เรื่องเด่น ในการปฏิบัติภาวนานั้น หลายท่านมักจะมีปัญหา คือ ปล่อยให้กำลังใจฟุ้งซ่านมากจนเกินไป

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย ศิษย์วัดท่าขนุน, 2 ตุลาคม 2018.

  1. ศิษย์วัดท่าขนุน

    ศิษย์วัดท่าขนุน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2017
    โพสต์:
    2,510
    กระทู้เรื่องเด่น:
    30
    ค่าพลัง:
    +2,945
    -ห.jpg


    ในการปฏิบัติภาวนานั้น หลายท่านมักจะมีปัญหา คือ ปล่อยให้กำลังใจฟุ้งซ่านมากจนเกินไป เวลาจะควบคุมด้วยการอยู่กับลมหายใจเข้าออกจึงเป็นไปโดยยาก ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ นักปฏิบัติมักจะประสบอยู่เสมอ โดยเฉพาะท่านใดเคยมีกำลังใจทรงอยู่ในระดับฌานสมาบัติ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป แล้วปล่อยจนกระทั่งรัก โลภ โกรธ หลง กลบกลืนสมาธิสมาบัตินั้นไป จะตีคืนได้ยากมาก

    เหตุที่ท่านทั้งหลายจะทำคืนได้ยาก ก็เพราะว่าเราอยากจะได้เหมือนเดิม ในเมื่อการภาวนาของเราไม่ได้ปล่อยวาง แต่ไปอยากเสียแล้ว ความฟุ้งซ่านจะเกิดแก่สภาพจิต เมื่อความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น จิตย่อมไม่สงบ ดังนั้น..ท่านใดก็ตามที่ภาวนาแล้วไม่ไปไหนเสียที ให้รู้ว่าถ้าเราไม่ทำเกิน เราก็ทำขาด แต่ส่วนใหญ่แล้วในปัจจุบันนี้ จะทำขาดเสียมากกว่า

    เราลองเปรียบเทียบดูว่าวันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เราอยู่กับการภาวนานานเท่าไร ? สมมติว่าท่านทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ภาวนาตอนเช้า ๑ ชั่วโมง ตอนเย็น ๑ ชั่วโมง ก็แปลว่าเรายังขาดทุนอยู่ ๒๒ ชั่วโมงทุกวัน ดังนั้น..ในเมื่อเราทำขาด ทำไม่พอ โอกาสที่กำลังใจของเราจะทรงความคล่องตัว สามารถที่จะใช้ต่อต้านกิเลสได้ก็มีน้อย เพราะว่าแค่ประคับประคองกำลังใจของเราให้ทรงตัวก็เป็นเรื่องยากเสียแล้ว นอกจากเราจะวางกำลังใจว่า เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นสมาธิสมาบัติหรือไม่เป็นก็ตามที เราก็จะภาวนา

    แต่สภาพจิตบางครั้งก็ดื้อเกินเหตุ จึงต้องข่มขู่กันบ้าง อย่างเช่น ตอนนี้นรกรออยู่ข้างหน้า ถ้าพลาดพลั้งลงไปเมื่อใด ไฟนรกที่ลุกท่วมฟ้ากำลังรอเราอยู่ มหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม ยมโลกียนรก ๓๒๐ ขุม กำลังรอเราอยู่ข้างหน้า

    หรืออย่างสถานเบาลงมา เราต้องไปเกิดเป็นเปรต ก็เต็มไปด้วยความอดอยากหิวโหย โดนสรรพาวุธทำอันตรายอยู่หรือโดนเปลวไฟเผาไหม้ เป็นอสุรกาย นอกจากอดอยากหิวโหยแล้วยังต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่อาจสู้หน้าคนอื่น เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่สามารถหากินได้อย่างใจ ไม่สามารถที่จะทำอะไรอย่างที่ใจต้องการได้ทุกอย่าง

    เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไม่เร่งรัดหาความดีใส่ตัว ทุคติ วินิบาต ก็คือความเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่งรอเราอยู่อย่างแน่นอน ก็เป็นเพราะเอาแต่มัวเมา มีแต่ความประมาท ไม่เร่งรัดปฏิบัติในความดีทั้งหลาย

