ทำไมเวลานั่งสมาธิชอบเห็นคนหน้าเเปลกโผล่มา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย noum77, 7 พฤษภาคม 2016.

  1. noum77

    noum77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2010
    โพสต์:
    189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +620
    คือผมก็พยายามที่จะนั่งสมาธิหนะครับ หายใจ เข้า ออก พุท โธ อะไรพวกนี้ หรือไม่ก็นึกถึง หลวงปู่ดู่อะไรเเบบนี้ ถ้านั่งได้นานหน่อย ผมมักจะมีคนที่เราไม่เคยเจอมาก่อนโผล่มา ตอนนั่งสมาธิหนะครับ เวลานั่งเเล้วเจอคนหน้าเเปลกๆ ผมก็ใช้วิธีเปลี่ยนไปท่องคาถาจักรพรรดิ์ เเผ่เมตตา ให้คนอยู่ดีที่โผล่ถามว่า คนพวกนี้เป็นใครกันครับ
     
  2. noum77

    noum77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2010
    โพสต์:
    189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +620
    โผล่มาในที่นี้คือ อยู่ดีก็โผล่มาตอนนั่งสมาธิตอนหลับตาหนะครับ หรือ นึกถึงนั้นเอง
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    วันหลังเจอ แล้วก็อย่าอยู่เฉยๆ ถามเอาสิครับ ว่าคุณเป็นใครเค้าเป็นใคร นะครับ

    คุยให้รู้เรื่อง ถามให้รู้เรื่อง ถามไปเลยครับ ไม่ต้องกลัว มีอะไร ต้องการอะไร ก็ว่ากันไปครับ ^^
     
  4. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,717
    มีหลายกรณี นะครับ
    เช่น 1) เป็นเจ้ากรรมนายเวร
    2) เป็นผีบ้านผีเรือน
    3) เป็นเจ้าที่เจ้าทาง
    4) เป็นกายทิพย์ แถวๆนั้น
    5) เป็นนิมิต ดลใจ ซึ่งมักเกี่ยวเนื่องกับ กรรม ในอดีต

    .....คือ พอเรามีสมาธิ ในระดับขนิกะสมาธิ แป็บนึง บางครั้งจะสามารถเห็นด้วยความรู้สึก หรือ ตาใน ของสิ่งแวดล้อใบริเวณนั้น
    หรือ พลังงานกายทิพย์ แถวๆนั้น ที่มีคลื่นความถี่ ใกล้เคียงกัน ครับ.
     
  5. Dragon new

    Dragon new สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +19
    แล้วเราควรทำไงครับ ให้สมาธิก้าวหน้าขึ้น
     
  6. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    ผมก็เป็นนะ แต่ผมคิดว่ามันเป็นการจิตนการของจิตเอง คล้ายๆกับเราฝันนั้นแหละ หรือไหมก็พวกจิตมโนขึ้นมา

    แล้วถามว่าควรทำยังไง ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมจะเอา 1.เฝ้ามองมันอย่างที่เราเฝ้ามองจิต 2.เปลี่ยนความคิดที่ปรุงแต่ง เดียวก็หายไปเอง

    ถ้าถามว่าทำไงให้สมาธิก้าวหน้าขึ้น ผมว่าควรกลับไปถามตัวเราเองก่อน เช่น นั่งไปเพื่ออะไร มีจุดมุ่งหมายอะไร มีจุดประสงค์อะไร ........
     
  7. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ทำให้เป็นประจำ และนั่งให้นานขึ้นเหมือน จขกท. ไงคับ ถ้าใจไม่อยู่กับพุทโธ ก้ต้องอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก อย่างใดอย่างหนึ่ง

    จะเหนใครแปลกหน้า หรือเห็นอะไรก้แล้วแต่ อย่าทิ้งคำภาวนาพุทโธ แม้กระทั่งจิตสงบก้เอาคำพุทโธ เป็นที่พึ่ง เป็นสิ่งระลึกไว้ แต่ถ้าอยากร้ว่าเปนใคร
    เมื่อเห็นอีกครั้ง ก้ลองน้อมจิตถามคนเหล่านั้นเรื่อยๆ คงมีบอกใบ้หรือเฉลยให้จขกท.รุ้เองบ้างแหละว่า เขาคือใคร? จะรู้หรือไม่รู้ อันนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญคับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040

    จิตสงบ หมดนิวรณ์ ก็มักจะมีความเป็นทิพย์เป็น
    เรื่องธรรมดาครับ ดังนั้นจึงมีโอกาศเห็นได้
    ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกครับ....
    เพราะสามารถเกิดขึ้นได้แม้กระทั่งไม่ตั้งใจ
    หรือไม่เคยฝึกสมาธิอะไรมา
    หรือเข้าถึงได้ไวจากการฝึกมาก็ได้ครับ..
    เพียงแต่เรื่องพวกนี้เราไม่ยึดมั่นถือมัน
    ก็จะไม่มีอะไรครับ..

    และขอเสริมให้ในบางมุมเฉพาะท่านั่งนะครับ..
    พอดีคุณ Center พูดไปบ้างแล้ว...
    ให้ลองสังเกตุลักษณะการเห็นดังต่อไปนี้ดูนะครับ...
    เพื่อว่าจะช่วยคลายข้อสงสัยได้บ้าง
    เอาไว้เป็นหลักสังเกตุก็ได้ครับ..

    ๑.ถ้ามาในมุมตรงหน้า แต่ความสูงระดับคิ้วเรา
    จะเป็นญาติเราในชาตินี้ที่เสียชีวิตไปแล้วที่เรารู้จัก..
    ๒.ถ้าเห็นในมุมเยื้องไปทางด้านซ้ายในแนวระดับ
    เดียวกันกับสายตาไม่ไกลมากเป็น เจ้ากรรมนายเวรครับ..

    ๓.ถ้าเห็นในมุมสูงเฉียงขึ้นไปทางด้านขวาเรา
    เป็นครูบาร์อาจารย์ท่านต่างๆที่เคยมีสัมพันธ์กับเรามา
    ในอดีต...
    ๔.ถ้าเห็นในทางด้านซ้ายในมุมเยื้องสูงไปหน่อย..
    เป็นญาติเราในอดีตที่ตามคุ้มครองเรามา บางทีก็เป็น
    เทวดาประจำตัวเราด้วยครับ..

    ๕.ถ้าเห็น ในแนวระดับสายตา และพื้นโลก ในมุมขวาเล็กน้อย
    วัดจากจมูกไปซัก ๑๐ องศาโดยประมาณ
    เป็นระดับเทพที่มีฤิทธิ์ที่คอยดูแลเรา
    แต่ถ้ามุมเดียวกันนี้แป๊ะๆ
    แต่ว่าอยู่ลอยสูงกว่า มุมนี้ต้องระวังให้ดีๆครับ
    จะเป็นเทวบุตรมาร ที่คอยมาแปลงกาย
    หลอกเราให้หลงครับ ตรงนี้ให้แก้ด้วยการมองให้นานๆครับ

    ๖.ถ้าเห็นในมุมตรงหน้า เยื้องสูงขึ้นฟ้า เป็นระดับพระพุทธฯ
    ๗.ถ้าเห็นในมุมด้านขวา เยื้องสูงขึ้นฟ้า ลอยลงมาเป็น
    ท่านที่อยู่ในสายพระโพธิสัตว์ ที่จะเป็นพระพุทธฯในอนาคตครับ...
    ๙.ถ้าโผล่มาตรงๆเหมือนยืนอยู่ตรงหน้า ต่อไปท่านนี้จะสอน
    กรรมฐานอะไรเราซักอย่างแน่นอนครับ..
    ๑๐.ถ้าโผล่มาห่างหน้าเราไม่เกินคืบ เปลี่ยนแปลงหน้าตาได้
    พวกนี้เป็นภูต ไม่ต้องสนใจ ให้เฉยๆเด่วก็ไปเองครับ...
    สังเกตุง่ายๆ พวกนี้ขาจะไม่ติดพื้น บางทีก็มาเต็มห้องก็มีครับ
    พวกนี้มาทดสอบกำลังใจนักปฏิบัติเฉยๆ
    ๑๑.ถ้าโผล่มาในมุมซ้าย มุมเหมือนข้อ ๕ ยืนนิ่ง
    เป็นอสูรกายครับ..ต้องดูท่าทีให้ดีด้วยครับ..
    ถ้าอุทิศบุญแล้วนิ่ง และมีท่าทีจะทำร้ายเรา..
    ให้ป้องกันตนเองตามตามวาระความสามารถแห่งตนครับ.

