ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    อันว่ากิเลสเติมเต็มเท่าไหร่ก็ไม่พอ มหาสมุทรเค้ายังถมได้เลย ใช่มั้ยจ๊ะ ทะเลน่ะ แล้วกิเลสนี้ถมเต็มมั้ยจ๊ะ ไม่มีทางเต็มหรอกจ้ะ แต่พระพุทธองค์ท่านมีสุขทุกอย่างแล้ว แม้สุขนั้นยังทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ก็อยากรู้ว่ายังมีสุขที่แท้จริงกว่านี้อีกมั้ย นี่ก็เป็นตัวกิเลสอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นความอยากไปในทางการสร้างบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นถ้าผู้ใดต้องการจะหลุดพ้นจากทุกข์ ก็คือไม่ทำให้ทุกข์นั้นเพิ่มขึ้นมาอีก คือการละนั่นเอง คนที่จะไปนิพพาน ถ้าไม่ได้พิจารณาประพฤติปฏิบัติอยู่ในกาย วาจา ใจ ในสังขารนี้ แล้วละลดอารมณ์ในขันธ์ ๕ นี้ ทางอื่นไม่มีหรอกจ้ะ เพราะทางนี้เค้าเรียกว่าทางแห่งมรรค เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมไปพิจารณาภายนอกยังไม่ใช่ธรรม..มันเป็นโลกธรรม ถ้าโยมพิจารณาภายในสิจ๊ะ..เป็นวิหารธรรม ดังนั้นก็ขอให้โยมพิจารณาดูให้ดี

    อันว่าจิตและใจนั้นเป็นอย่างไร ผู้ใดที่มีใจที่มีศีลนั้นแหล่ะจ้ะ..ก็จะมีธรรมบังเกิด เพราะจิตมนุษย์นั้น จิตของเทวดา จิตของเทพ จิตของพรหม จิตของมาร เห็นมั้ยจ๊ะ อารมณ์แห่งจิตที่เกิดขึ้นนี้จึงมีหลากหลายอารมณ์ ถ้าโยมไปยึดอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแล้วไปหลงกับมัน..โยมก็จะเป็นทาสของมัน

    นั้นแสดงว่าจิตนั้นก็ไม่เที่ยงไม่ควรยึด เช่นเดียวกับอารมณ์ ใช่มั้ยจ๊ะ แต่เค้าให้รู้อารมณ์ รู้สภาวะของจิต ว่าจิตในขณะนี้เป็นอะไร เป็นอย่างไร สงบหรือไม่สงบ มันฟุ้งเพราะอะไร มันฟุ้งเพราะใจของโยมนี้ยังมีความอยากอยู่ เค้าเรียกว่าใจนั้นเป็นเหตุเป็นสมุทัยนั่นเอง ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นจิตนี้เป็นสังขารแห่งธรรม จิตเป็นสังขารของธรรม เพราะสังขารคือการคิดปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ใช่มั้ยจ๊ะ

    ถ้าใจโยมมันสงบแล้วมันจะมีเหตุให้คิดมั้ยจ๊ะ มันจะมีเหตุให้ฟุ้งซ่านมั้ยจ๊ะ ต้องไปดับที่เหตุ ก่อนจะดับที่เหตุต้องไปรู้เหตุก่อน ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าถึงบอกให้รู้ที่กาย วาจา ใจ นี่คือต้นเหตุ คือทางแห่งมรรค คือต้นน้ำต้นธรรม โยมก็ต้องพิจารณาให้มากในกายนี้ จะนอนก็ดี เข้าสุขาก็ดี กินก็ดี ถ่ายก็ดี..พิจารณาเข้าไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเหล่านั้น ในกามคุณ ๕ พิจารณาเข้าไป เราอยู่กับมัน เราก็ต้องพิจารณากับมัน

    แม้จะทานบริโภคอาหารก็ต้องพิจารณา ไม่ต้องไปตึงไปหย่อนมัน พอเราจะเอาเข้าปาก จะเคี้ยวก็ดีจะพิจารณามัน ดูซิว่าพิจารณามันมันมีไปติดไปพอใจในรสมั้ย คนที่มีสติเค้าจะพิจารณาตลอดเวลา ได้ตลอดเวลา ได้ทุกเวลาด้วยซ้ำ ไม่ต้องไปหยิบยกย่างหนอ จะเข้าแล้วหนอ แค่รู้ว่าเข้าไป..แล้วเคี้ยว ลิ้นมันสัมผัสแตะรสเข้าไปเกิดความพอใจ นั่นเรียกว่ากามคุณเกิดแล้ว ภพเกิดแล้ว ชาติเกิดอีกแล้ว เห็นมั้ยจ๊ะ

    แล้วเมื่อโยมสะสมเข้าไปสะสมรสเข้าไป กามคุณเข้าไปมากๆ แล้วมันก็ติด ทีนี้เก็เที่ยวแสวงหารสที่มันเลิศรสกว่านี้อีก เห็นมั้ยจ๊ะ รูปก็เช่นเดียวกัน ถ้ารูปนี้เรายังไม่พออีก เราก็จะสรรหางามว่ามีที่งามกว่านี้อีกมั้ย ก็หามันเข้าไป ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นการบริโภคอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะการเสพอะไรก็ตามก็ต้องพิจารณา แต่ขณะที่เราเสพอยู่ในขณะนั้น..เราไปพิจารณานั้น ขณะกำลังเสพมันนั้นยากยิ่งนัก แต่ขณะใดที่เราสงบแล้ว เราไปย้อนพิจารณาดูสิ่งที่เราไปติด ที่เราไปพอใจ นี่เค้าเรียกการ"เพ่งโทษ" สิ่งที่เราไปทำไปติดไปพอใจนั้นน่ะ ดูซิว่ามันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ แสดงว่าโยมเสพยาพิษอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเสพติด เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นี่เค้าเรียกว่าเป็นทาส คือโยมขาดมันไม่ได้ ถ้าโยมขาดมันได้แสดงว่าโยมไม่เป็นทาสมัน เป็นอิสระต่อมัน แสดงว่าเรานั้นยังตกเป็นทาสของมารอยู่ ยังทำสัญญากับมารอยู่ ใช่มั้ยจ๊ะ ยังจำมั่นว่ายังพอใจ เราต้องเสพ ต้องกิน ต้องนอน ต้องถ่าย ป่วยแล้วต้องรักษา อย่างนี้ เช่นนี้ อยู่อย่างนี้เป็นวัฏฏะ หมุนเวียนเปลี่ยนแปรไปก็ยังเป็นอย่างนี้ คือโยมไม่เปลี่ยนระบบเลย คือไม่เปลี่ยนพฤติกรรม แล้วสันดานโยมจะเปลี่ยนได้มั้ยจ๊ะ มันก็เปลี่ยนไม่ได้..

    ถ้าโยมยังไม่เปลี่ยนก็ไม่มีอะไรไปเปลี่ยนโยมได้ นอกจากความตาย ที่เค้าจะมากระชากโยม ที่โยมมาสิงกายนี้อยู่ พอถึงเวลาเค้าก็ต้องเอาโยมไป แต่ถ้ากายของโยมจริง เค้าจะไล่โยมไม่ได้ คือถ้าไม่มีความตายเกิดขึ้น ทีนี้ถ้ามีความตายเกิดขึ้น มีมรณาเกิดขึ้น มีความพลัดพรากเกิดขึ้นนั่นแล แสดงว่าสิ่งที่เราอยู่ในกายสังขารนี้จึงเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อชั่วคราวแล้วโยมไปยึดได้ยังไงจ๊ะ นี่มันก็ผิดศีลผิดธรรมแล้ว โยมไปยึดได้ยังไงร่างกายสังขารของโยม แต่ร่างกายสังขารของโยมเค้าให้ครอบครองชั่วคราว ที่เรียกว่าเป็นมรดกตกทอด เมื่อโยมไปยึดอยู่ในกายเท่านั้น..โยมก็ต้องเกิดอยู่ร่ำไป อยู่อย่างนี้ โยมยึดห่วงลูกมาก โยมก็ต้องเกิดเป็นลูกเป็นหลานเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่จบสิ้น มีอาฆาตพยาบาทต่อกัน เมื่อเกิดมาก็มีเวรอาฆาตพยาบาทต่อกันอย่างนี้ตลอดไปไม่จบสิ้น มีความอาฆาตเคียดแค้นฆ่าฟันกัน เกิดมากี่ภพกี่ชาติก็ต้องฆ่าตามล้างผลาญกันอย่างนี้ ไม่จบสิ้น มันก็เป็นวัฏฏะอยู่อย่างนี้ แล้วจะหลุดพ้นไปได้อย่างไร...

