที่ภาครัฐไม่มีความสามารถในการจัดการสารณูปโภคย่อมมี

    ปัญหา และไฟฟ้าสมัยนั้นใช้อะไรเป็นเชื้อเพลิง ถ่านหินเราก็ยังไม่มี น้ำมันเตาหรือแก๊ส ไม่ต้องพูดถึง ถ้าคนในยุคนี้ที่คิดว่าตัวเองเก่งมากๆ ลองคิด

    ซิว่าจะจัดการอย่างไรกับปัญหาประเทศชาติขณะนั้น เพราะไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นไปแล้ว รถรางก็ต้องใช้ไฟฟ้า วิทยุโทรทัศน์ก็ต้องใช้ไฟฟ้า ภาคครัว

    เรือนก็ต้องใช้ไฟฟ้า อย่าตอบแบบกำปั้นทุบดิน แค่ไฟฟ้าที่เกาะสมุยดับชั่วคราวเราก็เห็นปัญหากันแล้ว หรือจะบอกให้เลิกใช้ไฟฟ้า เวลาพระที่คุณๆ

    นิมนต์มาปลุกเสกเหรียญร้อนมากจะเป็นลมคุณจะทำอย่างไร หรือจะให้แม่บ้านไปคอยช่วยพัดให้ ที่เขาตัดสินใจอย่างที่เห็น ก็เพราะมันไม่มีทางออก

    จริงๆ ในยุคนั้น เพราะจะไปทำอย่างอื่นคงไม่ทัน เพราะขณะนั้นเขื่อนยังไม่ค่อยมี ผืนป่าเลยยังเหลืออยู่มาก แต่ไม่ใช่สาเหตุที่จะอ้างว่าเพราะป่ามาก

    แล้วถึงทำเขื่อน แต่เป็นข้อที่ว่า เราไม่มีทั้งน้ำมันเตา,ถ่านหินหรือแก๊ส แล้วจะเอาอะไรไปแทนฟืน(วันนี้คิดแทนก็ยังทันพอที่จะอธิบาย) ในช่วงนั้น

    ท่านที่คิดในเรื่องนี้ก็ต้องกลับมาคิดว่า ยังไงๆ ก็ต้องใช้ฟืน ฟืนก็คงต้องเอามาจากป่า ป่าก็ต้องหมด และจะหมดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วใครตอบได้บ้างว่า

    มันจะหมดแค่ไหน หรือหมดไปอีกนานเท่าไร และป่ามันจะหมดไปเนื่องจากตัดไปทำฟืนมากหรือน้อยกว่าการสร้างเขื่อน มีใครเคยทราบจำนวนป่าปี 2500

    บ้างว่ามีเท่าไหร่ แล้วเอาพื้นที่ป่าปัจจุบันลบ ป่าหายไปเท่าไร แล้วเอาพื้นที่เขื่อนทั้งหมดลบ เอาผลลัพธ์มาเปรียบเทียบจะรู้ว่าพื้นที่ป่าหายไปเพราะเขื่อน

    หรือเพราะคนอย่างไหนมันมากกว่ากัน ผมชอบเรื่องป่า ทั้งของน้อยอินทนนท์ ชาลี เอี่ยมกระสินธ์ หรือนิมิตร ภูมิถาวร และอีกหลายๆ ท่าน เพราะได้รู้จัก

    มุมมองของคนรักป่า แต่อาจจะเป็นเพราะคณะกรรมการขณะนั้นคงไม่มีพื้นฐานทางด้านหมอดูพอที่จะดูอนาคตของชาติได้ จึงได้ทำการเสนอแนวทางสร้าง

    เขื่อน ในตอนนั้นจึงมีคำถามว่า ถ้าต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ก็อยากถามว่าใครมีแนวทางที่ดีกว่านี้อีกไหม ?(คงไม่มีใครเสนอให้ซื้อน้ำมันหรือแก๊สหรือถ่าน

    หินจากต่างชาตินะครับ : ไม่คุ้มทุน หายาก ไม่มั่นคง เขาจะเลิกส่งเมื่อไรก็ได้ กองเรือขนส่งพาณิชย์ของเราขณะนั้นมีไม่พอ)...ของที่คิดว่าซื้อได้ เฉพาะค่า

    ขนส่งก็คงรับไม่ไหวแล้ว........

    ถึงจะมีเขื่อนแล้ว...ครอบครัวผมก็ยังอดข้าว...อดแบบมีกินบ้างไม่มีกินบ้าง เพราะบ้านผมไม่มีที่ดินแม้กระแบะมือเดียว เพิ่งไปลาดบัวหลวงเมื่อวัน

    อาทิตย์ อยากหาซื้อนา...เพื่อนบอกว่า...เฮ้ยเราเล่าให้คนแถวนี้ฟังหมดแล้ว บอกว่าเพื่อนมันเคยอดๆอยากๆ เพราะความยากจน ใครจะเคยอดแบบ

    ผมไหม...ต้องซื้อข้าวสารวันละ 2 ลิตร บางวันได้แค่ลิตรเดียว ข้าวสารลิตรละ 1 บาท บางคนเคยอดกินข้าวกับน้ำตาล แต่ผมกินข้าวกับน้ำตา...ป่า

    มันหมดฉิบหายไปเพราะเขื่อนกี่เปอร์เซ็นต์ หมดไปกับมือมนุษย์กี่เปอร์เซ็นต์ เดี๋ยวนี้ข้อมูลหาง่าย ขออย่าให้เป็นข้อมูลจากร้านตัดผม ผมเคยเล่าไป

    แล้วถึงป่า ยังช้าย จ. อ่างทอง เดี๋ยวนี้ใครผ่านอ่างทองเห็นป่าบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่มีน้ำจากเขื่อนมาท่วม เมื่อ 2 เดือน ที่ผ่านมา ประกาศแล้วว่า จ.พิจิตร

    ไม่มีป่าแล้ว บังเอิญผมไม่ใช่คนแถวนั้น เลยไม่รู้ว่า เขื่อนอะไร? ไปทำให้ป่า จ.พิจิตร หมดไป ใครรู้ตอบให้ทีว่า"เขื่อนอะไร" คณะกรรมการที่ตัดสิน

    ใจเรื่องเขื่อนยันฮี กว่าจะสรุปได้ก็หลายขั้นตอน คนที่ถูกผมเอามากล่าวอ้างตามกระทรวงต่างๆ ที่ผมบอกว่าเป็นคนดี บริสุทธิ์ ล้วนไม่ใช่ปฐมเหตุ ล้วน

    เป็นข้าราชการ ที่สนองนโยบาย และเป็นนโยบายที่เหมือนกับฝรั่งเขาว่า "You can't keep the cake and eat it too"(นี่ผมก็ลอกเขามา ผม

    เป็นคนคิดเองไม่เป็น) คือเราจะเอาทั้งสองอย่างในเวลาเดียวคงไม่ได้ ป่าก็จะเอา สัตว์ป่าก็จะเอา โบราณวัตถุก็จะเอา ไฟฟ้าก็จะเอา เพราะตอนนั้น

    เรื่องไฟฟ้ามันเดือดร้อนแล้ว โรงงานต่างๆ ก็มีมากขึ้น ฟืนก็ใช้มากขึ้น โรงไฟฟ้าใช้ฟืน เรือเมล์ใช้ฟืน รถไฟใช้ฟืน โรงงานต่างๆ ใช้ฟืน และฟืนก็หายาก

    มากขึ้น เรื่องฟืนสู่วิกฤตถึงขนาดเคยซื้อขายกันเป็นคิว(เมตร)เปลี่ยนเป็นกองๆ และกองหลวมๆ พอทะเลาะกันเรื่องกองหลวมๆ คนขายก็บอกว่าถ้ากอง

    แน่นๆ ก็ขายอีกราคาหนึ่ง ยังมีปัญหาอีกว่าถ้าฝนชุก ชักลากไม้ยากก็จะทำให้ฟืนมีโอกาสขาดตลาด ฟืนมีข้อจำกัดเปียกน้ำเปียกฝนก็ใช้ไม่ได้ฯ ไม่ได้แก้ตัว

    ให้ใคร คนบ้านนอกอย่างผมจะรู้จักเรื่องฟืนอยู่บ้าง......

    เมื่อเช้าหลังจากลอกข้อความเอามาลงให้สมาชิกอ่านกัน ไปตัดผม ก็เจอนักการเมืองคุยกันเยอะ ช่วงหนึ่งเขาหันมาถามความเห็นผม ผมไม่ตอบใน

    ทันที...แต่ผมถามเขาว่า...เอามาจากไหน...เขาตอบว่าเอามาจากข่าว ผมถามเขาว่า...วันหนึ่งๆ คุณได้ข่าวมากี่ข่าว เขาตอบผมว่า...โอ้ย...เยอะเลย...

