มีวัตถุมงคลสายพระป่ากรรมฐานให้บูชาราคาเบาๆ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Somchai 2510, 8 กันยายน 2019.

  1. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รอบนี้ผมได้ตัดสินใจว่าจะไปอยู่อุปฐากหลวงปู่รินทร์ สันตมโน ที่วัดป่าพระอาจารย์ของผมเเล้ว เเละผมได้คุยตกลงกับหลวงปู่รินทร์ว่า ผมอยากจะพาหลวงปู่ออกมาโปรด 3 โลกธาตุ คือ อบายภูม(เปรต,อสูร สัตว์นรกเเละสัตว์เดรฉาน),มนุษย์คนทั่วไป,เเละสวรรค์ทั้งหกรวมชั้นพรมด้วย เพราะช่วงที่ผ่านมาหลวงปู่ท่านพักรักษาธาตุขันต์ของท่าน (เป็นอัมพฤกครึ่งซีกเพราะเส้นเลือดสมองตีบ ช่วงที่เร่งฆ่ากิเลส นั่งนานๆจนสว่าง พวกวิญญานที่ไม่มีบุญเเละมีบุญน้อยเช่น วิญญานภูมิเจ้าที่,รุกขเทวา.รุกขเทวี ที่อยู่ตามต้นไม้หรือนางตะเคียน,อสูร เช่น พวกยักษ์ พญาครุฑ,เปรตสัตว์เดรฉาน เช่นหมู,ม้า,วัวควาย,เป็ด,ไก้,ปูปลา พญานาคเป็นต้น โดยเฉพาะพวกมดพวกปลอก,ไส้เดือน พวกนี้พอตายไปวิญญาณ ก็อยู่ที่เก่าที่ตายวิญญาณไปไหนไม่ได้ เพราะไม่เคยทำบุญรักษาศิลเหมือนมนุษย์ พวกนี้รอคนมีบุญมากไปช่วยส่งบุญให้อย่างเดียวเพื่อไปเกิดภพภูมืที่สูงขึ้น พวกนี้อยากจะไปเกิดภพภูมืที่สูงขึ้น เเต่ไปเกิดไม่ได้เพราะมีบุญน้อยหรือไม่มีบุญ ต้องรอผู้มีบุญจากพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์เท่านั้นช่วยส่งบุญให้ไปเกิดในชั้นภพภูมิที่สูงขึ้น ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านเข้าพระนิพพานไปเเล้ว เหลือเเต่พระอรหันต์สาวกที่ยังไม่ละสังขารเช่นหลวงปู่รินทร์ของผม ผมเลย(หลวงปู่รินทร์ท่านเป็นพระอรหันต์ระดับ 3 คือฉฬภิญโญ คือมี อภิญญา 6 เหาะได้ดำดินได้เเยกรา่งได้เป็นพันองค์ รู้วาระจิต,ตาทิพย์,หูทิพย์ เป็นต้น) พระอรหันต์นั้นมี 4 ระดับ
    แบ่งตามสถานะ มี 4 ประเภท พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า คือผู้ตรัสรู้แล้วได้ก่อตั้งศาสนาพุทธ สามารถโปรดเวไนยสัตว์ให้หลุดพ้นเป็นอรหันต์ตามได้
    ...

    • สุกขวิปัสสกะ ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน
    • เตวิชชะ ผู้ได้วิชชา 3.
    • ฉฬภิญญะ ผู้ได้อภิญญา 6.
    • ปฏิสัมภิทัปปัตตะ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4 ผมเคยทดลองหลวงปู่มาเเล้วครับ เช่นจะพาไปวัดนี้วัดนั้น ให้หลวงปู่นั่งคืนนี้ส่องดูว่ามีอะไรบ้าง พอผมพาไปที่วัด เป็นเหมือนหลวงปู่ที่บอกเเต่เช้ามาเเล้วตรงเป๊ะ(ที่ผมกล้าทดลองท่านเพราะผมเป็นศิษย์คนเเรกขององค์ท่านเเละท่านก็กล้าเล่าเรื่องราวขององค์ท่านให้ผมฟังโดยไม่ปิดบัง เช่นว่าเมื่อคืนนี้หลวงปู่ไปเที่ยวเมืองสวรรค์,ไปเที่ยวเมืองบาดาล,นรก เป็นต้น เเละวันที่บรรลุธรรม วันที่ เท่าไหร่ มีเหตุการณ์อะไรบ้าง หลวงปู่บรรลุธรรม วันที่ 26 พ.ค. 2550 เวลา5 ทุ่ม ที่วัดถํ้าสหายของหลวงปู่จันทร์เรียน จันทวโร ผู้ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่าน(หลวงปู่รินทร์ไปอยู่กลับหลวงปู่จันทร์เรียน ประมาณ 7 เดือน) ผมได้อธิบายให้หลวงปู่รินทร์ทราบว่า หลวงปู่ยังงัยถ้าตายละสังขารเเล้วหลวงปู่ก็เข้าพระนิพพานไม่กลับมาเกิดอีกเเล้ว ไม่อยากจะช่วยสงเคราะสัตว์โลกในสามโลกธาตุหรือครับ เหมือนพระหลวงตามหาบัวเหรอครับ พอท่านฟังผมเล่าเรื่องราวต่างเเล้วท่านก็เห็นชอบด้วย เพราะว่าผมได้อ้างว่า ก่อนพระพุทธเจ้าของเราจะเข้าปรินิพพาน ท่าน ได้กล่าวว่า ขอให้สาวกทั้งหลายจงทำประโยชน์ตน เเละประโยชน์ท่านผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถอะ ถ้าเเปลตรงๆก็คือว่า เมื่อท่านปฏิบัติถึงเเล้วหรือบรรลุธรรมเเล้วให้ไปธุดงค์ช่วยโปรดผู้อื่นที่ยังมีเวรกรรมหรือยังไม่รู้ถูกผิดด้วยความไม่ประมาท พอผมพูดให้ฟังอย่างงี้หลวงปู่ก็ยอมเห็นดีกับผมด้วย สาเหตุที่มาของเรื่องนี้เพราะผมได้ดูรายการ ไขความลับโลกวิญญาณ ของคุณโอเลย์,คุณทอฟฟี่,คุณส้มเช้ง มีรายการตอนหนื่ง คุณโอเลย์ได้ขึ้นไปวัดถํ้าสาริกา นครนายก เเล้วคุณโอเลย์ได้พูดขึ้นต่อหน้ารูปภาพหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ว่าหลวงปู่มั่นสอนว่า ให้มีสติ เเล้วศีล 5 จะมาเอง พอผมฟังยังงั้นทำให้ผมรู้ว่าคุณโอเลยื ไม่ใข่พุทเเท้ เพราะคำว่า ให้มีสติของหลวงปู่มั่นนั้น คือ ให้มีสติอยู่กับคำว่า พุทโธ ไม่ให้ส่งจิตออกนอก ให้จิตดูภายในร่างกาย คืออาการ 32 เช่น ผม ,ขน,เล็บ,ฟัน,หนังเป็นต้น นี้คือคำสอนของหลวงปู่มั่น นั้นเเสดงว่าคุณโอเลย์สอนผิด เเละไม่รู้จริง เเต่หลวงปู่ผมปฏิบัติรู้จริงเเละเห็นจริงเเล้ว ด้วยใจของท่านเอง ไม่ใช่ในตำรา เพราะกิเลสไม่ใช่อยู่ในตำราหรือพระไตรปิฏก กิเลสเเท้เเละธรรมเเท้อยู่ที่กายกับใจนี้เอง คำว่าพุทโธนั้นสุดยอดสูงสุดเเล้ว เพราะพาให้สิ้นกิเลส,พาไปเที่ยวสวรรค์,พาไปเที่นวนรก,พาให้เห็นวิญญาณภูติผีปีศาจต่างๆได้ เเละอีกตอนหนึ่ง คุณโอเลย์ไปช่วยวิญญาณ ทหารญี่ปุ่น ที่สะพานเมืองกาญจณบุรี ว่าวิญญาณ ทหารญี่ปุ่น อยากกลับประเทศญี่ปุ่น เลยพับกระดาษเป็นรูปนกพิราบ เเล้วให้วิญญาณเข้าไปอยู่ในกระที่พับเป็นรูกนก เเล้วส่งขึ้นเครื่องบินไปญี่ปุ่นได้เลย สำหรับผมเเล้วจิตวิญญาณที่ตายเเล้วถ้ามีบุญก็ไปหาที่เกิดได้เลย เเต่วิญญาณที่ไม่มีบุญตายไปเเล้วก็เกิดตามกรรมที่ตัวเองทำไว้เมื่อเป็นมนุษย์ เช่นเป็นเปรต,อสูรกาย,หรือสัตว์เดรฉาน เเละอีกอย่างคุณโอเลย์ชอบอ้างไปกราบพญานาคมั้ง,พญาครุฑมั้ง ยกตัวอย่างเช่นพญานาค พญานาคนั้นภพภูมิเขาก็เป็นเหมือนสัตว์เดรฉาน ฉะนั้นภพถูมิมนุษย์เราสูงกว่าเขา เราไปกราบไหว้เขาก็ไม่ถูก ส่วนพญาครุฑนั้นภพภูมิเขาก็เป็นพวกยักษ์พวกอสูร ฉะนั้นภพภูมิเขาตํ่ากว่าเราเช่นกัน ไปกราบไหว้เขาก็ไม่ใช่ เพราะพวกนี้ยังมีกิเลสเต็มหัวใจ เเละไม่มีโอกาสให้ทานรักษาศิล ทำสมาธิ ภาวนาเหมือนเราที่เป็นมนุษย์ เดี้ยวต่อครับขออณุญาติไปทำธุระเเป๊บครับ SAM_7694.JPG SAM_7691.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2021
  2. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    ก่อนอื่นผมต้องอธิบายเรื่องจิตของพระอรหันต์เป็นอย่างไร ปกติจิตวิญญาณของมนุษย์ทั่วไปนั้น เมื่อตาย จิตวิญญาณออกจากร่าง ก็จะไปเกิดตามบุญเเละปาปที่ทำไว้ในตอนที่เป็นคนที่มีรูปร่างเลือดเนื้อ คนที่มีบุญก็ไปเกิดบนภพภูมิสวรรค์ สวรรค์มี 6 ชั้น
    ๑. จตุมหาราชิกา (สวรรค์ ชั้นที่ ๑) เป็นที่อยู่ของเทพยดาชาวฟ้า มีท้าวมหาราช ๔ พระองค์ปกครอง คือ ท้าวธตรัฐมหาราช ท้าววิรุฬหกมหาราช ท้าววิรูปักษ์มหาราช ท้าวเวสสุวัณมหาราช (ท้าวกุเวร) อายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ (๙ ล้านปีมนุษย์)

    บุรพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ ชอบทำความดี สันโดษ ยินดีแต่ของๆ ตน ชักชวนให้ผู้อื่นประกอบการกุศล ชอบให้ทาน ในการให้ทานเป็นผู้มีความหวังให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยความคิดว่า

    “เราตายแล้วจักได้เสวยผลแห่งทานนี้” และเป็นผู้มีศีล ฯลฯ


    ๒. ดาวดึงส์ (สวรรค์ ชั้นที่ ๒) ที่เรียกว่าไตรตรึงษ์หรือดาวดึงส์ เป็นเมืองใหญ่มี ๑,๐๐๐ประตู มีพระเกศจุฬามณีเจดีย์ มีไม้ทิพย์ ชื่อ ปาริชาตกัลปพฤกษ์ สมเด็จพระอมรินทราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ (๓๖ ล้านปีมนุษย์)

    บุรพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์ มีจิตบริสุทธิ์ยินดีในการบริจาคทาน ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ ไม่มีการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “ตายแล้วเราจักได้เสวยผลทานนี้” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “การให้ทานเป็นการกระทำดี” งดงามด้วยพยายามรักษาศีล ไม่ดูหมิ่นผู้ใหญ่ในตระกูล ฯลฯ

    ๓. ยามา (สวรรค์ ชั้นที่ ๓)

    เป็นที่อยู่ของเทพยดาผู้มีแต่ความสุขอันเป็นทิพย์ มีท้าวสุยามเทวราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ (๑๔๔ ล้านปีมนุษย์)

    บุรพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ พยามสร้างเสบียง ไม่หวั่นไหวในการบำเพ็ญบุญกุศล ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “การให้ทานเป็นการกระทำที่ดี” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี” รักษาศีล มีจิตขวนขวายในพระธรรม ทำความดีด้วยใจจริง

    ๔. ดุสิต (สวรรค์ ชั้นที่ ๔)

    เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้มีความยินดีแช่มชื่นเป็นนิจ มีท้าวสันดุสิตเทวราชปกครอง อายุ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ (๕๗๖ ล้านปีมนุษย์)

    บุรพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดีมากในการบริจาคทาน ในการให้ทานเป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราหุงหากิน แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร” ทรงศีล ทรงธรรม ชอบฟังพระธรรมเทศนา หรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก ฯลฯ

    ๕. นิมมานรตีภูมิ (สวรรค์ ชั้นที่ ๕)

    เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้ยินดีในกามคุณอารมณ์ ซึ่งเนรมิตขึ้นมาตามความพอใจ มีท้าวสุนิมมิตเทวราชปกครอง อายุ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ (๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์)

    บุรพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตใจบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน ในการให้ทานเป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทาน ด้วยความคิดว่า “เราหุงหากินได้ แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราจักจำแนกแจกท่านเช่นเดียวกับฤๅษีทั้งหลายในกาลก่อน” ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ พยามรักษาศีลไม่ให้ขาดได้ มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยะอุตสาหะในการบริจาคทานเป็นอันมาก เพราะผลวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้

    ๖. ปรนิมมิตวสวัตตี (สวรรค์ ชั้นที่ ๖)

    เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์ แบ่งเป็น ฝ่ายเทพยดา มีท้าวปรนิมมิตเทวราช ปกครอง กับ ฝ่ายมารมีท้าวปรนิมิตวสวัตตีมาราธิราชเป็นผู้ปกครอง อายุ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ (๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์)

    บุรพกรรม เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ อุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฏ์ อบรมจิตใจสูงส่งไปด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีลก็ต้องบำเพ็ญกันอย่างจริงๆ มากไปด้วยความศรัทธาปสาทะอย่างยิ่งยวดถูกต้อง ในการให้ทาน เป็นผู้ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไมได้ให้ทานด้วยความคิดว่า “เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับฤๅษีทั้งหลายแต่กาลก่อน” แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า “เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส” เพราะวิบากแห่งทาน และศีลอันสูงส่งยิ่งเท่านั้น จึงอุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ได้ คนที่ไม่มีบุญก็จะเกิดในอบายภูมิ
    “อบายภูมิ” หมายถึงภูมิที่ไม่เจริญ แบ่งเป็นภูมิย่อยจากต่ำสุด แล้วสูงขึ้นไปโดยลำดับนี้
    1. นิรยภูมิ คือภูมินรกอันประกอบด้วย มหานรกเป็นนรกขุมใหญ่ อุสสุทนรกเป็นนรกที่ล้อมรอบมหานรก ยมโลกนรก เป็นนรกที่ล้อมรอบมหานรกและอุสสุทนรก โลกันตนรก เป็นนรกที่อยู่นอกจักรวาล ซึ่งมีแต่ความมืดยิ่งนัก
    2. เปตติวิสันภูมิ คือแดนเปรต เป็นที่อยู่ของสัตว์นรกผู้ห่างไกลจากความสุขไม่มีที่สถานที่อยู่โดยเฉพาะ เป็นชีวิตที่น่าสมเพช ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความอดอยาก มีความหิวกระหายอย่างแสนสาหัส มิได้บริโภคอาหารเลย

    [​IMG]
    3. อสูรกายภูมิ คือแดนของวิญญาณบาปที่ต้องทุกขเวทนาเพราะความกระหายน้ำ พวกอสุรกายมีความทุกข์ทรมานคล้ายกับพวกเปรต
    4. ติรัจฉานภูมิ คือโลกของสัตว์ผู้มีลำตัวไปตามขวาง ต้องคว่ำอกเดินไปแบ่งเป็น 4 พวกคือ
    พวกที่ไม่มีเท้า ได้แก่ งู ปลา ฯลฯ
    พวกที่มี 2 เท้า ได้แก่ นก เป็ด ไก่ ฯลฯ
    พวกที่มี 4 เท้า ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ฯลฯ
    พวกที่มีขามาก ได้แก่ มด ตะขาบ ฯลฯ
    ท่านทั้งหลาย….อบายภูมิเหล่านี้เป็นแดนเกิดของสรรพสัตว์ที่ได้สร้างอกุศลกรรมไว้ในขณะมีชีวิตอยู่ เมื่อตายไปวิญญาณจึงตกล่วงลงสู่อบายภูมิต่าง ๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดและประเภท ของบาปที่พวกเขาได้กระทำ” ขอพูดถึงจิตวิญญาณของพระอรหันต์นั้นเวลาองค์ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เเล้วจิตวิญญาณของพระอรหันต์จะตายเเละหายไปเลย ยังเหลืออยู่ผู้รู้หรือจิตเดิมของท่านที่สว่างตลอดเวลาเเละตื่นตลอดไม่มีหลับ ใครไปใครมาจะรู้ตลอดเวลา เหมือนคำที่พูดว่า ใครปฏิบัติธรรม ธรรมย่อมรักษา นี้คือสาเหตุที่พระอรหันต์ไม่ได้กลับมาเกิดคือจิตที่เป็นวิญญาณไม่มีเลย หลวงปู่เคยเล่าว่า สมัยเคยมาอยู่จำวัดที่วัดหัวภูลังกาใต้ ของหลวงปู่มั่น ถาวโร มีวันหนึ่งพอท่านฉันจังหันเช้าเสร็จ ท่านก็มานั่งพักผ่อนที่กุฏิ ขณะนั้นมีพระธุดงค์จากที่อื่นมาขอพักที่วัด เเละพระองค์นั้นก็เดินมองหลวงปู่เเบบเเปลกๆขณะเดินผ่านหน้ากุฏิหลวงปู่พัก เวลาผ่านไปสักพัก ปรากฏว่าพระธุดงค์ที่เดินมาขอพักจำวัดที่วัดป่าหัวภูลังกา พอเข้าพักที่กุฏิรับรอง พระธุดงค์องค์นั้นได้ส่งของคุณไสย์ ลอยมาตามอากาศ หลวงปู่นั่งอยู่ที่กุฏิรู้ได้ทันทีว่ามีคนส่งของคุณไสย์มา ด้วยผู้รู้เป็นคนบอก พอหลวงปู่ทราบด้วยญาน หลวงปู่ได้กำหนดจิตไปว่า มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นนะ สักพักมีเสียงร้องโอ้ยดังลั่นวัดเลย สักครู่พระธุดงค์องค์นั้น รีบเดินหนีออกจากวัดทันที เเละอีกตัวอย่างหนึ่ง หลวงปู่ได้ส่งลูกศิษย์มาภาวนาที่ภูเขาลังกา(ทีตั้งของถํ้านาคา,นาคีที่โด่งดัง) ครูบาก็เพิ่งบวชใหม่ พอคํ่านั่งสมาธิกำหนดพุทโธเเล้ว นั่งสมาธิไปได้สักพักครูบาบอกว่าได้ยินเสียงร้องของตุ๊กเเก จากบนยอดเขาเสียงร้องดังมากในหูของครูบาที่เป็นลูกศิษย์ เสียงร้องตุ๊กเเกนั้นดังจากยอดเขาลงมาเรื่อยๆ ดังจนกระทั้งเสียงร้องลงมาอยู่ใต้กุฏิที่พระครูบาที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่นั่งสมาธิบนกุฏินั่งตัวสั่นจนไม่มีสติ สุดท้ายเสียงร้องตุ๊กเเกได้มาร้องบนหูของครูบาเองเลย จนครูบาสติเเตก เเละได้ร้องเสียงดังลั่นกุฏิ ว่าหลวงปู่รินทร์ช่วยด้วยครับ สักพักตุ๊กเเกตัวนั้นได้ร้องเสียงดังว่า หลวงปู่รินทร์มาเเล้ว สักพักตุ๊กเเกร้องว่า จีรวรบินมาเเล้ว จนเสียงตุ๊กเเกตัวนั้นรีบหนีขึ้นเขาทันที จริงๆเเล้วหลวงปู่นอนอยู่ที่กุฏิที่วัดป่าโนนสาวเอ้ ซึ่งมีระยะห่างจากภูเขาลังกา 40 กิโลเมตร หลวงปู่ก็บอกว่าหลวงปู่ก็นอนหลับสบาย ไม่รู้เรื่องเลย ครูบาคนนั้นก็เป็นหลานชายผมเอง ที่มาเล่าให้ผมฟังครับ นี่คือความอัศจรรย์ของจิตพระอรหันต์ (เเล้วเเต่ความเชื่อของเเต่ละบุคคลนะครับ)
     
  3. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    ขอพูดถึงเรื่องทำไมเรามาเกิดเป็นมนุษย์ ที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็เพราะเรามีบุญพามาเกิดครับ บุญเกิดจากการทำบุญ,รักษาศีล,บุญจากการเคยปฏิบัตสมาธิ ภาวนา นี้คือสาเหตุการมาเกิด มาเกิดเพื่ออะไร มาเกิดเพื่อมาสร้างบารมีต่อ เพื่อจะเดินทางไปสู่พระนิพพานไม่กลับมาเกิดนั้นเอง ชั้นมนุษย์นั้นเป็นชั้นที่วิเศษมาก เพราะคนจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมาเกิดบนชั้นมนุษย์เเละมาเกิดเป็นพระอรหันต์ก็ต้องมาเกิดที่ชั้นมนุษย์,เกิดเป็นชั้นมหาพรหม 16 ชั้นก็ต้องมาเกิดจากเป็นมนุษย์,จะไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าก็ต้องเกิดจากเป็นมนุษย์นี้ละ่ เเละใครอยากเกิดเป็นสัตว์เดรฉานก็ไปจากเป็นมนุษย์นี้ละ่ครับ,เป็นอสูรกาย,เป็นเปรต,ไปตกนรกอเวจีก็จากมนุษย์นี้ล่ะครับ เพราะชั้นมนุษย์ได้ทำบุญได้เเละได้รักษาศีลได้ เเละได้ปฏิธรรม นั่งสมาธิ,เดินจงกรมได้ เพราะมีรูปร่างกายสังขารที่สัมผัสได้ คือรู้ว่าหนาวร่อนอ่อนเเข็ง เเต่วิญญาณไม่สามารถมีรูปร่างกายสังขารสัมผัสได้ เพราะมีเเต่วิญญาณไม่มีสังขาร เเละทุกคนที่เกิดมาตั้งมีเจ้ากรรมนายเวรติดตัวทุกคน จะทำยังงัยเวรกรรมจะเบาบางลงได้ก็จากการที่เราทำบุญเเละนั่งสมาธิเดินจงกรมภาวนา เเล้วส่งบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของเราเเละสัพสัตว์ทั้งหลายทั่ว 3 โลกธาตุ เขาก็จะอโหสิกรรมเเละเลิกจองเวรเราได้ ไม่มีใครมาเเก้กรรมตัดกรรมให้เราได้หรอก ขนาดพุทธเจ้ายังเเก้กรรมให้เราไม่ได้เลย ใครทำกรรมอะไรไว้ก็รับกรรมเอง ,เเละการต่อชะตาต่ออายุก็ไม่มีใตรทำได้หรอกมีเเต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ทำได้ของท่านเอง เพราะพระอรหันต์เหนือโลกเหนือวิญญาณเเล้ว(อยู่ได้ 120 ปีหรือ 1 กัลป์) ถ้าใครบอกว่าทำได้ก็บอกเขาไปต่ออายุให้พ่อเเม่เขาไม่ตายก่อนเเละญาติๆเขาก่อนเถอะ เเละอีกอย่างหนุนดวงเปลี่ยนดวงก็อย่าไปเชื่อครับ เพราะถ้าเเก้ดวงได้จริงคงไม่ทำให้เราดวงดีเเละรํ่ารวยหรอก เขาคนนั้นคงทำให้ตัวเองดวงดีเเละรํ่ารวยเองเเล้วครับ ยกตัวอย่างที่คนไปไหว้พญานาคที่คำชะโนด เเล้วมีโชคลาภถูกหวยจริง ให้เรามาคิดดูว่า พญานาคทำมัยไม่ช่วยคนอำเภอบ้านดุงให้เป็นเศรษฐีกันให้หมด ไม่ต้องมาบอกช่วยคนจากที่อื่นหรอก หลวงปู่เคยถามพญานาคที่คำชะโนด พญานาคบอกว่า ผมไม่เคยบอกมนุษย์เลย มนุษย์มันหลอกกันเอง ทำกันเอง ด้วยความโลภของมนุษย์เอง ผมกลัวบาปจะตายกลัวตกนรก อยากจะกลับไปเกิดเป็นมนุษย์มาก เพราะจะได้สร้างบุญทำบุญเเละปฏิบัติธรรมสมาธิภาวนา จะได้เดินทางไปพระนิพพาน นี้คือพุทธเเท้ ต้องใช้ปัญญาพิจารณา หาเหตุหาผลให้อยู่กับปัจจุบัน ถ้าใครอยากรวยก็ให้รู้จักทำบุญทำทาน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก นั้นก็คือพระอรหันต์นั้นเอง เช่นใครเคยทำบุญกับพระหลวงตามหาบัว 100 บาท ภพหน้าชาติหน้าถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นคนรั่ารวย 100 ล้านบาทหรือ 1000 ล้านบาท ,ส่วนคนที่อยากมีผิวพรรณดีหน้าตาดีหล่องามสวยเเละอายุยืนก็ให้รักษาศิล 5 ให้ครบในชาติที่เป็นมนุษย์, เเละคนที่มีสติปัญญาดี คิดสร้างนั้นประดิษย์นี้ได้ดีกว่าคนอื่น เพราะเขาคนนั้นในชาติที่มนุษย์ได้เคยปฏืบัติธรรม นั่งสมาธิ ภาวนามาก่อน เพราะฉะนั้นให้เราภูมิใจในการเกิดเป็นคน อดีตที่ผ่านมาเเล้ว เราไม่รู้ว่าสร้างกรรมดีเเละชั่วอย่างไร เเต่ให้รู้ว่าเกิดเป็นมนุษย์เเล้ว เเสดงว่าเราเป็นคนมีบุญเเล้ว เเละได้เกิดเป็นชาวพุทธได้ฟังธรรมคำสั่งสอนของพระอริยะเจ้าถือว่าโชคดีเเล้ว ถึงเเม้ไม่เคยพบเจอพระพุทธเจ้าเเต่เรายังได้พบพระขีณาสพคือพระอรหันต์สาวกเจ้า ให้เพื่อนสมาชิกได้มาทำบุญ,มาฟังธรรมมากราบมาไหว้เป็นมงคลกับตัวเองให้ได้ อย่าเป็นพุทธเเต่ในทะเบียนบ้านนะครับ
     