    ๑๒.ถ้ามาในด้านข้างทางด้านแขนขวาห่างประมาณ ๑ เมตร
    และนั่งระดับเดียวกันกับเรา
    คือบุคคลที่เราเคยสนิทมาก่อนแต่ว่า
    เสียชีวิตไปแล้วในชาตินี้ครับ...
    ๑๓.ถ้าเห็นในมุมด้านขวาหลัง คือภพภูมิที่มาแอบดูเรานั่งสมาธิครับ
    ๑๔.ถ้าเห็นในมุมด้านหลังซ้าย คือส่วนที่ต้องการกำลังบุญครับ..
    ๑๕.ถ้าเห็นมากมาย นอนอยู่ต่อหน้าเรา คือมาดู มาเล่นด้วยเฉยๆ
    ไม่ต้องสนใจครับ..ส่วนใหญ่เป็นวิญญานเด็กๆ มาแบบเน้นฮาครับ...

    สำหรับการเห็นในทางนั่งสมาธิประมาณนี้ลองสังเกตุดูครับ..
    แต่วิธีที่จะปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าเราเห็นในมุมอะไรนะครับ..
    ให้เราอุทิศส่วนกุศลไว้ก่อนในทุกๆกรณี
    โดยไม่ต้องสนใจว่าผลจะเป็นอย่างไร
    ไม่ต้องคาดหวังอะไรครับ.
    ไม่ต้องไปอยากรู้ว่า เป็นใคร คืออะไร
    มายังไง มาทำไม แล้วก็ให้มาฝึกเจริญสติเพิ่มขึ้น
    เด่วเราจะมีเครื่องย้อนรู้ได้เองอัตโนมัติทุกๆการเห็น
    ในอดีตที่ผ่านมาครับ...
    และที่สำคัญก็คือ ทำแล้วก็แล้วไป..
    อย่าไปยึดกับสิ่งที่เห็น แม้ว่า
    คุณจะลืมตาขึ้นมาแล้ว
    ยังเห็นได้อยู่เหมือนในขณะที่หลับตาแล้วก็ตาม
    ก็ไม่ต้องยึดนะครับ..แต่ควรให้ความเคารพกับบางสิ่ง.
    จะทำให้การฝึกสมาธิหรือกรรมฐานใดๆ
    ของเราก้าวหน้าได้เร็วขึ้นครับ..(^_^)
     
  9. tidjerd

    tidjerd ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +69
    ของผมส่วนมากถ้าเจออะไรแปลกๆผมจะเจอตอนนอนซะมากกว่านะคับ สะดุดใจตรงข้อความคุณนพที่บอกว่าถ้ามุมขวาบน นี่คือท่านที่เคยเกี่ยวข้องกันมาแต่อดีตนี่ล่ะคับ เพราะมีครั้งนึงผมนอนสมาธิ ขณะที่นอนก้อฟังประวัติการเดินธุดงค์ของพระอาจารย์องค์หนึ่ง ฟังๆไปเหมือนจะเคลิ้มๆหลับไปมีจังหวะหนึ่งเหล่ตาไปมองขวามือเจ้าของ เห็นชายผ้าเหลืองชัดมากเห็นไปถึงช่วงคอ ไม่เห็นหน้าท่านนะคับและที่เบื้องหน้าพระธุดงค์มีเงารางๆกำลังพนมมือไหว้พระสงฆ์รูปนั้นอยุ่(เข้าใจว่าจิตที่เป็นทิพย์ของเราคงไหว้พระที่ท่านมาเยี่ยมเยือน) ที่แปลกก็คือก่อนหน้านั้นวันนึงผมฝันเห็นท่านมาก่อนแล้ว ผมก็เลยมาค้นประวัติท่าน เพราะไม่เคยรุ้จักท่านเป็นการส่วนตัว ที่สัมผัสท่านครั้งที่สองนี่ตอนกลางวันแสกๆเลยคับ ปกติผมจะรำลึกถึงครูบาอาจารย์ทางภาคอีสานซะเป็นส่วนใหญ่แต่องค์นี้ท่านอยู่ภาคกลาง และมาสัมผัสสองวันติดเลย สงสัยจะเคยผูกพันธ์กับท่านมาก่อนอย่างที่คุณนพบอก
     
  10. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    นั่นครับคือสักกายะทิฏฐิ ทำสมาธิแล้วเห็นภาพต่างๆนั่นคือการละสักกายะทิฏฐิ ต้องละหลายๆครั้งนะครับ ถูกทางแล้ว หัวใจในทางพ้นทุกข์คือ ทาน ศีล ภาวนา เรื่องทานทำจากจิตใจที่บริสุทธิ์จริง ทำให้ถูกกาละเทศะ ไม่กระทบตนและผู้อื่น ทำด้วยความศรัทธา มีความศรัทธาทั้งก่อนให้ ขณะให้และหลังให้ ศีลคือศีลห้า สมาทานแล้วรักษาไม่เจตนาละเมิด ภาวนาคือกรรมฐาน 40 กองของหลวงปู่มั่นที่ท่านสอนไว้ และฟังว่าให้เป็นสัมมาทิฏฐินะ พระพุทธเจ้าท่านดี อย่าหูเบาเชื่อที่เขากล่าวตู่ พระธรรมดี พระสงฆ์ดี องค์สามคือพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มีสติตาดูหูฟัง ระลึกรู้ในธรรมปัจจุบัน ที่เรารู้ในขณะจิตที่รู้น่ะ ไม่ต้องคิดเรื่องเหลือใจ ไม่จริง วิธีเป็นพระโสดาบันเอาตามนี้นะ พิจรณารูป-นาม มันเกิดดับเป็นสันตติต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ถือ เราไม่ถือ
    ดับหมด ทั้งรูปทั้งนาม
     
  11. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ไม่ต้องกลัวเขาแฉว่าชอบผู้ชายหรือช่วยตัวเองเอาใคร ให้ตั้งสติรู้จักปฏิเสธ ไม่มีใครรู้ใครหรอกว่าชอบยังไง เป็นหรือไม่เป็นเราไม่ต้องพูดก็ได้ ให้เป็นเรื่องส่วนตัว และไม่ต้องทำตามเขาต่างๆเพราะเรื่องนี้ ให้รู้จักใช้คำพูด เช่น อ๋อไม่ได้เป็นเกย์ครับ อ๋อยังไม่แต่งเพราะจะเรียนต่อครับ หรืออ๋อเปล่าชอบผู้หญิงยังไงก็ว่าไป เขาจะหลอกเข้าใจไหม ก็ไม่ต้องเสียกำลังใจ ให้ตั้งสติแล้วใช้คำพูดออกไป ถ้าหน้าจอค้างเราก็ปิดปุ่มสวิชท์ที่ตัวซีพียูน่ะ กดย้ำหรือแช่สัก 5-10 วินาที 5-10 secone ภาพจะหายไป ไม่ต้องพังเครื่องนะ รอสักครู่แล้วค่อยเปิดใหม่
     