    จำไม่ได้หรอก...ทั้งโทรทัศน์...วิทยุ...หนังสือพิมพ์...เป็นป๋า...ป๋าจะจำได้ไหม? ผมตอบเขาด้วยความมั่นใจว่า ลุงจำได้ เพราะตั้งแต่ต้นปีมา...หรือปี

    ก่อนๆ รวมกันด้วยแล้ว ลุงได้มาแค่ 2 ข่าว คือข่าวจริงกับข่าวเท็จ มีแค่ 2 ช่าวจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่า มีข่าวอะไรเป็นข่าวเท็จ ข่าวอะไรเป็นข่าวจริง ขอยืนยัน

    อีกครั้งว่า ไม่ต้องการแสดงความรู้เรื่องเขื่อน เพราะผมไม่มีความรู้เรื่องเขื่อน แต่อยากจะบอกว่า เขาเล่าไว้ว่าคำว่า"ยันฮี"มีความเป็นมาอย่างไร และคง

    ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาลยันฮี เอ้อ...ผมดูข่าวเห็นภาพข่าวทางอากาศ มีเขาหัวโล้นให้ดูเยอะเลย แต่ผมไม่เห็นเขื่อนฯ และไม่มีความรู้เรื่องป่า ใครบอกผม

    ได้บ้างว่า ที่ภูเขาหัวโลนทั้งๆที่ไม่มีเขื่อน มันเกี่ยวกับข้อเขียนผมไหม หรือว่ามันชอบสร้างภาพ.....ความจริงกรมป่าไม้ก็มีข้อมูลออกมาเรื่อยๆ เกี่ยว

    กับป่า และความสูญเสียของป่า ว่ามันเกิดจากอะไรมากที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  8. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ผมเองก็บ่นไปตามเรื่องตามราวด้วยความเสียดายป่า และทรัพยากรธรรมชาติ
    ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงแต่อย่างใด เพราะสิ่งเหล่านี้ถ้าสูญไปมันหาทดแทนไม่ได้จริง ๆ

    เมื่อก่อนสร้างเขื่อนเพื่อใช้ประโยชน์โดยแท้ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง
    ผมเองก็ไม่ได้ต่อต้านจนสุดโต่ง แต่ขอให้สร้างเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง
    และให้มีผลกระทบน้อยที่สุด แต่ที่ดัน ๆ กันอยู่นี้ชวนให้สงสัยทั้ง เสือเต้น ทั้ง แ่ม่วงก์
    รัฐทำตัวลุกลี้ลุกรน ให้ข้อมูลด้านเดียวไม่เคลียร์ให้กระจ่าง อ้างแต่กันน้ำท่วม ๆ น่ากังขา

    ตอนนี้ป่าเหลือน้อยแล้ว ถ้าสร้างแล้วไม่คุ้มค่า สูญป่าก็ไม่อยากให้สร้างเท่าใดนัก

    หากมีข้อเขียนตรงไหนที่ไม่เหมาะสมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดก็ขออภัยด้วยครับ
     
  9. ghostlinux

    ghostlinux เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    667
    ค่าพลัง:
    +3,496
    เขาดูกันไปหมดแล้ว แต่ขอหัดทำนายด้วยนะครับ จับเลขเจ็ดตัวบ้างดีกว่า
    ดวงมีลูกยากจริงครับ แต่ช่วงนี้(ในปีมะเส็ง) มีโอกาสจะมีลูกได้นะครับ
    แต่ต้องไปขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอา แล้วก็ต้องขยันทำการบ้านด้วย(อิอิ)
    อังคารปุตตะ ลงฐานกำลังอาทิตย์คู่ศัตรู ในดิถีกำเนิดย้ำลงไปอีกว่ามีลูกยาก
    แต่ช่วงปีมะเส็งพอมีแวว ต้องขยันๆหน่อยนะครับหลังจากไปบนขอแล้ว สู้ๆครับ
    อังคารยิงขึ้นในดวงกำเนิดบนจักรราศี ก็ยังลงวินาสน์กุมกับมฤตยู เป็นปุตตะซ้ำอีก
    ยิ่งชัด มีลูกยากแน่ แนวนี้นอกจากขอลูกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วอีกอย่าง
    ให้หาโอกาศพากันไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศบ้างครับ อย่ามัวแต่ทำงานเพลิน(ลองพาไปเที่ยวต่างประเทศ เมืองลาวก็ได้นา)
    อาทิตย์อุจในเรือนปุตตะ มีศุกร์มาช่วยอยู่ เรือนศุกร์มีกระแสทั้งเสาร์ทั้งราหู
    ส่งมา ต้องลองอะไรแปลกใหม่ๆ ซู่ซ่าๆ พาเปลี่ยนบรรยากาศบ้างครับมันถึงจะแจ่ม :cool:
     
  10. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    สมาชิกห้องนี้มีนักศึกษาวิชาโหรหลายแขนงแฮะ ของผมจัดอยู่ประเภท "โหนต่องแต่ง" หากจับไม่แน่นก็ร่วงตุบ ดังนั้นจึงอย่าเชื่อให้มากนัก

    ดวงนี้มีแต่คนสนับสนุนให้ไปขอลูกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเกณฑ์มีลูกยาก

    ที่สนับสนุนให้ไปขอลูกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะ

    พระเกตุ ๙ อยู่เรือนศุภะ เพราะดาวนี้หมายถึงเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แถมดาวเจ้าเรือนศุภะคือ อาทิตย์ ๑ ไปสถิตอยู่ภพปุตตะเป็นมหาอุจ ดาวเสาร์ ๗ อยู่ภพลาภะ เป็นอุจ ส่งผลให้สมหวังในสิ่งที่ปราถนา แต่ได้ช้าเพราะ พระเสาร์เป็นดาวใหญ่วิถีการเดิน(โคจร)เชื่องช้าจึงอยู่ในลักษณะอืดพอสมควร ศุกร์ ๖ เจ้าเรือนลาภะไปเป็นนีจอยู่ภพปุตตะ แต่ไม่ส่งผลร้ายกลับกลายเป็นดีเสริมเพราะอยู่ถูกราศี

    หากจะเปลี่ยนสถานที่จะเปลี่ยนบรรยากาศ แนะนำให้ไปในสถานที่ ๆ เก่าแก่โบราณจำพวกเมืองเก่า ที่อยู่ในที่สูงหรือมีที่สูงจำพวกเนินเขา โคก หรือสิ่งก่อสร้างสูง ๆ เพราะราศีตุลลาภะเป็นธาตุลม แถมลักคณาอยู่ราศีธาตุไฟ ปุตตะก็อยู่ธาตุไฟ ไฟได้ลมช่วยพัดก็ลุกฮือกระพือโหมส่งเสริมกันดี

    เลือกเอาว่าจะเป็นที่อยุธยา สุโขทัย กำแพงเพชร เชียงราย หรือเชียงใหม่ หรือไม่ก็ไปมันทุกที่ที่เผื่อขาดเผื่อเหลือ แต่ห้องที่จองขอให้อยู่สูง ๆ ชั้นบนสุดเลยก็ดีครบตามตำรา 555+
     
  11. Funfun27

    Funfun27 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,319
    ค่าพลัง:
    +7,868
    ขอบคุณทุกๆ ท่านครับ สำหรับคำแนะนำ

    ขอบคุณครับ
     
  12. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    Sujit Wongthes

    หน้าแรกเพลงดนตรีกวีนิพนธ์เรื่องสั้นนิยายบทความ-สารคดีวิชาการ-กึ่งวิชาการประเพณีสิบสองเดือนท้าวฮุ่ง-ท้าวเจือง

    เอาอิฐกรุงเก่า มาสร้างกรุงเทพฯ

    ท้องถิ่นมีชุมชน/พุธที่ 10 เมษายน 2556

    ประภัสสร์ ชูวิเชียร พ.ศ.2326

    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 โปรดให้มีการสร้างพระนครกรุงรัตน โกสินทร์ขึ้น ได้เกณฑ์ผู้คนเลกไพร่จากหัวเมืองน้อยใหญ่

    ใกล้ไกลเข้ามากระทำการเกณฑ์เขมร 10,000 เข้ามาขุดคูพระนครตั้งแต่บางลำพูออกแม่น้ำตอนใต้ข้างวัดสามปลื้มเกณฑ์ลาวเวียงจันท์ 5,000 และ

    ลาวฝั่งขวาแม่น้ำโขงคือภาคอีสานเข้ามาสมทบ แล้วให้ทำอิฐใหม่บ้าง ไปรื้ออิฐกำแพงเมืองกรุงเก่าที่อยุธยาลงมาบ้าง รื้อป้อมเมืองธนบุรีฝั่งตะวันออก

    (ป้อมวิชาเยนทร์) และกำแพงเมืองธนบุรีเดิม ขยายเมืองเก่าจากสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาออกไปทางตะวันออกให้กว้างใหญ่กว่าเดิม กำแพงเมือง

    ของกรุงเทพฯ เป็นกำแพงก่ออิฐ มีเชิงเทินและใบเสมา ยังเห็นร่องรอยอยู่เป็นแนวต่อเนื่องบริเวณป้อมมหากาฬหน้าวัดราชนัดดารามขนานไปกับคูเมือง

    คือคลองโอ่งอ่าง เชื่อว่าคงเป็นกำแพงแบบเดียวกับกำแพงกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชคุปต์) สันนิษฐานว่าเดิมเป็นคันดินปัก

    เสาไม้ระเนียดและต่อมาสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ได้ก่อเป็นอิฐมีเชิงเทินเสมาการที่ต้องรื้ออิฐจากกำแพงเมืองอยุธยาคราวนั้นน่าจะมีสาเหตุหลักมา