  4. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    ถ้าเพื่อนสมาชิกเคยดูรายการของคุณโอเลย์เเละคุณเรนนี่ช่องส่องผี จะเห็นว่าทั้งสองท่านจะเห็นเเต่ผีเห็นวีญญาณเท่านั้น เเต่ไม่มีความสามารถช่วยจิตวิญญานให้เปลี่ยนภพภูมิไปเกิดชั้นภูมิที่ดีขึ้นเเละสูงขึ้นไม่ได้เลย จะมีเเต่พระพุทธเจ้าเเละพระอรหันต์สาวกเท่านั้นที่ช่วยได้(เพราะบุญจากการภาวนานั้นสูงที่สุดครับ) เเละการสวดมนต์คาถามหาจักรพรรดิ ก็เหมือนการสวดมนต์ทั่วไปนะเเหล่ะ การสวดมนต์ก็คือการระลึกถึงคุณพระพทธเจ้า,พระธรรมเจ้า,พระอริสงฆ์เจ้า ในความมีเมตตาธิคุณ,กรุณาะิคุณ นั้นเอง ยื่งใครสวดคาถาชินบัญชรยิ่งเเล้ว ผีจะกลัวเพราะเป็นคาถากันผี เเละเป็นการสร้างศูตรไปในตัวเองเลย ยกตัวอย่างผีที่อยู่ตามศาลตามบ้าน ถ้ามีใครมาไล่ออกจากบ้านเขา ทั้งๆที่เขาอยู่ก่อนเเล้วดีๆ เขาก็ไม่ชอบเเละจองเวรจองกรรมเเน่นอน เหมือนคนเราเหมือนกัน เราอยู่บ้านเราดีๆเเล้วมีคนมารุกรานเเละจะทำร้ายเราเเละไล่เราออกจากบ้าน เราก็คงไม่ชอบใช่มั่ย เเละคาถาพระมหาจักรพรรดิก็ไม่ได้ช่วยให้กิเลสหมดจากตัวเราหัวใจได้เลย มีเเต่คาถา พุทโธเท่านั้นที่ช่วยให้เราหมดกิเลส พุทโธเเปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น เเละพระพทธเจ้าทุกพระองค์ก็อยู่ในพุทโธ พุทโธทำให้เห็นอดีตชาติตัวเองเเละเห็นพวกกายทิพย์ได้เเละวีญญาณได้,เห็นเปรตได้,ยักษ์ได้ นรกได้เป็นต้น เเต่พระพุทธเจ้าเเละพระอรหันต์สาวกนั้นมีเเต่เมตตาทุกคนเเละจิตวีญญาณทุกดวง ไม่ว่าจะมีบุญเเละไม่มีบุญ เพราะฉนั้นท่านจึงธุดงค์ไปช่วยจิตวีญญาณตามที่ต่างๆ นี้คือที่มาของการที่ผมอยากจะไปอยู่กับหลวงปู่รินทร์ เเละถ้าผมมีบุญได้บวชในบั้นปลายชีวิตก้ถือว่าผมพอมีบุญบ้างครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2021
  5. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 788 เหรียญสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิ์หลวงปู่ไม อินทสิริ พระอรหันต์เจ้าวัดป่าเขาภูหลวง อ.วังนํ้าเขียว จ.นครราชสีมา หลวงปู่ไมเป็นศิษย์หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม เหรียญสร้างปี 2555 เนื้อทองเเดง หลังเรียบ หน้ากากเงิน มีตอกโค๊ต 3 โคีต คำว่าไม หน้าเหรียญ มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ **********บูชาที่ 205 บาทฟรีส่งems SAM_6762.JPG SAM_9229.JPG SAM_9230.JPG SAM_7793.JPG
     
  6. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    นับเเต่วันนี้ทุกรายการของผมจะเป็นรายการที่ตํ่ากว่าทุนทุกรายการครับ บางรายการอาจจะมีพระเกศาเเถมมาด้วยถ้าผมมี เเต่บางรายการอาจไม่มีเเถมเกศามาด้วย เเต่พระทุกองค์เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นครับ ด้วยว่าผมจะนำไปเป็นทุนพาหลวงปู่ธุดงค์ไปโปรดสัตว์โลกครับ เเละจะนำไปซื้อเเผ่นทองให้หลวงปู่เขียนยันต์ประจำตัวองค์ท่าน เเล้วนำมาเเจกให้เพื่อนสมาชิกทุกคนที่ต้องการ ที่มาของยันต์ตัวนี้ สืบเนื่องมาจากที่ผมได้บอกหลวงปู่ว่า ขอโอกาสหลวงปู่เขียนยันต์ให้ผมด้วยครับ หลวงปู่รินทร์ตอบผมว่าหลวงปู่เขียนไม่เป็นหรอกสมชาย ไม่เคยเขียนยันต์เลย (ช่วงนั้นหลวงปู่รินทร์ท่านสำเร็จธรรมเป็นพระอรหันต์ใหม่ๆ ยังไม่มีประสบการณ์ครับ) ผมเลยบอกหลวงปู่ว่าหลวงปู่ลองเข้าสมาธิถามผู้รู้ดูสิครับ คืนนั้นหลวงปู่เลยเข้าสมาธิถามญานรู้พอรุ่งเช้าหลวงปู่บอกว่าผู้รู้ได้บอกออกมาเป็นภาพเหมือนฉายหนังโทรทัศน์เลย นี้คือที่มาของยันต์ประจำตัวของหลวงปู่ SAM_7691.JPG SAM_9224.JPG
     
  7. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 789 เหรียญกลมไข่หลวงปู่สมัย ฑีฆายุโก พระอรหันต์เจ้าวัดป่าโนนเเสงทอง อ.สว่างเเดนดิน จ.สกลนคร หลวงปู่สมัยเป็นศิษย์หลวงปู่อ่อน ญาฯสิริ,หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นต้นเหรียญสร้างปี 2551 เนื้อทองเเดงรมดำผิวปรอท ********บูชาที่ 150 บาทฟรีส่งems
    ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก

    วัดป่าโนนแสงทอง
    อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

    หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก วัดป่าโนนแสงทอง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก พระอริยสงฆ์แห่งวัดป่าโนนแสงทอง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร แห่งวัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า

    “หลวงปู่สมัย มีบุญคุณกับเรามาก ท่านเป็นผู้สอนเราขานนาค จนเป็น”

    หลวงปู่สมัย ท่านเป็นผู้เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ และธุดงควัตร องค์ท่านเคยได้อยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกับครูบาอาจารย์หลายๆ รูปเช่น หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่มหาบุญมี สิรินธโร หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ และ หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป หลวงปู่สมัย ท่านมีหลวงปู่เคน เขมาสังโย และ หลวงปู่ประสาร ปัญญาพโล เป็นสหธรรมิก

    ท่านเป็นผู้มีนิสัยสุขุม เยือกเย็น พูดน้อย พูดจริง ทำจริง ตรงไปตรงมา มักน้อย สันโดษ สมถะ มีเมตตาสูง ท่านชำนาญทั้งด้านช่างไม้ และช่างปูน สามารถสร้างและออกแบบเสนาสนะได้เป็นอย่างดี

    ชาติกำเนิด
    หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก มีชาติกำเนิดในสกุล โสภาจร เดิมชื่อ พิสมัย เนื่องจากชื่อเดิมนั้น เป็นชื่อของผู้หญิงจึงได้ตัด “พิ” ออก คงเหลือไว้แต่ “สมัย” ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๓ ปีมะเมีย ณ บ้านนาเตียง ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดินจังหวัดสกลนคร

    โยมบิดาชื่อนายสา โสภาจร โยมมารดาชื่อนางเพ็ง โสภาจร

    ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๘ คน เป็นชาย ๔ คน หญิง ๔ คน

    ปฐมวัยและการศึกษา
    ชีวิตตอนเป็นเด็กของหลวงปู่สมัย ท่านมีหน้าที่ช่วยบิดามารดาทำ เรือกสวน ไร่นา พร้อมทั้งต้องทำหน้าที่ช่วยพี่ๆ น้องๆ ด้วย หากจะนึกย้อนกลับไปสมัยที่ท่านยังเป็นเด็กเล็กอยู่ ณ บ้านเกิดของท่านก็คงมีลักษณะเป็นป่า สมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องช่วยกันตัวเป็นเกลียว ในการช่วยในการไถ ปักกล้า ดำนาด้วย จนท่านได้อายุ ๙ ขวบ ได้เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ที่โรงเรียประชาบาล ตั้งอยู่ในวัดอัมพวัน บ้านนาเตียง ตำบลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร และได้ย้ายมาเรียนต่อที่โรงเรียนในวัดแจ้ง บ้านหนองหวาย ซึ่งห่างจากบ้านนาเตียง ๒-๓ กิโลเมตร ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ บิดาได้นำฝากให้เป็นเด็กวัดกับพระซึ่งอยู่วัดเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร พระที่อยู่ด้วยได้เอาไปฝากเข้าโรงเรียนช่างไม้สกลนคร ซึ่งปัจจุบันเป็น “โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล” อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เรียนอยูเป็นเวลา ๓ ปี ขณะนั้นอายุได้ ๑๖ ปี และได้กลับมาอยู่ที่บ้านนาเตียง ตามเดิม เพื่อช่วยบิดามารดาทำทำนาทำสวน

