สื่อจิต จากภพภูมิ ( ฝันฯลฯ)เป็นความรู้ในการสร้างบารมี ( เรื่องเล่าจากอ.รอบทิศ )

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 4 สิงหาคม 2018.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    เมื่อคืนระหว่างนั่งเสกตะกรุดอุปคุตชนะมาร ด้วยความเพลียจากการทำงานติดกันมาหลายวัน ก็เลยเผลอหลับไปพักใหญ่ๆ ระหว่างหลับๆตื่นๆนั้นก็เคลิ้มๆไปว่า

    ได้เดินไปในถ้ำแห่งหนึ่ง แล้วไปเจอครูบาพ่อบุญชุ่มยืนอยู่ ก็เลยเข้าไปกราบท่าน ท่านก็ยิ้มรับ แล้วบอกว่า "ตามพ่อมา ใช้ลมหายใจแบบเดียวกับพ่อนะลูก" แล้วท่านก็พาเดินลึกเข้าไปในถ้ำเรื่อยๆ เดินไปท่านก็เอาพัดโบกเปิดทางข้างหน้าไปตลอดทาง จนจากถ้ำมืดๆก็ค่อยๆสว่างขึ้นทีละน้อยๆจนไปถึงปลายถ้ำ ก็เจอเจดีย์ทองคำสูงใหญ่มาก ผมก็เลยเดินเข้าไปกราบ แล้วก็เห็นมีพระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งอยู่ที่ฐานเจดีย์ ตัวท่านผิวออกคล้ำและดูค่อนข้างผอม แต่หน้าตาสดใสมาก ตาโตขนตายาวคล้ายแขก พอท่านเห็นผมเดินมา ท่านก็ยิ้มให้แล้วถามว่า

    พระ- มาทำอะไรโยม

    ผม- เอาตะกรุดมาให้เสกครับ

    พระ- ตะกรุดมันคืออะไร

    ผม- ก็เป็นแผ่นโลหะที่ลงอักขระแล้วก็เอามาม้วนครับ

    พระ- ไม่ม้วนได้ไหม

    ผม- จริงๆก็ได้นะครับ ทางเหนือเค้าก็พับเป็นแผ่นก็มี

    พระ- ความศักดิ์สิทธิ์มันอยู่ตรงไหน ตรงที่ม้วนรึเปล่า

    ผม- เปล่าครับ อยู่ตอนที่เราจารและเสก ม้วนนี่เพื่อความสะดวกในการใช้งานมากกว่า

    พระ- นี่ละเคล็ดการเสกนะ จำไว้

    ผม- ยังไงครับ งง ไม่เห็นมีเคล็ดตรงไหนเลย

    พระ- ก็ตรงนี้ละ คนทั่วไปเขาเห็นตะกรุด เขาก็เข้าใจว่าตะกรุดต้องม้วนถึงจะเป็นตะกรุดใช่ไหมล่ะ ไม่ม้วนก็ไม่ขลังใช่ไหม

    ผม- ครับ ส่วนใหญ่ก็คงคิดกันแบบนั้น

    พระ- นี่ละเคล็ดวางจิตนะ คนเราเวลาทำสมาธิ หรือจะเสกพระเสกอะไร มันชอบม้วนเข้าหาตัวเอง อยากอย่างนั้นอย่างนี้อย่างที่ตัวเองต้องการ ให้เหนียว ให้เมตตา โชคลาภ ก็อยากกันไป นั่นละมันม้วนเข้าหาตัวเอง ม้วนหาความอยากของตัวเอง ม้วนไปเถอะ ถ้าไม่เสกภายในให้ดี ต่อให้ม้วนเป็นตะกรุดสวยแค่ไหน มันก็ไม่ใช่ตะกรุด ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเสกให้ดีแล้ว ไม่ต้องม้วนมันก็ยังเป็นตะกรุดที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกไหม

    ผม- ก็ใช่นะครับ ตะกรุดดีไม่ได้อยู่ที่ม้วนดี แต่อยู่ที่การลงเสกให้ดีมากกว่า หมายความว่าเวลาเสกเราต้องไม่อยากนู่นนี่ใช่ไหมครับ

    พระ- อืม ตั้งจิตอธิษฐานเอานะ อธิษฐานขอกำลังพระรัตนตรัยนั่นละสูงสุดดีที่สุดแล้ว อธิษฐานเอาให้ท่านประสิทธิให้เป็นแบบไหน อธิษฐานเสร็จแล้วก็วางเลยนะ วางจากทุกอย่าง ทำจิตให้ว่างสงบเย็นบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่ทำได้ เราจะผ่านพลังงานพระได้ จิตเราต้องเป็นพระ ต้องบริสุทธิ์สว่างที่สุด ไม่ใช่เสกไปอยากให้นั่นให้นี่ไป มันก็กิเลสสิ กิเลสเต็มทาง พระท่านจะผ่านมายังไง ไม่ต้องไปม้วนเข้าหาตัวเองนะ แผ่ออกไปให้กว้างที่สุด ทิ้งให้หมด โลภโกรธหลงอย่าไปเอามา ทำใจสบายๆ อธิษฐานแล้ว เหมือนเราตั้งเป้าแล้ว ที่เหลือก็แค่วางเป้าให้นิ่งไว้ ถ้าไปคิดนั่นอยากนี่ เป้ามันก็ส่าย พลังงานมันก็ลงไม่ตรงเป้า ทำใจสบายๆ นึกถึงพระเป็นอารมณ์ไว้ แล้วปล่อยเลย ปล่อยเป็นงานของพระ ถ้าเราทำด้วยเจตนาดี ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พระท่านไม่ทิ้งหรอก ท่านมาช่วยแน่ อย่าอยากนะ ทางพระนี่อยากแล้วจะไม่ได้อะไรเลย ไม่อยากนี่ละได้ทุกอย่าง ของดีมันดีตรงไม่อยากนี่ละ

    ผม- อ้อ งั้นก็อธิษฐานแล้ววางจิตอยู่ที่พระเลยนะครับ บางทีผมกลัวพลังไม่ครบทุกทาง ก็เลยเสกไปนึกวิชานั่นนี่ใส่เข้าไปเรื่อยตลอดทาง

    พระ- ไม่ต้องไปนึกอะไร พระท่านมีครบทุกอย่างแล้ว ท่านเป็นแก้วสารพัดนึก จะมีอะไรเหนือกว่าพระอีก ขอแค่อธิษฐานเอา แล้วทำใจให้ถึงพระนี่ละ เคล็ดมีแค่นี้
    ผม- ถ้าเทียบกับตะกรุด ตอนจารตอนเสกเราไม่ม้วน ต้องแผ่แผ่นโลหะออกถึงจะทำได้ครบ อันนี่ก็คงคล้ายแบบนั้นใช่ไหมครับ คือแผ่จิตออก วางความอยากลงไป

    พระ- ใช่ ตามนั้น

    ผม- แต่เสกเสร็จมันก็ต้องม้วนนี่ครับ ไม่งั่นคงเอาไปใช้ยาก

    พระ- เราก็ไม่ได้ห้ามม้วนนี่ ไอ้ตอนม้วนนี้จุดประสงค์มันให้สะดวกคนใช้ ไม่ใช่ได้กับคนเสก พอเธอเสกเสร็จ แผ่จิตให้กว้างวางทุกอย่างที่สุดแล้ว ก็ม้วนมันเข้ามาสิ อธิษฐานสำทับลงไปอีกที ตอนนั้นจิตมันเต็มแล้วนี่ พระเต็มจิตแล้ว ม้วนเข้ามามันก็ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนผู้ปฏิบัติธรรมนะ ตอนแรกก็ต้องหัดวางโลกก่อน พอวางจนเข้าใจโลกอย่างถึงที่สุดแล้ว ท่านก็จะกลับมาใช้ชีวิตในโลกได้อย่างไม่ทุกข์กับโลกอีก หลักมันก็แค่นี้นะ

    ผม- ครับ ฟังเหมือนง่าย แต่ทำยากนะครับ ถ้าอยากให้ดี ต้องไม่อยากดี แล้วก็จะยิ่งดี เหมือนขัดแย้งในตัว

    พระ - มันขัดกับความคิดชาวโลก ทางโลกเขาอยากได้อะไร ต้องอยากทำสิ่งนั้น มันถึงจะมีแรงผลักดันให้สมความอยาก แต่ทางธรรม มันไม่มีอะไร อยากดีไปแค่ไหน มันก็ไม่มีพอต่อความอยากของกิเลสหรอก แต่แค่เราหยุดอยาก นั่นละความดีมันอยู่ตรงนั่นแล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ไม่ต้องขวนขวายแก่งแย่งอะไร แค่เลิกอยากดี นั่นล่ะดีทันที มันมีอยู่แค่นั่นละธรรมะ

    ผม- น้อมรับข้อธรรมไปปฏิบัติครับ แล้วตะกรุดนี่หลวงพ่อเสกให้ผมแล้วรึยังครับ

    พระ- ไม่ได้อยู่ที่เรา อยู่ที่เธอนั่นละ ถ้าจิตเธอเข้าถึงความดี ก็เสกแล้ว สมบูรณ์แล้ว ไปลองพิจารณาตวเองดูนะ

    พระรูปนั้นพูดเสร็จ ท่านก็ยิ้ม แล้วก้มลงเป่าหัวให้ผมหนึ่งครั้ง ซึ่งรู้สึกเย็นสบายใจมากๆ แล้วท่านก็หายตัวไป ผมก็เลยเดินกลับมา ขากลับยังเห็นครูบาพ่อยืนอยู่ เลยบอกท่านว่า ธรรมะนี้เข้าใจยากจังนะครับ

    ครูบาพ่อท่านก็ยิ้มให้ แล้วบอกว่า ไม่มีอะไรหรอก ดูพัดเรานี่ มันเหมือนลมนี่ละนะ เราไปพยายามเอามือจับลม ดึงทึ้งลมให้มันทำความเย็นให้เรามันก็ทำไม่ได้ใช่ไหม แตถ้าเราเข้าใจมัน เราก็แค่เอาพัดพัดไป ไม่ต้องไปดึงไปทึ้งให้เหนื่อยแรง ไม่ต้องไปจับไปยึดลมที่เราจับไม่ได้จริง แต่มันก็จะสร้างความเย็นให้กับเราเอง แบบนี้ละ เข้าใจนะลูก

    แล้วผมก็ตื่นขึ้นพอดี...