    จากความเร่งรีบในการสร้างพระนครให้เสร็จโดยไว เพราะบ้านเมืองยังมีศึกสงครามติดพันอยู่อย่างล่อแหลม จะหาวัสดุก่อสร้างใหม่ให้รวดเร็วเท่าไปรื้อ

    เอามาสำเร็จรูปเป็นไม่มีจึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ กำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาและโบราณสถานหลายแห่งสิ้นสภาพไป ก็เกิดจากการรื้อเอาลง

    มาสร้างกรุงเทพฯใหม่ในคราวนั้นเอง

    งานก่อสร้างเสร็จลงใน พ.ศ.2328 มีการสมโภชพระนคร พระมหาปราสาทและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นิมนต์พระสงฆ์จากในกรุงนอกกรุงมานั่งสวด

    พระพุทธมนต์บนเชิงเทินหน้าใบเสมาประจำใบละรูป เหลืองอร่ามทั่วกรุงเทพฯ

    อิฐที่ปั้นใหม่และรื้อมาจากกรุงเก่าประสมประสานกันเป็นกำแพงเมืองกรุงเทพฯ คือสัญลักษณ์ของการสืบต่อความเป็น

    ราชธานีกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยาให้ดำรงอยู่อย่างไม่ขาดตอนด้วยเช่นกัน
    [​IMG]

    กำแพงเมืองกรุงเทพฯที่เหลืออยู่ บริเวณหน้าวัดราชนัดดาราม เป็นกำแพงก่ออิฐมีเชิงเทินใบเสมา กำแพงเมืองและวัดวาอารามในกรุงเทพฯสมัยแรกนั้น

    ได้อิฐส่วนใหญ่ที่รื้อลงมาจากกำแพงพระนครศรีอยุธยาใช้ในงานก่อสร้าง

    หมวดหมู่: ท้องถิ่นมีชุมชน (สยามรัฐ)

    หมายเหตุ : ตอนเด็กๆ ถูกหลอกว่าวัดวาอาราม,กำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยา ถูกพม่าทั้งขุด,ทั้งเผา,ทั้งทำลาย ที่แท้เป็นเขมรกับลาวนี่เอง ที่ทำลายทั้ง

    โบราณสถานและโบราณวัตถุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  13. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    สมัน, เนื้อสมัน, กวางเขาสุ่ม
    [​IMG]


    ภาพจาก มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าฯ

    สมันเป็นกวางขนาดกลาง มีเขาสวยงามมากจนได้ชื่อว่าเป็นกวางที่สวยงามที่สุดชนิดหนึ่งของโลก น้ำหนัก 100-120 กิโลกรัมมีความยาวลำตัว 180

    เซนติเมตร ความสูงหัวไหล่ 104 เซนติเมตร หางยาว 10 เซนติเมตร ขนหยาบสีน้ำตาลเข้ม ด้านล่างลำตัวและบริเวณแก้มจางกว่า บริเวณจมูกสีเข้ม

    หรือสีดำ สีบริเวณขาและหน้าผากค่อนข้างอมแดง ใต้หางสีขาว ขนแผงคอยาวประมาณ 5 เซนติเมตร เขาสมันตีวงกว้าง โค้ง และแตกกิ่งมาก ดูเหมือน

    สุ่มหงาย จึงมีชื่ออีกชื่อว่า "กวางเขาสุ่ม" กิ่งรับหมา (brow tine) ยาวและชี้มาด้านหน้าเป็นมุม 60 องศากับใบหน้า กิ่งอื่นยาวกิ่งละประมาณ 30

    เซนติเมตร ลำเขา (beam) ตั้งฉากกับกิ่งรับหมา ความยาวประมาณ 12 เซนติเมตร การแตกกิ่งมักจะแตกออกเป็นสองกิ่งเสมอ โดยเฉลี่ยเขาแต่ละ

    ข้างมีจำนวนกิ่งทั้งสิ้น 8-9 กิ่ง ความยาวเฉลี่ยของเขา 65 เซนติเมตร เคยมีบันทึกว่ามีสมันที่เขาแตกกิ่งมากถึง 33 กิ่ง สมันตัวเมียไม่มีเขา และ

    ลักษณะคล้ายละมั่งมาก ชาวบ้านบางท้องที่จึงมีความเชื่อว่าสมันมีเฉพาะตัวผู้เท่านั้น และเมื่อสมันตัวผู้ผสมพันธุ์กับละมั่งจะให้ลูกเป็นสมันหรือละมั่งก็

    ได้สมันอยู่กันเป็นฝูงเล็ก ประกอบด้วยตัวผู้เต็มวัยหนึ่งตัว ที่เหลือคือเหล่าตัวเมียและลูกกวาง ตอนกลางวันสมันมักหลับพักผ่อนอยู่ในร่มไม้หรือดงหญ้า

    สูง ออกหากินเวลาเย็นจนถึงรุ่งเช้า อาหารหลักคือหญ้า ชอบอยู่ในป่าโปร่งหรือทุ่งหญ้าน้ำแฉะ ไม่ชอบป่าทึบ เมื่อฤดูน้ำหลาก สมันจึงต้องหนีไปอยู่บน

    เนินที่น้ำท่วมไม่ถึงซึ่งกลายเป็นเกาะกลางทุ่ง ในช่วงนี้จึงตกเป็นเป้าของพรานได้ง่าย สมันเป็นสัตว์สัญชาติไทยโดยแท้จริง เพราะพบได้ในประเทศ

    ไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น กระจายพันธุ์อยู่ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สมุทรปราการขึ้นไปจนถึงสุโขทัยตะวันออกสุดถึงจังหวัดนครนายกและ

    ฉะเชิงเทรา ทางตะวันตกพบถึงสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี จากการล่าและการบุกรุกพื้นที่ของมนุษย์เพื่อเปลี่ยนทุ่งหญ้าธรรมชาติมาเป็นไร่นา ทำให้

    ประชากรสมันลดจำนวนลงจนกระทั่งสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติในปี พ.ศ.2475 มีบันทึกว่าสมันตัวสุดท้ายในธรรมชาติอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นตัวผู้ที่

    มีเขาสวยงาม ถูกยิงตายโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากนั้นจึงเหลือเพียงสมันในกรงเลี้ยงเท่านั้น แต่น่าเศร้าที่การเพาะพันธุ์ในกรงเลี้ยงทำไม่สำเร็จ จึงไม่

    อาจเพิ่มจำนวนขึ้นได้อีก สมันตัวสุดท้ายในโลกเป็นสมันตัวผู้ที่เลี้ยงอยู่ในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร แม้กระนั้นก็ไม่ได้ตายอย่างสงบ เพราะถูก

    ชายขี้เมาคนหนึ่งตีตายในปี 2481 หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นสมันอีกเลย แม้จะมีข่าวลือว่าพบสมันอีกในที่ต่าง ๆ แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้ ซากที่สมบูรณ์ของ

    สมันมีเพียงซากเดียวเท่านั้น เก็บอยู่ในกรุงปารีส ซึ่งเป็นซากของสมันตัวที่อาศัยอยู่ในสวนพฤกษศาสตร์ (Jardin des Plantes) ในปี 2410


    ***ก่อนหน้าที่สมันจะสูญพันธุ์ มีความพยายามจากจากชาวต่างชาติในการจับมาเพาะเลี้ยง แต่ก็ล้มเหลวเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ของไทยไม่ให้ความ

    ร่วมมือและไม่ให้ความสำคัญ***

    ปัจจุบันสมันยังมีชื่อเป็นสัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 เนื่องจากการคุ้มครองมีผลไปถึงซากด้วย

    ทราบหรือไม่?

    •ในโลกมีกวาง 43 ชนิด สมันเป็นเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่สูญพันธุ์ไปแล้ว(ผู้คัดลอก : สวัสดีประเทศไทย ตัวสุดท้ายตายใกล้ๆ กรุงเทพฯนี่เอง)

    หมายเหตุ(ผู้คัดลอก) : ลอกเอามาให้อ่านแบบชัดเจน ผมไม่รู้ว่าสมัน...มันจะภูมิใจแค่ไหน...ที่เขาให้เกียรติ์มันถือสัญชาติไทยเนื่องจากเชื่อว่า มันมี

    อยู่ที่เดียวในโลกคือประเทศไทย แต่อนาคตไม่แน่ว่า อาจจะพบว่ามีที่อื่นๆ อีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  14. คนวิเศษ

    คนวิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2010
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +1,861
    เรียน คุณหนุ่มทิพย์
    ขอบคุณสำหรับการผูกดวงและดูดวงชะตาให้
    ถ้าดวงผมอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ผมอนุญาตให้
    ออกสื่อได้ครับ
     
  15. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    หมวด ? เก็บตก inbox ? เก็บตกจาก inbox ? ชเวดากอง : ทองอยุธยา ?