  12. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ในนี้มีผู้ขวนขวายในสมาธิกันเยอะนะคะ ข้าพเจ้าทำสมาธิไม่ได้ เพราะวิบากกรรม
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ส่วนการสังเกตุในท่านอน
    ก็พอมีอยู่บ้างครับ..คุณ tidjerd
    ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
    ไว้ถ้ามีคนถามหรือสนใจจะเล่าให้ฟังครับ..
    เพราะส่วนตัวมองว่า เรื่องแบบนี้สามารถ
    เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพียงแต่รู้แล้วไม่ยึด
    และรู้ว่าควรทำอย่างไร ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ
     
  14. tidjerd

    tidjerd ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +69
    สนใจคับคุณนพเล่าต่อๆ..เอาไว้เป็นวิทยาทานให้อนุชนคนรุ่นหลังได้สอบทานเผื่อเจออาการแบบนี้น่ะคับ
    เรื่องผีเด็กกับปีศาจจ้องหน้านี่ก้อมาบ่อยคับพักนี้แต่ในฝันนะคับคุณนพนี่พูดเหมือนตาเห็นเลยนะ(ฝึกภาวนาไปๆมาๆฟุ้งซ่านเรื่องผีซะงั้น)
    ที่อยากเล่าเกี่ยวกับเด็กผีตนนี้ก็เพราะมันชอบจัดฉาก ทำเป็นว่าตกอยุ่ในสภาวะคับขัน ครั้งแรกผมเห็นตัวเองเดินอยุ่บนสะพานที่ไหนซักแห่ง บรรยากาศในฝันมันอึมครึมเหมือนแดนธยาสลัวๆมัวหม่น มองไปเห็นเด็กน้อยสี่ห้าขวบได้เกาะรั้วราวสะพานทำทีก้มหัวมองลอดราวรั้วลงไปในคลอง ในใจผมเริ่มกังวลว่าเด็กอาจะหล่นลงไปในน้ำ แล้วมันก็หัวทิ่มตูมลงไปจริงๆ ส่วนผมไม่รอช้ารีบถอดเสื้อกระโดดตามลงไปควานหาเด็กจนเจอก็จบไปคับฝันก็คือฝัน
    มาไม่นานมานี้เจอเด็กผีตนนี้ในฝันอีกแล้วมันช่างบังเอิญซะนี่กระไร มันมาอีกละคับจัดฉากว่าตัวเองตกระกำลำบากเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น คราวนี้ทำเป็นเกาะข้างแอร์บนตึกสูงผมก็ไม่รุ้ทำไมในฝันไต่ขึ้นไปช่วยมันเหมือนเดิม พอไปถึงใกล้ๆมันก็ขยับออกไปเกาะราวเหล็กผมก้อกลัวหล่นเหมือนกันเลยไม่ออกไปแค่ยืนมอง อนุสติมันเตือนตัวเองว่าเราเคยเจอเด็กคนนี้มาแล้วมันเป็นผีเราเป็นคนถ้ามันหล่นไปมันก็ไม่ตายแต่ถ้าเราหล่นเราอาจตายได้ ผมยืนมองรอให้มันหล่น มองตั้งนานมันก็ไม่หล่น สุดท้ายก็ไต่ไปช่วยมันด้วยความไม่เต็มใจ ..จบซีรีสยองกองกอยเด็กแต่เพียงเท่านี้คับ-_-!
    ปล.ถ้านี้คือบทดสอบความเมตตากรุณาต่อสีตว์โลกผมน่าจะผ่านอยุ่นะ(เรื่องผีเด็กถือว่าอ่านขำๆนะคับ)
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    คับคุณ tidjerd ซีรีย์เด็กก็คือการทดสอบความเมตตานั่นหละครับ..
    ปกติเราก็มักจะถูกทดสอบในฝันกันทุกคนครับ เพราะว่าในฝันกำลังสติ
    เราจะอ่อนที่สุด และนั่นมันคือตัวตนเราจริงๆนั่นหละครับ..
    ซึ่งในเวลาลืมตาปกตินั้นเรื่องที่มาทดสอบนั้นจะผ่านได้
    เป็นปกติ หรือแทบไม่มีผลอะไรกับเรา..
    เรียกง่ายๆว่า ทำอะไรเราในเวลาปกติไม่ได้ ก็มาทดสอบในฝัน
    นั่นหละครับ เด่วผ่านเรื่องนี้ได้ ก็จะมีเรื่องอื่นๆตามมาครับ..
    ผ่านเมตตา เด่วก็ไปโลภะ โมหะ โทสะ ฯลฯ
    ส่วนนี้พูดขำๆนะครับ..เช่นเราผ่านเรื่องเมตตาในฝันภายในครั้งแรกนะครับ..
    เราก็จะไม่เจอบททดสอบนี้เลยจนกระทั่งผ่านไปประมาณ ๒ ปี..แต่ถ้าเรายัง
    ไม่ผ่าน บททดสอบก็จะกลับมาอีก ในวันที่ ๓ วันที่ ๗ วันที่ ๑๔ และวันที่ ๖๐ ครับ..
    ลองสังเกตุจดวันไว้เล่นๆดูได้ครับ..แต่ดีที่สุดคือ ไม่ว่าจะฝันอะไร เรื่องอะไร
    ก็ตาม ไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน ไม่ต้องไปยึดไปสนใจครับ..มาเล่าพอฮาๆได้อยู่...

    ต่อมาถึงเรื่อง การสังเกตุในท่านอน ไม่ว่าในท่านอนหรือท่านั่งลืมบอกไป
    ว่าเห็นแบบได้แบบลืมตาและหลับตา เห็นแบบลืมตาคือ ลืมตาขึ้นมาแล้ว
    ก็ยังเห็นๆอยู่นั่นหละครับแม้ว่าจะขยี้ตาก็ยังเห็นอยู่..
    .เห็นตอนหลับตาคือเห็นตอนที่จิตเป็นทิพย์ชั่วคราว..
    และแม้ว่าจะเห็นได้แบบลืมตาเห็นๆหรือหลับตา ก็ไม่ควรไปยึดครับ...

    ถ้านอนอยู่แล้วลืมตาขึ้นมาเห็น
    ๑.บุคคลใดก็ตามยืนอยู่ในระดับต่ำกว่าหัวไหล่ซ้ายเล็กน้อย
    หน้าตากำลังมองไปที่อื่นๆอยู่ และยืนประชิดตัวเรา
    แบบนี้เป็นเทวดาที่คอยดูแล
    ปกป้องเราครับ...สบายใจได้เพราะเราจะไม่รู้สึกกลัว
    ๒.เห็นในมุมทางด้านเท้าซ้ายของเราเฉียงออกไปประมาณ
    สองเมตรส่วนมากจะผิวดำทั้งตัว อย่างนี้เป็นเจ้ากรรมนายเวรมาถึง
    พร้อมที่จะส่งผลแล้วให้รีบทำบุญซะ...แต่ถ้าเห็นในมุมตรงกับไหล่ซ้าย
    มองเห็นได้ในระยะไกลๆเหมือนกัน เตือนให้รู้ว่าอย่าประมาท
    เพราะเค้ากำลังดูเราอยู่...
    ๓.ในมุมด้านซ้ายเฉียงออกไปข้างนอก แต่มุมสูงขี้นมา
    ไม่ใช่ระดับเดียวแบบข้อสอง จะเป็นระดับผู้มีฤิทธิ์มากมาปรากฏครับ...
    ประกันได้ว่า ถ้าเราได้เห็นจะทราบทันทีว่าท่านเป็นใคร
    และการปรากฏตัวค่อยข้างจะอลังการงานสร้างเล็กน้อย..