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๙ ก.ย ๖๑ โทร 059 5695199 ,084 8936961 และ 081 9293222
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๕ ต.ค ๖๑ โทร 059 5695199 ,084 8936961 และ 081 9293222
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    การจะสิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวง มันต้องลงมือปฏิบัติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทุกข์มันเป็นยังไง เจ็บมันเป็นยังไง ปวดมันเป็นยังไง เราจะอดทนอดกลั้นกับมันได้หรือไม่ เมื่อเกิดปัญหาแบบนี้แล้วต้องทำอย่างไร ถ้าโยมไม่รู้สภาวะแบบนี้ ก็เรียกว่ายังไม่รู้สภาวธรรมที่แท้จริง แต่ที่โยมไปฟังธรรม มันเป็นสภาวะรู้ธรรมตามที่เค้าบอก ยังไม่ใช่..ธรรมของตัวเอง

    เมื่อยังไม่ได้ธรรมเป็นของตัวเอง แสดงว่าเรายังไม่ได้ทำด้วยตัวเอง ใช่มั้ยจ๊ะ งั้นไอ้อัตตาตัวตนกิเลสตัณหามันก็ยังอยู่บริบูรณ์ เป็นเพียงในขณะจิตนั้นเราได้ฟังแล้วมันทำให้เราเกิดความสงบเกิดความศรัทธา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่เมื่อศรัทธาในขณะนั้นมันหมดไป แล้วก็ไม่ได้เอาศรัทธาหรือสมาธิเอามาฝึกจิต..มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรในขณะนั้น มันก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ก็ไม่ได้บอกให้ดั้นด้นมาฟัง แต่ให้ดั้นด้นให้ฝึกจิตให้มันตื่น ฟังแล้วเข้าใจแล้วก็ลองทำดูซะก่อน ก่อนจะหลับจะนอนไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมไม่ต้องไปดั้นด้นไปที่ไหนหรอกจ้ะ โยมมีกายสังขารอยู่แล้ว..คือ"ครู"อันยิ่งใหญ่ของโยมอยู่แล้ว เป็นป่าช้า เป็นห้องกรรมฐานอย่างดี

    ถ้าโยมเข้าใจแล้วในทาน ศีล สมาธิ ปัญญา วิธีการปฏิบัติรู้ลมเข้า ลมออก ถึงลม ลมออก ลมเข้า ลมออกมีภาวนาพุทโธ ทำการสำรวมกายให้มันตั้งมั่นอยู่ในกาย ฝึกสติอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวจิตมันจะรู้ของมันเอง สอนของมันเอง

    คนที่นั่งสมาธิได้แสดงว่ามีของเก่าทั้งนั้น จะนั่งภาวนาไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ก็นั่งให้มันได้สำรวมให้มันได้ เดี๋ยวมันก็เกิดตัวรู้ค่อยๆรู้ของมันเอง แต่ถ้าโยมไม่ได้คิดปฏิบัติเลย..มันยากนักที่จะพ้นทุกข์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่ามันจะติดแต่รู้อย่างเดียว รอแต่ฟังอย่างเดียว เมื่อไหร่จะมีธรรมตอนใหม่ๆนะ ตอนเก่ายังทำไม่ได้จะเอาตอนใหม่อีกแล้ว อย่างนี้ฟังทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มันก็ไม่ดับซักขันธ์นึง เพราะขันธ์นึงก็ยังไม่เคยได้ทำเองเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เค้าถึงได้บอกว่าเจนจบในพระไตรปิฎก แต่ไม่ลงมือทำเลยมันก็ไปไม่ได้ มันก็ได้แค่รู้ นี่เค้าเรียกว่า"นิพพานในตำรา" แต่ทว่าเข้าใจแล้วว่าพระพุทธองค์ท่านตรัสสอนอะไร ก็เอาคำสอนท่านนั่นแลมาคิดประพฤติปฏิบัติในกาย แล้วก็จะรู้เหมือนที่ท่านรู้ นั่นแหล่ะจ้ะเค้าเรียกว่า..ทุกอย่างมันก็ทิ้งได้

    ดังนั้นเหมือนที่โยมมาประพฤติปฏิบัตินี้ มันจึงเป็นทางสายลัดสายตรง ที่โยมนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของตัวเอง ไม่ว่าโยมจะอยู่ที่ใดหรือครูบาอาจารย์เค้าตายแล้ว โยมก็ยังอยู่ ธรรมโยมก็ยังอยู่ ธรรมนั้นแลจะสอนเป็นครูบาอาจารย์โยมต่อไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะอะไรเล่าจ๊ะ เพราะ"ธรรม"นั่นแลคือ"ศาสดา"ของโยม ธรรมโยมได้มาจากใคร องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทิ้งไว้ให้แล้ว..นั่นคือศาสดา ศาสดาโยมไม่ได้ไปไหน เมื่อโยมระลึกถึงพุทโธ..ท่านก็เห็นโยม โยมจำไว้นะจ๊ะ คราใดเมื่อจิตโยมระลึกถึงคำว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธังสรณังคัจฉามิ ท่านก็เห็นโยม แต่ท่านจะดูว่าโยมมีความเพียรแค่ไหน แล้วท่านจะให้อุบายธรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน จำไว้นะจ๊ะ

    ท่านไม่ได้ไปไหน เมื่อโยมคิดระลึกถึงท่านก็เห็น แต่ท่านจะช่วยโยมอะไรไม่ได้เลย ถ้าโยมไม่มีความเพียรศรัทธาถึง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมศรัทธาความเพียรถึง..โยมจะได้อุบายธรรม หรือว่าจิตนั้นมันจะมีธรรมขึ้นมา หรือได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ก็ดี ล้วนแล้วเหล่านี้เค้าเรียกเป็นกำลังใจ แต่โยมต้องเป็นที่พึ่งพาของตัวเองให้ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    พระพุทธองค์ท่านไม่เคยได้ทอดทิ้งเลย แม้ท่านได้ทิ้งธรรมไว้แล้ว ท่านก็ยังเล็งข่ายพระญาณสอดส่องคอยดูอยู่ ว่ามนุษย์ผู้ใดยังมีบุญวาสนาบารมีในความเพียร ปรารถนาจะพ้นทุกข์ ปรารถนาจะไปพระนิพพาน ท่านก็ยังรออยู่ เพราะยังไม่ได้หมดยุคของท่าน แต่กายสังขารท่านนั้นประกอบธาตุขันธ์ไม่ได้แล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    คำว่านิพพานนั้น..ไม่ใช่ว่างเว้น ไม่มีอะไร ไม่รู้อะไรเลย..ไม่ใช่ ยังมีองค์รู้อยู่คือจิตอันบริสุทธิ์ แต่ที่ว่านิพพานไปนั้นคือท่านดับ..ดับขันธ์ นี่เค้าเรียกว่าขันธ์ที่เป็นกองทุกข์ไม่มี ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย นี่เค้าเรียกดับขันธ์ เพราะขันธ์มันคือกองทุกข์ คือท่านไม่มีทุกข์อีกต่อไป

    แต่เมื่อเรายังมีขันธ์คือกองทุกข์ ท่านก็เลยทิ้งในสิ่งที่ท่านค้นพบนั้นมาให้โยมได้ประพฤติปฏิบัติตาม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเมื่อโยมระลึกถึงท่าน ท่านก็ถึงโยม เค้าถึงได้บอกว่าเมื่อโยมจะเข้าถึงการสวดมนต์สาธยายมนต์นั่นแล เค้าเรียกเป็นการเข้าเฝ้าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ใบไม้มันจะไหวได้ก็ต่อเมื่อมีลมมาพัด ใช่มั้ยจ๊ะ จิตก็เช่นเดียวกัน หากมันมีอารมณ์เข้ามาสัมผัสเข้ามากระทบ แล้วถ้าจิตเราไม่เคยฝึกนั้น ไม่คุ้นเคยกับจิต..มันย่อมเคลิบเคลิ้มไปตามอารมณ์ที่มากระทบได้เช่นเดียวกัน

    นั้นการฝึกจิตเพื่อให้รู้เท่าทันอารมณ์ที่มากระทบ มาผัสสะ นั้นการที่โยมไปฝึกจิตมานี้..เพื่อให้รู้จิตตัวเอง เพราะว่าบุคคลถ้าหลงจิต หลงความคิด หลงกาย นี่เค้าเรียกว่าเป็นอุปาทานแห่งจิตทั้งนั้น หรือเรียกว่าการป่วยอย่างหนึ่ง

    ที่ว่าป่วยเพราะว่ามนุษย์นั้นจิตไม่ปรกติ ที่ไม่ปรกติก็เพราะอำนาจแห่งศีล ทุกวันนี้ชีวิตมนุษย์..นี้เราลองมาพิจารณาเรื่องศีลกันดูก่อน มันก็เป็นสมถธรรมอย่างหนึ่งของกรรมฐาน พิจารณาอย่างไร พิจารณาว่ากายสังขารหากถ้ามีโรคภัยมาเบียดเบียน มีอุปสรรค นั่นก็เรียกว่าเรานั้นได้กระทำการเบียดเบียนปาณาติบาต ผิดศีลข้อปาณาติบาต