    [​IMG]


    นับเป็นเวลานานกว่า 80 ปี ที่คนไทยมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเทศพม่าและคนพม่า ทั้งในแง่มุมประวัติศาสตร์ สังคม ศาสนา หรือแม้แต่วิถีชีวิต

    ความเป็นอยู่ตอนที่ผมยังเด็กๆ เรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมศึกษาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยก็ถูกปลุกฝังให้มีความเกลียดชังพม่าเข้ากระดูกดำ ใครมา

    ถามว่าศัตรูของคนไทยคือใคร ผมมักตอบอย่างไม่คิดว่า “พม่าครับ พม่ามาทำลายกรุงศรีอยุธยา”พอโตเข้าหน่อย เรียนสูงขึ้น ยังคงมีความเกลียดชัง

    ระแวงถึงศัตรูที่ชื่อพม่าอยู่ตลอดเวลา ใครก็ตามที่ปลูกฝังความคิดเช่นนี้ให้แก่คนไทย ผมคิดว่า เขาได้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีแล้วซากปรักหักพัง

    ที่อยุธยา เจดีย์มีรูโหว่ หรือซากพระบรมมหาราชวัง วัดหลวงที่มีอดีตอันยิ่งใหญ่อย่างวัดพระศรีสรรเพชญ์ เวลาเด็กๆ ถามว่าที่เห็นอยู่นี่ฝีมือใครครับ

    ผู้ใหญ่ตอบเด็กทันทีว่า พม่ามันเผามา (แต่ไม่ยอมให้เหตุผลที่มาเผา) พวกทหารพม่าที่บุกรุกเข้ามาลอกทองพระพุทธรูปอย่าง พระศรีสรรเพชญ์

    ถูกตราหน้าจากพงศาวดารและเอกสารไทย ว่าเป็นพวกมารศาสนา อันนี้ก็เป็นความเข้าใจอยู่ในสายเลือดของคนไทย หากจะตั้งคำถามว่า พม่าไม่

    นับถือศาสนาหรือ ? เปล่าเลย... พม่านับถือศาสนาเช่นกัน และเป็นศาสนาพุทธด้วย หากแต่เหตุผลเศรษฐกิจ การเมือง และความเชื่อศูนย์กลาง

    ทุกด้านต้องมีหนึ่งเดียว ทำให้พม่าต้องยกกองทัพมาทำลายกรุงศรีอยุธยาของเรา แต่สำหรับอยุธยาที่เหลือแต่ซากจนถึงทุกวันนี้ เป็นฝีมือคนไทย

    ล้วนๆ แม้ในเวลานี้ก็ยังทำลายอยู่ หากแต่รูปแบบดูแนบเนียนมากขึ้นคนไทยส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดพม่าอยู่สองสามสามประการ

    ประการแรก เรื่องทองคำสมัยเสียกรุง (อยุธยา) ที่พม่าขนเอาไปแล้วนำไปประดับไว้ยอดเจดีย์ชเวดากอง ที่พม่าขนเอาไปแล้วนำไปประดับไว้บน

    ยอดเจดีย์ชเวดากอง มัคคุเทศก์ไทยที่ไม่รู้อะไรก็ชี้มือชี้ไม้ไปบนยอดพระมหาเจดีย์ แล้วบอกติดตลกว่า “นั่นไงทองของคนไทยพม่ามันเอามาไว้”

    ตรงนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ต้องแก้กันใหม่

    ประการที่สอง เรื่องต้นพุทราที่มีอยู่จำนวนมากในวังโบราณ ยังมีความเชื่อว่า เป็นเม็ดพุทราที่พม่ามาถ่ายเอาไว้ แต่แท้ที่จริงแล้วพระบาทสมเด็จพระ

    จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญที่จะทำให้คนอยุธยามาช่วยกันดูแลโบราณสถาน และเก็บผล

    พุทราไว้รับประทาน นี่แหละครับ คือที่มาของพุทรากวน ของฝากอีกอย่างหนึ่งของอยุธยา ต้นพุทราที่วังโบราณอยุธยาตอนนี้แคระแกรน ผลเล็ก

    และมีน้อย เจ้าของพุทรากวนจำต้องไปสั่งซื้อมาจากปากคลองตลาด แล้วนำมากวนขายเป็นพุทรากวนอยุธยา

    ประการที่สาม เรื่องกองทัพพม่าที่ยกมาตีกรุงศรีอยุธยาหาใช่กองโจรอย่างที่เข้าใจกันทั่วไปไม่ เรื่องนี้นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องพม่าศึกษา ดร.สุ

    เนตร ชุติธรานนท์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาไว้อย่างละเอียดชัดเจนแล้วว่าการสงครามครั้งนั้น พม่าเตรียมทัพมาอย่างมีจุดมุ่ง

    หมาย แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดต่อเรื่องนี้อยู่มาก โดยเฉพาะข้าราชการฝ่ายปกครองทั้งหลายทั้งปวงทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยอมรับว่า ประเด็นทาง

    ประวัติศาสตร์หลายเรื่อง ต่างยึดถือเอกสารสำคัญของประเทศตนเป็นหลัก อันได้แก่พงศาวดาร ซึ่งเป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่ง ฝ่ายพม่าเขาเชื่อแบบ

    หนึ่ง เราก็เชื่ออีกแบบหนึ่ง ทำไปทำมาประวัติศาสตร์จึงเกิดความเชื่อตรงข้ามกัน เวลามาคุยกันจึงไม่รู้เรื่อง มิหนำซ้ำเวลามีปัญหาชายแดนกัน เราก็

    ชอบขุดซากอดีตตอนพม่าเผากรุงมาด่าทอกันไม่มีวันเบื่อ ผมเห็นว่าประวัติศาสตร์คือความทรงจำและเป็นบทเรียน ควรนำบทเรียนที่ผิดพลาดในอดีต

    มาแก้ไขทำความเข้าใจกันฉันมิตร น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า นั่นคือเรื่องทั้งหมดที่ผมขอเกริ่นนำบทความนี้

    ผมได้เดินทางไปพม่า โดยก่อนจะไปผมเตรียมความพร้อมพอสมควร อย่างแรกเรื่องข้อมูล อย่างที่สองต้องปรับความรู้สึกใหม่ (ต้องลบอคติ ความ

    เชื่อ ความเกลียดชัง ออกจิตใจเสียก่อน) เพราะคำว่าพม่าคงฝังลึก อยู่ในกมลสันดานจริงๆ อย่างไรก็ดีหากท่านผู้อ่านมีโอกาสเดินทางไปพม่า อย่า

    ลืมแวะนมัสการพระเจดีย์ชเวดากองนะครับ อย่างน้อยเราเป็นชาวพุทธ เจดีย์ที่ไหนๆ ก็แสดงสัญลักษณ์พระพุทธเจ้า ความเกลียดชัง ความพยาบาท

    เป็นสิ่งที่พระพุทธศาสนาสอนให้ลดละปล่อยวาง และให้อภัยครับอย่ามีอคติกับเจดีย์ชเวดากองเพราะงมงายในความเชื่อผิดๆ เลย

    โดย เทพมนตรี ลิมปพยอม

    นักวิชาการประวัติศาสตร์อิสระชน

    ที่มา: http://www.devamontri.com/

    ปล. อาจารย์ครับ ก่อนผมจะเอาลงให้สมาชิกอ่าน ผมตั้ง นะโมฯ 3 จบ ตามด้วยคาถาว่า คุณพ่ออยู่หน้า คุณแม่อยู่หลัง นะอุด โมอัด พุทธปัด

    ธาปิด ยะแคล้วคลาด...เพี้ยง....มีอะไรอาจารย์รับไป ผมอาจจะทำให้อาจารย์เดือดร้อน ที่เลือกจากหลายๆ อาจารย์แล้วมาลงตรงนี้ เพราะมันสั้น

    และกระชับดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  16. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    สมัน เป็นสัตว์ป่าที่เด็กไทยไม่รู้จัก มีเรื่องราวน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งเดียวในโลกและอาจจะเป็นหนึ่งเดียวในไทยที่นักชีววิทยาเสียดายอย่างที่สุด เพราะไม่มีการเลี้ยงเพื่อแพร่พันธุ์ ครั้นเมื่อจะทำการศึกษาก็สายเสียแล้ว

    สมันหรือเนื้อสมัน

    ลักษณะทั่วไป

    สมัน เป็นกวางพื้นเมืองเฉพาะถิ่น พบเพียงแห่งเดียวในโลก ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทยแต่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เหลือไว้เพียงซากเขาที่สวยงาม แต่ก็มีเหลืออยู่ในประเทศไทยน้อยขึ้น เนื่องจากถูกชาวต่างชาติ ที่รู้ถึงคุณค่า กว้านซื้อไปเก็บสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์เป็นจำนวนมาก ที่เหลือส่วนหนึ่งได้ถูกทำลายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น ทำเป็นด้ามมีด หรือบดทำยาจีน เป็นต้น (วิชาญและสวัสดิ์, 2539)

    เดิมสมันเคยมีชุกชุมมาก ตั้งแต่ครั้งที่แถบชานเมืองกรุงเทพ ฯ ยังคงเป็นป่าดงแต่ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งเมื่อประมาณ 140 กว่าปีที่ผ่านมา มีชาวต่างประเทศที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้สนใจศึกษาเกี่ยวกับสมัน ซึ่งรวบรวมรายละเอียดได้ ดังนี้