    ๔.ในระดับหัวไหล่ เหมือนข้อหนึ่ง แต่ห่างไปประมาณ ๒ ก้าว
    ส่วนมากเป็นกุมารเทพครับ...
    ๕.ในมุมด้านขวาประมาณหัวเข่า เป็นพวกที่อยู่บริเวณนั้น
    เข้ามาหา จะทำบุญหรือจะทักทายก็ได้ ตามอัธยาศัยครับ..
    ๖.ในมุมตรงหน้า สูงขึ้นไปในอากาศ เป็นระดับพระพุทธฯครับ...
    ๗.ในมุมขวาเล็กน้อยลอยสูงกว่าตัวเราเล็กน้อย เป็นท่านที่สอน
    กรรมฐานเราอยู่ หรือเป็นครูบาร์อาจารย์ที่สอนเรา ณ เวลานั้นครับ
    ๘.ทางด้านซ้าย ในระดับหัวไหล่เรา รอบๆไปตามลำตัว
    ด้านซ้ายตลอดจนถึงปลายเท้า
    แต่พอมาฝั่งขวา อยู่ต่ำกว่าตัวเรา
    และขึ้นมาไม่ถึงเอวเรา..
    เห็นอย่างนี้ เตรียมอุทิศส่วนกุศลไว้เลยครับ
    และอย่าตกใจถ้าเค้าเข้ามาจับที่ตัวครับ..
    ในนึกเสียว่า มีผีมากอด ดีกว่ามี หมีมากอดครับ ๕๕๕
    ...ส่วนมากจะมาเยอะมาก...

    ๙.ทางด้านขวานับจากเท้าขวาในมุมเล็กน้อยออกไป
    ประมาณ ๓ ถึง ๔ เมตรเท้าเค้าจะอยู่ระดับเดียว
    กับตัวเราไม่ต้องสนใจมาก แค่มาดูเฉยๆว่าเราเป็นใคร...
    เราจะยิ้มให้ หรือ ยักคิ้วทักทาย ก็ตามอัธยาศัยครับ
    ๑๐.มาในมุมขวา สูงกว่าตัวเราเล็กน้อย แต่มาในมุมระนาบ
    กับตัวเรา เป็นฆารวาส ที่มีความสามารถยกกายมาได้
    เราเห็นหน้าก็จะทราบเองครับ

    ๑๑.นั่งเรียบร้อย ที่ปลายเท้า สวยงาม
    ถือว่าเป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคล
    ๑๒.อยู่ดีๆ มีแสงสว่างเป็นอนาบริเวณกว้างมากๆ
    และเรามองผ่านเห็นได้ถึงท้องฟ้าและท้องฟ้า
    ออกสีส้มๆคล้ายๆตอนพระทิตย์ตกแต่ไม่มีเมฆและรู้สึกว่า
    เย็นๆ เป็นพระปัจจเจกฯท่านใดท่านหนึ่งครับ..
    ๑๓.มุมขวาห่างจากเท้าขวาเราไม่เกินเมตร..
    เป็นพระโพธิสัตว์มีชื่อ เราจะรู้เองครับ...
    ๑๔.เห็นในแนวต่ำกว่าหัวไหล่ด้านขวาเรานิดเดียว
    เป็นเจ้าที่ ที่ที่เราไปพักอาศัยอยู่..

    ๑๕.ถ้าเห็นในมุมซ้าย ถัดออกจากเท้าซ้ายเราไปหน่อย
    ที่สำคัญ นิ่งผิดปกติ อุทิศส่วนกุศลให้ก็นิ่ง และอยู่ดีๆ
    เหมือนจะใช้อุปกรณ์บางอย่างเพื่อทำร้ายมักไม่มาเดี่ยวๆ
    ..มาถึงตรงนี้ก็แล้วแต่ความสามารถเฉพาะตนเองครับ ว่าจะป้องกัน
    ตัวเองได้หรือไม่ได้ หรือว่า ที่เคยฝึกๆมาจะใช้ได้จริง
    หรือไม่จริงก็ตรงนี้หละครับ..วัดกันตอนลืมตานี่หละครับ...

    ๑๖.แต่มือเต็มไปหมดแต่ว่ามือเหล่านั้นอยู่ใต้ตัวเรา
    จับร่างกายด้านล่างเราทุกส่วนยกเว้นที่ศรีษะ
    ยกตัวเราให้ลอย แต่ว่า จะลอยไปทางด้านปลายเท้านะครับ..
    ถ้าลอยถอยหลังเป็นอาการอย่างหนึ่งในสมาธิ อย่าหลงทิศนะครับ
    และไม่ต้องกลัวครับ
    เพราะเป็นพวกที่เราเคยช่วย ตามทางทั้งหลาย
    ไม่ว่า น้องหมา น้องแมว ฯลฯ เค้ารวมตัวกัน
    มาพาเราไปเที่ยวเพื่อเป็นการขอบคุณครับ...
    ๑๗.ทั้งซ้ายและขวา จับที่หัวไหล่เรา..ดึงกายละเอียดเราขึ้น
    ในมุมตรงๆขึ้นฟ้าเร็วปานจรวด..เป็น(..........)ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ
    แต่เค้ายอมรับนับถือเราเป็นมิตรแน่นอนครับ...แต่ถ้าพวกนี้ปล่อยเรา
    เมื่อไร เราจะกลับเข้าร่างไม่ได้นะครับ เพราะฉนั้นเสมือนดาษสองคม
    ก็ฟังๆเอาไว้เฉยๆนะครับ...


    ๑๘.ในมุมตรงหน้า สูงกว่าเราประมาณหนึ่งเมตร
    ประมาณช่วงเหนือหัวเข่าถึงเอวเรา เป็น
    ท่านที่เป็นพระสงฆ์มีฤิทธิ์ ที่มีชีวิตอยู่มาสอนเราครับ
    บางทีมาดูเฉยๆก็มีนะครับ..