    ทั้งหมดนี้เป็นความฝันนะครับ ผู้อ่านอย่าได้ยึดถือเป็นความจริง ขอให้อ่านด้วยวิจารณญาณ แล้วพิจารณาและลงมือปฏิบัติให้เข้าใจด้วยตนเองนะครับ


    ********************************************************************************
    ขอบพระคุณเจ้าของเรื่อง

     
  2. noomman2

    noomman2 จงสำเร็จทุกประการ เอวัง โหตุ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    229
    ค่าพลัง:
    +69
    สาธุ ประเสริฐแท้ๆครับ ขออนุญาตินำไปใช้บ้างนะครับ
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    จักรพระกาล
    เมื่อคืนนั่งเสกครุฑพ่อพระกาล ระหว่างเสกไป ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาบอกอะไรบางอย่าง เลยลองจดบันทึกไว้ ท่านใดสนใจก็ลองพิจารณาดูตามอัธยาศัยครับ แต่อย่าเชื่อในสิ่งที่เขียนนี้นะครับ เพราะอาจเป็นแค่อุปาทานคิดฝันไปเรื่อยของผมเอง

    เธอเห็นจักรนี้ไหม จักรมันทำงานอย่างไร มันมีใบจักร มีซี่ว่างระหว่างจักร แล้วมันก็หมุนไป หมุนไปทำลายทุกสิ่งตามกาลเวลาหน้าที่ของมัน
    ใบจักรก็คือความเกิด ซี่ว่างของจักรก็คือความดับ ทั้งเกิดและดับนี้หมุนวนต่อเนื่องกันไปไม่หยุดหย่อน จึงเกิดเป็นวัฏฏสงสาร หมุนทำลายสัตว์โลกให้พังพินาศย่อยยับไปนับชาติไม่ถ้วน
    เธอจะใช้จักรนี้ยังไง จะหยุดจักรนี้ยังไง เธอเข้าใจคำว่าเป็นกลางไหม ทางสายกลางที่คนเขาชอบพูดกันนั่นละ คนไม่ค่อยเข้าใจหรอก เขาคิดว่าทางสายกลางคือเอาทั้งจักรและซี่ว่างของจักร หรือจะเอาตรงกลางระหว่างสองอย่างนั้น มันก็ไม่ถูกทั้งคู่ละ ถ้าเธอไปจับทั้งจักรและซี่ว่าง มือเธอก็ยังคงถูกทำลาย ถ้าเธอไปจับมันตรงกลาง มันก็ยังคงหมุนทำลายเธออยู่ หรือถ้าเธอไม่จับมันเลย มันก็ยังคงหมุนวนทำลายโลกนี้ต่อไปไม่หยุด
    เธอจะหยุดมันยังไง มันไม่ได้ยากอะไรนี่ เพียงเธอไมรเอาทั้งใบจักรและซี่ว่างของจักร เธอปล่อยมันออกมา แล้วถอยมาจับที่กลางของใบจักร แค่เอานิ้วตั้งตรงแหย่เข้าไป เธอก็ยังอยู่กับจักรได้ ควบคุมจักรได้ แต่ไม่ได้นับบาดเจ็บจากจักร นั่นละคือทางสายกลาง เรายังอยู่กับโลก ยังอยู่กับความเกิดดับตามธรรมดาของโลก แต่เราแค่ถอยมามองมันตามความเป็นจริง ทำใจให้ว่าง ให้เป็นกลาง นั่งดูมันหมุนไปด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ไปบังคับมันให้หยุด ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยมันไป แต่เราอยู่กับมันอย่างเข้าใจ อยู่โดยไม่โดนมันทำร้าย แต่เราก็ควบคุมมันไว้ได้ด้วยใจที่เป็นกลาง
    เธอจะยังคงเห็นโลกแลจักรวาลนี้หมุนวนเช่นเดิม ทำลายตัวเองเหมือนเดิม ทำลายโลกเหมือนเดิม แต่มันไม่ทำลายเธอเหมือนเดิม เพราะเธอเข้าใจวงจรมันแล้ว มันก็ไมรหมุนมาหาเธอแล้ว
    เมื่อใจเธอเข้าถึงความเป็นกลางจากความเกิดและดับนี้ เธอจะคุมจักรนี้ได้อย่างมั่นคง มันจะไม่ทำร้ายเธออีก แต่มันจะเปลี่ยนมาเป็นพลังงานให้เธอ ที่จะเอาจักรนี้ไปทำลายความทุกข์ให้แก่สัตว์โลกในวัฏฏสงสารนี้ได้ ด้วยการนำมันไปแสดงให้ดู ให้เขาเข้าใจจักรในมือของเขา และเลิกเอามือไปหยุดจักร เลิกเอาใจไปบังคับให้ทุกอย่างเกิดดับตามใจตน แต่ให้รู้จักวาง รู้จัทำใจเป็นกลางที่จะปล่อยใบจักรที่เคยหมุนวนทำลายตนเองนี้ แล้วจับมันใหม่ในท่าทีที่ถูกต้อง ด้วยการวางใจเป็นกลางอย่างเข้าใจในการเกิดดับ เมือนั้นอาวุํที่เคยทำร้ายตน จะเป็นเป็นมหากาลจักรอันเป็นมหาคุณ เป็นจักรที่จะเอื้อประโยชน์สูงสุดให้แก่การทำลายกาลในวัฏฏสงสารทั้งปวง และเข้าสู่บรมสุขในแดนนิรทุกข์
    นี่ละวิธีใช้จักรพระกาล ไปศึกษาให้เข้าใจเถอะ


    *********************************************

    https://www.facebook.com/robtis?__tn__=,dC-R-R&eid=ARDo65tIbk8_BIMrAqdcZJA5vCB5j5zxwFWJWj954l6LttQgGO7bt3dNOZvw4FusQLDEMOWxrpyqAg5y&hc_ref=ARSmYaj6fu_eFTGEXCjrYuF66Z9x_GnsxH6Lg3UoNVRokR4X-iHMweKhd0OQGk4Jpt0&fref=nf
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2019
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ปู่โพธิสัตว์เล่าให้ฟังเรื่อง #ไพรดำ

    ช่วงปีใหม่ผมได้ไปกราบปู่โพธิสัตว์ ท่านเมตตาเล่าเรื่องมหัศจรรย์ให้ฟังหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือเรื่อง #ไพรดำ ซึ่งถือเป็นของกายสิทธิ์ประจำตัวของท่านเลย โดยปู่เล่าให้ฟังว่า...

    ไพรดำนั้น หากเทียบแล้วก็เหมือนเหล็กไหลประเภทหนึ่ง คือเป็นธาตุที่มีวิญญาณครอง เพียงแต่เหล็กไหลเป็นโลหะ ส่วนไพรดำเป็นพืช ไพรดำจะมีลักษณะคล้ายๆว่าน มีหัวและมีต้นงอกออกมา แต่ความพิเศษคือ ไพรดำนี้ เป็นพืชที่เคลื่อนที่ได้ บางวันไปก็เจอ บางวันไปดูที่เดิมก็ไม่อยู่แล้ว เค้าสามารถหายตัวไปตามที่ต่างๆได้เหมือนเหล็กไหล และบริเวณใดที่ไพรดำไปขึ้นอยู่ ดินแถบนั้นจะกลายเป็นสีดำสนิทไปทั้งหมด พืชและสัตว์บริเวณนั้นจะอยู่ไม่ได้เลย บางทีไปเจอตัวตุ่นมุดดินไปแถวไพรดำอยู่ ตัวตุ่นถึงกับขึ้นมานอนตายข้างบนดินเลย ตอนปู่เอาไพรดำมาที่วัดใหม่ๆ มดแดงตามต้นมะม่วงในวัด ร่วงลงมาตายจนพื้นวัดแดงเถือกไปหมด คล้ายๆกับว่าเจ้าไพรดำนี้ มันจะคอยดูดพลังชีวิตของพืชและสัตว์ที่อยู่รอบๆตัวมันไปเป็นพลังของตัวเอง เป็นกายสิทธิ์ที่อันตรายมาก
    ช่วงที่เขาแสดงฤทธิ์มากๆนี่ รถเข้าไปใกล้ก็รถดับทันที เครื่องไฟฟ้าต่างๆที่เข้าไปใกล้นี่ดับหมด ไม่ต้องไปพูดถึงปืน หรืออาวุธอื่นๆ ถ้าเขาจะแสดงให้ดู ไม่มีอะไรยิงออกเลย แค่ดินรอบต้นของเขานี่ ถ้าเรากินเข้าไปมากๆ ถึงกับโกนผมโกนหนวดไม่ได้เลย เหนียวไปหมด คนถึงอยากได้กันเยอะ แต่ก็เอายากจริงๆ เพราะเค้าหนีได้ เปลี่ยนที่ได้ มีพลังงานสูงมาก คนทั่วไปเข้าใกล้ไม่ได้เลยถ้าเขาไม่ให้เข้าใกล้
    ตอนปู่จะได้มานี่ เขามาเข้าในนิมิตปู่เอง บอกให้ปู่ไปเอาเขามา บอกสถานที่ให้เสร็จ พอไปดูตามนิมิตก็เจอจริงๆ แต่คนอื่นแตะไม่ได้เลยนะ แม้แต่พระที่ไปกับปู่ก็เข้าใกล้ไม่ได้ ต้องปู่เข้าไปเอาเอง เอามาอยู่ที่วัด เขาก็มาบอกให้เลี้ยงเค้าด้วยน้ำผึ้งกับน้ำมะพร้าวสด เราก็เลี้ยงไว้ แต่วุ่นวายมาก สัตว์เล็กสัตว์น้อยในวัดตายหมด พวกคนเล่นของก็จะคอยอยากมาลองของกัน ปู่เลยบอกเขาไปว่า แบบนี้ไม่ดีแล้วนะ ทำไมทำบาป ทำร้ายชีวิตคนอื่น เป็นอสูรหรือไง ถ้าแบบนี้จะเอาไปคืน ไม่เอาไว้แล้ว เค้าก็บอกว่านี่เป็นวิถีของเขา เขาต้องกินพลังงานเพื่อเลี้ยงชีพ ปู่เทศน์บอกว่ามันไม่มีประโยชน์ มันเสียเวลา ให้ไปเกิดเพื่อสร้างบุญบารมีดีกว่า เขาก็ไม่ไป เหมือนเขารอช่วยงานปู่อยู่ ปู่ก็เลยบอกว่า ถ้จะอยู่ด้วยกัน ต้องไม่ทำบาปนะ ต้องทำประโยชน์ เค้าเลยบอกให้ปู่อธิษฐานเอา ปู่เลยอธิษฐานให้เค้าเอาพลังงานมาใช้ปรับธาตุรักษาโรคคุ้มครองอันตราย เค้าก็ให้ตามนั้น ปู่ก็เลยได้ผงไพรดำนี้มา ผงไพรดำที่เอามานี้คือผงจากดินที่ขึ้นอยู่รอบต้นเขานะ เอามาใช้ปรับธาตุรักษาโรคป้องกันสิ่งไม่ดีได้ดีมาก แต่ตัวต้นตัวใบเขานี่ตัดมาใช้ไม่ได้นะ เคยได้รากเขามาหน่อยนึง คนเอาไปใช้วุ่นวายไปหมด จนต้องเอามาคืน มันแรงไป แต่ถ้าตัวผงดินนี้ไม่มีอันตรายนะ ใช้ปรับธาตุได้
    แต่พอมีของกายสิทธิ์อยู่กับตัว ยังไงก็วุ่นวายนะ พวกเล่นของนี่มันชอบ มันควานหาของดี พอได้ข่าวก็เข้ามาลองปู่กันอยู่ตลอดเวลา ปู่เลยเอาเค้ากลับไปอยู่ในป่า แล้วทุกปีก็จะคอยให้เค้ามาบอกในนิมิตว่าไปอยู่ตรงไหน เราก็ค่อยตามไปเอาผงดินไพรดำมาใช้ ส่วนใหญ่ก็แบ่งให้ศิษย์กินเพื่อรักษาโรคบ้าง ทำพระบ้าง หลังๆนี่ปู่สุขภาพไม่ค่อยดี ไปเอาไม่ค่อยไหวแล้ว ลองส่งลูกศิษย์ที่เป็นพระไปเอา ส่งไปกี่คนก็เอามาไม่ได้ซักคน เข้าใกล้ไม่ได้ ต้องปู่คนเดียวเค้าถึงยอมให้ เค้าคงเกี่ยวข้องกับปู่ เคยทำงานร่วมกันมาก่อนในอดีต เค้าถึงให้ จริงๆไพรดำแบบนี้ก็มีหลายต้นนะ ไม่ใช่ต้นเดียว แต่ต้นนี้เค้าเนื่องกับปู่ ก็มาหาปู่ ต้นอื่นก็คงเนื่องกับคนอื่น ก็คงไปหาคนอื่น เป็นกายสิทธิ์ประจำตัวของแต่ละคนไป จริงๆทุกคนก็มีกายสิทธิ์ประจำตัวกันทั้งนั่นละ ขึ้นอยู่กับว่าจะเจอเมื่อไหร่ และมีกำลังบุญบารมีจะใช้ได้แค่ไหน