    นั้นถ้าเราจะพิจารณาศีลข้อต่อไปอทินนาทานานี้ มันแปลว่าอะไรจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ลักทรัพย์เจ้าค่ะ) อ้าว..อทินนาทานาเรียกว่าลักทรัพย์แล้ว..เค้าบอกว่าทรัพย์ของเราถ้ามีอยู่ถ้าไม่อันตรธานหายไป ก็ต้องชำรุดเสียหาย ถูกโจรลักขโมยก็ดี ถูกไฟเผาผลาญก็ดี เหล่านี้เค้าเรียกว่าละเมิดในธรรมของศีลข้อนี้มา จึงให้ผลเป็นปัจจุบันในขณะที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์

    กาเมสุมิจฉานี่แปลว่าอะไร (ลูกศิษย์ : ประพฤติผิดในกาม) การประพฤติผิดในกามนี่เค้าเรียกว่า ในทางโลกจะสมหวังในความรักก็หาไม่อย่างนั้นไม่ อันที่จริงแล้วเค้าบอกว่า เมื่อเราประพฤติผิดในกาม ไม่มีความข่มจิตข่มใจในเรื่องกามสุขแล้ว นี่เค้าบอกว่าจะทำให้เรานี้เป็นคนไม่มีใครเชื่อถือ หรือเรียกว่าไม่มีใครศรัทธา ขาดความน่าเชื่อถือ ขาดความน่าศรัทธา เรียกว่าทำตัวไม่เป็นที่เคารพก็ดี

    แล้วก็มุสาวาทาเหล่านี้ พูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะไม่เคยพูดคำจริง พูดแต่คำลวง เข้าใจมั้ยจ๊ะ สุราเมรยะเหล่านี้ก็หมายถึงว่า ถ้ามนุษย์ยังเกิดมา เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว..ศีลข้อนี้ เรียกว่าธรรมข้อนี้จะทำให้มนุษย์ผู้นั้นจะชอบปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ตลอดเวลา เกี่ยวกับเส้นประสาท เพราะว่าการดื่มสุราเมรัยนี้จะไปทำลายระบบประสาท..คือความจำ คือความจำสั้นความจำเสื่อม สายตาฝ้าฟางแบบนี้ นั้นมนุษย์ที่เจริญสติปัญญาภาวนาจิต ที่จะเข้าสู่ในกระแสพระโสดาบันก็ดีเหล่านี้ ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาก็เรียกว่าจะคุมตัวสติไม่เท่าทัน ก็เรียกว่าจะเป็นโรคประสาท เป็นคนสติฟั่นเฟือนไป

    แต่ถ้าผู้ใดเจริญสติเจริญกรรมฐาน ภาวนาจิตอยู่ตลอดเวลาก็จะสามารถฟื้นฟูจิตได้อย่างเดิม แต่การโรคเหล่านี้ย่อมมีเกิดขึ้นอยู่แล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหตุเพราะเราไปล่วงละเมิดศีล นี่เค้าเรียกเป็นสมถธรรมอย่างหนึ่งที่ควรพิจารณาให้เข้าถึงศีล เราจะได้สำรวมกาย วาจา สำรวมอินทรีย์สังวร คือพึงระวังการกระทำล่วงละเมิดธรรมหรือศีลในกาลต่อไปได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917



    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๖ ต.ค ๖๑ โทร 059 5695199 ,084 8936961 และ 081 9293222
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    เมื่อโยมเห็นภัยในวัฏฏะแม้เสี้ยวขณะจิตเดียว หมายถึงว่าในขณะที่จิตโยมมีปัญญาขณะจิตเดียวจิตมันเกิดสว่าง เกิดปัญญา เกิดตัวรู้ว่าร่างกายสังขารมีแต่ทุกข์ ทุกข์มันอยู่ที่นี่เอง เราก็ไปหา..ไปหาบอกว่าทุกข์มันอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าท่านออกตามหาทุกข์นะจ๊ะ พระพุทธเจ้าออกจากพระราชวังท่านไปตามหาทุกข์นะ ไม่ได้ตามหาสุขนะ โยมเข้าใจให้ถูกก่อน แต่มนุษย์ตอนนี้ตามหาสุข สวนทางกันมั้ยจ๊ะ แล้วก็บอกว่าเดินตามมรรค

    พระพุทธเจ้าท่านออกจากพระราชวังไป..เพื่อไปตามหาทุกข์ ขนาดพญามารทัดทานแล้ว ท่านก็ยังไม่ฟัง พญามารก็ตามไปทุกที่ นั้นโยมต้องถามตัวเองว่าโยมตามหาอะไร ทุกวันนี้มนุษย์ตามหาสิ่งที่ไม่มี แล้วถามว่าจุดจบมันจะได้มั้ยจ๊ะ พระพุทธเจ้าท่านตามหาทุกข์ แล้วทุกข์มันอยู่ที่ไหน ท่านตามหาแล้วเจอแล้ว แล้วก็ออกมาเป็นลายแทงเป็นคำสอนเอามาบอกโยม ให้มาหาที่ไหน..มาหาที่กายตน ดูตน สอนตน พิจารณาตน พิจารณาได้ก็ละตน พอละตนก็ทิ้งตน..มีเท่านี้เอง

    แล้วเรื่องธรรมะนี้อธิบายมากก็ไม่จบสิ้น ถ้าโยมต้องการอยากจะรู้ว่า"ธรรม"คืออะไร หยุดอธิบายปรุงแต่งทุกอย่าง ไม่ว่าโยมจะเรียนรู้จากอาจารย์ที่ไหนมา โยมกำหนดเริ่มต้นจากกายและลมหายใจอย่างเดียว ว่าที่ฉันกล่าวไปทุกอย่างเมื่อธรรมกล่าวไปแล้ว เมื่อถึงโยมจะต้องไปปฏิบัติเอง..โยมก็ต้อง"ทิ้งธรรม"ทุกอย่างก่อนในขณะนั้น วางทุกตำรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมไม่วางตำราแล้วโยมจะอ่านตำราได้ยังไง พอวางแล้วโยมถึงจะเปิด

    นั้นก่อนที่โยมจะเปิดตำราหรือพระคัมภีร์ หรือพระธรรมก็ดี พระไตรปิฎกก็ดี โยมต้องนอบน้อมกราบนมัสการก่อน น้อมจิต กาย วาจา ใจเพื่อให้เกิดศีลก่อน ถึงโยมจะได้รับพระธรรมคำสอนได้ โยมจะเรียนพระกรรมฐานโยมก็ต้องมีศีลก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะไปธุดงค์กรรมฐานก็ต้องมีอาจารย์มีครูก่อนอีกเหมือนกัน นั้นโยมต้องรู้เสียก่อนว่าโยมไปตามหาอะไร ถ้าโยมตามหาทุกข์..อย่าไปคิดว่าจะได้สุข เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าสุขเกิดขึ้นก็ให้รู้ว่าสุข สุขนั้นจะเป็นกำลัง..เป็นกำลังใจ ว่านั่งแล้วมันสงบ เห็นแล้วว่านี่คือสมาธิก็จะนั่งต่อไป นี่เรียกว่าเมื่อสุขนั้นเป็นอารมณ์ทำให้เกิดกำลังใจ แต่อย่าไปยึดติดในสุขนั้น ถ้าไปยึดติดอารมณ์เค้าเรียกว่าติดในสมาธิก็ดี ติดองค์ภาวนาก็ดี ติดฌานก็ดี ติดนิมิตก็ดี พวกติดเหล่านี้เค้าเรียกว่าไปต่อไม่ได้ อ้าว..ติดก็ต้องมาแก้ ถ้าติดหลายตัวไม่ต้องแก้แล้ว..เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ก็ไปเรียนใหม่ เรียนที่ไหน..เรียนที่"ลม"ใหม่

    บางคนมีลมหายใจเข้าออก..ไม่เห็นจะยากตรงไหนก็เข้าออกทุกวัน แต่ตอนที่เข้าและออกโยม..โยมรู้รึเปล่ามันเข้ายังไง มันออกยังไง พอมันเข้าโยมรู้มั้ย พอมันออกโยมรู้มั้ย ทุกวันนี้ลืมลมหายใจกันหมดแล้ว ทั้งๆที่ลมหายใจมันเข้าออก..แต่ไม่เคยไปรู้มันว่ามันเข้าออก

    เค้าให้ไปรู้ลมหายใจ แต่ไม่ได้บอกว่ามันจะเข้าออกยังไง เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือเอา"สติ"ไประลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจ เพราะว่าลมหายใจมันสามารถสัมผัสกายได้ สัมผัสจิตใจเราได้ว่า..สงบหรือไม่สงบอย่างไร เหมือนลมมันขัดลมมันเดินไม่ดี มันก็ทำให้ขัดใจขัดอารมณ์ไป นี่เราต้องไปแก้ไปเริ่มต้นใหม่ถ้ามันติด เริ่มต้นที่ดูอานาปานสติขึ้นมาใหม่