    ๑๙.เห็นทางด้านขวา ที่ประมาณปลายเท้าขวา ลอยสูงกว่าพื้นเล็กน้อย
    เป็น ครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิเรา ณ เวลานั้นๆ
    ถ้าเห็นก่อนปรากฏตัวมุมที่ลงมาจะแหลมๆหน่อย
    ไม่ใช่แบบค่อยๆวนเหมือนท่านที่จะเป็นพระพุทธฯในอนาคตนะครับ
    ๒๐.เห็นตรงหน้าเรา ทับเอาหน้าเอาตัวผ่านเราไปได้..เป็นท่านที่สนับสนุน
    เรื่องความสามารถพิเศษของเราบางอย่างในเรื่องพิเศษๆแบบเฉพาะทาง...
    ๒๒.ถ้าจับตัวเราได้ ไม่ว่าแขนหรือขวา ตัวดำๆ แล้วจิตเราไม่สามารถทำอะไรได้
    เป็นกะแสวิบากกรรมเก่าเรา เป็นญาติเราในอดีตก็ได้ อุทิศส่วนกุศลก็ไม่ไป
    ให้เราไม่ต้องสนใจ ให้เฉยๆไม่สนใจ และไม่ต้องไปเรียกคนข้างๆเพราะ
    เรียกยังไงก็ไม่มีใครได้ยิน ปล่อยให้เค้าทำอะไรก็ทำไป ให้เราไม่ต้องสนใจ
    เด่วก็จะหายไปเอง ประกันได้ว่า ถ้าเราไม่สนใจ ปล่อยเค้าทำอะไรไป
    ต่อไปจะมาอีก และไม่ต้องกลัว เราไม่มีทางตายแน่นอนครับ...
    ๒๓.ทางด้านปลายเท้าตรงๆไกลๆออกไปหน่อย ไม่มีอะไร มาดู
    มาทักทายเฉยๆ เพราะเค้าอยู่บริเวณนั้นมานานและพอมีบุญอยู่แล้ว
    แต่ยังยึดติดในถิ่นอาศัยอยู่...
    ๒๔.เห็นแบบลอยอยู่เหนือตัวเรา เอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ ดูเหมือน
    แต่งตัวใส่เสื้อผ้าแบบไม่ได้รีด พวกนี้เปลี่ยนหน้าเป็นอะไรก็ได้
    แต่สังเกตุง่ายๆว่า แม้ว่าจะเข้าใกล้หน้าเราแต่จะไม่โดนตัวเรา
    ให้เฉยๆ ทำเป็นไม่สนใจ เป็นพวกภูตที่มาทดสอบกำลังใจเราเฉยๆ..

    ขอประมาณนี้ก่อนนะครับ บางกรณีก็ไม่เหมาะที่จะพูดครับ...
    แต่ที่เล่าให้ฟังคือ ลืมตาเห็น และก็ต้องไม่ลืมว่า แม้จะเห็นได้
    อย่างนี้ ก็ไม่ควรไปยึดไม่ว่าทุกๆกรณีครับ..
    ส่วนหลับตาเห็นในนิมิตไม่ขอนำมาเล่านะครับ...
    เพราะแม้แต่ลืมตาเห็นๆได้ ยังไปยึดอะไรไม่ได้เลยครับ..
    พวกนี้ถือว่า เป็นกลจิต เป็นเพียงมายาจิตชนิดหนึ่ง...
    ถ้าเรายังไปยึดติดในสิ่งที่เห็นไม่ว่าหลับตาเห็นหรือ
    ลืมตาเห็นยังไงเราก็ยังไม่พ้น ต้องไปเสวยผลอยู่ครับ...
    และต้องไม่ลืมว่า พุทธศาสนาเน้นเรื่องปัญญานะครับ..
    ที่เล่าให้ฟังผ่านมา ถือว่าเล่าให้ฟัง เพื่อว่าจะช่วยคลายข้อสงสัย
    ป้องกันการไปยึดติดจนกลายเป็นตัวเอง..มาบิดบังจิตตัวเอง
    และเสียเวลาไม่สนใจในการเจริญสติเดินปัญญา
    เพราะมัวแต่ไป
    พยายามค้นคว้าแสวงคำตอบในสิ่งที่เป็นมายาจิต
    ทำให้เสียเวลาและล่าช้าขวางการปฏิบัติของเราได้
    อย่างคาดไม่ถึงครับ...

    แต่ว่าเรื่องพวกนี้ ท่านจะทราบได้จากกำลังสติทางธรรม
    ที่ท่านมีท่านสร้างด้วยท่านเองได้ทั้งหมดครับ..(^_^)
     
  16. เป็นกลาง

    เป็นกลาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2008
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +42
    ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะครับ บังเอิญผมอ่านเจอ โดยสมาชิกท่าน Wellrider ได้นำมาลงไว้ เมื่อ 2/10/2009
    พลังจิต - พลังจักรวาล (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
    ธรรมะ-รักษา...................พลังจิต - พลังจักรวาล

    พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
    แสดงธรรมที่กระทรวงศึกษาธิการ
    เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๓๙
    บัดนี้ จะได้แสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาศาสนธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าด้วยพลานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ที่นำเรื่องนี้มาแสดงก็เพราะเหตุว่า ในปัจจุบันนี้ ชาวพุทธของเรานี่กำลังพากันตื่นพลังใหม่ ซึ่งมีชาวต่างประเทศเขานำมาเผยแพร่ พลังที่เขานำมาเผยแพร่นั้นเรียกว่า พลังจักรวาล

    ทีนี้อะไรเป็นพลังจักรวาล... ในจักรวาลนี้มีสิ่งที่เป็นวัตถุซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ ๔ อย่าง ๔ อย่างนี้ ทางภาษาศาสนาพุทธท่านบัญญัติว่าเป็นธาตุ ๔ ธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ในจักรวาลนี้มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ และในกายในใจของเรานี่ ก็มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เราอาศัยกายกับใจของเราเป็นหลัก แล้วมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราสามารถที่จะสร้างพลังซึ่งเกิดจากส่วนผสมของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เกิดมีพลังมหาศาลขึ้นมาได้ เรียกว่า พลังพุทธะ

    พลังพุทธะนี้ก็หมายถึง สภาวะจิตของเรามีสมรรถภาพ มีความเข้มแข็ง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เมื่อท่านผู้ใดสามารถทำจิตของตนเองให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หมายถึง จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง ผู้นั้นสามารถสร้างพลังขึ้นภายในจิตในใจของตนเองได้

    การสร้างพลังตามแนวทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ...เป็นอุบายวิธีสร้างสมรรถภาพทางจิตของตนเองให้มีพลังเหนือพลัง ที่ว่าจิตของเรามีพลังเหนือพลัง หมายถึงจิตที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งหลายทั้งปวง บรรลุถึงพระนิพพานสำเร็จเป็นพระอรหันต์ สภาพจิตของพระอรหันต์เป็นสภาพจิตที่มีพลังเหนือพลัง ที่เรียกว่าเหนือพลังก็เพราะเหตุว่าไม่มีพลังแห่งธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ใด ๆ สามารถที่จะดึงดูดจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ให้มาตกอยู่ในอำนาจของสิ่ง นั้น ๆ ได้ จึงได้ชื่อว่าจิตของพระอรหันต์

    พระพุทธเจ้าเป็นพลังเหนือพลัง เพราะฉะนั้น อุบายวิธีปฏิบัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราศึกษาและปฏิบัติกันอยู่ ในปัจจุบันนี้ พระองค์สอนให้เราสร้างจิตของเราเองให้มีพลังพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จนกระทั่งจิตของเรามีสภาวะสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง แล้วจิตของเราจะกลายเป็นจิตที่มีพลังเหนือพลัง

    อุบายวิธีการที่เราจะสร้างจิตของเราให้มีพลังงาน ต้องมีจุดยืน คือ เราจะต้องมีศรัทธา เชื่อมั่นในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ปัญหามีว่าคุณของพระพุทธเจ้าตามตำรับตำรา ได้แก่ บทสวดมนต์ที่เราใช้สวดกันอยู่ทุกวัน บางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจหรือแปลไม่ออก