    ปล. ปู่เคยเมตตามอบผงไพรดำมาให้ผมหลอดหนึ่ง ซึ่งปกติปู่จะไม่ค่อยให้ใคร อย่างมากก็เคาะแบ่งให้แค่ขนาดปลายนิ้ว ซึ่งผงไพรดำทั้งหมดที่ผมมีนั้น ไม่สามรถเอามาถ่ายภาพให้ชมได้ เพราะผมเทผสมลงในผงที่อุดอยู่กับ #พระกริ่งและพระชัยวัฒน์พุทธพรหมปัญโญ ไปหมดแล้ว (ใครได้พระชัยวัฒน์ไปลองส่องดูผงที่อุด ถ้าเห็นจุดดำๆในผงตามภาพ นั่นละครับ ผงไพรดำแท้ๆสุดยอดศักดิ์สิทธิ์ที่หายากยิ่งกว่าพลิกแผ่นดิน ส่วนพระกริ่งก็มีไพรดำนะครับ แต่จะส่องไม่เห็นเพราะใส่ผงไปพร้อมเม็ดกริ่ง และอุดปิดรูกริ่งไปแล้ว)

    c_oc=AQmC4y7xZ97E6ISAR9Cd5dawloyi_BoTPpgNcfxS4IsiAnYAq1UV4V7KbvKVPE7s4y0&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg


     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    รอบทิศ ไวยสุศรี

    9 มกราคม 2017
    สัปดาห์ก่อนได้โทรคุยกับปู่โพธิสัตว์เรื่องหลวงปู่ใหญ่ ก็ยังรู้สึกมีข้อสงสัยในใจหลายอย่าง วันก่อนระหว่างสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ก็สวดไป คิดเพลินๆไป ก็เคลิ้มๆไปว่า... (เป็นความฝันนะครับ อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ปฏิบัติและพิสูจน์จนเข้าใจแจ่มแจ้งด้วยตนเอง)

    มีเสียงมาบอกว่า "เธอสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆหลายรอบเกินไปนะ เวลาเริ่มทำสมาธิ ให้สูดลมหายใจลึกๆ 3 ครั้งพอ ครั้งแรกนึกถึงพระพุทธ ครั้ง 2 นึกถึงพระธรรม ครั้งที่ 3 นึกถึงพระสงฆ์ ใจจะลดความฟุ้งซ่านได้ดีขึ้น จากนั้นให้กำหนดภาพพระมาสงบไว้กลางกายแล้วพิจารณาสภาวะเอา..."

    ผมก็เลยลองทำตามที่เสียงนั้นบอก ก็รู้สึกได้ว่าสงบเบาสบายดีขึ้น และเมื่อลองกำหนดภาพพระไว้กลางกาย ภาพพระนั้นก็ค่อยๆสว่างขึ้นๆ เห็นเป็นภาพพระสงฆ์รูปหนึ่ง ผอมมากเหมือนเห็นแต่ซี่โครง แต่มีแสงสว่างสีทองแผ่ออกมารอบตัวท่าน

    ผมเลยกำหนดจิตน้อมใจไปกราบท่าน ก็เห็นว่าท่านกำลังผูกเชือกสีแดงๆอยู่ในมือ แล้วท่านก็บอกว่า

    พระ - นี่เรากำลังสอนธรรมะนะ เธอเข้าใจไหม

    ผม - ธรรมะอะไรครับ เชือกคือธรรมะอะไร

    พระ - การประคองจิตในโลกนี้ ต้องทำให้เหมือนการผูกเชือกนี้นะ เธอเห็นไหมว่าเราผูกยังไง

    ผม - ก็ผูกเป็นเหมือนโบว์ครับ

    พระ - ใช่ มันมั่นคงไหม

    ผม - ก็พอใช้ได้ครับ ผูกได้ไม่หลุด

    พระ - แล้วมันดึงออกยากไหม

    ผม - ก็ไม่ยากครับ ดึงกระตุกปลายทีเดียวก็หลุด

    พระ - นั่นล่ะ ทำจิตอย่างนั้น ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราก็ต้องผูกกับโลก ต้องทำอะไรไปกับชาวโลกเขา ต้องทำงาน ต้องมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ต้องมีสมบัติมีหน้าที่ต่างๆ แต่ต้องทำให้เหมือนเชือกนี้คือ ผูกกับโลกไว้แบบให้รู้ตัว ว่าเราผูกไว้เพื่อประคองตนอยู่ในโลกเฉยๆ ไม่ยึดติดในโลก ถึงเวลามีปัญหามีทุกข์อะไรขึ้นมา เราก็สามารถกระตุกจิตเราออกจากสิ่งนั้นได้ทันที ใช้ปัญญากระตุกจิตออกมาว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเรา มันก็แค่ทำไปตามหน้าที่ นั่นล่ะ เราก็อยู่กับมันได้ งานก็ไม่เสีย ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็ไม่เสีย และเราก็ไม่ต้องไปทุกข์กับมัน

    ผม - อ้อ ครับ แต่มันจะมั่นคงเหรอครับ ผูกแบบกระตุกได้

    พระ - มั่นคงสิ เพราะเราใช้ปัญญานำก่อน เรารู้ก่อนแล้วว่า ของพวกนี้ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เราก็ถอยออกมาครึ่งทาง ไม่ไปผูกกับมันเต็มที่ เวลาทำอะไร เราก็จะเห็นกว้างไกลกว่าคนอื่น เข่้าใจโลกกว่าคนอื่น ไม่ทุกข์เหมือนคนอื่น เพราะเราไม่เอากิเลสเข้าไปพันมันไว้ คนในโลกส่วนใหญ่เค้าผูกกับโลกแบบไม่มีเงื่อนกระตุกนะ เค้าเป็นเหมือนเชือกยาวๆ เธอเคยเห็นไหม พอวางกองๆกันไว้ มันก็พันกันไปกันมา

    ผม - เคยเห็นครับ บางทีพันกันแน่นกว่าเงือนตายอีก ดึงยังไงก็ไม่ออก

    พระ - นั่นล่ะน่ากลัว เพราะคนเราไม่เข้าใจความจริง ชีวิตนี้มีแต่ตัวเราของเรา ก็สรา้งเส้นเชือกของความคิด ฟุ้งซ่านไปเรื่องต่างๆยาวเหยียด ยิ่งคิดมาก เชือกก็ยิ่งยาวมาก ก็ยิ่งพันกันได้ง่ายขึ้น และแกะออกยากขึ้น บางคนเห็นเชือกพัน คือรูู้สึกว่าตัวเองเริ่มทุกข์ ก็พยายามดึงเชือกออก แต่มันไม่ได้ทำเงื่อนกระตุกไว้แต่แรกไง ไม่ได้ใช้ปัญญาเข้าไปหยุดกิเลส ทำความเข้าใจความจริงว่ามันไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเราตั้งแต่แรก มันก็เลยแก้ปัญหาไม่ได้จริง ยิ่งแก้ยิ่งพัน ยิ่งแก้ยิ่งผูกแน่น ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ บางคนแก้ปัญหาไม่ได้ทำยังไง เอากรรไกรมาตัดเชือกเลย เชือกนั้นก็เสียทั้งเส้น ใช้งานไม่ได้ ก็พวกฆ่าตัวตายไง แก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย เสียชีวิตไปเปล่าๆ แล้วก็พันกันทุกข์อีกเหมือนเดิม หนีทุกข์ไม่ได้ จะดึงก็ไม่ออก จะตัดก็ไม่ได้ มันเลยทุกข์นะมนุษย์ ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่มีอะไร มันทุกข์กันไปกับความคิดของตัวเองที่ยิ่งคิดยิ่งพันกันยุ่งไปหมด

    ผม - ก็จริงนะครับ แต่เงื่อนกระตุกนี่ต้องทำยังไงครับ ต้องวางจิตยังไงถึงจะเป็นเงือานกระตุกให้กับจิต ไม่ให้ไปติดโลก ทุกข์พันกับโลกเกินไปแบบที่หลวงพ่อสอน

    พระ - พระไง เวลาจะทำอะไร นึกถึงพระไว้ก่อน ทรงอารมณ์ของพระไว้ น้อมภาพพระไว้ในใจ สวดมนต์ภาวนาไว้ในใจเสมอ จะยืนเดินนั่งนอนทำอะไร ให้น้อมพระไว้ในใจก่อนจะคิดจะทำอะไรทุกครั้ง ทำให้มันชินไว้ พอเราวางพระไว้ในจิตก่อนเสมอ ก็เท่ากับเราเตรียมเงื่อนกระตุกไว้ให้กับจิตแล้ว ถ้าเกิดมีเรื่องออะไรที่จะทุกข์ขึ้นมา มันก็ไม่ทุกข์มาก เพราะใจมันเริ่มต้นด้วยพระก่อน ใจมันอยู่กับความดีมาก่อน มันไม่พันไปกับความทุกข์มาก หรือเวลาจะคิดจะทำอะไร พอเรานึกถึงพระก่อนทำทุกครั้ง มันก็จะมีปัญญาจะคิดจะทำแต่ในสิ่งที่ดี ไม่ไปทำความชั่วที่จะหาปัญหาความทุกข์ต่างๆมาผูกใจเราให้วุ่นวายไปกว่าเดิมอีก ง่ายๆแค่นี้เอง นี่ล่ะคือไตรสรณคมน์ ใจอยู่ในไตรสรณคมน์ คือทำอะไรให้นึกถึงพระก่อน ให้พระเป็ฯเงือนคอยกระตุกใจจากโลกไว้ก่อน

    ผม - ทำแค่นี้เองเหรอครับ บางคนเห็นเขาต้องไปฝึกวิปัสสนา ถือศีล อยู่วัด ทำพิธีอะไรให้เยอะไปหมด

    พระ - มีแค่นี้ล่ะ ถ้าใจอยู่กับพระจริง เธอก็มีทุกอย่างล่ะ ใจอยู่กับพระ ใจมันก็มีศีลในตัวเอง ใจอยู่กับพระ ใจมันก็ภาวนาในตัวเอง จะเอาอะไรล่ะ พระท่านมีคำตอบทุกอย่างทั้งทางโลกทางธรรม เอามันแค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว จะไปทำอะไรซีับซ้อนมากมาย คนเดี๋ยวนี้ชอบทำอะไรซับซ้อนเกินไป เขาให้ฝึกธรรมะเพื่อแก้เชือกออก ก็ดันไปผูกมันให้ซับซ้อนขึ้นไปอีก ไม่เห็นเหรอ สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องเทศน์อะไรมาก เขาฟัง แล้วเขาก็ปฏิบัติ ก็หมดทุกข์เลย ก็นิพพานเลย ก็จิตดวงเดียวกันนี่ละ จิตคนสมัยนั้นกับสมัยนี้ มันก็จิตเดียวกัน ไม่ได้มีอะไรยาก จะไปทำให้มันยากทำไม เาอใจไว้กับพระนี่ ให้ใจมันเป็นพระนี่ จบแล้ว เอาอะไรมากมาย

    ผม - ก็จริงครับ ของจริงต้องง่ายและได้ผลจริงนะครับ ไม่ต้องซับซ้อนลึกลับอะไรมากมาย

    พระ - ใช่ เอาง่ายๆ ถ้ายากมันก็ทุกข์สิ จะดับทุกข์ดันไปสรา้งทุกข์ใหม่ มันจะดับเมื่อไหร่ พระทานสว่างสงบเย็น อยู่กับพระก็สว่างสงบเย็น ก็มีแค่นั้น ขอแค่ทำให้จริงเถอะ ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เพราะทำไม่จริง ทำเหลาะๆแหละๆ พอทำแล้วไม่เห็นผลก็เลิก ไปโวยวายว่าไม่ดีจริง ไม่ใช่วิธีจริง คนสมัยก่อนเขาฟังสั้นๆ แล้วเขาเอาไปทำจริงนะ ทำจิรงทำจัง ทำไม่ได้ก็ไม่บากหน้ามานั่งประเหลาะอยู่หน้าครูบาอาจารย์ให้วุ่นวายท่านเหมือนในปัจจุบัน เขาอายอาจารย์นะ เขาเอาไปแล้วน้อมใส่ใจ เอาไปทำทุกวันทุกเวลาจนได้จริงๆ แล้วถึงได้กลับมากราบครูบาอาจารย์ ไม่ต้องมากันบ่อยๆ ธรรมะมันอยู่ทุกที่ ในตัวเธอก็มีครบทั้งแปดหมื่นสี่พันธรรมขันธ์ ท่านบอกแล้วก็ไปทำให้ถึงจริง ทำที่ไหนก็ได้ ทำไปสิ อย่าหยุด จะกินข้าว จะนั่งขี้ ก็ให้ใจมีพระไว้ แล้วพระท่านจะไปไหน ใจอยู่กับพระ มันก็เห็นธรรม ตัวเรามันก็เป็นสงฆ์ละ นี่ไง ครบไตรสรณคมน์ ถึงไตรสรณคมน์ ปิดอบายภูมิล่ะ นรกไม่รับล่ะ รับไม่ได้ ยมบาลห้ามลง