    ไม่ว่าโยมจะเรียนกสิณหรือกรรมฐานกองไหนก็ตาม โยมต้องมี"อานาปานสติ"เป็นแม่บทใหญ่ ถ้าโยมไม่มีเมื่อไหร่..สมาธิโยมจะหลงเมื่อนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าถึงวิมุติแล้วก็ตามที เกิดวิชาแล้วก็ดี ท่านจะต้องเจริญอานาปานสติอยู่เหมือนกัน เค้าเรียกว่าเจริญฌาน หรือเรียกว่าเจริญองค์ภาวนาเหมือนที่เราเอามาเจริญนี้แหล่ะจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะอะไรจ๊ะ..มันหลงลืมตลอดเวลาได้ถ้ายังมีกายสังขาร เพราะกายนี้มันเป็นขันธมารอยู่ ยังมีมารแฝงอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นเราต้องฝึกอยู่ตลอดเวลา นี่ขนาดท่านฝึกขนาดนั้น..แล้วเราไม่ฝึกจะเป็นยังไง มันก็ต้องฝึกเอาตามกำลังของโยม

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ การกำหนดอานาปานสติก็คือการรู้ลมหายใจเข้าออกนี่ แล้วมันผนวกกับคำว่าพุทโธไปเนี่ยะ มันจะเป็นสากลว่าจะต้องเป็นอย่างนี้มั้ยคะ หรือว่าถ้าเราภาวนาพุทโธเนี่ยะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ แบบอย่างเดียว เหมือนกันมั้ยเจ้าคะ

    หลวงปู่ : อ้าว..งั้นเรามาดูว่าพุทโธ หรืออานาปานสติเป็นอย่างไร อานาปานสติเค้าเรียกว่ากำหนดลมหายใจเข้าออกไม่เกี่ยวกับพุทโธ แล้วพุทโธเกิดมาตอนไหนศตวรรษใด คือเรียกว่าองค์พุทโธนั้นเป็น"อุบาย"แห่งกรรมฐานอย่างหนึ่ง ครูบาอาจารย์เค้าเรียกว่าจรดไว้ หมายถึงว่าจริงๆอานาปานสตินี้คือลมหายใจเข้าออก..คือกำหนดรู้ลม เพราะลมหายใจนี่เป็นอะไรที่ดูง่ายและกำหนดง่าย เพราะมันมีอยู่แล้วในกายเรา ดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุทั้ง ๔ มันต้องประชุมกันด้วยลมหายใจทั้งนั้น ใช่มั้ยจ๊ะ

    ดิน น้ำ ไฟ ลมทั้งหลายมันต้องประชุมด้วยธาตุลมทั้งนั้น คราวนี้เมื่อลมหายใจเราเนี่ยะเข้าออกแล้ว คราวนี้ลมหายใจมันเข้าออก..มันเข้าออก บางทีสติเราเนี่ยไม่เท่าทัน เพราะเราเนี่ยะหลงกายอยู่ พอตัวหลงกาย หลงว่านี่ตัวกูของกู สติตัวระลึกมันจึงไม่เท่าทันในลมที่เข้าออก เห็นมั้ยจ๊ะว่าลมหายใจไม่ใช่ของง่ายที่โยมจะไปรู้ ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าจึงเอาองค์พุทโธขึ้นมา หรือกำหนด ๑..๒..๓..๔..๕..๖..๗..๘..๙..๑๐ นับไป..นับไป เห็นมั้ยจ๊ะ หรือสัมมาอะระหังยกขึ้นมา เค้าจึงบอกอุบายว่า คำว่า"พุทโธ"เป็นของมงคลภาวนาแล้วมันดี ว่าพุทโธเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เรียกว่าผู้สัพพัญญู เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่คือที่มา..

    เพราะว่าลมหายใจ การจะจับลมหายใจน่ะ เพราะว่าลมหายใจมันไปยึดกายอยู่ กายตัวนี้มันทำให้มนุษย์มันหลง หลงได้ง่าย ขาดเผลอสติได้ง่าย มันจึงไม่มีสติที่จะไปยึดได้จับต้องได้ ถ้าองค์พุทโธระลึกได้เนี่ยะ..มันจะจับต้องได้ทันที นั้นก็บอกว่าเมื่อจิตมันฟุ้งมีอารมณ์เข้ามาปะทะ หรือเกิดการปรุงแต่งอุปาทานของจิต ต้องมีองค์ภาวนาเข้ามากำกับแล้ว หรือต้องมีผู้กำกับการแสดง เล่นเดี่ยวๆเกิดขึ้นมาไม่ได้ หรือเรียกว่าต้องมีเหตุมีผลมารับรองกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะกายตัวนี้มันหลงได้ง่าย นี่คือที่มาของพุทโธ..

    อ้าว..แล้วทำไมพุทโธจึงไม่มีในพระไตรปิฎก อะไรก็ตามที่เราระลึกแล้ว คิดแล้ว พิจารณาแล้วไปในทางการละอารมณ์ ให้เข้าถึงความสงบ นั่นเรียกว่าอุบายแห่งธรรมอยู่ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ทั้งนั้น ชื่อว่าเรียกว่าพระกรรมฐาน พระกรรมฐานก็ไม่มีในพระไตรปิฎก..จริงๆไม่ใช่ พระกรรมฐานมีอยู่ในพระไตรปิฎกแล้ว พระกรรมฐานฌานวิถี..วิถีทางแห่งการทำงานของจิต คือการมาฝึกฝนจิต

    เค้าบอกเอาจิตมาฝึกได้ยังไง จิตฝึกได้เหมือนลิง ลิงเอามาฝึกได้มั้ย แต่โยมต้องไวกว่าลิงนะ แล้วลิงมันชอบกินอะไร (กินกล้วย) เออ..เอากล้วยให้มันกิน จิตก็ต้องมีตัวล่อคืออุบายแห่งธรรม ล่อหลอกตะล่อมให้จิตมันอยู่กับเรา ใช่มั้ยจ๊ะ ก็เช่นองค์ภาวนาก็ดี กำหนดยุบหนอพองหนอ กำหนดก้าว ยก ย่าง เหยียบหนอ เหล่านี้ชื่อว่าเป็นอุบายแห่งการเจริญสติให้สติมันครองอยู่กับอารมณ์นั้นกับการงานนั้น ในขณะนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานของการเจริญสมาธิทั้งนั้น

    เพราะสมาธิชื่อว่าเรียกว่าใจที่ตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียว คือเราจดจ่อในสิ่งทีเราทำอยู่ ไม่ต้องสนใจใคร ใครจะมอง ใครจะว่า ใครจะนินทาสรรเสริญ..นั้นโลกธรรม ๘ นี้โลกธรรมจริงๆมันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่เราวางเฉยไม่สนใจ ไม่เอาจิตไปภายนอก เห็นมั้ยจ๊ะ ถ้าจิตยังไปภายนอกอยู่เรียกว่าสมุทัย ถ้าจิตจดจ่ออยู่ในการงานที่ทำอยู่เรียกว่านิโรธ คือทางดับทุกข์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าโยมเห็นทุกข์เมื่อไหร่นั่นคือเหตุ คือเหตุอริยสัจ ๔ แต่ก่อนที่โยมจะไปเห็นอริยสัจ ๔ โยมต้องเห็นไตรลักษณ์ก่อน พิจารณาความเกิด ความเสื่อม ความชรา ความเป็นทุกข์ เห็นทุกอย่างเป็นทุกข์ เห็นทุกอย่างไม่เที่ยง เห็นความว่างเป็นอนัตตา สิ่งเหล่านี้มันจะทำให้จิตเรานั้นเกิดสลดสละ เริ่มเกิดอาการปลงขึ้นมา เพื่อเข้าถึงความเบื่อหน่าย โยมปลงมากเท่าไหร่โยมก็เบื่อมากเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมไปอยากมากเท่าไหร่ โยมก็มีความกำหนัดมากเท่านั้น ทางเดียวที่โยมจะออกจากทุกข์ โยมต้องปลง ต้องละ ต้องสละ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๑
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ขอให้จำไว้ง่ายๆ ถ้าในปัจจุบันโยมนั้นมีความวุ่นวายใจ แม้ทั้งทางโลกและทางธรรม หรือในกายเรียกว่าทุกข์ทั้งกายและจิตและใจนั้นแล เรียกว่า"กรรม"นั้นให้ผลแล้ว แสดงว่ากรรมโยมหรือบุญกุศลโยมบกพร่อง มันลดน้อยลงแล้ว โยมต้องรีบสร้างบุญกุศลอย่างมาก

    อย่างแรกที่โยมต้องทำ ให้ไปทำสังฆทานเสียก่อน สังฆทานนี้จะไม่เจาะจงแม้เป็นการปล่อยสัตว์นกปล่อยปลานี้ก็เรียกเป็นสังฆทานอย่างหนึ่งคือให้ชีวิตก่อน เพราะชีวิตโยมมีปัญหาโยมก็ต้องไปตัดตรงนั้นก่อน คือไปให้ชีวิตคือต่อชีวิตก่อน ให้เกิดแสงบุญ