    ปี ค.ศ. 1863 (พ.ศ. 2406) เซอร์โรเบิร์ต โชมเบิร์ก (Sir Robert Schomburgk) กงสุลเยเนราลประจำราชสำนักแห่งพระเจ้ากรุงสยาม ได้นำเขาสมันซึ่งเป็นเขาหลุดเก็บตกจากเมืองไทย ทูลถวายพระนางวิกตอเรียแห่งอังกฤษ พระนางวิกตอเรียรับสั่งให้ส่งไปยังพิพิธภัณฑ์เซาท์เคนชิงตัน ต่อมาโปรเฟสเซอร์ไบลท์ (Blyth) ซึ่งเป็นผู้มีความชำนาญคุ้นเคยกับเขากวางต่าง ๆ จากประเทศอินเดีย ได้ศึกษาเขากวางดังกล่าวและยกให้สมันเป็นกวางชนิดใหม่ โดยใช้ชื่อใหม่ว่า กวางโชมเบิร์ก Rucervus schomburgki (Blyth, 1863) เพื่อเป็นเกียรติแก่ เซอร์โรเบิร์ต โซมเบิร์ก

    การจำแนกและตั้งชื่อของโปรเฟสเซอร์ไบลท์นั้นตั้งตามชื่อสกุล Rucervus ของกวางบาราซิงห์ (Swamp Deer, Rucervus duvaucell) ที่พบในอินเดียซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสมันมาก จนเบื้องต้นเข้าใจว่าสมัน น่าจะเป็นชนิดย่อยของกวางบาราซิงห์ แต่เมื่อพิจารณาจากลักษณะเฉพาะบางประการ เช่น สมันมีลำเขาที่สั้นกว่าจนเห็นได้ชัดเจน มีเขาแขนงซึ่งแตกกิ่งก้านมากมายกว่า และเขากิ่งรับหมายาวสวยงามนและปลายกิ่งจะแตกออกเป็น 2 แฉก จมูกของสมันจะยาวและกว้างกว่าและต่อมน้ำเหนือหัวตาก็ตื้นกว่า อีกทั้งถิ่นอาศัยก็พบเฉพาะภาคกลางของประเทศไทยเท่านั้นจึงยอมรับว่าสมันเป็นกวางชนิดใหม่ โดยเหตุผลและรายละเอียดของโปรเฟสเซอร์ไบลท์ มีปรากฎอยู่ในหนังสือ Proceedings of the Zoological Society of London ปี ค.ศ. 1863 หน้า 155

    สรุปได้ว่า ในการตั้งสมันให้เป็นกวางชนิดหนึ่งซึ่งแยกต่างหากจาก แสวมป์เดียร์ Rucervus duvauceli ในอินเดีย เนื่องจาก

    1) เขาสมันได้ไปจากเมืองไทยเพียงแห่งเดียว และเป็นภูมิประเทศที่ห่างไกลจากถิ่นของ Rucervus duvauceli มาก ทั้งมีอาณาเขตของ Pauolia eldi ขวางกั้นอยู่ตั้งแต่ที่ลุ่มเมนนิเปอร์ จนถึงที่ลุ่มลำน้ำไอราวดี ทั้งในราชอาณาจักรไทยก็ไม่เคยพบว่ามี Rucervus duvauceli ปรากฎอยู่เลย

    2) ลักษณะแปลกของเขาสมัน คือลำเขา (Beam) มีลักษณะสั้นประหลาด แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเขาของบาราซิงห์มาก แต่ก็มีขนาดสั้นกว่าจนเห็นได้ชัดทั้งยังมีเขาแขนงปลายกิ่งซึ่งแตกกิ่งก้านมากมายกว่า และเขากิ่งรับหมาก็ยาวสวยงามกว่ามาก

    ต่อมาได้มีการพิจารณาตัดรวมสมันเข้าไว้ในสกุล Cervus (Linnaeus, 1758) เนื่องจากมีลักษณะสำคัญคือ ฐานเขา (Pedicel) ที่ติดกับกะโหลกสั้นแต่ตัวเขายาว และกระดูกกรามบนมีเขี้ยวสั้น ๆ 1 คู่ ชื่อวิทยาศาสตร์ของสมันจึงเปลี่ยนเป็น Cervus schomburgkl

    ปี ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410) โปรเฟสเซอร์ไบลท์ ได้แสดงปาฐกถา เรื่องสมันอีกครั้ง พร้อมทั้งรูปถ่ายเขาสมันอีกหลายหัวและกล่าวว่าเขาได้ทราบอย่างแน่นอนว่า สมันเพศผู้ตัวหนึ่งได้ถูกส่งมาจากเมืองไทยและเลี้ยงอยู่ในสวนพฤกษชาติ Jardin des Plants d’Paris ในกรุงปารีส

    ปี ค.ศ. 1872 (พ.ศ.2415) มีรายงานในหนังสือสัตวศาสตร์ P.Z.S. ว่า ฝรั่งคนหนึ่งได้รับพระราชทานสมันตัวหนึ่งมาจากพระเจ้าแผ่นดินกรุงสยาม และสวนสัตว์เซี่ยงไฮ้ได้รับเลี้ยงไว้

    ปี ค.ศ. 1873 พ.ศ. (2416) สวนสัตว์ในลอนดอน ได้ลูกกวางเพศผู้ตัวหนึ่งมาจากสวนสัตว์ที่แฮมบูร์ก เดิมเข้าใจว่าเป็น Rucervus duvauceli แต่ต่อมาอีก 4 ปี จึงทราบว่าเป็นสมัน จึงมีการทบทวนประวัติของกวางตัวนี้ใหม่พบว่าพ่อของมันได้มาจากกรุงเทพ ฯ ในปี ค.ศ. 1862 ส่วนแม่ของมันได้รับช่วงต่อมาจาก เบอร์ลิน ซึ่งเข้าใจว่าได้รับมาจากเมืองไทยเช่นกัน

    ปี ค.ศ. 1876 (พ.ศ. 2419) เซอร์วิคเตอร์บรู๊คได้บรรยายว่าเขาได้รับสมันเพิ่มเติมอีกหลายคู่โดยได้รับคำบอกเล่าจากนายแพทย์แคมป์เบล ซึ่งเป็นนายแพทย์ประจำตัวกงสุลเยเนราลประจำราชสำนักแห่งพระเจ้ากรุงสยาม ว่าเขาสมันเหล่านี้ดูเหมือนจะได้มาจากทางเหนือ ซึ่งความจริงไม่เคยมีสมันอยู่ในป่าเมืองเหนือ เข้าใจว่านายแพทย์แคมป์เบลคงเข้าใจผิด (บุญส่ง, 2497) ทั้งยังกล่าวถึงสมันที่เลี้ยงไว้ในสวนพฤกษชาติ Jardin des Plants d’Paris ในปารีสว่าได้ตายลง และเก็บสตั๊ฟไว้ที่ Museum d’Histoire Naturelle ที่กรุงปารีสและโดยสมันตัวนี้ ได้ถูกส่งมาจากเมืองไทยโดย มิสเตอร์ เอม. โบกูต์

    ปี ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) พระยาราชวรินทร์ เจ้าเมืองสระบุรีจับลูกกวางตัวหนึ่งได้ในทุ่งโคราช ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นกวางอะไร แต่พระยาอินทรมนตรีว่าจับได้จากหาดสองแควใกล้แก่งคอย ต้นน้ำป่าสัก และพระยาราชวรินทร์ได้ให้แก่มิสเตอร์เบทเย (Bethge) ผู้อำนวยการรถไฟ ซึ่งได้นำลงมายังกรุงเทพฯ ในปีต่อมาได้นำกลับไปยังประเทศเยอรมัน และมอบให้แก่สวนสัตว์เบอร์ลิน ต่อมาเมื่อกวางดังกล่าวโตขึ้นจึงทราบว่าเป็นสมัน สร้างความตื่นเต้นให้นักสัตวศาสตร์ ทางห้างจามราช (Messrs Jamrach) จึงส่งนักค้นคว้ามิสเตอร์ชานซ์ (Chance) เข้ามาค้นหาสมันอีกครั้งหนึ่ง มิสเตอร์ชานซ์ใช้เวลาหลายเดือนในการติดตามและดักกวางเป็น ๆ อยู่รูปหนึ่งและเป็นรูปเดียวที่มีอยู่ในโลกที่ถ่ายจากสมันที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งเข้าใจว่าจะเป็นสมันที่ถูกส่งไปไว้สวนสัตว์เบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน

    ปี ค.ศ. 1909 (พ.ศ. 2452) และ ปี ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) พิพิธภัณฑสถานแห่งอังกฤษได้พยายามติดต่อสถานทูตอังกฤษในกรุงเทพฯ ขอให้จัดหาสมันหากไม่ได้ตัวเป็น ๆ ก็ให้ซื้อกระดูกต่าง ๆ และหนังของสมัน เท่าที่หาได้ส่งไปอังกฤษเพื่อศึกษาเพิ่มเติม เพราะในอังกฤษมีแต่เขาและกะโหลก แต่ก็ไม่เคยได้ส่วนหนึ่งส่วนใดของสมันเพิ่มเติมไปอีกเลย