    ผม - สาธุครับ เป็นกำลังใจในการปฏิบัติมากๆเลยครับ ผมคงต้องพยายามปฏิบัติให้มากกว่านี้

    พระ - ดีแล้ว แล้วมีอะไรอีก อยากรู้อะไร เรื่องของเราเหรอ

    ผม - อุ้ย หลวงพ่อรู้เหรอครับ

    พระ - ถ้าไม่รู้ จะมาทำไมล่ะ ก็มาบอกให้ฟังนี่ล่ะ เอ็งมันติดขี้สงสัยเหลือเกิน หลายภพหลายชาติ อยากรู้ไปหมด ทำไปเถอะ นู่นล่ะ ถึงพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ สัพพัญญูญาณนู่น ถึงจะรู้หมด เอ้าว่าไง จะถามอะไร

    ผม - คือ ผมอยากรู้เรื่องหลวงปู่ใหญ่ครับ เพราะผมยังสงสัยว่า บางคนก็ว่าท่านเป็นอรหันต์ บางคนก็ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์ ซึ่งถ้าเป็นโพธิสัตว์ ผมก็งงๆว่า โพธิสัตว์ ท่านน่าจะรีบเกิดรีบตายสรา้งบารมีบ่อยๆมากกว่า แต่นี่ท่านอยู่กันยาวเป็นพันๆปีเลย

    พระ - อื้อ สายนี้นะ เค้ามีหลายครูบาอาจารย์นะ เริ่มต้นทาง ท่านเริ่มจากอาจารย์ใหญ่นะ พระมหากัสสปะนะ ท่านเป็นพระอรหันต์ที่อธิษฐานพุทธภูมิมานานก่อนจะลา และยังมีความเกี่ยวเนื่องกับพระศรีอาริย์มาก ท่านเลยต้องรับงานดูแลพระศาสนาให้ครบ5000 ปีตามพทุธทำนาย แม้ท่านสิ้นไปแล้ว ลูกศิษย์ท่านก็เลยต้องทำงานต่อจากอาจารย์ท่าน

    ผม - แสดงว่าต้นสายลป.ใหญ่เป็นพระอรหันต์

    พระ - ใช่ แต่สายนี้นะ ถึงเป็ฯพระอรหันต์ ก็ต้องเป็นพุทธภูมิเก่ามาก่อน แล้วมาลาเอาทีหลัง เพราะเป็นงานใหญ่ ใช้กำลังมาก ไม่งั้นทำงานดูแลพระศาสนาไม่ได้หรอก งานใหญ่

    ผม - แสดงว่าสายนี้มีทั้งอรหันต์และโพธิสัตว์รวมๆกันเหรอครับ

    พระ - ใช่ รวมๆกัน บางท่านก็เป็ฯอรหันต์ที่อธิษฐานอยู่ช่วยงานจนจบศาสนา บางท่านก็เป็นโพธิสตัว์มาทำงานสรา้งบารมีโดยเฉพาะ
    ผม - แล้วถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ทำไมท่านไม่เกิดตายตามปกติล่ะครับ จะได้มีรูปลักษณ์ในการสรา้งบารมีมากๆ เห็นโพธิสัตว์ส่วนใหญ่จะทำแบบนั้น

    พระ - ไม่ได้หรอก เพราะงานนี้เป็นงานต่อเนื่อง คือเราจะคงพระศาสนาให้ครบ 5 พันปี งานมันมีตลอด งานหนักๆทั้งนั้น ถ้าเรามัวเวียนเกิดเวียนตาย มันทำงานไม่ทัน ถ้าไปเกิดใหม่ แล้วกว่าจะโต กว่าจะฝึกวิชา กว่าจะรู้เรื่อง กว่าจะทำงานได้ พอดีงานพังกัน มันไม่ได้ จึงต้องอธิษฐานอยู่กันยาวนะ อยู่กันยาวๆให้ครบอายุพระศาสนาเลย

    ผม - โห อย่างนี้ก็แสดงว่ามีพระโพธิสัตว์อายุยาวๆหลายพันปีด้วย ผมนึกว่ามีแต่อายุไม่ยาวมาก แล้วเกิดตายสรา้งบารมีบ่อยๆ
    พระ - มีหมดล่ะ โพธิสตัว์มีทุกรูปแบบ เพราะเราต้องผ่านทุกอย่าง ต้องทำงานทุกอย่าง

    ผม - แต่แบบนี้ไม่เสียเวลาแย่เหรอครับ ชาตินึงอยู่กันหลายพันปีเลย ในขณะที่โพธิสตัว์ท่านอื่น 100 ปีเกิดทีตายที คงได้สรา้งบารมีหลายอย่างมากมายกว่าไหมครับ

    พระ - ไม่หรอก นี่เป็นหน้าที่ อายุหลายพันปีมันจะนานอะไรล่ะ เธอไม่เห็นเหรอ ในศาสนาพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อายุท่านเป็นหมื่นๆปีกันทั้งนั้น นี่เราอยู่แค่ไม่กี่พันปี มันน้อยมากนะ และเราก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร เพระางานนี้ต้องใช้บารมีใหญ่ ใช้กำลังมาก ได้บารมีมาก เป็นการสรา้งบารมีในการรักษาพระศาสนาเลยนะ น้อยที่ไหนกัน ผู้เป็นโพธิสัตว์ ถ้าจะเอาให้เต็มภูมิ ต้องผ่านงานแบบนี้กันทั้งนั้นล่ะ สักวันถ้าเธอไม่ทิ้งงานทางสายพุทธภูมิ เธอก็ต้องมาทำงานแบบเรา เผลอๆอาจจะอยู่นานกว่าเราอีกก็ได้ มันต้องผ่านทั้งนั้นละ โพธิสตัว์ไม่มีใครมานั่งคิดนะว่า งานนนี้ได้มากได้น้อย งานนี้ได้กำไรหรือขาดทุน เราทำงาน งานไหนเป็ฯบุญเราทำทุกงาน เราไม่ประมาทในบุญกุศล งานเล็กงานใหญ่ บุญน้อยบุญมากเราต้องเก็บทั้งหมดทุกรูปแบบ เพราะเราต้องสอนคนสอนเทวดาทั้งสามแดนโลกธาตุ ไม่เคยทำงานมาทุกอย่าง จะไปสอนเขาทุกอย่างได้ยังไง

    ผม - ก็จริงครับ แต่ถ้าทำงานแบบนี้ ก็ดูแปลกกว่าโพธิสัตว์ทั่วไปหน่อยตรงที่ โพธิสัตว์ทั่วไป ท่านมักจะอยู่ในโลก เจอคนเยอะๆ คอยช่วยเหลือคนนั้นคนี้ สร้างวัดสร้างพระให้คนกราบไหว้ แต่สาย ลป.ใหญ่นี่เจอคนยากมาก ไม่ได้เจอใครเลย

    พระ - เจอสิเจอ เราจอบ้าง แต่เราไม่เน้นบารมีหลักทางนั้น ตอนนี้เราเน้นบารมีหลักทางรักษาพระศาสนา ใครผ่านมาในข่ายในญาณของเรา เราก็พิจารณา ถ้าโปรดได้ ก็ไปโปรดอยู่บ้าง ถ้าเคยเกี่ยวข้องกัน ก็ไปหาอยู่บ้าง บางทีก็ไปตามพวกๆกันให้เข้ามาเรียน ให้ออกไปเป็นครูบาอาจารย์ ไปสอนผู้คน เพียงแต่เราไม่ได้เน้นเจอคนในการสรา้งบารมีในชาตินี้ ไว้ชาติอื่นก็ยังได้เจอคนอีกนับไม่ถ้วน ชาตินี้เราทำงานตรงนี้ก่อน

    ผม - แล้วถ้าต้องอยู่นานๆแบบนี้ ทำไมไม่อยู่เป็นเทวดาไปเลยล่ะครับ อายุจะได้ยาวๆ ไม่ต้องลำบากในการทรงธาตุขันธ์ด้วย

    พระ - ไม่ได้หรอก เทวดาท่านมีแต่นามไม่มีรูป ท่านช่วยได้แค่สนับสนุนผู้ที่มีำลังอยู่แ้ลว แต่งานเรามันอยู่ในโลก โลกนี้มีทั้งรูปและนาม ถ้าเราไม่มีรูปคือร่างกาย มันก็รักษารูปไม่ได้ ปรับโลกไม่ได้ มันต้องอาศัยร่างกายในการผ่านจิตออกไปดูแลรักษาโลก ดูแลพระศาสนา มันต้องใช้สังขารร่างกายด้วย ใช้จิตเฉยๆเหมือนเทวดาไม่ได้

    ผม - ใช้ยังไงครับ ใช้จิตผ่านธาตุในการรักษาพระศาสนา

    พระ - พวกเราส่วนใหญ่ จะหาป่าหาถ้ำที่สงบ ไม่มีใครรบกวน มีเทวดาเฝ้ารักษา แล้วเข้าสมาบัติ แผ่ข่ายญาณออกไปทั่วโลกนะ เพื่อปรับโลก เพื่อปรับคน ให้ยังคงสภาพอยู่ได้ ให้ยังอยู่ในบุญกุศลความดี ให้ไม่ลำบากจนเกินไป ให้ไม่มีภัยพิบัติที่รุนแรงเกินไปจนคนทุกข์ยากลำบากตายไปหมด มันต้องทำหลายอย่างนะ ไม่ใช่นั่งเฉยๆ โลกมันเป็นไปตามกรรม แล้วคนมันทำกรรมอะไรกันมั่งล่ะ กรรมชั่วมันเยอะขึ้นทุกวันนะ ภัยพิบัติมันจึงรุนแรงขึ้นทุกวัน ถ้าพวกเราไม่ขึงข่ายญาณไว้ช่วยปรับสภาพแล้ว ที่เอ็งเห็นๆภัยพิบัติทุกวันนี้นี่ มันจะแรงกว่านี้อีกหลายร้อยเท่านะ แต่พวกเราพยายามช่วยเอาไว้บางส่วน อันไหนมันเกินกรรมมากนัก ก็ต้องปล่อยให้เกิด แต่ก็พยายามรักษาไว้ ไม่ให้มันหนักเกินไป ไม่งั้นพระศาสนามันอยู่ไม่ได้นะ เราก็ต้องทำ

    ผม - โอ้โห แสดงว่าหลวงพ่อต้องทำงานปิดทองหลังพระมากๆ เป็นงานท่ไม่มีใครรู้เลยว่าที่นั่งสบายได้อยู่ทุกวันนี้เพราะใคร

    พระ - เราไม่มีเวลามาคิดหน้าพระหลังพระหรอก มันเป็ฯหน้าที่เพื่อรักษาพระศาสนา มันเป็นงานในการสรา้งบารมี เราก็ทำของเราไป ใครจะรู้ไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับเรา ใครดีเราก็รักษา ใครไม่ดีก็ไปตามกรรม เราก็ช่วยได้เท่านี้ รักษาคนดีเอาไว้เพื่อต่ออายุพระศาสนา