    อันที่สองคือการให้ทาน ให้กำลังคืออาหารถวายให้สงฆ์ อันที่สามคือแสงสว่างเช่นเทียนก็ยังดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ สามอย่างนี้ต้องทำ อย่าเพิ่งไปอุปาทานกรรมให้ใครไปแก้กรรมให้โยม โยมให้มีสติไว้ หนึ่งให้ชีวิตเป็นทาน สองให้กำลังเป็นทานแต่ต้องให้ผู้ที่มีศีล ศีลเขาจะมีแค่ไหนไม่สำคัญให้อธิษฐานใส่ไป สามคือแสงสว่างแทนแสงปัญญา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    การให้ชีวิตนั้นแล ชีวิตที่จะถูกตัดชีวิตนั้นแล ได้บุญมากที่สุด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เช่นเดียวกับพระสงฆ์ที่ออกจากการเจริญนิโรธสมาบัติก็ดีหรือเป็นอาหารมื้อแรกก็ดีเช่นเดียวกับที่เราจะไปช่วยสัตว์ที่เขากำลังจะต้องถูกชีวิตจะหาไม่แล้วนั่นเอง จึงเป็นบุญที่ดีที่สุด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะให้ผลทันตา เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าคิดว่าสัตว์นั้นจะเป็นสัตว์ที่มีชีวิตเล็กน้อย...ไม่จริง ทุกสรรพสิ่งล้วนมีค่าเท่ากันหมด ถ้าสิ่งนั้นมีชีวิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะทุกอย่างเขามีความรู้สึกมีเวทนา รักตัวกลัวตายทั้งสิ้น

    ดังนั้นขอให้โยมนั้นจงมีสติ และอย่ารอให้สิ่งนี้มันเกิดขึ้นบ่อยๆเพราะมันจะทำให้จิตหรือดวงของโยมมันช้ำ คือมันบอบช้ำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ บางคนบอกว่าชีวิตไม่ดีต้องดูดวงซักหน่อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่รู้ว่าดวงเป็นอย่างไร โยมยังไม่รู้ดวงตัวเองเลยแล้วโยมจะให้ใครเค้าดูเล่าจ๊ะ คนอื่นจะมารู้ดวงดีกว่าโยมได้อย่างไร เพราะโยมเป็นผู้กระทำ ใช่หรือไม่

    สามอย่างที่โยมต้องทำนะจ๊ะ แล้วโยมทำมากเท่าไร..มันก็เกิดผลดีกับโยมมากเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ หนึ่งทำให้โยมอายุยืนผิวพรรณดี ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง เข้าใจมั้ยจ๊ะ การให้ทานกับผู้ทรงศีลทำบุญตักบาตรนี้ทำให้เรานั้นไม่มีวันจน สิ่งเหล่านี้ควรกระทำเป็นบุญโดยแท้ แสงสว่างนี้ทำให้เกิดปัญญา จะนำทางให้เรานั้นให้พ้นทุกข์พ้นภัยพ้นกรรมได้

    โยมว่าแสงสว่างนี้นอกจากถวายสิ่งนี้สิ่งอื่นทำได้มั้ยจ๊ะ สิ่งใดก็ตามชื่อว่า"ปัญญา"เรียกว่าแสงสว่าง การให้ธรรมะเป็นทานก็เช่นกัน โยมว่าเป็นแสงสว่างมั้ยจ๊ะ นี่แหละจ้ะควรกระทำ การเผยแพร่ธรรมก็เป็นแสงสว่างอย่างหนึ่ง แต่โยมต้องรู้ก่อนว่าแสงสว่างนั้นเป็นแสงสว่างที่ดีหรือไม่ ต้องทำด้วยสติ ไม่ใช่ทำเพราะความงมงาย อย่ายึดถือในสิ่งสิ่งเดียว สิ่งใดที่เป็นแสงปัญญานั่นคือแสงสว่าง นี่ก็เรียกว่าเป็นการแก้ดวงอย่างแท้จริง เพราะสิ่งนี้จะตามให้ผลโยมตลอดไป..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    AC9D9CE6-4E40-4C7A-A70F-D281794B4D02.jpeg
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    บุญเมื่อโยมทำอะไร บุญมันต้องตอบแทน ถ้าบุญไม่ตอบแทนแสดงว่าบุญนั้นไม่มีจริง หรือเรียกว่าทำบุญไม่ถูกที่ ทำดีไม่ถูกคน แต่เมื่อโยมทำบุญทำดีสิ่งใดแล้ว เมื่อเราไม่ยึดไม่ติดแล้วเค้าเรียกเป็นทาน ทานนั้นแม้โยมจะทำร้อยครั้ง พันครั้ง แสนครั้ง ล้านครั้งก็ดี ก็ยังสู้การเจริญภาวนาจิตครั้งเดียวไม่ได้

    สวดมนต์เป็นร้อยเป็นวันเป็นพันบทก็ยังสู้การเจริญภาวนาให้เกิดปัญญาแม้ชั่วขณะจิตเดียวก็ยังไม่ได้อีก เห็นมั้ยจ๊ะ ดังนั้นคนจะหลุดพ้นจากบ่วงจากทุกข์ได้..ต้องมีปัญญา ปัญญาไม่ได้เกิดได้ง่ายๆ ปัญญานั้นพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ไม่ได้ ปัญญาจะเกิดได้ต้องฝึก หมั่นพิจารณา หมั่นทำความสะอาดจิต มันเศร้าหมองมันขัดข้องยังไง..ดูซิ เค้าเรียกการเพ่งโทษในตนในกายนี้

    เมื่อยังมีกูมีเรา..มันก็จะมีทุกข์ เมื่อหมดตัวกู..มันก็หมดทุกข์ ดูซิว่าไอ้ตัวกูเป็นยังไง รู้จักตัวกูมั้ย ไหนลองบอกซิจ๊ะว่าตัวกูเป็นยังไง ไอ้นี่เมียกู นี่ลูกกู ทรัพย์กู ของกู นี่กูหมด อ้าว..งั้นก็รับไปคนเดียว..ทุกข์หมด ใช่มั้ยจ๊ะ อันนี้ไม่ใช่ของกู เมียก็ไม่ใช่ของกู แล้วเมียใคร บางครั้งก็ต้องรู้ด้วยว่าควรยึด..ควรแบบไหน ควรวางตอนไหน

    หลวงปู่บอกว่าไม่ใช่ของกู..แล้วของใคร หมายถึงว่าให้ละอัตตาตัวตน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้ายังมีกูอยู่ ด่าไอ้นั่นไอ้นี่รู้สึกไม่พอใจ..นี่ล่ะตัวกู แสดงว่าไอ้สิ่งที่เค้าด่ามานี่ของมึง แต่เมื่อเราไม่รับแล้วนั่นแล เราวางได้นั่นแล ไอ้คนที่ว่าก็กลับไปหาไอ้คนนั้น เพราะเป็นของๆมัน แต่พอด่ามาดันรับ แถมมีลูกคู่อีก ก็เลยเกิดเวรเกิดพยาบาทขึ้นมา นี่เหตุมันเป็นเช่นนี้ เพราะเรามีตัวกู มันก็เลยมีทุกข์ ใช่มั้ยจ๊ะ เลยมีเหตุ นั้นขอให้พิจารณาอยู่บ่อยๆ

    การรักษาการเจริญพระกรรมฐานนี่เป็นการรักษาโรคภัยไข้เจ็บไปในตัว รักษาจิตที่เสื่อม รักษาศีล รักษาธรรม และจะเป็นผู้เจริญ เป็นผู้เจริญอย่างไร ก็จิตมันเติบโต จิตมันมันมีปัญญา เค้าเรียกเป็นผู้เจริญเป็นผู้ที่มีความศิวิไลซ์ เป็นผู้ที่ไม่ตกยุค ไม่กลับไปอยู่ของเก่าๆ ไม่กลับไปอยู่ในอดีต ไม่ไปจับอยู่ในโคลนตม เห็นมั้ยจ๊ะ นี่เค้าจึงบอกว่าเป็นดอกบัวที่กำลังจะพ้นน้ำ หรือว่าปริ่มน้ำแล้ว รอแสงอาทิตย์หรือว่ารอแสงธรรมที่มาสดับหรือมาให้ แล้วก็เกิดปัญญาได้โดยง่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่เมื่อดอกบัวที่มันยังไม่ปริ่มน้ำ กำลังจะปริ่มน้ำมันก็ต้องมาฟังธรรมบ่อยๆ รับยาบ่อยๆ พอรับยาบ่อยๆเดี๋ยวมันจะค่อยๆดีขึ้นๆ แต่ถ้าโยมไม่คิดจะเปิดโอกาสและไม่มีความเชื่อไม่มีความศรัทธา มันก็ดื้อยา เมื่อดื้อยาก็รักษาไม่ได้..นี่แหล่ะตัวกู ของกู ก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น เพราะโยมไปจมในทุกข์อยู่อย่างนั้น นั้นถ้าโยมต้องการจะพ้นทุกข์พ้นภัย เมื่อถึงเวลาแล้วก็ควรรู้ เมื่อยังมีกรรมในทางโลกอยู่ เราก็ต้องไปชดใช้ ไปเลี้ยงดูครอบครัว เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน นี่เรียกว่าวิบากกรรมทั้งนั้น แต่เมื่อถึงแล้ว เรานั้นไม่อยากมีกรรมแล้ว อยากจะตัดกรรมแล้ว ก็ขอให้ตัดที่ใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    คู่มันมีคู่สร้างคู่สมคู่เสพ คู่สร้างคือมาสร้างฐานะด้วยกันก็ดี คู่เสพคู่สมคือมาสมสู่ให้มีพยานรักเกิดขึ้นมา ดังนั้นเหล่านี้เรียกว่าคู่เสพคู่สมคู่สร้าง แต่เมื่อถึงเวลาแล้ว เราก็เรียนรู้ทุกข์มาพอแล้ว ให้มาเป็นคู่บารมีกัน คู่บารมีมันคืออะไร คือเดินไปทางเดียวกัน เมื่อเราเห็นว่าทางเส้นนี้มันเป็นทางที่สามารถจะพ้นทุกข์พ้นภัยได้ ก็ให้กำลังใจกัน มีเวลาก็มาประพฤติปฏิบัติ เห็นไปทางเดียวกัน นี่เรียกว่าคู่บารมี เค้าเรียกว่าศีลเสมอกัน เมื่อมันเสมอกันมันก็ไปทางเดียวกันได้ มันไม่ขัดกัน