    ” อิติปิ โส แม้เพราะเหตุนี้ ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้า อะระหัง เป็นพระอรหันต์ ไกลจากกิเลส ดับเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์สิ้นเชิง สัมมาสัมพุทโธตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง วิชชาจะระณะสัมปันโน สมบูรณ์ด้วยวิชชา และจรณะคือข้อวัตรปฏิบัติที่ถูกต้อง สุคะโต เสด็จไปดีแล้ว โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ยอดเยี่ยมไม่มีใครอื่นเสียยิ่งไปกว่า สัตถาเทวะมะนุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทโธ เป็นผู้รู้แล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ตื่นแล้ว ภะคะวา เป็นผู้จำแนกธรรมะคำสั่งสอนให้เป็นประโยชน์แก่ประชุมชน” อันนี้คือคุณของพระพุทธเจ้าที่เราสวดอิติปิโสเป็นต้นนั้นเอง
    ทีนี้เราจะสร้างจิตของเราให้มีพลังงาน จะต้องมีความยึดมั่นในพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ทีนี้พระพุทธเจ้านี่อยู่กันที่ตรงไหน ใคร ๆ เรียนพุทธประวัติแล้วก็ว่า พระพุทธเจ้าเกิดที่ประเทศอินเดีย เวลานี้พระองค์ก็ปรินิพพานไปนานแล้ว เราจะไปยึดเอาพระองค์ที่ไหนเป็นที่พึ่งที่ระลึก เราเคยกล่าวคำบูชาพระพุทธองค์ว่า ข้าพเจ้าขอบูชาคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้ว แต่ยังปรากฏอยู่โดยพระคุณ อาศัยเหตุผลดังกล่าวนี้ คุณความเป็นพุทธะไม่ได้หายสาบสูญไปจากโลก และเป็นคุณธรรมที่ทุกคนสามารถที่จะสร้างขึ้นให้มีในจิตในใจของตนเองได้ โดยที่เรามายึดมั่นในพระคุณของพระองค์ ดังที่กล่าวแล้ว อย่างน้อยเราก็มีศรัทธาตั้งมั่นในคุณของพระพุทธองค์อย่างมั่นคง มีความรักในพระพุทธองค์อย่างมั่นคงมีศรัทธาไม่คลอนแคลน

    ในเมื่อเรามีศรัทธาเชื่อมั่นและตั้งมั่นในสิ่งไหน จิตที่เชื่อมั่นนั้นย่อมเกิดมีพลัง พลังที่จะปรากฏเด่นชัดก็คือ วิริยะ ความแกล้วกล้าอาจหาญ กล้าเสียสละกายและใจของตนเอง เพื่อบูชาข้อวัตรปฏิบัติ เช่น การปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น เมื่อเรามีวิริยะความพากความเพียร ความพยายาม สติที่จะระลึกรู้สิ่งที่ผิดชอบชั่วดีก็ย่อมมีปรากฏขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตใจมั่นคงเพราะอาศัยความมีศรัทธาตั้งมั่น จิตใจมั่นคงนั้นคือสมาธิ ทีนี้เมื่อมีสมาธิแล้วก็มีสติ ปัญญา เมื่อจิตสงบ ตั้งมั่น นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน อย่างน้อยเราก็รู้ มีปัญญารู้ว่า จิตแท้ จิตดั้งเดิมของเรานี่มันเป็นอย่างไร เมื่อจิตสงบ นิ่ง ว่าง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ขึ้นมาเมื่อไร เราสามารถรู้ความจริงของจิตแท้ จิตดั้งเดิมของเราเมื่อนั้น เราจะมีความรู้สึกว่านี่แหละคือจิตแท้ จิตดั้งเดิมของเรา

    เมื่อจิตสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน นอกจากจะรู้ความจริงของจิตของตนเอง เราก็ยังจะได้รู้ว่าคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้บังเกิดขึ้นในจิตของเราแล้ว เพราะฉะนั้น ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ในเมื่อเรามาปฏิบัติให้ถึงพร้อม จิตสงบ นิ่ง มีสติ รู้ตัวอยู่ มีความมั่นคง เมื่อจิตมีความมั่นคง แม้ว่าเราจะเคลื่อนไหวไปมาทางใด เราก็มีสติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ทุกขณะ การทำ การพูด การคิด เรามีสติรู้ตัวอยู่ทุกขณะ ความมีสติรู้ตัวนั่นแหละคือธรรมะแท้แห่งพุทธะที่เกิดขึ้นที่จิตของเรา เราจะต้องสังเกตดูความเป็นไปของจิตของเราอย่างนี้

    ทีนี้ในเมื่อในขณะใดที่เราสามารถทำ จิตให้นิ่ง ว่าง สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน แล้วก็มีปีติ มีความสุข จิตของเราได้สัมผัสกับคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เมื่อเราสามารถสร้างจิตให้เป็นพุทธะ ให้บังเกิดขึ้นพร้อมที่จิตของเราแล้ว ธรรมะก็ปรากฏขึ้น ธรรมะก็คือคุณธรรม ได้แก่ สภาวะจิต รู้ ตื่น เบิกบาน นั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น ธรรมชาติของความเป็นพระสงฆ์ก็ย่อมบังเกิดขึ้นพร้อมกัน เพราะธรรมชาติของผู้ที่มีสภาพจิตเป็นเช่นนั้น เขาจะต้องมีความรู้สึกสำนึกเสมอว่า เราจะต้องละความชั่ว ประพฤติความดี ทำจิตของตนเองให้บริสุทธิ์ สะอาด อันนี้เป็นจุดเริ่มของความมีพุทธะ เป็นจุดเริ่มของพลังจิต เป็นจุดเริ่มของพลังจักรวาล

    ในเมื่อท่านผู้ใดปฏิบัติได้อย่างนี้ แม้แต่เพียงเชื่อมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างมั่นคง อธิษฐานจิตของตนเองให้แน่วแน่ ขอบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บและอันตราย ทั้งหลายทั้งปวงให้ไปปราศจากกาย วาจา และจิตของข้าพเจ้าโดยเด็ดขาด และปลูกความเชื่อมั่นลงในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างมั่นคง สามารถที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บของตนเองและคนอื่นให้หายได้ แต่ความจริงการใช้พลังจิตรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ในเมืองไทยเรานี้มีมาแต่เก่าแก่โบราณสมัยที่โรงพยาบาลยังไม่มีในประเทศไทย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หมอชาวบ้านทั้งหลายเขาก็อาศัยอมยาพ่น ฝนยาทา ตามประสาจน ใช้เวทย์มนต์คาถาเสกเป่า กระดูกแตก กระดูกหัก ใช้มนต์เสกน้ำมนต์หรือน้ำ หรือน้ำมัน แล้วก็เอามาทา เป่า กระดูกมันก็สามารถต่อกันได้ อันนี้คือตัวอย่างที่คนโบราณรักษาโรคด้วยพลังจิต
    แม้ว่าในสมัยปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์บางท่าน..เวลา ท่านเจ็บป่วย ท่านไม่ได้คำนึงถึงมดหมอ หรือคิดจะไปโรงพยาบาล พอรู้สึกว่าไม่สบาย ท่านก็เข้าสมาธิ นั่งสมาธิภาวนาของท่าน ทำจิตให้สงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน บางทีสภาพจิตของท่านมีความรู้สึกสว่าง รู้ตื่น เบิกบาน ร่างกายตัวตนหาย ในเมื่อร่างกายตัวตนหาย โรคภัยไข้เจ็บมันก็ไม่มีปรากฏ เพราะมันไม่มีที่เกิด โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดที่กาย แต่ที่ใจมันไม่มีโรคอะไรที่จะไปบังเบียดมันได้ นอกจากกิเลสเท่านั้นเอง ในเมื่อท่านปฏิบัติอย่างนี้ก็สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้

    เพราะฉะนั้น ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จุดเริ่มที่ว่าสามารถสร้างพลังจิตพลังใจของเราให้เกิดมีเพื่อประโยชน์แก่ ชีวิตของเราได้ หนึ่ง เราจะต้องมีศรัทธาตั้งมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีความรัก ตั้งมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และมีความเชื่อมั่นว่าคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คือคุณธรรมที่อยู่ในจิตใจของเรา ...