    ผม - แต่เห็นคนชั่วก็เยอะขึ้นทุกวันนะครับ คนดีก็ตายไปเยอะ

    พระ - ใครมันก็สู้กรรมไม่ได้นะ เราก็ช่วยได้แค่ไม่เกินกรรม เอ็งคอยดูเถอะ ต่อไปที่มีภัยพิบัติมากขึ้น นั่นคือกรรมมันตามมาแล้ว คราวนี้จะพิสูจน์ล่ะ ใครไม่ดีจริงมันอยู่ยากล่ะทีนี้ ของเค้าตามมาแล้ว ไอ้คนชั่วน่ะ ผลกรรมดีในอดีตมันยังไม่หมดเฉยๆ แต่ตอนนี้มันจะแรงแล้วนะ ผลกรรมมันตามแล้ว เพราะยุคนี้กำลังอยู่ช่วงเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนแล้ว เพราะต้องปรับให้อยู่ต่อได้ครบพระศาสนา และวางข่ายงานไว้สำหรับศาสนาพระศรีฯในอนาคตด้วย ยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างมาก เอ็งอย่ารู้เลย ทุกข์เปล่าๆ ปฏิบัติดีไปเถอะ ความดีจะคุ้มภัยเอ็งและคนรอบข้าง ต่อแต่นี้ไป ใครไม่ดีอยู่ยาก ข้าขอยืนยัน

    ผม - สาธุครับ ผมก็จะพยายามทำดีให้มากยิ่งๆขึ้นไปครับ จะได้แบ่งเบาภาระหลวงพ่อได้ด้วย อ้อ มีอีกคำถามที่สงสัยครับ พระสายหลวงปู่ใหญ่นี่ ท่านเป็นชาวอะไรครับ อินเดียเหรอครับ เพราะอยู่มาตั้งแต่สัมยพระมหากัสสปะ

    พระ - มีหมดนะ ท่านมีกันหลายรุ่น อินเดียก็มี ไทยก็มี พม่าก็มี พวกเราวางข่ายกันไปเรื่อยๆนะ ดุงคนที่เคยสร้างบารมี เคยอธิษฐานทำงานมา ให้มาฝึกวิชา ให้มาช่วยกันทำงาน งานนี้ใหญ่นะ รักษาทั้งโลกนะ รักษาพระศาสนา ทำกันคนเดียวไม่ไหวหรอก

    ผม - งั้นหลวงพ่อเป็นชาวอินเดียไหมครับ

    พระ - หลวงพ่อเป็นคนสุโขทัยนะ อยู่มาตั้งแต่สมัยนั้น แล้วครูบาอาจารย์ก็มาเรียกตัวไปฝึก เรียกมาทำงาน ก็อยู่มาตั้งแต่นั้น
    ผม - แล้วทำไมผมเห็นคนที่เขาว่าไ้ด้วิชาจากสายหลวงปู่ใหญ่ ถึงใช้วิชาเป็นตัวขอมกันล่ะครับ ก็ต้นสายมาจากอินเดียบ้าง พม่าบ้าง ไทยบ้าง

    พระ - เอ้อ แล้วแต่บางองค์หรอกนะ ต้นทางริงๆสมัยก่อน เราก็ฝึกอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์กันตามปกตินะ ไม่ต้องไปลงอักขระพิธีอะไรหรอก จิตมันมีกำลัง มันก็ทำได้หมดทุกอย่างล่ะ แค่นึกก็ได้แล้ว แต่เราก็ทำไปตามโลกนะ บางพวกบางคนไปบอกมันว่า เอ้า เสร็จแล้ว เป่าพ่วงเดียวเสร็จแล้ว มันเสียกำลังใจไง มันไม่เชื่อ แต่ถ้ามีลงอักขระซะหน่อย แหม มันดูขลังขึ้นมาทันที เราก็เลยใส่ๆไว้ให้ลูกศิษย์นิดหน่อย จะได้ดึงคนได้ ดึงศรัทธาได้ แต่ของจริงเขาไม่ต้องมีคาถาอะไรหรอกนะ พวกเรานึกกันทันที ก็เกิดทันที ไม่งั้นเราจะทำงานกันได้ยังไง งานใหญ่ๆทั้งนั้น มัวแต่ท่องคาถา มันจะไปทันอะไรเล่า พายุใหญ่ๆจะมาถล่ม ขืนนั่งท่องอยู่ ก็พอดีล่ะ บ้านเมืองพังหมด ช่วยไม่ทันนะ มันต้องนึกแล้วใช้ได้เลย ทำได้เลย ไอ้อักขระอะไรนั่น มันเอาใจชาวโลกเขาเฉยๆ จะได้เป็นกำลังใจนะ

    ผม - แล้วหลวงพ่ออยู่กันในถ้ำวัวแดงจริงไหมครับ ที่เขาเล่าลือกัน

    พระ - เอ้อ นั่นมันทางผ่านเฉยๆ มันเป็นประตูทางผ่านที่เราอธิษฐานไว้เฉยๆ มีหลายถ้ำนะ ที่เราอธิษฐานไว้ แต่ทุกถ้ำมันจะมาโผล่สุดท้ายที่ถ้ำนี้ล่ะ ปลายทางคือถ้ำของพระมหากัสสปะนะ ที่เก็บสังขารของท่านไว้รอการเผาจากพระศรีอารย์ ที่ว่าไปเจอๆพวกเราน่ะ บางครั้งก็แค่กายทิพย์หรอก เพราะเราไม่ค่อยได้ออกไปไหน งานใหญ่คือกางข่ายเพื่อดูแลพระศาสนาอยู่ที่นี่ ต้องใช้กำลังมาก แต่ถ้าใครผ่านมาในข่ายญาณ แล้วเห็นว่าเกี่ยวเนื่องกับเรา เอามาฝึกฝนได้ เอามาช่วยงานได้ เป็นโพธิสัตว์ที่ช่วยงานได้ เราก็จะไปพบ ไปด้วยกายทิพย์บ้าง กายจริงแยกไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไปแต่กายข้างในนะ กายนอกไม่ค่อยไปล่ะ เราตั้งฐานกันอยู่ในถ้ำเป็นส่วนใหญ่

    ผม - แต่บางคนเขาว่ากันว่าเห็นหลวงพ่อเป็นคนจริงๆ จับต้องเนื้อตัวได้ด้วย เหมือนคนจริงๆเลย

    พระ - ถ้าจิตมีกำลังมาก มันทำได้หมดล่ะ จิตที่เข้มข้นมาก มันก็มีกำลังมาก จะให้เห็น จะให้จับต้ิองได้ จะให้พูดตอบได้ มันทำได้หมดล่ะ ถึงได้บอกไงว่าจิตเป็ฯแก้วสารพัดนึก ฝึกไปเถอะ แล้วจะเข้าใจ มัวไปนั่งคิดวิเคราะห์ จินตนาการ มันไม่เข้าใจหรอก

    ผม - สาธุครับ แล้วอาจารย์ของหลวงพ่อล่ะครับ เพราะหลวงพ่อเป็นชาวสุโขทัย ก็แสดงว่าหลวงพ่อไม่ทันหลวงพ่อพระมหากัสสปะ