    ต่อให้เราเร่งรัดปฏิบัติในความดี อย่างที่กล่าวแล้วว่า ในแต่ละวันเรายังขาดทุนอยู่ จึงควรที่จะทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ใช่ว่าเราทำแค่นี้ก็เป็นที่ยินดี เป็นที่พอใจแล้ว กำลังใจที่เป็นที่น่ายินดี เป็นที่น่าพอใจแล้ว หมายความว่ากำลังใจต้องเพียงพอที่จะใช้สู้กับกิเลส เพียงพอที่จะใช้ตัดละกิเลสต่าง ๆ ออกจากใจของเรา ถ้ายังไม่เพียงพอก็แปลว่าเราหยุดไม่ได้ ต้องเร่งรัดกระทำให้มากขึ้น ใช้เวลาอยู่กับการภาวนาให้มากกว่าเดิม

    คำว่ามากกว่าเดิม ไม่ได้หมายความว่าให้เราภาวนาอยู่ตลอดเวลาทั้งวัน ถ้าท่านกระทำถึงจริง ๆ ไม่ต้องมาก แค่ระดับปฐมฌานละเอียด เราจะรู้ลมและคำภาวนาโดยอัตโนมัติ เมื่อถึงเวลาก็ใช้สติสมาธิ ประคับประคองอาการรู้ลมอัตโนมัตินั้น ให้อยู่กับเราให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

    แรก ๆ ก็ได้ไม่นาน แต่พอใช้ความพยายามเข้า ก็ได้เป็นวัน ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน เป็นต้น ยิ่งกำลังใจของเรามีความสะอาดผ่องใสเพราะกิเลสแทรกไม่ได้เนิ่นนานเท่าไร ปัญญาของเราก็มีความชัดเจน แจ่มใส แหลมคม สามารถที่จะหาวิธีการตัด การละ จากรัก โลภ โกรธ หลงได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

    ถ้ากำลังเพียงพอ เราเห็นแล้วก็เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด สามารถถอนจิตของตนเองพ้นจากกองทุกข์ ก็แปลว่าเราสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ได้อย่างแน่นอน

    จึงขอให้ทุกคนรู้สึกว่า เราเหมือนกับบุคคลที่อยู่บนบ้านที่ไฟกำลังไหม้ เราไม่สามารถที่จะนิ่งนอนใจอาศัยอยู่ในบ้านนี้ต่อไปได้แล้ว มีทางเดียวก็คือต้องรีบหนีเอาชีวิตรอดอย่างว่องไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเราเองเกิดมานับชาติไม่ถ้วน สร้างความชั่วไว้นับไม่ถ้วน เผลอเมื่อไรเราก็ต้องตกสู่อบายภูมิอย่างแน่นอน สถานที่เดียวที่เราจะหลุดพ้นได้อย่างสิ้นเชิงก็คือพระนิพพาน

    ขอให้ทุกคนตั้งใจ ตั้งเป้าหมายไว้ที่พระนิพพานเป็นหลัก การปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ว่าจะด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจก็ตาม ให้ทุกคนตั้งใจว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้ก็เพื่อพระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น แล้วเอากำลังใจจดจ่อปักมั่นอยู่กับอารมณ์พระนิพพาน

    ถ้าไม่ถนัด เห็นว่าการทำเช่นนั้นไม่ชัดเจน เราก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด ตั้งใจว่านั่นคือพระพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ ณ ที่ใดนอกจากอยู่บนพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับพระองค์ท่าน เราอยู่กับพระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน แล้วเอาใจเกาะภาพพระนั้นเอาไว้

    ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้กำหนดรู้ลมหายใจ ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ให้กำหนดรู้คำภาวนา ถ้าลมหายใจหรือคำภาวนาหายไป ก็กำหนดรู้ว่าลมหายใจหรือคำภาวนานั้นหายไป อย่าดิ้นรนอยากให้มา หรืออย่าพยายามให้เป็นในลักษณะเช่นนั้น เรามีหน้าที่กำหนดดูกำหนดรู้ไปเฉย ๆ

    ลำดับต่อไปนี้ก็ให้ทุกคนตั้งใจกำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หรือภาพพระ หรือพระนิพพานของเราไป จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา



    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
    วันเสาร์ที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕

    ที่มา วัดท่าขนุน
     

แชร์หน้านี้

Loading...