"พระไมเตรยะ" อัฟกานิสสถาน ::

โดย The Qazi brothers (Mustafa, Abdullah, and Mir Abubaker)
จาก http://www.geocities.com/CapitolHill/8117/home.html หรือ
http://www.afghan-web.com/kabul-museum/


<img src="http://img212.imageshack.us/img212/4040/s004lt7.jpg"
พระไมเตรยะ :ภาพจิตรกรรมฝาผนัง

เป็นระยะเวลานานกว่า ๑,๐๐๐ ปี ที่ดินแดนอาฟกานิสถาน เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางแพรไหมที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์กันระหว่างอินเดีย อิหร่าน และ เอเชียกลาง ด้วยเหตุนี้เอง ณ ดินแดนแห่งนี้ จึงอุดมไปด้วยโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า ซึ่งได้มีการขุดค้นและเก็บรักษาไว้ พิพิธภัณฑ์กรุงคาบูลก็เป็นสถานที่หนึ่งที่เก็บรักษาโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเอเชียกลางเหล่านั้นไว้ มีโบราณวัตถุหลายชิ้นด้วยกัน ที่มีอายุเก่าแก่ไปจนถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ และชุดจัดแสดงที่ใหญ่ที่สุดชุดหนึ่งของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือ ชุดกลุ่มโบราณวัตถุจากเมืองบากรัม

เมืองบากรัมนี้ ตั้งอยู่ห่างจากกรุงคาบูลขึ้นไปทางเหนือราว ๔๐ ไมล์ นักโบราณคดีค้นพบเมืองนี้จากการขุดค้นป้อมปราการสมัยราชวงศ์กุษาณะเมื่อปี ค.ศ.๑๙๓๙ ซึ่งปรากฏว่ามีโบราณวัตถุมากมายถึง ๑,๘๐๐ ชิ้น ที่มาจากดินแดนต่างๆ คือ จากทั้งอินเดีย โรมัน กรีซ อียิปต์ และ แคว้นต่างๆ ในเอเชียกลาง นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์คาบูลยังมีชุดจัดแสดงที่สำคัญอีกคือ กลุ่มโบราณวัตถุประเภทเหรียญกรีก-โรมัน ซึ่งค้นพบใกล้ๆ กับกรุงคาบูล เหรียญเหล่านี้นับเป็นสมบัติอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะว่าเป็นเหรียญที่มาจากอารยธรรมต่างยุคต่างสมัยกันตั้งแต่ราว ๘๐๐ ปีก่อนคริสตกาล จนกระทั่งถึงราว คริสตศตวรรษที่ ๑๙ เลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม สมบัติอันทรงคุณค่าที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ ต่อมาได้ถูกโจรกรรมไปอันเนื่องมาจากพิพิธภัณฑ์ถูกโจมตีด้วยระเบิดในปี ค.ศ.๑๙๙๓ ในตอนแรกนั้น มีเพียงโบราณวัตถุที่จัดแสดงอยู่บริเวณระเบียงทางเดินชั้นบนหายไปเท่านั้น โบราณวัตถุที่เหลืออยู่บนชั้นบน จึงได้ถูกขนลงมาเก็บไว้ชั้นล่าง ซึ่งมีประตูเหล็กป้องกันไว้ ต่อมา ในปี ค.ศ.๑๙๙๔ องค์การสหประชาชาติ ได้พยายามที่จะหยุดยั้งพวกหัวขโมย จึงได้เข้ามาดำเนินการซ่อมแซมประตูพิพิธภัณฑ์เสียใหม่ และก่ออิฐซ่อมแซมหน้าต่างทุกบาน แต่อย่างไรก็ตาม ความพยายามดังกล่าวนี้ ไม่ได้ผลแต่อย่างใด เนื่องจากโบราณวัตถุยังคงสูญหายอยู่อย่างต่อเนื่องไปจนถึงกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ของโบราณวัตถุที่เคยมี มีรายงานว่านักสะสมโบราณวัตถุ และนักค้าโบราณวัตถุจากแดนไกล เช่น จากประเทศญี่ปุ่น ได้ซื้อโบราณวัตถุที่ถูกขโมยออกมาเหล่านี้ไป ทำให้ขณะนี้ โบราณวัตถุที่เคยจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก และสร้างรายได้อันมหาศาลให้แก่พวกอาชญากร

ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.๒๐๐๑ ด้วยคำประกาศของผู้นำกลุ่มตาลีบัน คือ มูลลาห์ โอมาร์ ที่มีลงไปยังสมาชิก ทำให้ในต้นเดือนมีนาคม ค.ศ.๒๐๐๑ กลุ่มตาลีบันได้มีมติให้ทำลายรูปเคารพ หรือ สิ่งเคารพที่มีมาก่อนศาสนาอิสลามทั้งหมดในดินแดนอาฟกานิสถาน พวกตาลีบันได้ทำลายรูปเคารพจำนวนมากที่ยังคงเหลือรอดจากการโจรกรรมและภัยสงครามอยู่ในพิพิธภัณฑ์ นอกจากนั้น ยังได้ทำลายพระพุทธรูปขนาดยักษ์ที่มีอายุตั้งแต่ราวคริสตศตวรรษที่ ๕ อีก ๒ องค์ ที่เมืองบามียัน ซึ่งหนึ่งในนั้นถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่สูงที่สุดใหญ่โลก และกลุ่มตาลีบันยังได้ทำลายรูปเคารพอื่นๆ อีกจำนวนมากที่เมืองฆัสนีอีกด้วย

จุดประสงค์ของบทความนี้ ต้องการให้ผู้อ่านได้ดื่มด่ำกับคุณค่าทางวัฒนธรรมของพิพิธภัณฑ์กรุงคาบูลก่อนที่จะถูกย่ำยี การจดจำความมั่งคั่งของมรดกทางวัฒนธรรมของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญ เรารู้สึกว่าพวกเราชาวอัฟกัน จำเป็นต้องค้นหาความผูกพันกับสายใยในอดีตของเรา ในส่วนลึกของหัวใจของเราแล้ว เราได้แต่หวังว่า สมบัติอันล้ำค่าของประเทศเรานี้
สักวันหนึ่งจะถูกค้นพบอีกครั้ง และถูกนำกลับมาสู่มาตุภูมิที่แท้จริง


<img src="http://img516.imageshack.us/img516/7730/kabul1mz7.jpg"


<img src="http://img441.imageshack.us/img441/2914/s004ahh1.jpg"

ประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์กรุงคาบูล
ถ่ายโดยองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ.๒๐๐๒
หลังขับไล่รัฐบาลตาลีบันออกไปแล้ว
ด้านบนมีป้ายเขียนข้อความว่า
"ชาติอยู่รอดได้ ก็ต่อเมื่อวัฒนธรรมอยู่รอด"

<img src="http://img248.imageshack.us/img248/6113/haget6.jpg"

 

ขอบคุณ ที่ให้ความรู้

 

กรรมตามทัน

 

[MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.551262/[/MUSIC]

 

เจ้าของกระทู้โดนแบนไปแระ