    ปี ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) มิสเตอร์พีอาร์เค็มป์ (N.H.S.S. Vol.lll No. 1) ได้ติดตามหาสมันในเมืองไทย และได้ความจากชาวบ้านปากน้ำโพว่า รูปร่างของสมันคล้ายกับละองละมั่งมาก ผิดกันที่เขามีหลายกิ่ง แต่ตัวเมียแยกกันไม่ค่อยออก ฉะนั้นชาวบ้านปากน้ำโพจึงมักเชื่อกันไปว่าสมันมีแต่ตัวผู้ และผสมพันธุ์กับละมั่ง ลูกที่ได้ออกมาอาจมีเขาสมันบ้าง มีเขาเป็นละองบ้าง และมิสเตอร์พีอาร์เค็มป์ ยังได้รับคำบอกเล่าจากชาวบ้านตำบลบัวชุมซึ่งอยู่เลยชัยบาดาลขึ้นไปทางโคราชเล็กน้อยว่า พ่อค้าเขาสัตว์ได้นำเขาสมันล่องลงมาชายทางแม่น้ำป่าสักบ่อย ๆ (แต่นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล ได้ให้ความเห็นว่ามิสเตอร์ พีอาร์เค็มป์ ได้รับคำบอกเล่าที่ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากตำบลบัวชุมเป็นที่ราบสูง ส่วนมากเป็นดงทึบพบแต่กวางป่า และละองละมั่ง ไม่มีทุ่งราบต่ำกว้างขวางพอที่จะให้สมันอาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่ ๆ ได้เลย)

    พระยาชลมารคพิจารณ์ ได้พยายามไต่ถามชาวบ้านแถบลำแควป่าสักก็ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นสมัน

    มิสเตอร์ไลล์ (Lyle, N.H.S.S. Vol.lll No.1) กงสุลเยเนราลประจำกรุงเทพฯ ได้พบเขาสมันแขวนอยู่ตามบ้านราษฎรหลายริมแม่น้ำเจ้าพระยาระหว่าง ปากน้ำโพกับอุตรดิตถ์
    แฮร์โคลเบ (N.H.S.S. Vol.lll No.1) พบเขาสมันคู่หนึ่งในลุ่มน้ำป่าสักใกล้แก่งคอย
    พระยาเดชานุชิตเทสาจันทบุรี ยิงสมันได้ตัวหนึ่งในทุ่งหญ้าหน้าเมืองจันทบุรี

    ปี ค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) สมันที่จับได้ในปี ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) และถูกส่งไปยังสวนสัตว์เบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ได้ตายลงแต่ก็ได้มีการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยและบันทึกภายสมันไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นภายถ่ายสมันเพียงชุดเดียวในโลก

    ปี ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) ตามคำบอกเล่าของพระยาชลมารคพิจารณ์ว่า ได้ทราบจากบิดาของท่านคือ ดอกเตอร์ใหญ่ สนิทวงศ์ ซึ่งเวลานั้น (ประมาณปี พ.ศ. 2457) เป็นผู้อำนวยการบริษัท Siam Canals, Land & lrrigation อยู่ควบคุมการขุดท่อระบายน้ำ เพื่อการทำนาในทุ่งรังสิต ท่านได้เล่าว่า มีสมันชุกชุมมากตามทุ่งรังสิต เคยยิงได้แถวบริเวณประตูน้ำจุฬาภรณ์ ในฤดูน้ำหลากสมันจะหนีไปอยู่รวมกันในที่ดอน ชาวบ้านก็จะชวนกันไปด้วยเรือม่วงและไล่แทงเอาตามใจชอบ ในฤดูร้อนแถวบางเขน ชาวบ้านจะเอาเขาสมันตากแห้งสวมศรีษะ คลานเข้าไปถึงตัวสมันแล้วแทงเอาอย่างง่ายดาย เพราะมันไม่ค่อยหนี สมันในสมัยนั้นมีชุมไปถึงตำบลบางปลากดและตำบลทุ่งดงละครในนครนายก (บุญส่ง, 2497)

    ปี ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2497) พระยาชลมารคพิจารณ์ (N.H.S.S. Vol.lll No. 4) ได้ไต่ถามหัวหน้าคนงานผู้หนึ่งซี่งอายุมากแล้วได้รับคำยืนยันว่า เมื่อครั้งเขายังหนุ่ม ๆ เคยเห็นสมันชุกชุมอยู่ระหว่างแม่น้ำสุพรรณบุรีกับแควน้อย ชายชราผู้นี้บอกลักษณะของสมันได้ถูกต้องน่าเชื่อถือได้ พระยาชลมารคพิจารณ์จึงส่งคนขึ้นไปยังตำบลดังกล่าว แต่ได้ความเพียงว่าเคยมีชุกชุมแต่สูญพันธุ์ไปเพราะการเปิดพื้นที่เพื่อทำนาและเมื่อท่านไปตรวจราชการที่อำเภอจระเข้สามพัน สอบถามนายอำเภอ ได้ความว่าเคยยิงได้ตัวหนึ่งเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา

    ปี ค.ศ. 1928 (พ.ศ. 2471) นายอาร์บบิโกต์ (Brigadier Gen. R. Pigot. N.H.S.S. Vol.lll No. 1) เป็นผู้หนึ่งได้พยายามติดตามหาสมัน เขาเดินทางตามคำบอกเล่าของชาวบ้านและพ่อค้าเขาสัตว์ไปยังโคราช ขอนแก่น ชัยภูมิ อุดรธานีและอีกหลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ อรัญประเทศและกบินทร์บุรี ซึ่งไม่พบสมันและทราบความจริงว่าไม่มีผู้ใดเคยรู้จักสมัน และเขาได้รับความยุ่งยากในเรื่องการใช้ชื่อสับสนของชาวบ้านเหล่านี้ไม่น้อย เนื่องจากชาวบ้านมักจะเรียกสมันไปปนกับละองหรือละมั่ง หรือแม้แต่กวางป่าและบางคนก็เรียกรวม ๆ กันไปว่า เนื้อ จนในที่สุดนายอาร์บิโกต์ก็ได้พบคนที่รู้จักสมันคือ นายอำเภอชัยบาดาลและนายอำเภอแก่งคอยที่สระบุรี ซึ่งยืนยันตรงกันว่าเคยพบสมันที่นครนายกเมื่อหลายปีมาแล้วเคยมีชุกชุมมากในทุ่งนครนายก แต่สูญพันธุ์ไปเพราะการเปิดพื้นที่เพื่อทำนา

    พระยาชลมารคพิจารณ์ไปตรวจราชที่คลองมะขามเฒ่า ได้ยินจากชาวบ้านว่ามีสมันหลบซ่อนอยู่ตามทุ่งแถบนั้นตัวหนึ่ง ต่อมาในปี ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) ก็ทราบข่าวว่าหายสาบสูญไปแล้ว พระยาอภัยวงศ์ก็เคยสนใจอยากจับสมันมาเลี้ยงเพื่อไม่ให้สูญพันธุ์ โดยเอาช้างพาหนะไปจากปราจีนไปท่องเที่ยวค้นหาทางตะวันตำของแม่น้ำสุพรรณแต่ก็ไม่พบ

    ปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) นาย อู กูเลอร์ (U. Guehler,N.H.S.S. Vol.lX No.1) ทราบจากหลวงวิศิษฐ์ นายอำเภอกาญจนบุรีว่า นายสิบตำรวจเลียน ยิงสมันตัวหนึ่งได้ที่แควน้อยราวต้นปี ค.ศ. 1932 โดยหลวงวิศิษฐ์เล่าว่าเห็นเขาใหม่ ๆ ยังมีเนื้อหนังติดอยู่ และที่แควใหญ่กาญจนบุรีก็ยิงได้อีก 1 ตัว (Guehler, 1933) แต่เรื่องนี้ นาย ซี.เอช. สต๊อกเลย์ (N.H.S.S. Vol. LX No> 1) กล่าวว่าบางคนอาจอยากให้นักล่าสัตว์ไปเที่ยวป่ามาก ๆ และทราบดีว่าต่างประเทศต้องการสมันมาก อาจเอาหัวสมันที่ยิงได้เมื่อหลายปีก่อนและมีหนังหน้าผากติดอยู่เอาลงแช่น้ำเกลือ หนังก็จะนุ่มดูเหมือนเนื้อหนังใหม่ ๆ ที่พึ่งถูกยิง นาย ซี.เอช. สต๊อกเลย์ จึงไม่เชื่อว่าจะเป็นสมันที่ยิงได้ใหม่ ๆ จริง

    ปี ค.ศ. 1938 (พ.ศ. 2481) ตามหลักฐานได้บันทึกว่า สมันตัวสุดท้ายได้เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2481 ที่วัดในอำเภอมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร

    ลักษณะทั่วไป

    สมันเป็นกวางพื้นเมืองเฉพาะถิ่นในประเทศ พบเพียงแห่งเดียวในโลกเป็นสัตว์จำพวกกวางที่มีกีบเท้าเป็นกีบคู่ เท้าแต่ข้างมีนิ้วเท้าเจริญดี 2 นิ้ว พัฒนาให้มี 4 ตอน รวมทั้งกระเพาะพักเพื่อย่อยอาหารจำพวกพืชโดยเฉพาะมีต่อมน้ำตาเป็นแอ่งที่หัวตา ไม่มีถุงน้ำดี และที่สำคัญคือ มีเขาบนหัวที่เรียกว่าเขากวาง เฉพาะในตัวผู้ลักษณะของเขาสวยงามมาก เมื่อโตเต็มวัยจะมีความยาวหัวจรดหาง 180 เซนติเมตร ความสูงถึงไหล่ 104 เซติเมตร ความยาวหาง 10.3 เซติเมตร ความยาวหู 16.5 เซติเมตร น้ำหนักประมาณ 100-120 กิโลกรัม มีรูปร่างและเขาที่สวยงาม มีขนตามตัวเรียบเป็นมัน ยาว และหยาบ สีขนบนลำตัวมีสีน้ำตาลเข้มเรียบเป็นมัน ขาและบริเวณหน้าผากมีสีน้ำตาลแดง แงคอสั้นประมาณ 5 เซติเมตร ขนที่ลำคอด้านหนาลงไปถึงอกยาวประมาณ 10 เซติเมตร ขนบริเวณจมูก และส่วนบนของหาง สีค่อนข้างดำ หางสั้นและด้านล่างมีสีขาวมีเขาเฉพาะเพศผู้ เพศเมียไม่มีเขา และรูปร่างคล้ายกับละมั่งมาก

    เขาสมันมีลักษณะสวยงาม เขาเป็นแบบกวาง (Antlers) ซึ่งเป็นเขาตัน มี 2 ข้างขนาดเท่า ๆ กัน ลำเขามีการแตกกิ่ง มีการผลัดเขาเป็นประตำทุกปี เขาที่งอกใหม่เรียกว่าเขาอ่อน ซึ่งงอกจากส่วนวงแหวนเขา (Burr) ที่ติดอยู่กับกระดูกหน้าผากของหัวกะโหลก โดยมีหนังหุ้มเขานุ่มคล้ายกำมะหยี่มีเส้นเลือดเส้นประสาทหล่อเลี้ยงเมื่อเขาโตและแก่เต็มที่ หนังหุ้มเขาจะแห้งและหลุดออกไปเหลือแต่ตัวเขาที่แข็งซึ่งจะผลัดเขาหลุดไปทุกปี

    เขาสมันมีขนาดใหญ่และแตกกิ่งก้านออกหลายแขนง กิ่งรับหมา (Brow tine) ยาวและโค้งงอน ทอกลงมาด้านหน้าทำมุมยกประมาณ 60 องศากับใบหน้าความยาวเฉลี่ย 30 เซติเมตร ปลายกิ่งรับหมาแตกออดเป็น 2 แขนง ลำเขา (Beam) สั้น ประมาณ 12 เซนติเมตร ลำเขาตั้งฉากกับกิ่งรับหมา มีการแตกกิ่งเขาช่วงแรกออกเป็นกิ่งหน้าและกิ่งหลัง แต่ละกิ่งจะแตกแขนงเป็น 2 กิ่ง ต่อ ๆ ไป 2-3 ชั้น โดยทำมุมแยกออกไปเท่ากับลำกิ่งเดิม ลักษณะคล้ายสุ่มหรือตะกล้าจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากวางเขาสุ่ม โดยเฉลี่ยแล้วเขาสมันจะมีกิ่งแขนงตั้งแต่ 10- 33 แขนง โดยเขาขนาดใหญ่จะมีกิ่งแขนงข้างละ 8-9 กิ่ง วัดความยาวโค้งนอกได้เฉลี่ยประมาณ 65 เซนติเมตร

    การแพร่กระจาย

    สมัยก่อนมีชุกชุมมากในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแต่ปัจจุบันสูญพันธุ์แล้ว โดยมีรายงานการพบสมันในธรรมชาติครั้งสุดท้ายเมื่อพฤศจิกายน พ.ศ. 2475 โดยนายสิบตำรวจเลียน ยิงสมันเพศผู้ตัวหนึ่งได้ที่แควน้อย และรายงานสุดท้ายที่พบสมันถูกนำมาเลี้ยง คือที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอมหาชัย จังหวัดสมุทรสาครเป็นสมันเพศผู้ ซึ่งได้ตายลงในปี พ.ศ. 2481 และหลังจากนั้นก็ไม่มีรายงานการพบสมันอีกเลยจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 68 ปีมาแล้ว และโชคร้ายที่ประเทศไทยไม่มีการนำสมันมาเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ ส่วนสมันที่นำไปเลี้ยงในต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็นสมันเพศผู้และไม่มีรายงานการาขยายพันธุ์ในกรงเลี้ยงจากที่ใดเลย

    สมันเป็นสัตว์ชนิดที่มีเขตแพร่กระจายจำกัดอยู่ในบริเวณที่ราบภาคกลางของประเทศไทยเท่านั้นสมัยก่อนมีชุกชุมมากในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดรอบกรุงเทพฯ มีศูนย์กลางการกระจายพันธุ์อยู่ในแถบกรุงเทพฯ และหัวเมืองโดยรอบ ขอบเขตการกระจาย มีตั้งแต่จังหวัดสมุทรปราการ ขึ้นเหนือไปถึงจังหวัดสุโขทัย ด้านตะวันออกไปถึงจังหวัดนครนายก และฉะเชิงเทรา ด้านตะวันตกกระจายไปถึงจังหวัดสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี

    นอกจากนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่า สมันน่าจะเคยมีในประเทศลาวและภาคใต้ของจีนด้วย แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันที่เชื่อถือได้ จึงกล่าวได้ว่าสมันเป็นสัตว์พื้นเมืองเฉพาะถิ่นของประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลก

    ชีววิทยา

    สมันชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ ประกอบด้วยตัวผู้ 1 ตัว ตัวเมียและลูก 2-3 ตัว หลังจากหมดฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้จะแยกตัวออกมาอยู่โดดเดี่ยว ชอบกินหญ้าโดยเฉพาะหญ้าอ่อน ผลไม้ ยอดไม้ ใบไม้หลายชนิด มีลักษณะการเดินยกหัวและท่วงท่าที่สง่างาม คึกคะนองชอบประลองท้าทายกับกวางที่ตัวโตกว่า เสียงร้องแหลมสั้น ๆ คล้ายเสียงหวีดร้องของเด็ก ฤดูผลัดเขาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ (สวัสดิ์, 2539)

    สำหรับการสืบพันธุ์ไม่มีผู้ใดเคยศึกษา จึงไม่มีข้อมูลที่แน่นอนในเรื่องการสืบพันธุ์ของสมัน

    นิเวศวิทยา

    สมันจะอาศัยเฉพาะในทุ่งโล่ง หากินหญ้าตามท้องทุ่งโล่งใกล้แม่น้ำ หรือที่ราบลุ่มริมแม่น้ำในช่วงเย็นค่ำจนถึงเช้า ตอนกลางวันมักหลบแดด และซ่อนตัวอยู่ตามป่าละเมาะหรือพงหญ้าสูง ๆ และมักอาศัยรวมถิ่นปะปนกับเนื้อททราย ปกติแล้วสมันไม่ชอบอยู่ตามป่ารกทึบหรือป่าโคกอย่างกวางป่าหรือละมั่ง เนื่องจากมีกิ่งรับหมายาวและทำมุมแหลมกับในหน้า กิ่งก้านเขาซึ่งบานเป็นสุ่ม ทำให้สมันไม่สามารถมุดลอดได้เพราะกิ่งก้านเขาจะขัดหรือเกี่ยวพันกับกิ่งไม้ปรือเถาวัลย์ ในฤดูน้ำหลากท่วมท้องทุ่งจะหนีน้ำขึ้นไปอยู่ร่วมกันบนที่ดอน ทำให้พวกพรานล้อมไล่ฆ่าอย่างง่ายดาย

    สถานภาพ

    สมันได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยและจากโลก เมื่อประมาณ 68 ปีมาแล้ว (พ.ศ. 2481) จากการจัดสถานภาพโดย IUCN (2004) สมันมีสถานภาพเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ (Extinct)

    ปัจจัยคุกคาม

    สาเหตุของการสูญพันธุ์ของสมัน สืบเนื่องมาจากแหล่งที่อยู่อาศัยได้ถูกเปลี่ยนเป็นนาข้าวเกือบทั้งหมด เนื่องจากประเทศไทยได้เปิดติดต่อค้าขายกับต่างประเทศในปี ค.ศ. 1850 (พ.ศ. 2393) และข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญทำให้คนไทยตื่นตัวทำนากันมากขึ้น ฉะนั้นเมื่อรัฐบาลสร้างทางรถไฟขึ้นไปทางสายเหนือ นำประชาชนจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี อำเภอนครโชยศรี จังหวัดนครปฐม และอยุธยา ขึ้นไปจับจองที่ดินทำนากันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของสมันและเกิดการฆ่าสมันในแถบนั้นหมดภายในไม่กี่ปี ส่วนสมันที่เหลืออยู่ตามที่ห่างไกลจะถูกล่าอย่างหนักในฤดูน้ำหลากท่วมท้องทุ่ง ซึ่งสมันจะหนีน้ำขึ้นไปอยู่รวมกันบนที่ดอนทำให้พวกพรานล้อมไล่ฆ่าอย่างง่ายดาย


    ที่มา: หนังสือ “สัตว์ป่าสงวนในประเทศไทย” กลุ่มงานวิจัยสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า (กรกฏาคม 2549)


    ....................................................