    พระ - เอ้อ ไม่ทันนะ ไม่ทันท่าน แต่ทันลูกศิษย์ท่าน หลวงพ่อเรียนกับลูกศิษย์ท่านนะ เป็นชาวอินเดีย ถ้าอยากเจอก็หมั่นปฏิบัติไป สักวันท่านอาจจะมาหานะ แต่ต้องปฏิบัติให้ดีกว่านี้อีกมากนะ เพราะท่านจะดุมาก ถ้ายังเหลาะๆแหละๆแบบนี้ ท่านไม่มาหรอก เสียเวลางานท่าน ไปปฏิบัติไป อย่ามาถามมากเลย เดี๋ยวทำแล้วก็รู้เอง ทำให้จริงเถอะ อยากเจอใคร อยากรู้อะไรก็รู้ได้หมดล่ะ ขอแค่ทำตามที่ข้าสอนไว้ ใจนึกถึงพระ พิจารณาพระธรรมในกาย แล้วเราก็กลายเป็นสงฆ์ ไตรสรณคมน์นะ อยู่ในใจเรากายเรานี้เอง เอาให้ถึงก่อน แล้วอยากรู้อะไรก็จะรู้เอง ไม่ยากหรอก ที่ยากเพราะทำไม่จริงเฉยๆ ถ้าทำจริง ต้องรู้จริง เข้าใจนะ
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    รอบทิศ ไวยสุศรี
    13 มีนาคม 2016 ·
    เมื่อคืน ผมมีโอกาสได้คุยกับพระท่านหนึ่ง ท่านเทศน์ได้ง่าย แต่ลึกซึ้งเข้าใจง่ายดีมากๆ เลยลองคัดลอกมาไว้ให้ทุกท่านลองอ่านและพิจารณาดูนะครับ (อย่าเชื่อจนกว่าจะปฏิบัติได้เห็นจริงด้วยตนเอง)
    ผม - การปฏิบัติธรรม ควรปฏิบัติอย่างไรดีครับ
    หลวงพ่อ - ดูทุกข์
    ผม - ทำไมถึงเริ่มด้วยทุกข์ล่ะครับ
    หลวงพ่อ - เพราะมีทุกข์ จึงมีดับทุกข์ ถ้าเห็นทุกข์ ก็ดับทุกข์ได้
    ผม - อ้อ ครับ แล้วต้องดูยังไงครับ
    หลวงพ่อ - ทุกข์อะไรมากที่สุด
    ผม - เอ...
    หลวงพ่อ - ความตาย คนเราทุกข์เพราะกลัวตาย
    ผม - แล้วความตายต้องพิจารณายังไงครับ
    หลวงพ่อ - มีใครไม่ตายไหม
    ผม - ไม่มีครับ
    หลวงพ่อ - ทุกข์แล้วไม่ตายไหม
    ผม - ตายอยู่ดีครับ
    หลวงพ่อ - แล้วจะทุกข์ทำไม
    ผม - อืม... ก็จริงครับ
    หลวงพ่อ - เมื่อทุกข์เพราะกลัวตาย ก็จะพยายามหาทางไม่ให้ตายใช่ไหม
    ผม - ครับ แต่ละคนก็พยายามสารพัด หาหมอ กินยา หาอาหารดีๆ หาบ้านดีๆ หาเงินมากๆ จะได้แข็งแรง ไม่ตาย
    หลวงพ่อ - หามาสารพัดอย่าง แล้วตายอยู่ดีไหม
    ผม - ตายครับ ยังไงก็ตายทุกคน
    หลวงพ่อ - แล้วตอนหา มันทุกข์ไหม
    ผม - ทุกข์ครับ กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท เลือดตาแทบกระเด็น
    หลวงพ่อ - เอ้อ... มันก็ทุกข์ซ้อนทุกข์นะทีนี้ ทุกข์เพราะตายก็มีอยู่แล้ว แล้วนี่ยังหาความทุกข์เพิ่มจากการพยายามไม่ให้ตายอีก
    ผม - จริงเลยครับ
    หลวงพ่อ - แล้วเธอจะทุกข์ทำไม ทุกข์แล้วก็ตายอยู่ดี ทุกข์แล้ว จะพยายามไม่ให้ตาย ก็ตายอยู่ดี ยิ่งพยายามไม่ให้ตายมาก ก็ยิ่งทุกข์มาก แล้วมันก็ตาย ความพยายามทั้งหลายที่สร้างมา ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากได้ทุกข์
    ผม - แล้วจะทำยังไงไม่ให้ทุกข์กับความตายล่ะครับ
    หลวงพ่อ - ปฏิบัติธรรมสิ นึกถึงความดีสิ ทาน ศีล ภาวนา เคยทำไหม
    ผม - เคยบ้างครับ ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง
    หลวงพ่อ - นั่นล่ะต้องทำให้มาก แล้วมันจะไม่ตาย
    ผม - เอ... ทำแล้วจะไม่ตายได้ยังไงครับ
    หลวงพ่อ - ใจไม่ตายไง กายยังไงก็ตาย ถ้าใจเราไปป่วยตามกาย ตายตามกาย มันก็ทุกข์ไปกับกาย ใจที่มันทุกข์ ไม่ใช่เพราะใจ แต่เพราะมันไปยึดกาย พอกายไม่ได้ดั่งใจ มันก็เลยทุกข์ แต่ถ้าปฏิบัติธรรม จิตมันอยู่กับจิต มันอยู่กับความละเอียด มันอยู่กับความดี กายมันไม่นึกถึง มันอยู่กับตัวเอง อยู่กับใจตัวเอง มันรวมเข้ามา มันไม่ฟุ้งซ่านกระจายออกไปหาทุกข์
    ผม - แต่เคยอ่านว่า ปฏิบัติธรรม เขาให้พิจารณากาย ให้ดูกาย ทำไมหลวงพ่อให้ทิ้งกายล่ะครับ
    หลวงพ่อ - เอ้อ.. เขาให้พิจารณา เพื่อให้รู้ว่า กายนี้มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่น่ายึดมั่นถือมั่น สุดท้ายมันก็ตาย เอาอะไรไปไม่ได้ ใจมันจะได้วางจากกาย มันจะได้ทิ้งกาย เลิกยุ่งกับกายเสียที พอเลิกยุ่งกับกาย กายจะเจ็บจะทรมานจะไม่สบาย ใจมันก็จะไม่ทุกข์ไปด้วย กายตายเราก็ไม่ทุกข์ เพราะยังไงมันก็ตาย กายป่วยเราก็ไม่ทุกข์ เพราะยังไงมันก็ป่วย กายแก่มันก็ไม่ทุกข์ เพราะยังไงมันก็แก่ แต่จิตเราไม่ได้เป็นไปตามนั้น จิตยังเป็นจิตสว่างใสอยู่ข้างใน เขาให้พิจารณาอย่างนี้
    ผม - อ้อ...ครับ แล้วทำไมหลวงพ่อไม่ให้นึกแบบนี้ล่ะครับ ทำไมให้ไปนึกถึง ทาน ศีล ภาวนา
    หลวงพ่อ - แบบนั้นไม่ไกล มันเสียเวลามาก เราเล่นที่ใจเลย เพราะพิจารณากาย ก็เพื่อทิ้งกายมาหาจิต แต่ถ้าเรานึกถึง ทาน ศีล ภาวนา มันเป็นเรื่องของจิตแต่แรก จิตมันก็จะรวมเข้ามาข้างใน เมื่อรวมเข้ามา มันก็จะทิ้งกายไปเอง มันรวมเข้ามาข้างใน มาอยู่กับพระ อยู่กับความดี ไม่ดีไม่เอา
    ผม - เราเลือกได้ด้วยเหรอครับ ว่าจะเอาดีหรือไม่ดี
    หลวงพ่อ - ทำไมจะเลือกไม่ได้ ดีไม่ดีมันอยู่ที่จิต ถ้าจิตนึกถึงความดี เราก็เลือกความดี ความดีก็อยู่กับจิตเรา ความไม่ดีมันก็ไม่เข้า มันทิ้งไป
    ผม - แต่ผมเห็นบางคนทำดีมากมาย ก็ยังเจอกรรมไม่ดี ป่วยบ้าง อุบัติเหตุบ้าง ตกงานบ้าง ไม่เห็นเลือกได้เลยว่าจะได้ดี
    หลวงพ่อ - เอ็งไม่เข้าความดี ความดีมันอยู่ที่ใจ เมื่อใจดี กายก็จะดี แต่ที่เอ็งถาม มันดีข้างนอก ไม่ดีข้างนอก มันเป็นผลของกรรมเก่าที่เอ็งทำไม่ดีเอาไว้ ถึงเวลา มันก็ตามมาให้ผลสิ กายมันหนีไม่ได้หรอก มันต้องรับผล แต่ใจเราหนีได้ อะไรจะเกิดกับเรา เราคิดเสียว่าเพราะเราเคยคิดไม่ดี จึงทำไม่ดี จึงให้ผลไม่ดีกับเรา เราไปแก้ไม่ได้ ให้มันกินไปแค่กาย แต่อย่าให้กินมาที่ใจ หยุดมันซะที่ใจ ต่อแต่นี้ ฉันเห็นแล้วว่าที่ชีวิตฉันไม่ดี เพราะใจฉันเคยไม่ดีมาก่อน ต่อแต่นี้ไป ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว ฉันจะอยู่กับความดี ไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนา นั่นคือกรรมปัจจุบัน ปัจจุบันเราอยู่กับความดี ความไม่ดีก็ไม่มีแล้วในใจเรา เพราะเราเอาแต่ดี ให้กายเจขารับไป ใจไม่รับ ใจไม่เอาแล้วความไม่ดี มันจะรับแค่เบาะๆ ไม่ถึงกับเต็มกรรมหรอก เพราะความดีในใจมันบรรเทาไว้ให้ หนักเป็นเบา เบาเป็นหาย
    ผม - ครับ แล้วทำใจให้ดี จะไม่ตายได้ยังไงครับ มันตายอยู่ดีนี่ครับ
    หลวงพ่อ - เอ็งนี่โง่จริง เมื่อใจมันดี มันอยู่กับความดี มันก็ไม่รับความไม่ดี เวลาเอ็งนึกถึงพระ นึกถึงความดี จิตมันเป็นทุกข์หรือสุข
    ผม - สุขครับ เบาสบายใจดี ปลื้มใจในบุญที่ได้ทำ
    หลวงพ่อ - เออ... นั่นล่ะ พอจิตมันดี ความทุกข์มันก็ไม่เข้า พอความทุกข์ไม่เข้าจิต มันก็ไม่เข้ากาย ใจสบาย กายก็จะเบา ไอ้โรคภัยต่างๆที่เป็นอยู่มันก็จะเบาลงไป เพราะใจมันไม่ทุกข์ มันอยู่กับความดี มันก็ส่งความดีไปให้กาย กายก็เลยดีไปด้วย ไม่เห็นเหรอ หลวงพ่อหลวงปู่เก่งๆ ท่านอายุเป็นร้อยปี ยังแข็งแรงสดใส ความจำดี ท่านไม่เห็นต้องกินยา ต้องไปทำศัลยกรรม ต้องไปหาเงินมากมาย ท่านกินผักกินหญ้า กินเท่าที่มี อยู๋เท่าที่มี มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน แต่จิตท่านเหนือกว่านั้น จิตท่านอยู่กับความดี จิตนี้มันคุมกาย พอจิตท่านดี กายท่านก็ดี เศรษฐีที่ไหนก็สู้ท่านไม่ได้ ท่านไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แค่อยู่กับกาย อย่างรู้เท่าทันกาย คือไม่สนมัน ปล่อยมันตามเหตุจำเป็น มีอะไรไม่ดีก็รักษามันไปตามกำลัง หายก็หาย ไม่หายก็ตาย แต่ไม่ทุกข์กับมัน เพราะยังไงมันก็ตาย แต่เราไม่ตาย เพราะเราอยู่กับใจ อยู่กับความดี ความดีมันติดตามเราไปทุกชาติภพ แต่ร่างกายมันตายแค่ชาตินี้ แค่นี้ท่านก็สบายแล้ว ใจท่านไม่ตายแล้ว ร่างกายมันตายเฉยๆหรอก
    ผม - อืม.. ก็จริงนะครับ ถ้าเราปล่อยวางกาย ทำใจอยู่กับความดี ทุกข์มันก็ไม่เกิด เพราะเราไม่กลัวตาย และเราก็ไม่ทุกข์เพราะไปพยายามทำให้มันไม่ตาย ทั้งๆที่ยังไงมันก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตายอยู่ดี แถมตอนมีชีวิตอยู่ พอใจเราดี กายก็จะดีไปด้วย กลายเป็นว่า การทำใจให้ไม่กลัวความตาย ยอมรับความตายว่าเป็นเรื่องธรรมดา กลับทำให้กายเราแข็งแรงขึ้น ตายช้าลงไปอีก
    หลวงพ่อ - ใช่สิ... การปฏิบัติธรรมมันมีอยู่แค่นั้นล่ะ เริ่มจากทุกข์นะ ดูทุกข์ ว่าเราทุกข์เพราะอะไร เพราะความตาย แต่ความตายไม่ได้ให้ทุกข์กับเรา พระอรหันต์ท่านก็ตาย แต่ท่านไม่ทุกข์ ทุกข์มันเกิดเพราะใจเรากลัวตายต่างหาก ทุกข์มันเกิดที่ใจไม่ใช่ที่กาย นั่นล่ะคือ สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ เมื่อรู้เหตุเกิดทุกข์แล้ว เราก็นึกถึงความดีสิ นึกถึงพระสิ ว่าท่านดับทุกข์แล้ว กระแสความดีมันไม่ทุกข์แล้ว นั่นคือเป้าหมายที่เราต้องการ นั่นคือ นิโรธไง เสร็จแล้วเราก็แค่หมั่นนึกถึงความดี ทาน มีไหม ไม่มีทำสิ ศีลรักษาไหม ไม่มี ทำสิ ภาวนาเคยทำไม ไม่มี ทำสิ ทำให้มากๆ เพราะท่านคือเป้าหมายของเรา เราอยากหมดทุกข์อย่างท่าน ก็ต้องทำตามท่าน ทำตามพระ ใจนึกถึงพระไว้ให้มั่น พระท่านดับทุกข์แล้ว เป็นกระแสแห่งแก้วใสบริสุทธิ์ เป็นความดีล้วน ไม่มีทุกข์เจือปน นึกถึงท่านไว้ ใจมันก็จะดี พอมันดีมากๆ มันจะเกินดี มันจะไม่เอาล่ะดีน่ะ มันจะเอามากกว่านั้น เพราะมันคิดว่า ดีก็ยังเกิดอยู่ งั้นฉันไม่เกิดล่ะ เพราเกิดเดี๋ยวก็ทุกข์อีก กว่าจะมาพิจารณาเข้าใจธรรมให้หายทุกข์แต่ละชาติ ลำบากเสียเวลามากมาย บางชาติก็พลาดหลงทางเพลินไปทางโลก เสียเวลาหนักอีก ก็เลยไม่เอาล่ะดี ไม่ดีก็ไม่เอา ดีก็ไม่เอา มันก็ทิ้งหมด ทีนี้กำลังมันถึงแล้วนี่ จิตมันอยู่กับพระ อยู่กับความดีมาตลอด กำลังมันมากนะ พอคิดจะไม่เอา จะไม่เกิด นั่นล่ะอุปสมานุสสติ นึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์ อยากไปอยู่กับพระล่ะ ไม่อยากอยู่กับคน มันก็ทิ้งหมด ก็นิพพานแล้ว ง่ายไหม จบแค่นั้น เพราะจิตมันพร้อมแล้วนี่ ความดีมันพร้อมแล้ว มันเต็มแล้ว พอเต็มก็ทิ้งได้ ก็พ้นเลย แค่นั้นเอง นี่ล่ะมรรคล่ะ
    ผม - ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ แค่นึกถึงพระ นึกถึงความดี ก็ไปนิพพานได้เลย
    หลวงพ่อ - เออสิ... มันจะไปยากอะไรล่ะ ที่มันยาก เพราะมันยังทำกันไม่ถึง แล้วก็ไปอ้างสรพัดตำรา ต้องวิปัสสนา 9 ขั้น 10 ขั้น ต้องพิจารณาธรรมอันนั้นอันนี้ โอ้ย... กูไม่เห็นพวกนี้มันไปพ้นสักคน มันเยอะไป มันอยู่แต่ความคิด อยู่กับตำรา ไม่อยู่กับความดี ทำใจให้มันอยู่กับความดีสิ ทำให้มันจริง หลักการมันมีแค่นี้ ทำให้มันจริง มันถึงจะได้ของจริง ไม่ใช่ไปนึกถึงธรรม นึกถึงความดีสารพัด แต่ไม่ทำ ถ้าไม่ทำ มันก็ไม่เข้าถึงธรรมหรอกนะ มันหลอกตัวเอง หลงไปเรื่อย เสียเวลาเปล่าๆ นึกถึงพระสิ ทำความดีสิ ทำให้มันมากๆ ทำให้มันจริงๆจังๆ อย่าเหลาะแหละโลเล ทำไปไม่ถอย เดี๋ยวมันก็เต็ม พอเต็มแล้วก็จบ มันทิ้งเอง มันหยุดเอง มันหมดเอง กิเลสน่ะ พอความดีมันเต็มใจแล้ว มันจะอยู่ได้ยังไงล่ะของไม่ดีน่ะ กิเลสน่ะ มันกลัวความดีนะ ทำไปเถอะ มันหมดเอง มันเป็นเอง พอหมดกิเลส มันก็ไม่เกิดล่ะ มันก็ไม่มีอะไรจะมาทุกข์ล่ะ ใจสบายนักหนาเลยนะ แค่นี้ล่ะ
    ผม - โอ้.. ธรรมะนี่ง่ายจังรับ มหัศจรรย์มากๆ ไม่เห็นยากเหมือนใครพูดกัน
    หลวงพ่อ - เออ. ธรรมมันยากกับคนไม่ทำ ถ้าทำ มันก็ไม่ยาก คนเดี๋ยวมันดีแต่พูด มันไม่ทำ มันก็ไม่ได้สิ ดูสมัยพุทธกาลสิ ท่านสอนง่าย สอนนิดเดียว สอนแล้วท่านเอาไปคิดจริง ทำจริง มันก็ได้จริง บรรลุอรหันต์กันเป็นหมื่นเป็นแสน แต่เดี๋ยวนี้มีแต่หนังสือธรรมออกมาเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ไม่เห็นมีคนบรรลุซักคน ก็เพราะมันไม่ทำนั่นล่ะ ถ้าทำ มันต้องได้ เอ็งก็ต้องทำนะ เอ็งก็ยังย่อหย่อนอยู่มาก อย่าเกิดมาให้เสียเวลาเกิด คนเราเกิดมาเพื่อจะได้ไม่เกิดอีก แต่นี่ดันสนุกกับการเกิด อยากได้นั่นได้นี่ มันไม่มีอะไรได้จริงหรอก ได้มาแล้วเดี๋ยวก็ดับไป กว่าจะได้มาก็ทุกข์ ได้มาแล้วก็ต้องรักษาไว้ให้เป็นทุกข์อีก แล้วสุกท้ายมันก็ต้องพังสลายไปหมด ทุกข์อีก ทุกข์อยู่นั่นล่ะ เพาะอยากได้ อยากเกิด เสียเวลากันจริงๆ เกิดมาแล้ว อย่าไปเกิดอีกนะ ทำให้มันจบ ทำให้มันจริง มันจบจริงๆนะ อย่าเสียเวลา
    ผม - แต่ผมยังปรารถนาพุทธภูมินี่ครับ ก็ต้องเกิดอยู่
    หลวงพ่อ - เอ... ไอ้นี่ มันพุทธภูมิหรือมันเปรตภูมิ พุทธภูมิเขาต้องสอนให้คนไม่เกิด ถ้าตัวเองยังเกิดอยู่ จะไปสอนเขายังไง
    ผม - อ้าว... ถ้าไม่เกิด ก็ไม่ได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตสิครับ
    หลวงพ่อ - ข้าหมายถึงใจ ไม่ใช่กาย กายจะเกิดน่ะ เขาเกิดตามเรื่องเขา แต่ใจอย่าให้มันเกิด อย่าให้ความชั่วมันเกิดในใจ ให้มีแต่ความดีเกิดไว้ มันถึงจะประคองตนไปบรรลุพุทธภูมิได้ พุทธภูมิต้องอาศัยกำลังมาก กำลังความดีนะ ต้องมากกว่าคนอื่นหลายเท่า เพราะต้องสอนเขา ดังนั้นต้องตั้งใจไว้แต่บัดนี้ ฉันจะไม่เกิดแล้ว ความชั่ว ความไม่ดี ความทุกข์ โลภ โกรธ หลง ฉันจะไม่ให้มันเกิดในใจฉันอีก ฉันจะบันทึกแต่ความดี ฉันจะมีนิพพานเป็นที่ตั้ง
    ผม - อ้าว... แล้วอย่างนี้มันจะไม่บรรลุนิพพานก่อนเหรอครับ
    หลวงพ่อ - เอ็งนี่มันโง่จริง กำลังอธิษฐานน่ะมันมีไหม เอ็งอธิษฐานไว้ใช่ไหมว่าจะเอาพุทธภูมิ ถ้าเอ็งอธิษฐานไว้ แก้วเอ็งก็ใหญ่กว่าคนอื่น เอ็งเติมน้ำไปเท่าคนอื่น มันก็ยังไม่เต็มหรอก เอ็งต้องเติมมากกว่าเขา ทำมากกว่าเขา ทำมันจนเต็มนั่นล่ะ จนล้นแก้วเอ็งนั่นล่ะถึงจะใช้ได้ กว่าจะเต็ม เอ็งว่ามันเต็มชาติเดียวหรือไง โอ้ย นับชาติไม่ถ้วนนะ แต่เอ็งต้องทำให้เต็มที่ทุกชาติไง ต้องนิพพานทุกชาติไง คือต้องทำให้เต็มกำลังความดีของเอ็งทุกชาติ ทำชนิดที่ถ้าเป็นคนอื่นที่เขาปรารถนาสาวกภูมิ เขาก็บรรลุกันในชาตินี้ได้แล้ว แต่พอดีเอ็งแก้วใหญ่ น้ำมันยังไม่เต็มไง มันยังไม่เต็มเหมือนเขา มันก็เลยยังไม่บรรลุ ยังต้องเกิดมาทำอยู่ เอ็งเข้าใจไหม พุทธภูมิเป็นภูมิของครู ต้องทำมากกว่าเขาไปทุกชาติ ทำดีให้ถึงที่สุด เหมือนจะนิพพานในชาตินี้ แต่ต้องทำไปทุกชาติ ต้องทำทุกอย่างนะ ไม่งั้นจะสอนคนอื่นได้ยังไง เข้าใจนะ
    ผม - ครับ เข้าใจแล้วครับ ผมก็นึกว่าปรารถนาพุทธภูมิ ห้ามทำถึงนิพพาน
    หลวงพ่อ - นั่นล่ะ คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด พุทธภูมิมันต้องนิพพานทุกชาตินะ ดับทุกข์ให้มันได้ทุกชาติ ใจต้องผูกกับความดี ผูกกับการสางบุญบารมีให้เต็มทุกชาติ ชนิดที่จะบรรลุนิพพานก็ทำได้เลย แต่มันไม่บรรลุ เพราะเราผูกอธิษฐานไว้ที่พุทธภูมิ แก้วมันใหญ่กว่า มันก็เลยไปเกิดชาติต่อๆไป แต่ทุกชาติต้องทำเต็ม ต้องไม่ย่อหย่อน ไม่ประมาท ประมาทไม่ได้นะความดีน่ะ ความชั่วมันจะเข้า เสียเวลาทำความดีอีก ความชั่วมันหนัก มันเข้าง่าย ล้างยาก ต้องทำความดีไว้ ใจจะได้เบาสบาย จะได้ลอยสูง ความชั่วมันหนัก มันก็ลอยตามไม่ได้ มันก็เลยเข้าไม่ได้ ก็เท่านั้น เราก็จะได้พิจารณาได้เต็มที่ในความดี ยิ่งทำยิ่งเบายิ่งสบายยิ่งสว่าง นั่นล่ะการปฏิบัติธรรม มีแค่นี้นะ
    ผม - หลวงพ่อช่วยสรุปสุดท้ายในการปฏิบัติได้ไหมครับ
    หลวงพ่อ - เอ้อ... ทำใจให้ดี อย่าไปทุกข์กับชีวิต ความตายมันมาหาเราแน่ อย่าไปทุกข์กับมัน อยู่กับความดีเอาไว้ สวดมนต์ไหว้พระเอาไว้ นึกถึงพระเอาไว้ ทำไป ทำความดีนะ ทำให้จริง ก็จะได้จริง อยากได้อะไร อธิษฐานเอสา ความดี คือความจริง ถ้าทำจริงก็ได้จริง อย่าเหลาะแหละโลเล เสียเวลาเกิดเปล่าๆ ปฏิบัติให้มากนะ ทำจริง รู้จริง เห็นจิรง จบจริง จะไม่เกิด หรือจะเกิดต่อ ก็ได้หมด อยู่ที่ความดีนี่ล่ะ ง่ายๆนะ อย่ายาก ยากมันเครียด มันทุกข์ มันไม่ใช่ความดี ความดี ทำแล้วต้องเบา ต้องสบาย ต้องวาง เอาล่ะ เอาไปปฏิบัตินะ ตั้งใจล่ะ
    ผม - สาธุในธรรมอันยิ่งครับหลวงพ่อ
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    20.30 น. คืนนี้มาคุยกันเรื่องพระพุทธรูปที่คนไทยทั่วประเทศเคารพบูชายิ่งในตอน #พระพุทธชินราชศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกจริงไหม
    #พระพุทธชินราช สร้างมาตั้งแต่สมัยไหน มีประวัติการสร้างอย่างไร เชื่อกันว่าพระอินทร์เป็นผู้มาช่วยสร้างจริงไหม พระพุทธรูปที่หล่อพร้อมพระพุทธชินราชมีองค์ใดบ้าง ทำไมจึงกล่าวกันว่าพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่งามที่สุดในโลก ทำไมด้านข้างพระพุทธชินราชถึงมีท้าวเวสสุวรรณและอาฬาวยักษ์ พระพุทธชินราชทำไมจึงมีความศักดิ์สิทธิ์สูงยิ่งจนกล่าวกันว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็นรองที่ใด ตราอกเลาหน้าวิหารพระพุทธชินราชมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างไร พระขุนแผนกรุบ้านกร่าง และกรุวัดใหญ่ชัยมงคล เป็นรูปพระพุทธชินราชจริงไหม วัตถุมงคลที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธชินราชมีรุ่นไหนที่น่าสนใจบ้าง มีพุทธคุณโดดเด่นในด้านใด และอีกสารพัดคำถามเรื่องพระพุทธชินราช คืนนี้มีคำตอบแน่นอน
    เจอกันคืนนี้ 20.30 น. ทางช่องยูทูป #GHOSTGURU หรือติดตามทางเพจ #GHOSTGURU
    zI5miNr0W3MVDW4RbXzPlS0xgrlsRtfX6&_nc_ohc=ZKrkqxb2PBgAX9RuM-E&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-1.jpg
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    พรปีใหม่จากเทวดาท่านหนึ่ง