    คู่บารมีนี่ก็ยังเรียกว่าเป็นพระโสดาบัน กระแสพระโสดาบันก็เรียกว่ายังมีคู่มีครอง ยังมีเสพมีสมเป็นธรรมดา ต่อไปเค้าเรียกว่าคู่พรหม คู่แห่งพรหมคือการมีพรหมจรรย์ เมื่อจิตเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้ว เค้าจะไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เหล่านี้จะเบาบาง จนเห็นความเบื่อหน่ายในวัฏฏะ ก็จะอยู่คู่กันไป และต่างคนต่างสร้างบารมีซึ่งกันและกัน

    แต่ถ้าโยมยังจมปลักอยู่ในคู่ในครอง อยู่อย่างนั้น หาคู่แล้วหาคู่อีกอยู่อย่างนั้น จะเอาให้ดีให้ดี แต่ตัวเองก็ยังไม่ดีก็ไม่ต้องไปหาแล้ว เค้าให้เรียนรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นทุกข์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นการคนที่มีคู่ที่มีศีลเสมอกันก็ดี ไปในทางเดียวกันก็ดี หมั่นสร้างบารมีก็ดี นั้นเค้าเรียกว่าได้อธิษฐานกันมา เรียกว่าด้วยแรงอธิษฐาน คราวนี้เมื่อเราอธิษฐาน เราประพฤติปฏิบัติในเส้นทางแห่งมรรค เพื่อจะให้หลุดพ้น อย่างนี้เรียกว่าไม่มีการพลัดพรากเลย เพราะมันปฏิบัติไปทางเดียวกัน ทางเดียวกันมันจะไปพลัดพรากได้ยังไง ใช่มั้ยจ๊ะ มันเป็นเส้นทางเดียวกัน มันก็ไปจุดจบที่เดียวกัน

    นี้คู่แห่งบุรุษมี ๘ คู่ โยมก็พิจารณาเอา ถ้าเรายังเดินทางอยู่ ก็เรียกว่าทางแห่งมรรค เมื่อเราเห็นผลแล้วเราจะเข้าถึงอริยมรรค อริยมรรคผลนี้ ดังนั้นกระแสพระโสดาบันนี้แลก็ยังมีคู่มีครองเรือนได้ แต่พวกนี้เค้าจะมีความศรัทธาความเชื่อในพระพุทธ ในพระธรรม พระสงฆ์ เรียกว่าละอายจากบาป หรือไม่กล้าทำกรรมชั่วหนัก ไม่กล้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเหล่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    การที่มีหิ้งพระหิ้งหอ หรือมีห้องพระห้องเจ้าเพราะอะไร เค้าเรียกว่ามีเขตพุทธาวาสในบ้าน หรือเรียกว่าตรงนั้นเป็นสวรรค์ จะเล็กจะใหญ่ไม่จำเป็น เอาตามฐานะกำลังของเรา เพื่อให้เรามีเขตพุทธาวาส เข้าใจมั้ยจ๊ะ เอาไว้ให้เรานั้นสงบจิตสงบใจ มันเป็นสิ่งที่เป็นมงคลทั้งนั้น

    วันพระตื่นมาไม่ได้ไปไหนแล้ว ใส่ชุดขาวเจริญศีลเจริญภาวนา มาปัดกวาดเช็ดถู ถวายน้ำเป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้น เค้าเรียกเป็นกรรมฐานทั้งนั้น เพราะจิตมันระลึกถึงความสงบ..กรรมฐานเกิดทั้งหมด มันจะน้อมค่อยๆน้อม..เกิดความอยากสวดมนต์ เห็นมั้ยจ๊ะ ที่โยมถูหิ้งพระหิ้งเจ้าเค้าเรียกเป็นการขจัดปัดเป่าอุปสรรคไปในตัว และเป็นการเจริญกรรมฐานไปในตัว

    ใส่ชุดขาวจำเป็นมั้ย..จำเป็น อ้าวถ้าใส่ชุดดำรู้สึกหดหู่ ก็เลยบอกว่าชุดขาวจำเป็น ชุดขาวคือชุดแห่งศีล ชุดแห่งพรหมจรรย์ คือความสว่างแห่งพุทธบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นพอเราใส่ชุดขาวเราจะรู้สึกว่าเรานี้เป็นผู้ทรงศีลแล้ว เค้าเรียกว่าน้อมเข้าไปถึงนามได้ รูปมันทำให้เข้าไปถึงนามได้ ใช่มั้ยจ๊ะ ดังนั้นชุดสำคัญมั้ย..สำคัญ แต่เมื่อโยมเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว..ชุดก็ไม่สำคัญแล้ว

    ตอนแรกที่โยมยังไม่เข้าถึง..ชุดสำคัญ..จุดธูปสำคัญ..จุดเทียนสำคัญ สำคัญทั้งหมด ถ้าโยมเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว..ไม่สำคัญซักอย่างเลยทีนี้ เหลือแต่สังฆัง สรณังคัจฉามินั่นเอง เข้าถึงสงฆ์..คือตัวเรา ตอนแรกสำคัญหมด หลวงปู่จุดธูปสำคัญมั้ย..สำคัญ..ถ้ายังไม่เข้าถึง จุดเทียนสำคัญมั้ย..สำคัญ สำคัญหมด ใส่ชุดสำคัญมั้ย..สำคัญ ต้องอาบน้ำด้วยมั้ย..สำคัญ ต้องทำเพื่อให้มันตื่น สำคัญทั้งหมด

    ทำไมห้องพระห้องเจ้าต้องสะอาด..สำคัญ เพราะให้มันเข้าถึง เข้าใจมั้ยจ๊ะ สำคัญหมด แต่เมื่อโยมเข้าถึงพระรัตนตรัยแล้วว่าคืออะไร ในพระพุทธ พระธรรม เมื่อโยมมีความเชื่อความศรัทธาแล้ว..ไม่ต้องอะไรเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าคนมันเข้าถึงแล้วทีนี้ห้องพระห้องเจ้ามันจะสะอาดเลยทีนี้ ฝุ่นไม่ค่อยมี แต่คนที่ไม่เข้าถึงส่วนมากมีแต่ฝุ่นทั้งนั้น ฝุ่นไม่พอหยากไย่เข้าไปอีก ลายครามขึ้นเลยทีนี้ เก่าทั้งหิ้ง

    ดังนั้นถามว่าสำคัญมั้ย..สำคัญทั้งนั้น แต่เมื่อโยมถึงแล้ว..ไม่สำคัญ ตอนแรกสำคัญหมด เช่นโยมจะไปทางไหน..รถสำคัญมั้ย สำคัญ โยมต้องตรวจเช็คหมดเลย พอไปถึงที่แล้วไม่สำคัญแล้ว..เหมือนกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นไม่ว่าโยมจะทำอะไร ให้น้อมจิตน้อมใจทำไป ถวายน้ำหิ้งพระที่บ้านมันก็เป็นบุญกุศล เพราะนั่นคือความดี ทำไมถึงเป็นกุศล อ้าว..มันทำให้น้อมเข้าไปถึง..ทำให้เกิดปัญญา ให้เกิดความศรัทธา เข้าใจมั้ยจ๊ะ จุดธูปเพื่ออะไร..ให้มันมีมนต์ขลัง จุดเทียน..ให้เกิดความสว่างแห่งดวงตาแห่งธรรม มันก็เปรียบว่าถ้าโยมเผาผลาญไปได้..กิเลสมันก็ไหม้เหมือนเทียน อายุขัยมนุษย์มันก็เหมือนเทียน เมื่อจุดแล้วมันก็ใช้พลังงานก็ไหม้ไปเรื่อยมันก็หมด แล้วก็ไปจุดเกิดแท่งใหม่ขึ้นมา มันเกิดจากเชื้อแท่งเดิมมั้ยจ๊ะ มันเกิดจากเชื้อแท่งเดิม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ลูกศิษย์ : ปู่เจ้าคะ แล้วสมมุติว่ามีคนจุดเทียนไว้ แล้วเรากลัวว่าจะเป็นอันตรายเพราะไม่มีคนอยู่ แล้วเราไปดับเทียน กล้วว่าจะมีโทษมีภัยเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ : อันนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี เราก็เป็นคนดับเพลิงก็ดีแล้ว ฟังง่ายๆอะไรที่ยึดเกิดภัยทั้งหมด อ้าว..เค้าไม่ได้ให้ยึด ยึดแล้วเกิดภัยเกิดทุกข์ทั้งหมด สวดมนต์สวดพรเสร็จแล้วธูปเทียนมันก็ต้องดับ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันต้องดับทั้งนั้น..นิโรธถึงได้บังเกิด