    เมื่อเราทำสมาธิให้จิตใจสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ได้เมื่อไร เมื่อนั้นคุณของพระพุทธเจ้าก็ปรากฏแก่เราได้อย่างชัดเจน จิตของเราก็เป็นจิต ในเมื่อจิตของเราเป็นจิตพุทธะ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ถ้าจิตของเราจะก้าวหน้าไปในทางปฏิบัติ ทางไปของจิตจะมีอยู่ ๓ ทาง ขอให้ท่านทั้งหลายพึงสังเกตเอาไว้

    ถ้าหากว่าในช่วงนั้นกระแสจิตส่งออกนอก จะเกิดมโนภาพได้แก่ภาพนิมิต ในเมื่อภาพนิมิตปรากฎ อย่าไปเอะใจ อย่าตกใจกำหนดสติ รู้จิตเฉยอยู่เท่านั้น เพราะนิมิตอันนั้นเป็นจิตของเราสร้างมโนภาพขึ้นมาเท่านั้น อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่ามีสิ่งอื่นมาแสดงตัวให้เรารู้เราเห็น จิตของเราเองแท้ ๆ เป็นผู้แสดงขึ้นมา แต่ในช่วงที่เราภาวนาแล้วเกิดนิมิตเกิดมโนภาพขึ้นมา ถ้าหากมีใครมาชักจูงว่าเมื่อเห็นนิมิตแล้วให้น้อมเข้ามาในจิตในใจของเรา ให้ผู้วิเศษทั้งหลายเหล่านั้นมาช่วยพลังสมาธิ สติ ปัญญาให้แก่กล้า ถ้าน้อมมโนภาพนั้นเข้ามาถึงตัวได้เมื่อไร เมื่อนั้นจะกลายเป็นการทรงวิญญาณ..เพราะ เมื่อนิมิตเข้ามาถึงตัวแล้ว สมาธิที่ปลอดโปร่ง สบาย เบา จะ รู้สักว่าอึดอัด หนักหน่วงไปทั้งตัว หัวใจเหมือนถูกบีบ จิตซึ่งเคยเป็นอิสระจะตกอยู่ในอำนาจของสิ่งที่เข้ามาแทรกสิง ในที่สุดกลายเป็นการทรงวิญญาณ นี่ ในจุดนี้นักปฏิบัติต้องระมัดระวังให้ดี.....
    ทีนี้ทางหนึ่ง ถ้าหากว่าจิตไม่ออกนอก วิ่งเข้ามาข้างใน มาสงบ นิ่ง สว่างอยู่ภายในของร่างกาย เมื่อจิตสงบ สว่างในท่ามกลางของร่างกาย ถ้าหากว่ามีครูบาอาจารย์มาแนะนำ ว่าให้รวมเอาความสว่างเป็นดวงแก้ว สร้างดวงกลมให้กลายเป็นพระพุทธรูป เพ่งให้ใสบริสุทธิ์สะอาด แล้วจะเห็นดวงธรรมปรากฏเด่นชัดขึ้นมา ถ้าหากมีใครแนะนำชักจูงให้เป็นไปอย่างนั้น ก็จะเป็นไปตามคำแนะนำชักจูงนั้น ๆ แต่ในทางปฏิบัติที่ถูกต้อง

    ในเมื่อมีปรากฏการณ์เช่นนั้นปรากฏขึ้น นักปฏิบัติต้องกำหนดรู้ เฉยอยู่เท่านั้น ไม่ต้องไปนึกปรุงแต่งให้ดวงหรือความสว่างนั้นเป็นอะไร ถือแต่เพียงว่าสิ่งนั้นเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติเท่านั้น


    แล้วในขณะที่..จิตนิ่ง ...สว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ความสว่างของจิตจะพุ่งออกมารอบ ๆ เราจะรู้สึกว่าเรานั่งอยู่ในท่ามกลางแห่งความสว่าง แต่ภายในดวงจิตนั้นสามารถมองเห็นอวัยวะต่าง ๆ ภายในทั่วหมด ในขณะจิตเดียว เรียกว่ารู้อาการ ๓๒ จนกระทั่งจิตสงบละเอียดยิ่งลงไป จนถึงขนาดร่างกายตัวตนหาย ยังเหลือจิตดวงเด่น นิ่ง สว่างไสวอยู่เท่านั้น ถ้าหากว่าจิตจะเดินไปในทางสมถะทางสายฌานสมาบัติ จิตก็มีจะแต่สงบ นิ่ง สว่าง ละเอียดยิ่งขึ้นไปตามลำดับขั้นของฌานสมาบัติ แต่

    ถ้าหากว่าจิตไม่ไปเช่นนั้น เมื่อร่างกายตัวตนหายไปแล้วจะย้อนกลับมามองร่างกายของตัวเอง จะปรากฏว่าร่างกายของตัวเองตาย ขึ้นอืด เน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไปไม่มีอะไรเหลือ เมื่อจิตถอนจากสมาธิ จะได้ความรู้ขึ้นมาว่า นี่แหละคือการตาย ตายแล้วก็ต้องเน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ เป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา มีที่ไหน ถ้ามองเห็นความตาย จิตก็รู้ว่านี่แหละคือความตาย มองเห็นความเน่าเปื่อยผุพัง นี่แหละ...

    อสุภกรรมฐาน.....มอง เห็นร่างกายสลายตัวไปเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะรู้ธาตุสมถะ รู้ว่ากายของเราสักแต่เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา มีที่ไหน อันนั้น อนัตตานุปัสนาญาณ ความรู้ว่าร่างกาย ตัวตน ไม่มีอัตตาตัวตน เป็นอนัตตาเท่านั้น เราจะได้ความรู้ตามลำดับขั้นตอน อย่างนี้........
    ในขณะที่จิตมองดูเห็นว่าร่างกายเน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไป ความรู้ความเห็นอันนั้นเป็น..สมาธิขั้นสมถกรรมฐาน.... แต่..เมื่อจิตถอนออกมาแล้ว สิ่งรู้เห็นทั้งหลายหายไป จิตมาสัมพันธ์กับร่างกายเมื่อไรเกิดความรู้ เป็นภาษาอธิบายซ้ำเติมสิ่งที่รู้นั้นอีกทีหนึ่ง ตอนนี้เรียกว่า.. เจริญวิปัสสนา เพราะฉะนั้น ในคำที่บางท่านกล่าวว่า ถ้าไม่มีสมาธิก็ไม่มีญาณ ไม่มีญาณก็ไม่มีวิปัสสนาคือปัญญา ไม่มีวิปัสสนาปัญญา ก็ไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริง เมื่อไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริง ก็ไม่มีวิมุติความหลุดพ้น ท่านผู้กล่าวอย่างนี้กล่าวถูก ...แต่ท่านผู้ที่กล่าวว่าสมาธิขั้นสมถะไม่เกิดภูมิรู้อะไรนั้น เป็นการกล่าวผิด ...