    สู่เพศพรหมจรรย์
    พออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในทางพระพุทธศาสนา โดยเข้าฝึกคำบรรพชาอุปสมทบ ณ วัดสามัคคีบำเพ็ญผล บ้านนาเตียง ตำบลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ในวันนั้นมีการบรรพชาอุปสมบทพร้อมกัน ๔ รูป คือ บวชพระ ๓ รูป และบวชเป็นสามเณร ๑ รูป ที่สิมน้ำบ้านหนองดินดำ (อุโบสถที่อยู่กลางน้ำ ทางพระพุทธศาสเราเรียกว่า “อุทกเขปสีมา”) โดยมีพระครูพุฒิวราคม (หลวงพ่อพุฒิ ยโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์นนท์ โกวิโท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๓

    %A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%86%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%81-1.jpg
    หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก วัดป่าโนนแสงทอง
    เมื่อบวชแล้ว ท่านหลวงปู่สมัย และ พระกรรมวาจาจารย์ ได้เดินทางไปจังหวัดนครพนม พักอยู่ที่วัดอรัญญิกาวาส โดยมีพระอาจารย์บุญมา มหายโส (พระครูไพโรจปัญญาคุณ) เป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น บวชด้วยกันทั้งหมด ๔ รูปดังนี้คือ
    ๑. นาคเคน ฤกษ์งาม ปัจจุบันคือ หลวงปู่เคน เขมาสโย ซี่งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าหนองหว้า บ้านหนองหว้า ตำบลทรายมูล อำเภอสว่างแดนดิน จัวหวัดสกลนคร
    ๒. นาคประสาร ลำไพ ปัจจุบัน คือ หลวงพ่อประสาร ปัญญาพโล (พระครูพิศาลปัญญาคม) เจ้าอาวาสวัดป่าคามวาสีและเจ้าคณะอำเภอสว่างแดนดิน บ้านหนองดินดำ ตำบลตาลโกน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
    ๓. นาคสมัย โสภาจร ปัจจุบันคือ หลวงสมัย ทีฆายุโก เจ้าอาวาสวัดป่าโนนแสงทอง บ้านสร้างดู่-ดอนเขือง ตำบลแวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
    ๔. เณรชาลี โคตรสมบูรณ์ บวชเณรและลาเพศสิกขาเป็นฆราวาสครองเรือนในปัจจุบัน

    ชีวิตในร่มผ้ากาสาวพัสตร์
    พรรษาที่ ๑ – ๒ ปี พ.ศ.๒๔๙๔ – ๒๔๙๕ จำพรรษาที่วัดอรัญญิกาวาส อำเภอเมืองจังหวัดนครพนม และได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่ วัดศรีเทพประดิษฐาราม สอบได้นักธรรมชั้นตรี
    พรรษาที่ ๓ – ๔ ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ – ๒๔๙๗ จำพรรษาที่ วัดป่าภูธรพิทักษ์ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร และได้ศึกษาและฝึกหัดการภาวนากับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร และพระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ
    พรรษาที่ ๕ – ๖ ปี พ.ศ.๒๔๙๘ – ๒๔๙๙ จำพรรษาที่ วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี กับ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
    พรรษาที่ ๗ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ – ๒๕๐๒ ได้ไปจำพรรษาที่ วัดป่าสามัคคีธรรมาวาส บ้านโพนทอง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
    พรรษาที่ ๘ ปี พ.ศ.๒๕๐๓ จำพรรษาที่ วัดอเนกธรรมคุณ วัดป่าบ้านคำพอก อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
    พรรษาที่ ๙ ปี พ.ศ.๒๕๐๔ หลวงปู่ได้เดินทางกลับจำพรรษาที่ วัดป่าสมัคคีธรรมาวาส บ้านโพนทอง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคายอีกครั้ง
    พรรษาที่ ๑๐ ปี พ.ศ.๒๕๐๕ ได้เดินทางไปอยู่ที่ วัดป่าบ้านเหล่า อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม กับ หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร
    พรรษาที่ ๑๑ ปี พ.ศ.๒๕๐๖ ได้กลับมาจำพรรษาที่ วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้าอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี กับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
    พรรษาที่ ๑๒ – ๑๓ ปี พ.ศ.๒๕๐๗ – ๒๕๐๘ หลวงปู่ได้เดินทางกลับจำพรรษาที่ วัดป่าสามัคคีธรรมาวาส บ้านโพนทอง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
    พรรษาที่ ๑๔ ปี พ.ศ.๒๕๐๙ ได้เดินทางไปจำพรรษาที่ วัดป่าอรัญวิเวก บ้านปง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่กับ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
    พรรษาที่ ๑๕- ๒๐ ปี พ.ศ.๒๕๑๐ – ๒๕๑๔ มาอยู่จำพรรษาที่วัดป่าโนนแสงทอง บ้านสร้างดู่ – ดอนเขือง ตำบลแวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
    พรรษาที่ ๒๑ ปี พ.ศ.๒๕๑๕ เดินทางไปอยู่จำพรรษากับ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี
    พรรษาที่ ๒๒ – ๓๕ ปี พ.ศ.๒๕๑๖ – ๒๕๒๙ จำพรรษาที่ วัดป่าโนนแสงทอง บ้านสร้างดู่ – ดอนเขือง ตำบลแวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
    พรรษาที่ ๓๖ ปี พ.ศ.๒๕๓๐ อยู่จำพรรษาที่ภูช่อฟ้า จังหวัดอุดรธานี
    พรรษาที่ ๓๗ ปี พ.ศ.๒๕๓๑ จำพรรษาที่ วัดป่าโนนแสงทอง บ้านสร้างดู่ – ดอนเขือง ตำบลแวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
    พรรษาที่ ๓๘ ปี พ.ศ.๒๕๓๒ เดินทางไปอยู่จำพรรษาที่ วัดถ้ำสูง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม
    พรรษาที่ ๓๙ – ๔๕ ปี พ.ศ.๒๕๓๓ – ๒๕๓๙ อยู่จำพรรษาที่ วัดป่าโนนแสงทอง บ้านสร้างดู่ – ดอนเขือง ตำบลแวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
    พรรษาที่ ๔๖ ปี พ.ศ.๒๕๔๐ อยู่จำพรรษาที่ วัดถ้ำเสียงของ บ้านหลุบเลา อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร
    พรรษาที่ ๔๗ ปี พ.ศ.๒๕๔๑ มาจำพรรษาที่ วัดดอยน้ำอูน เขื่อนน้ำอูน อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร
    พรรษที่ ๔๘ – ๕๔ ปี พ.ศ.๒๕๔๒ – ๒๕๔๙ ได้มาจำพรรษาที่ วัดป่าโนนแสงทอง บ้านสร้างดู่ – ดอนเขือง ตำบลแวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร

    B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5.jpg
    จากซ้าย : (๑) หลวงปู่ประสาน ปัญญาพโล
    วัดคามวาสี ต.ตาลโกน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    (มรณภาพแล้ว เมื่อวันพุธที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑)
    (๒) หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก
    วัดป่าโนนแสงทอง ต.แวง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    (มรณภาพแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑)
    (๓) หลวงปู่เคน เขมาสโย
    วัดป่าหนองหว้า ต.ทรายมูล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    (มรณภาพแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗)
    B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%873.jpg
    หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก วัดป่าโนนแสงทอง
    มรณภาพ
    หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กรอปด้วยศีลและธรรม มีศีลาจาริยวัตรที่งดงาม องค์ท่านละขันธ์ลงด้วยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลยุพราช อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เมื่อเวลา ๐๔.๑๕ น. ของวันพฤหัสบดีที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๑ สิริรวมอายุได้ ๗๘ ปี ๑ เดือน ๔ วัน ๕๗ พรรษา

    %B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg
    รูปเหมือน หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก ณ วัดป่าโนนแสงทอง
    %B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg
    อัฐิธาตุ ของท่าน หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก ณ วัดป่าโนนแสงทอง
    B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%86%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%81.jpg
    ทีฆายุโกเจติยานุสรณ์ เจดีย์บรรจุอัฐิธาตุหลวงปู่สมัย ทีฆายุโก
    โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่สมัย ทีฆายุโก
    “…ขึ้นถ้ำขึ้นภูขึ้นเขาไปบ้านน้อยเมืองใหญ่ แต่ว่าการเดินภาวนาของเรานั้นมีสติ มีพุทโธ พุทโธ พุทโธ ทุกย่างก้าว หมู่พวกที่เดินให้เราเห็นเดี๋ยวนี้ ถึงจะเดินสะพายบาตรเหมือนกันแบกกลดเหมือนกัน คลุมจีวรเหมือนกัน แต่ว่าจะภาวนาไหมหนอ จะพุทโธ ไหมหนอ นี่มันสำคัญตรงนั้น พวกท่านเห็นผ้าสีดำคล้ำๆ กลดใหญ่ๆ อยู่ที่ไหนก็กรรมฐาน กรรมฐานมันไม่ได้อยู่แค่นั้น กรรมฐานมันอยู่กับสติกับพุทโธ มันไม่ได้อยู่กับกลดใหญ่ กับผ้าดำเท่านั้น…”

    “…ให้กำหนดไปเห็นกระดูกสันหลังหรือไม่ หรือเห็นกระดูกแขน กระดูกขา กระดูกซี่โครงส่วนใดส่วนหนึ่ง ถ้ามันติดใจมันสนใจและถ้ามันติดใจสนใจอยู่ตรงไหนก็ให้หยุดอยู่ตรงนั้น และเอาหลักตรงนั้นมาเป็นหลักพิจารณา ถึงแม้มันจะไม่เห็นทั่วตัวก็ตามให้เอาตรงนั้นเป็นหลักเสมอ ถ้าจะพิจารณาตรงใดก็ให้กำหนดตรงที่เดิม แล้วมันจะค่อยๆขยายออก ขยายออก ส่วนที่ไม่เคยรู้ก็จะได้รู้ ส่วนที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น นี่แหละที่เรียกว่าการพิจารณาร่างกาย ก็ถือว่าเป็นการภาวนาเหมือนกัน…” SAM_9231.JPG SAM_9233.JPG
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. สักการะ

    สักการะ ชิวิตดั่งอาทิตย์อัศดง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,690
    ค่าพลัง:
    +5,780
    จอง 788 ครับ
     
  9. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 790 พระกริ่งรูปเหมือนลอยองค์รุ่น 1 หลวงปู่คำเเปลง ปุณณชิ พระอรหันต์เจ้าวัดป่าพรไพรวัลย์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู หลวงปู่คำเเปลงเป็นศิษย์หลวงปู่เเหวน สุจิณโณ เป็นต้น องค์พระสร้างปี 2555 สร้างเนื่องหลวงปุ่อายุครบ 73 ปี เนื้อทองระฆังเก่า มาพร้อมกล่องเดิม *********บูชาที่ 245 บาทฟรีส่งemslส
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ

    วัดหนองบัวคำแสน
    อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู

    khampang00-680x1024.jpg
    หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ วัดหนองบัวคำแสน
    ◎ ชาติภูมิ
    หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ นามเดิมชื่อ คำแปลง จ้อยจีด เกิดวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีเถาะ ตรงกับวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๒ ณ บ้านเลขที่ ๑๔ หมู่ ๙ บ้านท่าสะอาด ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร บิดาชื่อ นายผิว จ้อยจีด และมารดาชื่อ นางคำแหง สุทธิประภา บิดาเป็นผู้ใหญ่บ้านท่าสะอาด เป็นผู้มีอัทธยาศัยดี ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และเป็นผู้ใหญ่บ้านที่อุปถัมภ์ช่วยงานวัดวาอารามต่างๆ บิดามารดาของ หลวงปู่เป็นผู้มีเมตตามาก ถ้าใครไม่มีนา ไม่มีข้าวกินก็ให้มารับจ้างทำนา รับรับจ้างทั่วไป แล้วก็ให้ข้าวไปซึ่งบิดา มารดา ของหลวงปู่เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตาของบุคคลทั่วไปในสมัยนั้น จนทุกคนรู้จักผู้ใหญผิว หลวงปู่มีพี่น้องทั้งหมด ๘ คน คือ
    ๑. นางจอมแพง จ้อยจีด (เสียชีวิตแล้ว)
    ๒. หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ
    ๓. นางบุญตา เสียชีวิตแล้ว
    ๔. นายคำสาง จ้อยจีด
    ๕. นายทองหลาง จ้อยจีด (เสียชีวิตแล้ว)
    ๖. นางบุญมา ป่าจันทร์
    ๗. นางโสภา พวกพิทักษ์
    ๘. นายอนันต์ จ่อยจีด