    นั้นสวดมนต์สำคัญมั้ย..สำคัญ อ้าว..คนมันจะบรรลุธรรมมันมีอยู่ ๕ วาระ การสาธยายมนต์ก็ทำให้บรรลุธรรมได้ เพราะเราสวดไปจิตมันสงบตั้งมั่น มันเกิดธรรมขึ้นมา เห็นมั้ยจ๊ะ เกิดได้ทั้งหมด โยมอย่าคิดว่ามันไม่สำคัญ..สำคัญ แล้วในขณะที่โยมสวดมันเป็นทานแห่งเสียง ชาติหน้าฉันใดเกิดมาเสียงจะเพราะ อ้าว..ถ้าเกิดมาชาตินี้เสียงไม่เพราะแล้วทำยังไง ไม่ทันแล้ว ก็สวดชาตินี้สิ..มันก็เพราะชาตินี้ เสียงมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะอะไร..มันจะมีสติ มนต์ตรงนี้มันจะไปแปรเสียง..เสียงแห่งมนต์ มันเกิดความขลัง แล้วในขณะที่โยมสวดเทวดาก็ให้พร องค์โน้นองค์นี้ก็ให้พร สาธุ สาธุ มันดีทั้งหมด เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้ว ขอให้โยมมีศรัทธา นี่คือความศรัทธาเพื่อให้โยมมีความพากเพียร เพื่อให้โยมมีความเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และทางเดินบุญส่วนที่โยมทำอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ลูกศิษย์ : หลวงปู่คะ เวลาที่เราแผ่เมตตาน่ะ เจ้ากรรมนายเวรไม่รับมีมั้ยคะ เค้าไม่ยอมรับที่เราแผ่ไปอย่างนี้ค่ะ

    หลวงปู่ : ก็ต้องดูว่าโยมตีตราไปถึงรึเปล่า ไปรษณีย์..ศีลโยมเป็นยังไง ศีลโยมบกพร่องมันก็ไปไม่ไกลไปไม่ถึง เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันไม่ทั่วถึง ใจเราก็ต้องมั่นด้วย ใจเราก็ต้องถึงด้วย มีความปรารถนาให้เต็มที่หรือไม่ นี่มันอยู่ที่กำลัง เห็นมั้ยจ๊ะ กำลังส่งสำคัญ ไอ้คนที่เราจะให้..เราก็ให้ไปอย่างนั้น ให้ด้วยใจที่ยังมีอคติอยู่เลย ยังมีอกุศลอยู่ เห็นมั้ยจ๊ะ มันให้แบบแผ่วๆ นั้นก็ต้องให้อยู่บ่อยๆ ให้บ่อยๆ ให้บ่อยๆ ให้จนไม่มีจะให้แล้ว พอไม่มีจะให้แล้วมันก็ไม่รู้จะเอาอะไรกับเราแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นเราต้องให้จริงๆ ให้จริงๆ ให้จากใจจริงของเรา ดังนั้นถามว่าให้ไปแล้วมีมั้ย ใครเค้าก็อยากได้ทั้งนั้นแหล่ะ แต่ส่วนมากให้ไม่ถึง อ้าว..ก็ไอ้คนยากคนจนใครเค้าก็อยากได้รับความช่วยเหลือ..แต่ไปไม่ถึง โดนกินหมด โดนกินหัวคิวหมด เพราะฉะนั้นถ้าโยมอยากให้ถึง โยมต้องไป โยมต้องทำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ต้องลงมือทำ แล้วก็ปฏิบัติ..นี่ถึงแน่นอน..คือกรรมฐาน คือละอารมณ์ให้ได้ก่อน

    บางคนทำแต่บุญแต่ไม่ละบาป อันนี้เค้าเรียกว่าเสมอตัว นั้นบุญไม่ต้องทำก็ได้..ไปละบาป บุญไม่ต้องทำเลย..ละบาปอย่างเดียว อันนั้นแหล่ะโคตรของบุญ โยมไม่ต้องไปทำบุญ ให้ละบาปอย่างเดียว..นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา อันนี้บุญที่แท้จริง โยมทำบุญแต่ไม่ละบาป โจรมันก็ทำได้ นั่นก็คือการเจริญทาน ศีล ภาวนา เพราะว่าโจรมันทำไม่ได้ โจรไม่มีเวลาให้ทาน เพราะโจรปล้นอย่างเดียว ศีลมันเอาเมียเอาลูกเค้าหมด ภาวนามันไม่มีหรอก มันต้องกินเหล้าสติมันไม่มีภาวนาหรอก เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่มันเป็นอย่างนั้น

    นั้นบุญน่ะโจรมันก็ทำได้ แต่ทาน ศีล ภาวนาโจรมันทำไม่ได้ ผู้ที่จะมีทาน ศีล ภาวนาผู้นั้นต้องมีปัญญา ต้องมีศรัทธา ต้องมีความเชื่อ ต้องมีบุญเก่า ต้องมีบุญวาสนาเก่า วาสนานั้นคือสิ่งที่ทำมาแล้วนั่นเอง..จึงเรียกว่าวาสนา เคยอบรมบ่มจิตมาแล้ว เคยทำมาแล้ว ไม่งั้นโยมจะมานั่งหลังขดหลังแข็งข่มจิตข่มใจไม่ได้เลยแม้ขณะจิตเดียว..ยากนัก

    แต่ถ้าโยมนั่งได้ มีความสุขความพอใจ มีความปิติอิ่มเอิบเมื่อระลึกถึงบุญกุศล เมื่อระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บังเกิดนิมิตเป็นพุทธปฏิมากรก็ดี เหล่านี้ชื่อว่าโยมอยู่ในอู่ข้าวอู่น้ำแห่งบุญ อยู่ในสวรรค์นิพพานทั้งนั้น เค้าเรียกว่านิพพานสมบัติ สวรรค์สมบัติ มนุษย์สมบัติ คือโยมจะปรารถนาเป็นมนุษย์อีกก็ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าไม่อย่างนั้นยากนักที่จะรอดพ้นอบายภูมิ

    นั้นทาน ศีล ภาวนา หรือกรรมฐานนี้เค้าเรียกว่าปิดอบายภูมิ รอดพ้นแน่นอน คือไม่ต้องไปอบายภูมิ ดังนั้นอันนี้เค้าเรียก"หลักประกัน" การเจริญสตินี้ประกันภัยได้แน่นอน อย่างอื่นประกันไม่ได้ ดังนั้นโยมต้องปฏิบัติเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    มนุษย์โลกนี้แลเป็นทั้งโลกแห่งสวรรค์และโลกแห่งการลงทัณฑ์..เป็นนักโทษ เข้าใจมั้ยจ๊ะ สวรรค์เป็นอย่างไร สวรรค์เมื่อโยมมีความสุข อยากจะปราณีตไปทางไหนก็ได้ เรื่องอาหารการกิน การหลับการนอน..เรียกสวรรค์ นี้เรียกสัมผัสได้ คือโยมไปพอใจรูป รส กลิ่น เสียงเหล่านี้ เค้าเรียกว่าสวรรค์ ว่าสวรรค์นี้เค้าเรียกว่ายังมีกามคุณเกิดขึ้นอยู่ ยังมีความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียงอยู่ สิ่งเหล่านี้ เค้าถึงให้โยมได้สัมผัสได้ แล้วมันก็หลงได้ง่าย

    แล้วกายนี้ก็มีทุกข์ซ่อนอยู่ ใครเห็นทุกข์ภายในกายในสุขนี้เมื่อไหร่..ผู้นั้นจะเห็นสัจธรรมคือความเป็นจริง นั่นที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เห็นกฎแห่งความเป็นจริงคืออริยสัจ ๔ ความจริงสี่ประการที่ไม่สามารถหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ไปได้ คือความจริงแก่นแท้แห่งธรรม

    ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนๆท่านก็ค้นพบหลักนี้ สัจธรรมนี้ทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าใครไม่เห็นทุกข์ในกายเมื่อไหร่ แล้วบอกไปพิจารณาอริยสัจ ๔ ไม่มีทางที่โยมจะเข้าถึงอริยสัจ ๔ ได้ เพราะนั่นมันแค่การนึกเอา คาดเอาว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่โยมไม่ได้สัมผัสจริง เมื่อไม่ได้สัมผัสจริงโยมก็ไม่รู้จริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไปจำว่าอาจารย์เค้าสอนแบบนี้ ไปเห็นอริยสัจ ๔ แบบนี้ พิจารณาอย่างนี้ แต่โยมไม่เคยเห็นทุกข์สักคราเดียวสักขณะของจิตเลย แล้วโยมจะไปเห็นอริยสัจ ๔ ได้อย่างไร

    ความจริง ๔ ประการว่าด้วยทุกข์ ทุกข์มันอยู่ที่ไหน..อยู่ในกาย สมุทัยมันเป็นเหตุแห่งทุกข์..ก็คือใจที่เราไปดำริพอใจ ไม่พอใจ เหล่านี้ก็เรียกเป็นสมุทัยทั้งนั้น เมื่อจิตเราส่งไปภายนอกเค้าเรียกสมุทัยทั้งนั้น จิตเมื่อเราส่งไปภายนอกนี้เรียกว่าสมุทัยหมด เหตุที่จิตเราส่งไปภายนอกเรียกว่าทุกข์ เห็นมั้ยจ๊ะ ถ้าจิตเรายังส่งไปภายนอกเค้าเรียกทุกข์ เหตุแห่งจิตที่เราส่งออกไปคือสมุทัย เพราะเหตุที่เราส่งไป..ส่งไปไหน ส่งไปให้ใคร..ก็ทุกข์ทั้งนั้น แล้วมันก็เกิดเวรเกิดพยาบาท เกิดเจ้ากรรมขึ้นมา เพราะเราไม่สามารถไปเหนืออารมณ์นั้นได้ จึงเรียกว่า..เจ้ากรรมนายเวร

    ใครไปตั้งให้เจ้ากรรมนายเวรล่ะ เหล่านี้เพราะเราไม่สามารถข้ามอารมณ์ไปได้ มันก็เหนือกว่าเรา พอมันเหนือกว่าเรามันก็เลยเป็นเจ้ากรรมของเรา เจ้าทูนหัว มันจะใช้ให้ทำอะไรทำหมดแหล่ะ เค้าเรียกเจ้าชีวิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ งั้นจิตที่เราส่งไปออกไปภายนอกก็เรียกว่าเป็นทุกข์..ถ้าเราไม่ล่วงรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าจิตเราไปหดหู่นี่เรียกว่าทุกข์แล้ว

    เหตุที่จิตเราส่งไปภายนอกจึงเรียกว่าสมุทัย นั้นเราต้องมาดูที่เหตุว่าอารมณ์จิตในขณะนี้มันเกิดอะไรขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าถึงบอกว่าบางคนนั่งสมาธิไป นั่งไป ดิ่งไปมากเลย จิตออกไปจักรวาลอื่นไปโลกอื่นไปภพอื่น ไม่รู้ลม..ลมดับ..เพราะอะไร เพราะว่าสติไม่ได้อยู่ในกาย ถ้าโยมออกไปจากสติปัฏฐาน ๔ เมื่อไหร่มีปัญหาเมื่อนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะโยมกำลังหลงไปในอนาคตแล้ว

    อนาคตมันมีอยู่จริงรึเปล่า มันจะมีอยู่จริงไม่ได้เพราะยังไม่รู้ในปัจจุบัน ถ้าใครรู้กำหนดในปัจจุบันได้ ถึงจะรู้ว่าอนาคตนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ปัจจุบันมันต้องอยู่ที่กาย เวทนา จิตนี้ ในธรรมนี้ รู้ว่าสภาวะจิตมันเกิดอะไรขึ้นในขณะนี้..เค้าเรียกว่าธรรม สภาวะธรรม สภาวะจิตนี้ ถ้านอกเหนือจากนี้เค้าเรียกว่าหลงทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ หลงภพ หลงภูมิ อ้าว..มันต้องดึงกลับมาใหม่อยู่ที่สติเรา

    บางคนนั่งๆไปจิตจะออกจากร่าง..ไปอีกแล้ว ถามว่าออกไปไหน มันมีบ้านอยู่ใหม่แล้วหรือยังไง บ้านของเรานี่คือกายนี้..กลับมาใหม่ นั้นจิตมันดิ่งมันเคลิ้มมันไปแล้ว เพราะมันเบาเกินไป จิตมันเบาเกินไป ให้ดึงมันกลับมาใหม่ ต้องมีสติอยู่ที่กายเรา มีสติอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำอย่างนี้บ่อยๆให้จิตมันคุ้นเคย ไม่ใช่ปล่อยให้มันเคลิบเคลิ้มพาไป แต่ถ้าในขณะนั้นโยมคิดว่าจิตโยมตั้งมั่นใน
    ปฐมฌาน ในคณิกสมาธิ กำลังเฉียดฌานเหล่านี้ พอจิตมันเคลิบเคลิ้มมันปล่อยวางได้ พอจิตมันไปกำหนดรู้อะไร..มันไปแล้ว ไปเห็นสวรรค์นรกเหล่านี้

    แม้โยมเห็นสวรรค์นรกได้ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางนิพพาน เพราะว่าทางสวรรค์นรกเหล่านี้มันเป็นของทางผ่าน เพราะนิพพานมันไม่ได้ผ่านสวรรค์ชั้นไหนไป เพราะนิพพานมันไปตรงเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วเมื่อเราเห็นอะไร รู้อะไรแล้วเราอย่าไปยึด แต่ถ้าเรารู้เห็นอะไรแล้ว เค้าเรียกอภิญญาคือความรู้ยิ่ง หรือเรียกว่าฤทธิ์ทางใจ ทำให้เรามีความพากเพียรในการประพฤติปฏิบัติในเส้นทางเดินแห่งมรรคยิ่งๆขึ้นไป..อย่างนั้นจะยิ่งดี

    ดังนั้นเราไปรู้ไปเห็นอะไรแล้วเป็นฤทธิ์เป็นเดชแล้วไปหลงเมื่อไหร่นั่นแหล่ะจ้ะ อันนั้นเรียก..ตกม้าตาย เสียเวลา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกวังวนกับดักแห่งสมาธิพวกนี้ จงจำเอาไว้ว่าสมาธิทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าสมาธิจะมีขั้นของมัน เป็นฌานนั้นฌานนี้ สมาธิมีความละเอียดมากประณีตมากแค่ไหนก็ตาม แต่ยังไม่ได้เกิดปัญญาพิจาณาในกาย เห็นโทษภายในวัฏฏะแม้ขณะจิตเดียว นั้นก็เรียกว่ายังไม่ได้ชื่อว่า..ผู้นั้นเห็นทางเดินแห่งมรรค

    เพราะว่าฌานทั้งหลายทั้งปวงเป็นแค่อารมณ์แห่งสมาธิ เป็นแค่การข่มแห่งอารมณ์ของกิเลสแค่นั้นอยู่ เมื่อหมดจากอารมณ์แห่งสมาธิไปแล้วไอ้พวกกิเลสมันก็ผุดขึ้นมาอีก ในขณะนั่งอยู่ใครจะด่าทอ..ก็นิ่ง สงบ นึกว่าสำเร็จแล้ว แต่พอออกจากสมาธิพอใครว่ากระทบหน่อย..ด่ากลับ เพราะนี่เรียกว่าไม่รู้เท่าทันในสติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ที่ไม่รู้เท่าทันในสติเพราะไม่ได้ละอารมณ์ เพราะไม่ได้เจริญเมตตา เพราะไม่ได้ให้อภัยทาน ไม่ได้อภัยโทษ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แล้วดวงจิตวิญญาณพวกเปรตผีห่าซาตานทั้งหลายที่มาอาศัยเราอยู่ ที่สิงสู่อยู่กับเราอยู่แล้วยังไม่ได้ไปเกิด มันก็คอยกินบุญกุศลเราอยู่อย่างนี้ ดังนั้นทุกขณะจิตหรือที่โยมจะเจริญกรรมฐานโยมต้องให้"ทาน"บารมีก่อน สอง"แผ่เมตตา" สาม"อโหสิกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันถึงจะเข้าถึงศีล คือความสงบมันจะเข้ามาเอง

    เค้าถึงบอกว่าความสงบโยมไม่ต้องไปอยากได้มันหรอกจ้ะ แค่โยมละอารมณ์ที่ฟุ้งบ่อยๆเดี๋ยวมันก็สงบมันเอง ยิ่งโยมไปอยากได้ความสงบ มันเป็นความอยาก มันก็ยิ่งฟุ้งขึ้นไปใหญ่ เค้าเรียกว่าไปกระตุ้นความอยาก..ไปกระตุ้นตัณหา..ไปเพิ่มพลังงานมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันเสาร์ที่ ๒๔ พ.ย.๖๑ โทร 095 5695199 , 084 8936961 และ 081 9293222
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     

แชร์หน้านี้

Loading...