    วันนี้ตอนกล่อมลูกนอนช่วงเช้า ก็ภาวนาคาถาจักรพรรดิในใจไปด้วยเพลินๆ สักพักก็เห็นเหมือนยักษ์ตัวใหญ่ ผิวสีแดงเข้ม ถือหอกใหญ่เดินเข้ามาหา พอเห็นผม เขาก็เอาหอกชี้ลงไปข้างล่าง ภาพของไฟนรกที่ร้อนแรงก็พุ่งขึ้นมาจากพื้น แล้วเขาก็พูดว่า...(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และอย่าเชื่อจนกว่าจะได้ปฏิบัติให่เข้าใจด้วยตนเอง)
    มึงจงดูไว้ นี่คือไฟนรก ไฟนี้ร้อนแรงนัก ไว้ใช้เผาผลาญพวกทำชั่วมั่วในบาปให้ได้รับผลกรรม แต่มันก็ไม่ได้ร้อนแรงที่สุดหรอกมึง ที่ร้อนที่สุดคือกิเลสในใจพวกมึงนั่นล่ะ มันเผาผลาญได้ทั้งโลกทั้งจักรวาล
    กูขอเตือนมึงไว้ ไม่มีอะไรร้อนแรงน่ากลัวเท่าไฟในใจมึง อย่าไปจุดมันขึ้นมา มันทำลายทั้งตัวเอ็งและคนรอบข้าง โลกนี้ที่ร้อนขึ้นทุกวัน ไม่ใช่ร้อนเพราะแสงแดด แต่มันร้อนเพราะคนมันเต็มไปด้วยกิเลสพิฆาตหักหาญกันอยู่ทุกวัน กูจะเอานั่น มึงจะเอานี่ ก็เลยเผาผลาญทำลายกันอยู่ทุกวัน
    เมื่อมึงทำลายกันด้วยไฟในใจแบบนี้อยู่ทุกวัน โลกมันก็จะบรรลัย มันจะพังเมื่อไหร่ไม่รู้ได้ โลกมันไม่แน่นอน ชีวิตมันไม่แน่นอน อย่าทำใจมึงให้ไม่แน่นอนไปด้วยเข้าใจไหม ใจที่ไม่แน่นอนคือใจที่โลไปเลมาอยู่กับกิเลส โลภ โกรธ หลง เดี๋ยวกิเลสก็ดึงมึงไปนั่นที ดึงมึงไปนี่ที นั่นล่ะมันไม่แน่นอน นั่นล่ะต้นเหตุแห่งความบรรลัยของโลก
    มึงอยู่ในโลกที่ไม่แน่นอน แต่มึงต้องทำใจให้แน่นอน มึงจะได้ไม่โดนเผาไปกับโลก อะไรล่ะที่แน่นอนที่สุด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นไง ท่านแน่นอนที่สุด เด็ดขาดที่สุด ท่านพ้นจากกิเลสแน่นอนแล้ว ท่านพ้นจากความร้อนในใจทั้งปวงแล้ว ท่านสอนหลักธรรมอันชัดเจนแน่นอนในการดับทุกข์แล้ว พระสงฆ์ของท่านก็ช่วยกันเผยแพร่หลักธรรมอันร่มเย็นเป็นสุขนั่นอย่างแน่นอนแล้ว
    นั่นล่ะมึงยึดไว้นะ ยึดพระไตรสรณคมน์ ไว้เป็นที่พึ่งที่อาศัย อย่าให้ใจห่างจากท่าน ปฏิบัติให้ได้ดังที่ท่านสอน ดูแลรักษาคำสอนของท่านไว้ให้จงดี นั่นล่ะทางแน่นอน ทางที่มึงจะอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขแน่นอน ในโลกที่เต็มไปด้วยกิเลสดั่งไฟนรกเผาผลาญ ในโลกที่โยกโย้หาความแน่นอนไม่ได้นี้
    มึงต้องทำใจให้แน่นอน ให้เป็นหลักพึ่งแก่ตนเอง แก่สังคม แก่คนรอบข้าง นั่นล่ะทางชุ่มเย็น ประเสริฐกว่าพรใดๆในโลกหล้า มึงไม่ต้องมาขอพรกูหรอก มึงไปทำตัวให้ดี ทำใจให้ดี ให้ใจมีพระมีเจ้าอยู่ในใจเสมอ นั่นล่ะพวกกูจะคอยช่วยพวกมึงเอง
    ถ้ามึงเป็นลูกพระพุทธเจ้า ใจอยู่กับพระกับเจ้า กูนับถือพระพุทธเจ้า มีหรือที่กูจะไม่ช่วยมึง มึงช่วยตัวเองก่อน ขุดจิตขุดใจตัวเองขึ้นมาจากนรก จากความหมักหมมในกิเลสก่อน เลิกดูกิเลสคนอื่น ดูกิเลสตัวเองนี่ หยุดกิเลสตัวเองนี่ แล้วทุกอย่างจะหยุดหมด ร่มเย็นหมด เมื่อใจมึงร่มเย็น รอบข้างมึงก็เป็นสุข เทวดาทั้งหลายก็มารักษามาดูแล มึงจะเอาอะไรล่ะ ที่วิเศษกว่าพรนี้ ไม่มีแล้ว กูฝากมึงไว้ บอกคนอื่นๆต่อไปด้วย
    #จงทำใจให้แน่นอนในโลกที่ไม่แน่นอน แล้วชีวิตมึงจะมีที่ไปอันสงบสุขแน่นอน กูฝากมึงไปบอกด้วย โชคดีมีสุขนะพวกมึง กูไปละ....