    ◎ ชีวิตในวัยเยาว์และการศึกษา
    หลวงปู่คำแปลง ท่านจบการศึกษาระดับประถมศึกษา ๔ จากโรงเรียนบ้านท่าสะอาด ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร หลังจากจบการศึกษาหลวงปู่คำแปลง ก็ได้ออกมาประกอบอาชีพช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนาตาประสาเด็กชนบททั่วไป ซึ่งบิดามารดาหลวงปู่คำแปลง มีไร่มีนาเยอะในสมัยนั้น จนสามารถให้คนที่เขาฐานะยากจนในแถบนั้นมาทำนาแล้วเอาข้าวไปไว้ทานได้โดยไม่ต้องเช่านาทำมาหากิน นอกจากมีไร่มีนาเยอะแล้วยังมีควายเยอะมาก ในช่วงหลังจบป.๔ หลวงปู่คำแปลงได้ช่วยงานบิดามารดาอย่างเต็มที่และยังมีหน้าที่ในการควบคุมคนงาน นำข้าวใส่เกวียนเอาไปขายในตลาอ.สว่างแดนดิน ช่วงแรกก็ไปกับบิดา แต่หลังจากนั้น หลวงปู่คำแปลงก็ไปเองกับลูกน้อง ร้านรับซื้อข้าวกับรู้จักและยอมรับในตัวหลวงปู่ว่าสามารถทำหน้าที่แทนบิดาได้

    ◎ ชีวิตก่อนบรรพชา
    หลังจากจบการศึกษาแล้ว หลวงปู่คำแปลง ก็ช่วยงานบิดามารดา จนถึงอายุ ๑๗ ปี ก็ได้ขึ้นทะเบียนทหารกองเกินเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่คำแปลง ก็ออกจากบ้าน ไปรับจ้างเป็นลูกเรือแบกน้ำมัน ขนของส่งตามแม่น้ำโขง ไปส่งของ ตามเมืองต่างๆ จนถึงส่งของในเมืองเวียงจันทร์ ประเทศลาว เมื่อขนของเสร็จอาหารที่ชอบทานและทานบ่อยช่วงเป็นลูกเรือ คือ ได้ทานแต่เฝ๋อ (ก๋วยเตี๋ยว) ของประเทศลาว ของประเทศไทยบ้าง และช่วงทำงานได้เดินทางล่องตามแม่น้ำโขง จากแขวงสะหวันนะเขต มาจนถึงนครหลวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว

    ◎ ติดคุกที่ประเทศลาว
    ในช่วงเป็นลูกเรืออยู่นั้น มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นช่วงขนของในลาว คือ ตำรวจประเทศลาว มาตรวจและจับลูกเรือไทย ๘ คน รวมหลวงปู่คำแปลงด้วยโดยตำรวจประเทศลาว ว่ามีคนไทยไปอาศัยในเรือประเทศลาว เรือชื่อ “ศรีปากเซ ๓” ในครั้งนั้น หลวงปู่คำแปลงติดคุกอยู่ในคุกลาวตั่งแต่ ๐๙.๐๐ น.จนถึง ๑๕.๐๐ น. จึงได้มีนายเรือชื่อ เฮียเล็ก มาประกันตัวออกจากคุกประเทศลาว

    หลังจากนั้นหลวงปู่คำแปลง ก็กลับไปทำงานเป็นลูกเรือและเดินทางส่งของไปเรื่อยๆ จนถึงแขวงสะหวันนะเขต ของประเทศลาว ในช่วงไปรับจ้างขนของในเรือนั้นโยมพ่อของหลวงปู่คำแปลงได้ ไปตามหาและจะเยี่ยมหลวงปู่คำแปลง

    ◎ ปฐมเหตุแห่งการบวช
    โดยในครั้งนั้นโยมพ่อของหลวงปู่คำแปลง ได้ไปหาหลวงปู่คำแปลงที่บ้านของนายเวส สุทธิประภา ซึ่งเป็นญาติทางโยมแม่ของหลวงปู่ ที่บ้านสมสะอาด อ.บ้านว่าน จ.มุกดาหาร (สมัยนั้นเป็นอำเภอมุกดาหาร) เมื่อไปถึงปรากฏว่าไม่เจอหลวงปู่ เนื่องจากหลวงปู่ลงเรือไปรับจ้างขนของที่ สะหวันนะเขต โยมพ่อจึงได้ฝากข้อความถึงหลวงปู่ให้ทราบว่าให้กลับบ้านเกิด เพื่อมาบวชในงานทำบุญอุทิศส่วนกุศล (บุญแจกข้าว) ให้กับปู่ของหลวงปู่

    เมื่อหลวงปู่ได้ทราบข่าวว่าโยมพ่อมาหาที่มุกดาหาร ก็ได้เบิกค่าแรงจากนายจ้างได้ค่าแรงทั้งหมด ๓,๘๐๐ บาท และได้เดินทางกลับมาที่ บ้านเกิด จ.สกลนคร ในช่วงทำงานเป็นลูกเรือทั้งหมด ๒ ปี ด้วยความอดทนและประหยัดของหลวงปู่ หลวงปู่สามารถมีเงินเก็บถึง ๓,๘๐๐ บาท ( ในสมัยนั้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๑ ถือว่าเยอะมากๆ เพราะสมัยนั้นหาเงินยากมาก) เมื่อกลับถึงบ้านเกิด หลวงปู่มอบเงิน
    ให้โยมพ่อ ๓,๔๐๐ บาทเพื่อให้พ่อไปซื้อวัวใหญ่ ๒ ตัว (๑ คู่) ชื่อว่าวัวบักเขียวใหญ่ พร้อมกับล้อเกวียน หลังจากกลับถึงบ้านเกิดได้ ๒-๓ วัน โยมพ่อก็ได้นำหลวงปู่เข้านาค เพื่อเตรียมตัวในการบวช

    khampang0.jpg
    หลวงปู่คำแปลง ปุณณชิ วัดหนองบัวคำแสน ต.ด่านช้าง อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู
    ◎ บรรพชา
    หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๑ อายุได้ ๑๙ ปี ณ วัดตาลนิมิต บ้านบึงโน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร พระอุปัชฌาย์ คือ พระครูอดุลย์สังฆกิจ (หลวงปู่มหาเถื่อน อุชุกโร) หลังจากบรรพชา หลวงปู่ก็ได้ปฏิบัติศีลาจารวัตรโดยเคร่งครัดและปรนนิบัติ พระอุปัชฌาย์ และครูบาอาจารย์อย่างเต็มที่ อาทิเช่น หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ , หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม (สมัยอยู่วัดตาลนิมิตร) ในช่วงบรรพชาเป็นสามเณร นอกจากได้ศึกษา ทางปฏิบัติจากพ่อแม่ครูอาจารย์สายกรรมฐานแล้ว ยังได้เรียนนักธรรมตรี ที่สำนักเรียนวัดสีชมพู บ้านบึงโน กับ หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม ตลอดจนเข้าพรรษาและได้จำพรรษาและปรนนิบัติพระอาจารย์ต่างๆ หลายรูป อาทิเช่น พระอาจารย์สมภาร ปญฺญาวโร , พระอาจารย์อุดม ญาณรโต เมื่อถึงเวลาสอบนักธรรมตรีจะต้องเดินทางด้วยการเดินเท้าไปสอบที่สำนักสอบวัดกุดเรือคำ บ้านกุดเรือคำ ต.กุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร จนสอบได้นักธรรมชั้นตรี

    0-762x1024.jpg
    พระครูอดุลสังฆกิจ (หลวงปู่มหาเถื่อน อุชุกโร) วัดกุดเรือคำ
    ◎ อุปสมบท
    หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ ได้อุปสมบท เมื่ออายุ ๒๐ ปี วันที่ ๒๐ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๒ เวลา ๑๑.๔๕ ณ วัดสีชมพู ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โดยมีท่านพระครูพุฒิวราคม (พระอธิการพุฒิ ยโส) แห่งวัดคามวาสี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ลี ฐิตธมฺโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และท่านพระอาจารย์สุภาพ ธัมมปญฺโญ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า “ปุณฺณชิ” แปลว่า ผู้เต็มบริบูรณ์ (ปุณ ธาตุ ในความเต็ม,บริบูรณ์)

    B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%92-%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%AA.jpg
    พระครูพุฒิวราคม (หลวงปู่พุฒ ยโส) วัดคามวาสี
    หลังจากอุปสมบทแล้วก็ได้ศึกษาข้อปฏิบัติอย่างเคร่งครัดทั้งต่อพระธรรมและวินัย ต่อเพื่อนพระสงฆ์ ต่อครูบาอาจารย์ อีกทั้งได้ศึกษานักธรรมโท ที่สำนักเรียนวัดศรีชมพู บ้านบึงโน อ.สว่างแดนดินจ.สกลนคร จนสอบได้นักธรรมโท จนกระทั้งได้รับความไว้วางใจจาก หลวงปู่ลี ฐิตธมฺโม วัดเหวลึก ให้เป็นครูสอนนักธรรมตรี ในพรรษานั้นด้วย

    ◎ ลำดับการจำพรรษาของหลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ
    พ.ศ. ๒๕๐๑ ขณะเป็นสามเณร ( ๑ ปี ) วัดสีชมพู ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    พรรษาที่ ๑ พ.ศ.๒๕๐๒ วัดสีชมพู ต.โคกสี อ.สว่างแดน จ.สกลนคร
    พรรษาที่ ๒ พ.ศ.๒๔๐๓ วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
    พรรษาที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๐๔ วัดมหาวัน บ.หนองกุง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น
    พรรษาที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๐๕ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพฯ
    พรรษาที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๐๖ วัดวชิราลงกรณ์ ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
    พรรษาที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๐๗ วัดดอยแม่ปั๋ง ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๐๘ วัดป่าห้วยน้ำริน ต.ขี่เหล็ก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๐๙ วัดป่าบ้านช่องแล จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ ๙ พ.ศ. ๒๕๑๐ บ้านยาง แม่หลอด ต.สบเปิง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๑๑ สำนักสงฆ์ดอยปุย อ.เมือง จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๑๒ วัดเขาตานก ต.เขาวัว อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
    พรรษาที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๑๓ วัดอ่าวหมู (ชัยมงคล) ต.อ่าวหมู อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี
    พรรษาที่ ๑๓ พ.ศ. ๒๕๑๔ วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ ๑๔ พ.ศ. ๒๕๑๕ วัดผาจรุย ต.ป่าแงะ อ.ป่าแดด จ.เชียงราย
    พรรษาที่ ๑๕ พ.ศ. ๒๕๑๖ หมู่บ้านชาวอีก้อ จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ ๑๖ พ.ศ. ๒๕๑๗ วัดถ้ำบูชา อ.เซกา จ.หนองคาย
    พรรษาที่ ๑๗ พ.ศ. ๒๕๑๘ วัดป่าสานตม อ.ภูเรือ จ.เลย
    พรรษาที่ ๑๘ พ.ศ. ๒๕๑๙ วัดป่าโป่งลิง อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
    พรรษาที่ ๑๙ พ.ศ. ๒๕๒๐ วัดป่าโป่งลิง อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
    พรรษาที่ ๒๐ พ.ศ. ๒๕๒๑ วัดถ้ำผาสิงห์ อ.วังสะพุง จ.เลย
    พรรษาที่ ๒๑ พ.ศ. ๒๕๒๒ วัดถ้ำผาสิงห์ อ.วังสะพุง จ.เลย
    พรรษาที่ ๒๒ พ.ศ. ๒๕๒๓ วัดสิริปุญญาราม อ.วังสะพุง จ.เลย
    พรรษาที่ ๒๓ พ.ศ. ๒๕๒๔ ป่าสักบ้านดงน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
    พรรษาที่ ๒๔ พ.ศ. ๒๕๒๕ ป่าสักบ้านดงน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
    พรรษาที่ ๒๕-๓๖ พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๓๗ วัดถ้ำผาหมากฮ้อ อ.วังสะพุง จ.เลย
    พรรษาที่ ๓๗ พ.ศ. ๒๕๓๘ วัดถ้ำพญาช้างเผือก อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
    พรรษาที่ ๓๘-๔๗ พ.ศ. ๒๕๓๙-๒๕๔๘ วัดถ้ำผาหมากฮ้อ อ.วังสะพุง จ.เลย
    พรรษาที่ ๔๘-๕๐ พ.ศ.๒๕๔๙-๒๕๕๑ วัดป่าพรไพรวัลย์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู
    พรรษาที่ ๕๑ พ.ศ.๒๕๕๒ วัดเขาท่ากระดาน อ.สวี จ.ชุมพร
    พรรษาที่ ๕๒-๕๙ พ.ศ.๒๕๕๓-๒๕๖๒ วัดป่าพรไพรวัลย์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู
    พรรษาที่ ๖๐ พ.ศ.๒๕๖๒ (๑๔ ก.ค.๖๒) – ปัจจุบัน อยู่จำพรรษา วัดหนองบัวคำแสน อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู

    ◎ ปฏิปทาและคำสอนของหลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ
    หลวงปู่คำแปลง ท่านเป็นพระที่เรียบง่าย มีความเด็ดขาดในตัว เคร่งครัดในพระธรรมวินัย หลวงปู่ท่านจะตื่นแต่เช้า มืดขึ้นมา ท่องทบทวนบทสวดปาฏิโมกข์อยู่เป็น ประจำก่อนที่ท่านจะออกรับบิณฑบาตร ท่านมัก จะสอนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า

    “..เป็นชาวพุทธอย่าขี่เกียจสวดมนต์ไหว้พระ
    มันสู้สัตว์เดรัจฉานบางประเภทไม่ได้
    อย่านอนฟรีๆ..”

    “..ให้หมั่นสวดภาวนาอิติปิโส ( พุทธคุณ
    ธรรมคุณ สังฆคุณ ) อยู่เป็นประจำ เพราะ
    เป็นของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกๆ
    พระองค์ ต้องมาสวดบทนี้..”

    “..อธิฐานถึงบุญที่เราได้ทำแล้ว มาใช้ในยามเกิด
    อุปสรรคในชีวิตหรือตามความต้องการของเรา
    เพราะบุญที่เราทำแล้วมันเป็นสมบัติทิพย์
    ในโลกทิพย์ ถ้าหากเรายังไม่ตาย เรายัง
    ไม่ถึงโลกทิพย์ เราก็อาราธนามาใช้ใน
    เมืองมนุษย์..”

    “..การทำความดี ต้องทำตอนเป็นมนุษย์
    นรกมีจริง บาปบุญมีจริง..”

    “..อธิษฐานศีลก่อนนอน สำหรับคนที่ไม่สามารถ
    รักษาศีลได้ตลอดทั้งวัน..”


    khampang10.jpg
    จากซ้าย
    หลวงปู่ทองมา สุตธมฺโม วัดทรงศิลา (ถ้ำกวาง) จ.ขอนแก่น (ละสังขารแล้ว)
    หลวงปู่บุญมา สุชีโว วัดป่าสุขเกษม อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
    หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ วัดหนองบัวคำแสน อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู
    khampang11.jpg
    ภาพถ่ายงานทำบุญเปิดตึก พีลาตุส อพาร์ตเม้นท์ อ.เมือง จ.เลย ถ่ายเมื่อ
    วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๕
    ๑) หลวงพ่อขันตี ญาณวโร วัดป่าม่วงไข่ อ.ภูเรือ จ.เลย
    ๒) หลวงปู่พัน ฐิตธมฺโม วัดป่าสันติธรรม บ.น้ำกู อ.เมือง จ.เลย (มรณะภาพแล้ว)
    ๓) หลวงปู่สมศรี อตฺตสิริ วัดป่าเวฬุวนาราม ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
    ๔) หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ วัดหนองบัวคำแสน ต.นากลาง อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู
    ๕) หลวงปู่ณรงค์ วฑฺฒโน วัดสิริปุญญาราม ต.หนองงิ้ว อ.วังสะพุง จ.เลย
    ๖) ท่านเจ้าคุณพระปิยทัสสี วัดป่าผาเจริญ อ.วังสะพุง จ.เลย (มรณะภาพแล้ว)
    ๗) พระอาจารย์บอน ปสนฺโน วัดถ้ำผาปู บ.นาอ้อ ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย
    ๘) พระภัทรธรรมสุธี เจ้าคณะจังหวัดเลย (ธ) วัดศรีสุทธาวาส อ.เมือง จ.เลย
    ๙) หลวงพ่อผจญ อสโม วัดสิริปุญญาราม ต.หนองงิ้ว อ.วังสะพุง จ.เลย (มรณะภาพแล้ว)
    khampang001.jpg
    หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ วัดหนองบัวคำแสน(ธ)
    ต.นากลาง อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู
    ปัจจุบัน หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ ท่านจำพรรษา ณ วัดหนองบัวคำแสน ต.ด่านช้าง อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ท่านมีอายุ ๘๑ ปี พรรษา ๖๑ (๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๒)

    khampang2.jpg
    หลวงปู่คำแปลง ปุณณชิ วัดหนองบัวคำแสน ต.ด่านช้าง อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู SAM_9234.JPG SAM_9235.JPG SAM_9236.JPG SAM_9238.JPG
     
  10. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 791 พระสมเด็จ 9 มงคลหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพรต มีฝังเกศา+พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่ฝังเม็ดพระธาตุเยอะมาก มาพร้อพระเกศารวมพระอรหันต์ 30 พระองค์,จีวร,สำลีเช็ดนํ้าตาหลวงปู่ครูบาวงษา,คำหมาก เป็นต้น สายหลวงปู่มั่น มาพร้อมตลับห้อยคอได้เลย (ผมห้อยคอนานเเล้วครับ ปลุกเสกจากพระอรหันต์หลายองค์เเล้วครับ ) *********บูชาที่ 555 บาทฟรีส่งems SAM_9241.JPG SAM_9242.JPG SAM_9243.JPG SAM_9244.JPG SAM_9245.JPG SAM_9246.JPG SAM_8372.JPG
     
  11. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 792 เหรียญที่ระลึกครบรอบ 85 ปีหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ พระอรหันต์เจ้าวัดป่านาคูณ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี หลวงปู่บุญมีเป็นศิษย์พระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด เหรียญสร้างปี 2554 เนื้อทองเเดงรมมันปู มีตอกโค๊ต หลังเหรียญ ***********บูชาที่ 150 บาทฟรีส่งems
    ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ วัดป่าศิลาพร ต.หนองหิน อ.เมือง จ.ยโสธร

    B8%8D%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93.jpg
    หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
    หลวงปู่บุญมี เกิดเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ตรงกับแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีขาล ณ บ้านหนองแสง ต.สิงห์ อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็น อ.เมือง จ.ยโสธร)

    B8%8D%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93.jpg
    ใบสุทธิของท่าน หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
    หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ ท่านอุปสมบท เมื่อวันปวารณาออกพรรษา ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ณ วัดสร่างโศก อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ วัดศรีธรรมาราม อ. เมือง จ. ยโสธร) โดยมีพระครูพิศาลศีลคุณ (โฮม วิสาโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ปริปุณฺโณ” แปลว่า “ผู้เปี่ยมด้วยบุญ”

    ในพรรษาที่ ๓ (ปี พ.ศ. ๒๔๙๒) หลวงปู่บุญมี ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าหนองโดก (วัดป่าโสตถิผล) จ.สกลนคร และได้เข้ารับการอบรมธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ จนหลวงปู่มั่นละสังขารลงในปีนั้น หลวงปู่บุญมีมีเพื่อนสหธรรมิกที่สนิทกันมาตั้งแต่ยังเด็กและได้มีโอกาสออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมร่วมกัน คือหลวงปู่เพียร วิริโย แห่งวัดป่าหนองกอง จ.อุดรธานี

    %A1%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93-1-768x1024.jpg
    หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
    ในพรรษาที่ ๕ (ปี พ.ศ. ๒๔๙๔) หลวงปู่บุญมี ได้กลับไปอยู่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ และ

    ในพรรษาที่ ๖ (ปี พ.ศ. ๒๔๙๕) หลวงปู่บุญมี ได้ไปอยู่ศึกษาธรรมกับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่วัดป่าบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร จากนั้นจึงติดตามหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มาสร้างวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ตั้งแต่พรรษาที่ ๑๑ (ปี พ.ศ. ๒๕๐๐) และอยู่อบรมกรรมฐานกับพระหลวงตามหาบัว เรื่อยมาจนถึงพรรษาที่ ๓๐ (ปี พ.ศ. ๒๕๑๙)

    สมัยที่อยู่ที่วัดป่าบ้านตาด หลวงปู่บุญมี ท่านจะมีเมตตาโอบอ้อมอารีกับพระภิกษุรุ่นน้อง คอยให้คำแนะนำเรื่องธรรมวินัย บางครั้งเมื่อหลวงตาท่านดุ และไล่พระที่ทำผิดออกจากวัด หลวงปู่บุญมี ก็จะออกรับแทนพระผู้น้อยขอโอกาสให้กับภิกษุนั้น ๆ ความอนุเคราะห์เหล่านี้ หลวงปู่บุญมี ท่านจึงเปรียบเหมือนพี่ชายใหญ่แห่งวัดป่าบ้านตาด กอปรกับท่านเป็นพระที่มีจริยาวัตรงดงาม ดังคำที่หลวงตามหาบัวเคยกล่าวไว้ “..ท่านเพียร-ท่านบุญมี เรียบร้อยเหมือนกันหมด ไม่มีด่างพร้อย เรียบร้อยในการปฏิบัติธรรมของท่าน ท่านเพียร ท่านบุญมี ท่านปฏิบัติเอาจริงเอาจังเหมือนกัน..”

    8%87%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89-%E0%B8%88.%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B8%98%E0%B8%A3.jpg
    วันที่ ๓ ส.ค.๒๕๕๘ หลวงปู่ประสาร สุมโน วัดป่าหนองไคร้ จ.ยโสธร พาคณะศิษย์เข้ากราบขอขมาหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ ที่วัดป่าศิลาพร จ.ยโสธร
    %8D%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93-4.jpg
    หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ วัดป่าศิลาพร จ.ยโสธร
    หลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
    หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดเกษรศิลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง) จ.อุดรธานี
    หลวงปู่ปรีดา (ทุย) ฉันทกโร วัดป่าดานวิเวก (วัดดงศรีชมภู) จ. บึงกาฬ
    หลวงปูอุทัย สิริธโร วัดเขาใหญ่เจริญธรรมญาณสัมปันโน จ.นครราชสีมา
    จากนั้นหลวงปู่บุญมี ได้มาอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดถ้ำยานาโพธิ์ (ภูลังกา) อ.บ้านแพง จ.นครพนม ตั้งแต่พรรษาที่ ๓๒-๔๒ (ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ – ๒๕๓๑) จากนั้นท่านจึงมาสร้างวัดป่านาคูณ บ้านนาคูณ ต.บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี อยู่ตั้งแต่พรรษาที่ ๔๔-๖๘ (ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ – ๒๕๕๗)

    และในพรรษาที่ ๖๙-๗๒ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ – ๒๕๖๑)
    หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ ได้มาจำพรรษา ณ วัดป่าศิลาพร อ.เมือง จ.ยโสธร

    %8D%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93-0.jpg
    หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
    %B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3.jpg
    เจดีย์ผู้มีบุญ วัดป่าศิลาพร
    และได้มีการสร้างเจดีย์ผู้มีบุญขึ้นภายในวัดป่าศิลาพรแห่งนี้จนแล้วเสร็จเมื่อประมาณปลายปี พ.ศ.๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ด้วยงบประมาณ ๓๐ ล้านบาท ซึ่งภายในเจดีย์ผู้มีบุญได้มีการบรรจุอัฐิธาตุของพระเกจิชื่อดังทั่วประเทศเพื่อให้ประชาชนได้ไปสักการะกราบไหว้

    หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ ได้ละสังขารด้วยอาการสงบจากอาการปอดติดเชื้อฉับพลัน ที่กุฏิกลางน้ำ ภายในวัดป่าศิลาพร เมื่อเวลา ๐๐.๔๕ น. ของวันที่ ๑๒ ก.ค. พ.ศ.๒๕๖๑ สิริอายุได้ ๙๑ ปี พรรษา ๗๑

    โดยก่อนหน้านี้ หลวงปู่บุญมี ท่านได้มีอาการอาพาธมาได้ประมาณ ๑ เดือน ด้วยโรคชราและต้องเข้ารับการรักษาจากทีมแพทย์อย่างใกล้ชิดแต่อาการไม่ดีขึ้น หลวงปู่บุญมี จึงขอกลับมาพักรักษาตัวเองที่ภายในกุฏิกลางน้ำวัดป่าศิลาพร และอาการทรุดหนักจนละสังขารลงในที่สุด ทั้งนี้ก่อนที่หลวงปู่บุญมีจะละสังขาร ได้สั่งเสียไว้กับพระอุปัฏฐากว่า ให้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลสรีรสังขารของตนเองแบบเรียบง่าย โดยให้บำเพ็ญกุศลจำนวน ๗ วัน และทำพิธีถวายเพลิงสรีรสังขารเลย

    B8%8D%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93.jpg
    วัดป่าศิลาพร หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
    B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%82%E0%B8%93-768x1024.jpg
    อัฐิธาตุ ของท่าน หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ ณ วัดป่าศิลาพร อ.เมือง จ.ยโสธร


    โอวาทธรรม หลวงปู่บุญมี ปริปุณฺโณ

    “…พระนิพพานมีอันเดียว รสเดียวอันเดียวบ่มีเจ็บมีไข้ บ่มีป่วย จึงเป็นบรมสุขใหญ…”

    “…คนเราทุกวันนี้ ถ้าเป็นคนที่มีธรรม จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็เป็นธรรม แต่ถ้าเป็นคนไม่มีธรรม เอาเรื่องโลกมาคิด มาพูด มาทำ ก็มีแต่โลกทั้งนั้น ให้เราทั้งหลายช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เห็นการกระทำอะไรที่ไม่ดีให้ช่วยกันบอกสอนแก้ไขให้ถูกให้ควร อย่าปล่อยให้คนทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    อย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่อาตมาพูดว่าดี ว่าถูก ว่าควรแล้ว ให้นำไปไตร่ตรองดูเสียก่อน หากพิจารณาว่าดี ว่าถูก ว่าควร แล้วจึงค่อยเชื่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ พ่อแม่ครูจารย์ก็เคยเตือนให้พึง ระวังเรื่องอายตนะ ๖ กาย ใจ ตา หู จมูก และลิ้น ไม่ให้นำสิ่งไม่ดีเข้ามา ให้คะลำ ภาษาอีสาน คะลำ หมายถึง หลีกเลี่ยง อย่าเอาสิ่งไม่ดีเข้ามาในตัว หากรู้ว่าไม่ดีให้หลีกหนีให้ไกล…”

    “..ผู้มีวาสนาเพิ่นว่าตกไปบ่อนได๋ กะดี เกิดมาหยังกะดี..””ผู้มีบาปไปเกิดไสกะบ่ดี ไปเกิดเป็นใหญ่เป็นโต กะไปหาความลำบากให้ผู้อื่น.. SAM_9247.JPG SAM_9248.JPG
     
  12. ผู้ผ่านมา

    ผู้ผ่านมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2006
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +140
    ขอบูชาครับ
     
  13. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 793 เหรียญอายุครบ 71 ปีหลวงปู่สมหมาย จิตตปาโล พระอรหันต์วัดป่าอนาลโย อ.กำเเพงเเสน จ.นครปฐม หลวงปู่สมหมายเป็นศิษย์หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร วัดป่าสุนทราราม เหรียญเนื้อทองฝาบาตร มีตอกโค๊ตหน้าเหรียญ องค์นี้เลี่ยมกันนํ้าอย่างดี เหรียญใหม่ไม่เคยใช้********** 200 บาทฟรีส่งems
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล
    วัดป่าดอนกระต่าย (วัดป่าอนาลโย)
    อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม

    หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล
    หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล ท่านถือกำเนิดในตระกูล ทานะสิงห์ เมื่อวันอังคารที่ ๒ มิถุนายน ๒๔๘๕ ตรงกับปีมะเมีย

    โยมบิดาชื่อ นายทา โยมมารดาชื่อ นางคาย นามสกุล ทานะสิงห์ ประกอบอาชีพทำนา โดยองค์ท่านเป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๙ คน บ้านเดิมอยู่ที่ ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดยโสธร) จบการศึกษาชั้น ป.๔ ที่โรงเรียนบ้านกุดแห่


    ปี ๒๕๐๕ เมื่อมีอายุได้ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทตรงกับวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๐๕ ณ วัดป่าสุนทราราม อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร โดยมี พระครูภัทรคุณาธาร (บุญ โกสโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สิงห์ทอง ปภากโร (พระครูสุนทรศีลขันธ์) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า “จิตฺตปาโล“ แปลว่า “ผู้คงไว้ซึ่งการรักษา“

    หลังจากอุปสมบทแล้ว หลวงปู่สมหมายได้อยู่ศึกษาข้อวัตรกับ “หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร” ผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ขององค์ท่าน และจำพรรษา ณ วัดภูถ้ำพระ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร


    หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล
    หลวงปู่สมหมายและภูถ้ำพระ
    สำหรับวัดภูถ้ำพระแห่งนี้นั้น ถือเป็นวัดหนึ่งที่ “หลวงปู่ดี ฉันโน” ศิษย์สำคัญองค์หนึ่งของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สร้างวัดขึ้นเป็นวัดฉลองกึ่งพุทธกาล พ.ศ.๒๕๐๐ โดย หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร และ หลวงปู่สมหมาย จิตตปาโล ตลอดจนชาวบ้านหลายๆ หมู่เหล่า ได้ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาวัดจนเจริญขึ้นเป็นลำดับ


    ภูถ้ำพระ ตั้งอยู่บ้านหินโหง่น ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร อยู่ในเขตป่าสงวนเสื่อมโทรม มีป่าไผ่ขึ้นเป็นจำนวนมาก เป็นสถานที่มหัศจรรย์แปลกตาแปลกใจ ในบริเวณสถานที่วัดภูถ้ำพระ มีถ้ำที่แปลกตาหลายถ้ำ เช่น ถ้ำพระ, ถ้ำเกลี้ยง, ถ้ำพรหมบุตร, ถ้ำเค็ง, ถ้ำเกีย (ค้างคาว), ลานงูซวง เป็นต้น ความอัศจรรย์ความศักดิ์สิทธิ์ของภูถ้ำพระสมัยก่อน มีเรื่องเล่าสืบต่อกันว่า พ่อผู้ใหญ่บ้านชัยเสน ได้พาพรานไปล่าสัตว์บนภูเพ็กแห่งนี้ มีพรานแก้ว ดวงดี พรานหอมสมบัติ พรานไชยราช และพรานพรหมบุตร พร้อมกับพรรคพวกอีกจำนวนหนึ่งได้ไปล่าสัตว์บนภูแห่งนี้ และได้พบพระพุทธรูปในถ้ำจำนวนมากมาย อาทิ พระแก้ว พระงา พระทองแดง พระทองคำ พระไม้จันทน์ พระไม้อื่นๆ รวมทั้งเหล็กไหล ซึ่งนายพรานทั้งหมดขึ้นไปล่าสัตว์จะบอกเล่าว่าในถ้ำพระจะมีผีมเหศักดิ์และงูเหลือมยักษ์ เป็นผู้รักษาถ้ำแห่งนี้ ถ้ามีคนขึ้นไปบริเวณถ้ำพระ และคิดจะลักขโมยพระพุทธรูป จะเกิดอาการเจ็บป่วยหรือตายไป ซึ่งนายพรานบอกเล่าว่า เป็นภูเขาที่มีอาถรรพ์และเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์มาก

    หลวงปู่สมหมาย ในฐานะลูกศิษย์หลวงปู่ดี ผู้ซึ่งได้มาปฏิบัติธรรมบริเวณภูถ้ำพระเป็นท่านแรก พาญาติโยมมาตั้งวัดภูถ้ำพระบริเวณทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงเรียกภูถ้ำพระ ซึ่งก่อนหน้านั้นจะเรียกว่า “ภูเพ็ก” โดยหลวงปู่ดี ฉันโน ได้มาปฏิบัติธรรมและเดินธุดงค์บริเวณภูเพ็กแห่งนี้ จนกระทั่งหลวงปู่ดี ฉันโน มรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๒
    หลวงปู่สมหมาย และ หลวงปู่สิงห์ทอง จึงดำเนินการก่อสร้างเจดีย์หลวงปู่ดี ฉันโนขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๒๗ เพื่อเป็นที่สักการะ ปัจจุบัน หลวงปู่วิเลิศ เขมิโย ได้อยู่พำนักที่วัดภูถ้ำพระแห่งนี้

    วัดภูคูหาไสยาสน์ จอมคีรี (ภูถ้ำพระ)

    ประวัติการสร้างองค์พระนอน วัดภูถ้ำพระ (ธ) ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ตามข้อมูล… ที่เรียนถามพระเถระ และผู้เฒ่าผู้แก่ พระนอนองค์นี้ สร้างขึ้นหลังจาก หลวงปู่ดี ฉนฺโน มรณะภาพไปแล้ว วาระสุดท้ายก่อน หลวงปู่ดี จะมรณะภาพ ราวๆ ปี ๒๕๐๐ ท่านได้ขึ้นปฎิบัติธรรมและมาบูรณะถ้ำพระ ท่าน มีโครงการที่ จะสร้างพระนอน เหมือนกับ ที่วัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี รูปแบบได้ร่างไว้แล้ว แต่ท่านได้มรณะภาพ เสียก่อน ในปี ๒๕๐๒ต่อมา พระอาจารย์สิงห์ทอง ปภากโร ผู้เป็นศิษย์ได้มาสานต่อ ตามเจตนารมณ์ หลวงปู่ดี ฉนฺโน ผู้เป็นพระอาจารย์ จึงได้ ว่าจ้างช่าง ชาวญวณ มารับเหมาปั้นองค์พระนอนหลังจากปั้นองค์พระ เสร็จ พระอาจารย์สิงห์ทอง ก็ได้นำอัฐิธาตุ ส่วนหนึ่ง ของหลวงปู่ดี ฉนฺโนมาบรรจุในองค์พระนอน ด้วย เพื่อเป็นอนุสรณ์ สืบต่อไป

    B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%99-1024x768.jpg
    วัดภูคูหาไสยาสน์จอมคีรี ภูถ้ำพระ พระอาจารย์ดี ฉันโน
    %E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0.jpg
    พระนอน วัดภูคูหาไสยาสน์จอมคีรี ภูถ้ำพระ พระอาจารย์ดี ฉันโน
    B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2.jpg
    วัดภูคูหาไสยาสน์จอมคีรี ภูถ้ำพระ พระอาจารย์ดี ฉันโน
    %B2%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%BA%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5-4.jpg
    หลวงปู่สมหมาย จิตตปาโล วัดป่าอนาลโย
    8%94%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A2-6-683x1024.jpg
    หลวงปู่สมหมาย จิตตปาโล วัดป่าอนาลโย
    ลำดับการจำพรรษา
    ปี ๒๕๑๐ – ๒๔๑๒ : จำพรรษา ณ วัดป่าโนนแสนคำ
    อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร กับหลวงปู่คำ สุมังคโล, หลวงปู่เนย สมจิตโต, หลวงปู่หนูเมย สิริธโร