    เราจะบอกตรง ๆ ว่าท่านเหล่านั้นภาวนาไม่ถึงขั้น อันนี้ขอฝากท่านนักปฏิบัติผู้สนใจทั้งหลาย ลอง ๆ จดจำเอาไว้พิจารณา ตามที่อาตมากล่าวมานี้ อย่าเพิ่งเชื่อ ให้รับฟังเอาไว้ก่อน สิ่งใดที่เรายังไม่รู้ไม่เห็น ยังปฏิบัติไม่ถึง ให้รับฟังเอาไว้ก่อน อย่ารับรองแล้วก็อย่าปฏิเสธทันทีจนกว่าเราจะพิสูจน์ให้รู้ได้ด้วยตนเอง อันนี้คือทางไปของจิตเมื่อมีสมาธิตามธรรมชาติแล้ว

    อีกทางหนึ่งจิตไม่ไปอย่างนั้น..... เมื่อจิตสงบแล้ว กระแสจิตไม่ส่งออกนอก แล้วไม่วิ่งเข้ามาภายในกาย แต่ไปกำหนดรู้อยู่ที่จิตเพียงอย่างเดียว ก็จะรู้เห็นอารมณ์ที่เกิดดับกับจิตอยู่ตลอดเวลา เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา ในเมื่อความรู้มันเกิดขึ้น ผุดขึ้นมา ๆ อย่างกับน้ำพุ ผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อไปถึงจุด ๆ หนึ่ง จิตจะหยุดนิ่ง สว่างไสว รู้ ตื่นเบิกบาน สภาวะทั้งหลายที่เป็นอารมณ์จะไปวนรอบจิตอยู่ตลอดเวลา แต่จิตหาได้หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ มีแต่ทรงอยู่ในความเที่ยงตรง รู้ ตื่น เบิกบาน เป็นจิตพุทธะแท้ ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์

    ในจุดนี้ ท่านอาจารย์มั่น...ท่านบัญญัติศัพท์ของท่านเรียกว่า... ฐีติภูตัง... ฐีติ คือจิตสงบ นิ่ง เด่น สว่างไสว ภูตัง มีสภาวะที่เป็น
    ปรากฏการณ์ให้จิตรู้เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไปอยู่ตลอดเวลา อันนี้ทางหนึ่งที่จิตสมาธิธรรมชาติแล้วจะพึงเป็นไป


    แต่สิ่งที่กล่าวทั้งหลายนี้ ในขณะที่จิตสงบเป็นสมาธิ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ความรู้สึกที่จะน้อมจิตไปทางใดนั้นย่อมไม่มี จิตจะออกนอกไปเกิดนิมิต ก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จะวิ่งเข้ามารู้ภายในกายก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จะไปรู้ที่จิตก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ถ้าหากว่าเราสามารถยังมีสัญญาเจตนา น้อมจิตให้เป็นไปอย่างไรนั้น จิตดวงนั้นยังไม่ใช่สมาธิตามธรรมชาติ... เป็นแต่เพียงความสงบที่เราตกแต่งเอาได้เท่านั้น ถ้าเป็นสมาธิตามธรรมชาติจริง ๆ สัญญาเจตนาที่จะไปควบคุมบังคับจิตใด ๆ นั้นย่อมไม่มี มีแต่ความเป็นเองตามธรรมชาติของสมาธิ
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า....ของเราทรงตรัสรู้เรื่องอดีตคือ ปุพเพนิวาสนุสติญาณ รู้เรื่องปัจจุบันคือ ควรประพฤติอย่างไรจึงจะได้ถึงคุณงามความดี รู้อนาคต ผู้ทำดี ทำชั่วแล้ว เมื่อตายแล้ว วิถีชีวิตของเขาจะเป็นไปอย่างไร จึงได้ชื่อว่า รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต

    ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ความแตกต่างของลัทธิศาสนามีเฉพาะในภพภูมิของมนุษย์เท่านั้น ในเมื่อมนุษย์ทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นวิญญาณในโลกอื่น มีแต่กฎของกรรมอย่างเดียวเท่านั้นเป็นศาสนา ท่านผู้ใดได้รับการเสี้ยมสอนมาว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป เพราะสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ อันนี้ก็เป็นเพียงความเข้าใจของศาสดาของเขา มันไม่ใช่....กฎธรรมชาติของกรรม.... แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่ พระองค์ตรัสรู้เรื่องอดีตเป็นเรื่องสำคัญ พระองค์ระลึกชาติได้ พระองค์ไปเกิดแต่ละภพแต่ละชาตินั้น เพราะกรรมอะไร พระองค์รู้ละเอียดหมด ในเมื่อพระองค์รู้แล้ว จึงนำมาสอนพวกเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้น...

    ความแตกต่างของศาสนามีเฉพาะในภพภูมิของมนุษย์ แต่เมื่อมนุษย์ทั้งหลายตายไปแล้ว มีแต่กฎของกรรมเท่านั้นเป็น

    ศาสนา ....ผู้ที่ถูกเสี้ยมสอนว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป เพราะสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ แต่เมื่อเขาตายปุ๊บลงไป เขาได้รับผลของกรรมเกิดจากการฆ่าสัตว์ เขาจะได้ความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า อ้อ ! พระสมณโคดมสอนถูกต้อง ศาสดาเราสอนผิด อันนี้เป็นเรื่องกฎของกรรม


    วันนี้ขอบรรยายธรรมะพอเป็นเครื่อง ประดับสติปัญญาของท่านผู้ฟังพอสมควรแก่กาลเวลา ในท้ายที่สุดนี้ ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจสงบตั้ง มั่นยึดมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นจุดยืนตลอดไปแล้วก็ยึดมั่นในข้อวัตรปฏิบัติที่พระองค์สอนให้เราบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอุบายสร้างความรัก ความเมตตาในสังคมของมนุษย์ เมื่อเรามีความรัก ความเมตตาปราณีต่อกัน เราจะได้ผนึกกำลังกันช่วยกันสร้างสรรค์ประเทศชาติศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ตลอดไป
     
  17. เงาเทวดา

    เงาเทวดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +314
    กม.มุนา วต.ตตี โลโก

    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    ตอบ ก็ไม่มีอะไรมาก ในปางก่อนเคยลบกวนพระปฏิบัติดี ชอบโผล่หน้าต่าง ทำเป็นลิงหลอกจ้าว ตอนท่านทำสมาธิ ตอนนี้ท่านคงสำเร็จมรรคผลแล้ว กรรมที่เกี่ยวเนื่องกันได้คลายออกจากจิตท่าน วิธีแก้ ให้ขยันขอขมาพระรัตนตรัย คงทำได้เท่านี้ เพราะเรื่องนี้ อัยการเป็นโจทย์ แปลว่า พระท่านไม่เอาเรื่อง แต่ผู้คุมกฏ เอาเรื่องคุณอยู่ ประมาณนี้แล...
     
  18. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    ไปทำความเข้าใจใหม่นะ มันอยู่ที่ใจไม่ใช่วิบากกรรม

    ตอบเอาฮาหรือป่าวครับ ไม่ใช่ก็ขออภัยด้วย พอดีผมเป็นคนตลก
     
  19. tidjerd

    tidjerd ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรม

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอบคุณคับคุณนพ..อุตส่ามาชี้แจงจนละเอียด(ด่านทดสอบความหลงยังไม่ผ่านคับ..ตัวจิตลึกๆยังหลงในรูปอยุ่เยอะเลยคับ):cool::cool::cool::cool::cool:
     
  20. choksila58

    choksila58 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    631
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,059
    ..เป็นอะไร,ถึงทำไม่ได้ล่ะ แม่นาง.. ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...