    รอบทิศ ไวยสุศรี
    14 เมษายน 2018
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    คืนวันสงกรานต์ นั่งสมาธิภาวนา เห็นภาพพระท่านหยิบคันธนูและลูกศรยื่นมาให้ คันธนูนั้นเป็นเพชรแพรวพราวสวยงามมาก พอถามพระว่าท่านให้มาทำไม ท่านเมตตาบอกว่า (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่าเชื่อจนกว่าจะปฏิบัติพิสูจน์ให้รู้ได้ด้วยตนเอง)
    การปฏิบัติธรรมก็เหมือนการยิงธนูนี้นะ คนที่ยิงเก่ง เขาต้องฝึกร่างกายให้แข็งแรงพอจะง้างธนูได้แรง ต้องศึกษาคันธนูนั้นจนเข้าใจลึกซึ้ง และต้องเข้าใจเรื่องทิศทางลมต่างๆอย่างชัดแจ้ง จึงจะสามารถยิงเข้ากลางเป้าได้อย่างแม่นยำไม่มีผิดพลาด
    ผู้ปฏิบัติก็เช่นกัน ต้องหมั่นฝึกฝนภาวนาจนจิตมีกำลังแกร่งกล้าพอจะง้างคันธนูคือปัญญาให้มันยิงพิฆาตฆ่ากิเลสให้หมดสิ้นไปได้ ปัญามันจะใช้งานได้จริง มันต้องมีกำลังสมถะเป็นพื้นนะ เอาแต่คิดพิจารณามันจะเป็นแค่วิปัสสนึก ฟุ้งไปเรื่อย ไม่เข้าถึงสภาวะจริง แต่ถ้ามุ่งแต่สมถะอย่างเดียว มันก็เหมือนคนมีแรงเยอะ แต่ง้างธนูไม่เป็น มันก็ยิงเปะปะไม่เข้าเป้า กำลังจิตนั้นก็หาประโยชน์เต็มที่ไม่ได้ ใช้กำลังเสียเปล่า ได้แค่ฤทธิ์แค่เดชชั่วคราวที่บางทีมันก็ยังลงนรกได้ พระเทววทัตไงเห็นไหม เหาะได้นะ จนพระเจ้าอชาติศัตรูยังหลงเชื่อ แต่สุดท้ายไปไหน ป่านนี้ยังไม่ขึ้นจากอเวจีเลย นั่นมีฤทธิ์นะ แต่ขาดปัญญา
    ผู้ปฏิบัติจริง จึงต้องมีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนา ต้องมีแรงที่จะง้างธนู ต้องเข้าใจวิธียิงธนู มันถึงจะเข้าเป้าหมาย จะเริ่มจากไหนก็ได้นะ จะหมั่นง้างจนเข้าใจวิธียิง (สมถะปสู่วิปัสสนา) หรือจะหมั่นลองยิงจนมีแรงยิงได้ไกล (วิปัสสนาไปสู่สมถะ) ก็ได้ทั้งนั้น มันไปคู่กัน ขาดกันไม่ได้ ภาวนาให้สงบ ก็เพื่อเอากำลังมาพิจารณาธรรม พิจารณาจนมันสงบ ก็จะได้กำลังมายิงให้ถึงนิพพาน ไปด้วยกันนะ ไม่ทิ้งกัน นี่คือทางสายกลางในการปฏิบัตินะ ต้องทำแบบนี้ เมื่อสมดุลกันทั้งกำลังและปัญญา มันก็จะพาไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้
    สุดท้ายเมื่อยิงออกไปแล้ว ก็ไปตามกรรมนะ ลมต่างๆที่พัดเข้ามา เราคุมไม่ได้ นั่นคือกรรมเก่า บางคนเก่งมาก แต่ไปเจอลมพายุพัดมาคือมีกรรมเก่าเยอะ เขาก็ยิงพลาดเป้าได้เหมือนกัน บางคนยิงไม่ได้เก่งมาก แต่กรรมเก่าเขาน้อย ลมอะไรไม่ได้แรง มันก็เข้าเป้าได้ง่าย แต่คนมีปัญญาจริง เขาก็ศึกษาทิศทางลมนะ รู้ธรรมชาติลมนะ ว่ามันจะพัดมาพัดไปแรงเบาแค่ไหน เขาคำนวณหมดก่อนจะยิงออกไป แม้ลมมาแรงยังไง เขายิงเผื่อไว้มันก็เลยไม่พลาดเป้า
    นั่นต้องศึกษากรรมนะ รู้กรรมเก่าว่าทำอะไรมา รู้กรรมใหม่ว่าทำอะไรไป ทำอะไร ได้อะไร อะไรควรทำ ไม่ควรทำ มันก็ช่วยได้เยอะ แต่ก็ไม่เกินกรรมนะ บางทีมันก็มีกระแสกรรมมาต้านไม่ให้เราเข้าเป้าได้ กระแสที่เกินการคาดหมายได้ แต่คนมีปัญญาเขาก็จะไม่ท้อไม่ถอย เขาจะศึกษาว่ามันพัดพามาจากอะไร แล้วเขาก็คำนวณใหม่ ปฏิบัติใหม่ยิงใหม่ไปเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็เข้าเป้าหมายด้วยปัญญาและความเพียรนะ คนไม่ท้อ หมั่นทำ มันเข้าถึงเป้าหมายได้ในที่สุดนะ ส่วนคนที่หมั่นแต่พูด หมั่นแต่ติ ไม่หมั่นทำ มันก็ไม่ถึงเป้านะ เป้าหมายมันเป็นที่ของคนเพียรทำ ไม่ใช่เพียรคิด เพียรพูด
    เดี๋ยวนี้มันเยอะนะ บางคนไปดูคนอื่นเขายิงธนู ดูเขายิงเฉยๆนะ เห็นเขาเข้าเป้า โอ้โฮ เอามาเล่าเป็นเรื่องเป็นราว อย่างกับตัวเองยิงเป็น แล้วพอไปเจอคนอื่นเขายิงคนละแบบ ก็ไปว่าเขาว่ายิงไม่เป็นยิงไม่ถูก คนยิงเป็นเขาไม่มุ่งตำหนิใครนะ จะหลับตายิง จะลืมตาข้างเดียวยิง จะลืมตาสองข้างยิง จะกลับหลังยิง จะตีลังกายิง คนเขาก็ถนัดต่างกันไป แต่สุดท้ายคือเขายิงเข้าเป้าได้ตามความถนัดของเขา ไม่มีใครผิดเลย คนที่เขายิงเป็นเขาเข้าใจ เขาไม่เที่ยวมาว่าใคร แต่คนที่ยิงไม่เป็น ก็ได้แต่ไปเที่ยวจำเขามา เห็นเขายิงตาเดียว ก็จำเอามาว่าแบบนั้นเท่านั้น พอไปเจอคนหลับตายิง คนลืมสองตายิง ก็ไปว่าเขาว่าผิด ว่าไม่ถูกไม่ควร คนเป็นเขาส่ายหัวระอานะ พวกเพียรพูดนี่ เขาระอานะ เขาไม่ยุ่งด้วยเลย มันเสียเวลาเขา พูดแต่ไม่ทำ จำแต่ไม่คิด มันก็ไม่ได้อะไรนอกจากทิฐิโง่ๆติดตนไปนะ ตัวเองก็หลงว่าตัวดี คนอื่นก็หลงตามนึกว่าดี สุดท้ายก็พาลากกันลงข้างล่างหมด มันไม่ใช่นะ
    ของดี อยู่ที่หมั่นทำดี ไม่ใช่หมั่นพูดดี หมั่นอวดดีนะ ทำให้มาก พูดให้น้อย นั่นละทางพ้นทุกข์นะ อย่าไปเสียเวลากับภายนอก ให้ใช้เวลากับภายในนะ หมั่นหัดหมั่นทำหมั่นพิจารณาไปไม่ถอย หมั่นง้างธนูทุกวัน ง้างไม่หยุด มันก็จะง้างได้กว้างขึ้นเรื่อยๆเอง ยิงได้แม่นขึ้นเรื่อยๆเอง เข้าใจทิศทางลมขึ้นเรื่อยๆเอง สุดท้ายก็พ้นทุกข์ได้เองในที่สุดนะ ขอแค่หมั่นทำ จำไว้นะ หมั่นทำ อย่าหมั่นพูด หมั่นทำดี อย่าหมั่นอวดดี ความดีเขามีค่าในตัวเอง ไม่ต้องเอาไปอวด ถ้าอวดคือยังไม่ดี ถ้าดีจริง ไม่ต้องอวด คนเขารู้เองนะ ไปหมั่นปฏิบัตินะ
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,256
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
     

แชร์หน้านี้

Loading...