    อ่านรายละเอียดแล้วเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง มนุษย์นี่เองเป็นผู้ทำลายที่น่ากลัวที่สุดในโลก

    ปล. ในปี พ.ศ. 2534 มีรายงานว่าพบซากเขาสมันสดขายในร้านขายยาใจกลางเมืองพงสาลี และแขวงหลวงพระบาง ทางภาคเหนือของลาว ทำให้สันนิษฐานว่าอาจจะมีสมันหลงเหลืออยู่ในประเทศลาวก็เป็นได้ แต่เรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเพียงพอ
     
  17. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    อยุธยายับเยินนอกจากการสงครามแล้ว ว่ากันว่า

    อั้งยี่โจรจีนหาสมบัติก็เป็นอีกคณะหนึ่งที่ทำลายโบราณสถาน

    ขนอิฐมาสร้างเมืองใหม่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง

    พวกหากรุพระและสมบัติก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง

    สุดท้ายก็พวกชาวบ้านรุกที่ทำมาหากินก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
     
  18. พุทโธ ภควา

    พุทโธ ภควา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    567
    ค่าพลัง:
    +1,772
    วันนี้ขอโพสต์ดวง ฝากพี่ทิพย์ช่วยทำนายทายทักให้หน่อย ขอบคุณครับ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. พ่อประดู่09

    พ่อประดู่09 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +4,378
    ควายป่า

    ชื่อสามัญ : Wild Water Buffalo

    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bubalus bubalis

    [​IMG]


    ในรูปนี้น่าจะเป็นคนละตัวกับ"ไอ้จ้าว"ของคุณพนมเทียน ในเรื่องเพชรพระอุมา

    ลักษณะ

    ควายป่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกับควายบ้าน แต่มีลำตัวขนาดลำตัวใหญ่กว่า มีนิสัยว่องไวและดุร้ายกว่าควายบ้านมาก ตัวโตเต็มวัยมีความสูงที่ไหล่เกือบ 2

    เมตร น้ำหนักมากกว่า 1,000 กิโลกรัม ลำตัวโดยทั่วไปเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาลดำ ขาทั้ง 4 สีขาวแก่หรือสีเทาคล้ายใส่ถุงเท้าสีขาว ด้านล่างของลำตัว

    เป็นลายสีขาวรูปตัววี (V) ควายป่ามีเขาทั้ง 2 เพศ เขามีขนาดใหญ่กว่าควายเลี้ยง วงเขากางออกกว้างโค้งไปทางด้านหลัง ด้านตัดขวางเป็นรูปสาม

    เหลี่ยม ปลายเขาเรียวแหลม

    อุปนิสัย

    ควายป่าชอบออกหากินในเวลาเช้าและเวลาเย็น อาหารได้แก่ พวกใบไม้ หญ้า และหน่อไม้ หลังจากกินอาหารอิ่มแล้ว ควายป่าจะนอนเคี้ยวเอื้องตาม

    พุ่มไม้ หรือนอนแช่ปรักโคลนตอนช่วงกลางวัน ควายป่าจะอยู่ร่วมกันเป็นฝูง ฤดูผสมพันธุ์อยู่ราวๆเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนตกลูกครั้งละ 1 ตัว ตั้ง

    ท้องนาน 10 เดือน เท่าที่ทราบควายป่ามีอายุยืน 20-25 ปี

    เขตแพร่กระจาย

    ควายป่ามีเขตแพร่กระจายจากประเทศเนปาลและอินเดีย ไปสิ้นสุดทางด้านทิศตะวันออกที่ประเทศเวียดนาม ส่วนในประเทศไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นศูนย์

    กลางการกระจายพันธุ์ของควายป่า อีกทั้งเท่าที่มีรายงานพบว่าควายป่าพันธุ์ไทย มีขนาดใหญ่กว่าควายป่าแหล่งอื่นๆ พบว่ามีควายป่าเหลืออยู่บริเวณ

    เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี และคาดว่ายังมีควายป่าแท้ๆ หลงเหลืออยู่บ้างในเนปาล รัฐอัสสัม และโอริสสาของอินเดีย

    สถานภาพ

    ปัจจุบันควายป่าที่เหลืออยู่ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยมาก จนน่ากลัวว่าอีกไม่นานจะหมดไปจากประเทศ ควายป่าจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งใน 15

    ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดควายป่าไว้ใน Appendix III ในประเทศไทย แต่เดิมเคยมีควายป่าอยู่ตามป่าทุ่งป่าโปร่งเกือบทุก

    ภาคของประเทศ ยกเว้นภาคใต้ แต่ปัจจุบันถูกล่าหมดไป ยังคงมีหลงเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี

    ประมาณ 40 ตัว (จากการสำรวจในปี พ.ศ.2536, กรมป่าไม้) นอกจากแหล่งนี้ ควายป่าที่พบน่าจะเป็น ควายปละไม่ใช่ควายป่าหรือมหิงสาแท้ๆ

    สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์

    เกิดขึ้นจากสาเหตุ อาทิ การถูกล่าเพื่อเอาเนื้อและเอาเขาที่สวยงาม เพราะความป่าโดยนิสัยจะไม่ค่อยกลัวหรือหลบหนีคน และการชอบนอนแช่ปลัก

    หรืออยู่ตามทุ่งโล่งที่เดิมเป็นประจำ นอกจากนี้ป่าโปร่งหรือป่าทุ่งตามที่ราบลุ่มส่วนใหญ่ ถูกบุกรุกทำลายเป็นที่อยู่อาศัย และเป็นที่เกษตรกรรม ทำให้

    ควายป่าไม่มีที่อยู่ ถูกขับไล่กระจัดกระจายเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ไม่สามารถติดต่อกันได้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการถ่ายทอดพันธุกรรมของสัตว์ที่อยู่เป็น

    ฝูงอย่างยิ่ง นอกจากนี้การบุกรุกถิ่นที่อยู่ของควายป่า อาจทำให้ควายป่าผสมพันธุ์กับควายบ้านที่คนนำไปเลี้ยง ทำให้พันธุกรรมของควายผ่าด้วยลง และ

    อาจติดโรคระบาดจากควายบ้านได้ด้วย

    ถึงแม้สถานภาพของควายป่า ในธรรมชาติจะอยู่ในขั้นใกล้จะสูญพันธุ์อย่างยิ่ง แต่เนื่องจากมีสายพันธุ์ที่คล้ายลักษณะของควายบ้าน ยากต่อการจำแนก

    จากกัน ทำให้หลายประเทศในภูมิภาคที่เป็นแหล่งกำเนิดของควายป่า ยังไม่ยอมให้มีมาตรการคุ้มครองการค้าควาย มีแต่ประเทศเนปาลที่เสนอให้ควาย

    ในประเทศของตน ขึ้นบัญชีเป็นสัตว์ป่าต้องห้ามบัญชี 3 (Appendix lll) ของอนุสัญญา CITES เพียงประเทศเดียว ทำให้ปัจจุบันยังมีการค้าขาย

    ควายโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ว่าเป็นควายบ้าน หรือควายป่าที่หายากหรือไม่

    เรียบเรียงจาก



    หมายเหตุ : เมื่อประมาณ 50 ปีก่อน ที่วัดมหาดไทย จ.อ่างทอง มีซากหัวควายพร้อมเขาสวยงามอยู่หัวหนึ่ง ปู่บอกว่าเจ้าของเขาต้องฆ่ามัน ทั้งๆที่

    มันเป็นควายที่งามมากและแข็งแรง มันเป็นควายดื้อ ถ้าระหว่างที่กำลังไถนาอยู่ มันได้ยินเสียงกลองเพลดังขึ้น มันจะเลิกงานทันที สลัดแอกสลัดคัน

    ไถออกทันที แล้วไปลงปรัก ตอนหลังเจ้าของพยายามจะฝึกมันให้มีความประพฤติดีขึ้น แต่มันไม่ยอมกลับเกเรและมีพฤติกรรมจะทำร้ายคนไม่เลือก

    หน้า มันมีนัยตาสีแดง เจ้าของให้ชื่อมันว่า"ไอ้ทับทิม"เจ้าของสันนิษฐานว่า แม่ของไอ้ทับทิมคงไปสียท่าควายป่า ในช่วงหน้าน้ำหลากตอนเข้า

    พรรษา จนถึงน่าน้ำลดประมาณหลังจากเทศกาลลอยกระทงแล้วสักครึ่งเดือน ที่คนแถวไผ่ดำจะต้อนวัวควายไปเลี้ยงยังที่ดอนของป่ายางช้าย สมัย

    ก่อนเขาเล่ากันว่าป่าแถวภาคกลางมีทั้งช้างทั้งเสือและควายป่าฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2013
  20. THANARATH 2010

    THANARATH 2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +1,721
    ผมขอขอบคุณมาก ๆ ครับ ผมได้ความรู้มากเลยครับ สวัสดีครับพี่
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...