    ปี ๒๕๑๓ : จำพรรษา ณ วัดภูทอก จ.บึงกาฬ กับ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ในพรรษานั้นหลวงปู่ได้ร่วมสร้างทางขึ้นภูทอก และยังได้พบกับ หลวงปู่สมภาร ปัญญาวโร , หลวงปู่มหาบุญมา ปุญญวันโต , หลวงปู่แสวง อมโร อีกด้วย
    ปี ๒๔๑๔ : จำพรรษา ณ วัดป่าภูหันบรรพต อ.ชนบท จ.ขอนแก่น กับหลวงปู่มหาบุญมา ออกพรรษาแล้วได้ออกวิเวกเดินธุดงค์ไปยังถ้ำสุขเกษม อ.เถิน จ.ลำปาง กับหลวงปู่แสวง อมโร และได้เดินทางมาวัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี ได้พบกับ หลวงปู่มหาเจิม ปัญญาพโล

    ปี ๒๔๑๕ – ๒๕๑๗ : หลวงปู่เสถียร คุณวโร เมตตาเล่าให้ฟังว่าท่านพบกับหลวงปู่สมหมายครั้งแรก ที่จังหวัดเชียงราย ช่วงราวปี พ.ศ ๒๕๑๔ บริเวณอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ใกล้เขตรอยต่อกับอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ในคราวนั้นองค์ท่านเองกับหลวงปู่สมหมาย และท่านพระอาจารย์ปิ่น ปิยธัมโม ต้องได้แยกกันภาวนาอยู่ห่างกันเพราะมีบ้านชาวบ้านแค่ ๒-๓ หลังคาเรือนเท่านั้นถ้าอยู่รวมกันมากเกินไปจะเป็นการรบกวนชาวบ้านมากเกินไป

    บริเวณที่ท่านไปพักในสมัยนั้นเรียกกันว่าดอยมูเซอ เป็นหมู่บ้านที่ชาวมูเซอมาอาศัยอยู่ในกลุ่มนี้เคยได้พบกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มาแล้วในอดีต หลวงปู่มั่นได้สอนบางท่านภาวนาจนจิตสามารถออกรับรู้ภายนอกได้อย่างคล่องแคล่วแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้าหมู่บ้านที่ชื่อว่าเถ้าแก่ล่า ภาวนาดีมากสามารถรู้วาระจิตหลวงปู่มั่นได้ ปัจจุบันทางราชการได้อพยพชาวมูเซอกลุ่มนี้ไปที่อื่นแล้วใครไปเยี่ยมหมู่บ้านมูเซอก็จะกลายเป็นป่าไม่เหลือร่องรอยเดิมเลย
    ช่วงนั้นหลวงปู่สมหมาย ท่านได้ออกวิเวกเดินธุดงค์ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ กับหลวงปู่เสถียร คุณวโร หลวงปู่ปิ่น ปิยธัมโม หลวงปู่กวง โกสโล อาศัยอาหารบิณฑบาตจากชาวเขาเผ่าอีก้อและชาวเผ่ามูเซอ จากนั้น หลวงปู่สมหมาย ท่านได้เข้าพักจำพรรษาที่วัดถ้ำพระสบาย อ.เถิน จ.ลำปาง

    %B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2-1024x645.jpg
    ภาพในอดีตของหลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล (กลาง) , หลวงปู่เสถียร คุณวโร (ขวา) , ท่านพระอาจารย์ปิ่น ปิยธัมโม (ซ้าย) ท่านทั้งสามเคยออกวิเวกธุดงค์อยู่ที่ดอยมูเซอด้วยกันทางภาคเหนือ
    ปี ๒๕๑๗ : ได้ออกวิเวกเดินธุดงค์ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ไปจำพรรษาที่ดอยต๊อก กับหลวงปู่เสถียร คุณวโร
    ปี ๒๕๑๙ : ได้ออกวิเวกเดินธุดงค์ในเขตอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย กับพระอาจารย์จำรัส ปภัสสโร
    ปี ๒๕๒๐ – ๒๕๒๒ : ได้อยู่จำพรรษากับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
    ปี ๒๕๒๓ : จำพรรษา ณ วัดป่าสมบูรณ์ธรรม ต.สานตม อ.ภูเรือ จ.เลย กับ พระอาจารย์สมบูรณ์ กันฺตสีโล
    ปี ๒๕๒๔ : ได้กลับมาจำพรรษากับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ อีกครั้งหนึ่ง
    ปี ๒๕๒๕ : ได้ออกวิเวกเดินธุดงค์ในเขต อ.สนามชัย จ.ฉะเชิงเทรา กับพระอาจารย์หวัน ในปีนั้นหลวงปู่อาพาธหนักด้วยไข้มาลาเลีย
    ปี ๒๕๒๖ : จำพรรษา ณ วัดป่าชัยวารินทร์
    อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น กับหลวงปู่แสวง อมโร
    ปี ๒๕๒๗ : จำพรรษา ณ วัดภูถ้ำพระ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร
    ปี ๒๔๒๘ – ๒๔๓๒ : ได้ออกวิเวกเดินธุดงค์มายัง อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู ได้พักปฏิบัติธรรมอยู่บริเวณหนองกุงแก้ว ซึ่งมีงูจงอางอาศัยอยู่ชุกชุม
    ต่อมาได้สร้างเสนาสนะขึ้น จนเป็นวัดป่าผาสุกคามเขต ในปัจจุบัน โดยที่บ้านหนองกุงแก้ว อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู แห่งนี้ องค์ท่านได้พบกับหลวงปู่ทองสุข วัดป่าวุฑฒาราม และกลายเป็นความเคารพผูกพันในกันและกันจนมาถึงปัจจุบัน
    ปี ๒๔๓๒ – ๒๕๔๑ : จำพรรษาสลับกันระหว่างวัดภูถ้ำพระ (๓ พรรษา) และวัดป่าผาสุกคามเขต (๗ พรรษา)
    ปี ๒๕๔๒ – ๒๕๕๑ : ได้อยู่จำพรรษา ณ วัดภูถ้ำพระ จ.ยโสธร
    ปี ๒๕๕๒ : หลวงปู่ได้รับอาราธนานิมนต์จากพระเดชพระคุณพระเทพมงคลญาณ (หลวงปู่สนธ์ อนาลโย) วัดพุทธบูชา กรุงเทพมหานคร มาบุกเบิกสร้างวัดป่าอนาลโย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และอยู่จำพรรษาจวบจนปัจจุบัน และท่านยังได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าปฐมชัย จ.นครปฐม อีกแห่งหนึ่งด้วย
    ถือได้ว่าองค์ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีแห่งวงศ์พระกรรมฐานในยุคปัจจุบัน ที่พ่อแม่ครูอาจารย์หลาย ๆ รูป หลาย ๆ องค์ได้ยกย่องในคุณธรรมแห่งองค์ท่านไว้ดีแล้ว
    ด้วยปฏิปทาเรียบง่าย สมถะ เมตตาสูง เคร่งครัดในพระวินัย จึงทำให้องค์ท่านเป็นที่รักของศิษยานุศิษย์ทุกชนชั้น นอกจากนั้นยังควรค่าแก่การกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริง

    %B2%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%BA%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5-2.jpg
    หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล
    มรณภาพ
    หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล ท่านละสังขารอย่างสงบเมื่อเวลา ๐๒.๒๒ นาฬิกา ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ สิริอายุ ๗๗ ปี ๑๑ เดือน ๖ วัน พรรษา ๕๘

    โอวาทธรรม หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล
    “เมื่อหมดลมหายใจอันนี้แล้ว ร่างอันนี้ก็เปล่าประโยชน์ ใช้การไม่ได้ สุดท้ายก็ทิ้งเท่านั้นล่ะ”

    “อย่าพากันเล่นหลายเด้อ ครูบาอาจารย์พากันทยอยถิ่มธาตุขันธ์ไปเรื่อยๆ แล้วเด้ มันสิเบิ๊ดละเด้ ผู้สิมาปฏิบัติเป็นตัวอย่าง แล้วนำเอาธรรมนั้นมาสอนพวกเฮาจากจิตจากใจเพิ่นอิหลี”

    “ผมบวชมา รักษาพระธรรมวินัยจนเฒ่าแก่ปานนิ
    ป่วยบ่พอตายสิให้แม่ญิงมาจับมาบาย
    กะคึดอายพระพุทธเจ้า อายครูบาอาจารย์ผู้สอนมา สมัยจำพรรษาอยู่จันท์ เป็นไข้มาลาเรีย จนสิตาย
    ได้เอาน้ำหยอดปากเอา ไปหาหมอ กะมีแต่แม่ญิง
    ผมกะบ่ให้จับให้ตรวจ…แหล่ว จนเขาด่า
    ผมกะบ่หัวซา มันด่าเฮาผู้ทำถูกต้องตามพระวินัย
    เขาบ่ฮู้สิไปเคียดเขากะบ่ได้… ถ้าเขาเคียดให้เฮาว่าดื้อ ดื้อกะดื้อใส่ธรรม บ่แม่นดื้อใส่กิเลสตัณหา
    กรรมมันกะตกอยู่ปากเขา…ฮั่นล่ะ”

    พินัยกรรม หลวงปู่สมหมาย
    ให้จัดตั้งสรีระสังขารที่วัดป่าผาสามยอด บ้านผาสุก ต.หนองกุงแก้ว อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู

    9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%88.%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1-682x1024.jpg
    หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. ผู้ผ่านมา

    ผู้ผ่านมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2006
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +140
    ขอบูชาครับ
     
  15. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 794 เหรียญหลวงปู่มี (หลวงปู่เกล้า) ปมุตฺโต พระอรหันต์เจ้า
    วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย)
    บ้านหนองแซง ต.หนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี หลวงปู่เกล้าเป็นศิษย์หลวงปู่อ่อน ญานสิริ พระอรหันต์วัดป่านิโครธาราม เหรียญสร้างปี 2560 เนื้อทองฝาบาตร มีตอกโค๊ตตัวเลข ๙ หน้าเหรียญ อฐิษฐานจิตโดยหลวงปู่ลี กุสลธโร พระน้องชายหลวงปู่เกล้า(เเต่บวชพระก่อนพี่ชาย) มีพระเกศาหลวงปู่เกล้ามาบูชาเป้นมงคลด้วยครับ (มาพร้อมกล่องเดิม)**********บูชาที่ 185 บาทฟรีส่งems # ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่มี (หลวงปู่เกล้า) ปมุตฺโต
    วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย)
    บ้านหนองแซง ต.หนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี


    0-b8-a7-e0-b8-b1-e0-b8-94-e0-b8-96-e0-b9-89-e0-b8-b3-e0-b9-80-e0-b8-81-e0-b8-b5-e0-b8-a2-jpg-jpg.jpg

    ประวัติย่อๆหลวงปู่มี (เกล้า) ปมุตฺโต พระอริยสงฆ์แห่งถ้ำเกีย องค์ท่านเป็นพระพี่ชายแท้ๆ ของหลวงปู่ลี กุสลธโร องค์หลวงปู่มี ปมุตฺโต หรือที่รู้จัก หลวงปู่เกล้า อดีตเจ้าอาวาสวัดดอยเทพนิมิตร (ถ้ำเกีย) บ้านหนองแซง ต.หนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

    หลวงปู่มี ปมุตฺโต นามเดิม นายมี ชาลีเชียงพิณ เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๒ ณ บ้านเก่า ต.บ้านเก่า อ.ด้านซ้าย จ.เลย

    โยมบิดาชื่อ นายอู๊ด ทองคำ อาชีพเป็นช่างตีทอง และโยมมารดาชื่อ นางโพธิ์ ชาลีเชียงพิณ มีพี่น้องรวมกัน ๔ คน คือ

    ๑. นางวันดี เพ็งลี (ชาลีเชียงพิณ) ถึงแก่กรรมแล้ว
    ๒. หลวงปู่มี ปมุตโต
    ๓.
    หลวงปู่ลี กุสลธโร
    ๔. นางบุญก่อง ศรีบุญเรือง (ชาลีเชียงพิณ) น้องสาวต่างบิดา

    ต่อมามารดาได้พาพี่น้องทั้ง ๔ คน เดินทางอพยพมาตั้งรกรากที่ บ้านหนองบัวบาน ตำบลหมากหญ้า (ในขณะนั้น) อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่เกล้า ได้รับการศึกษาถึงระดับ ประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่โรงเรียนบ้านหนองบัวบาน ในช่วงวัยเยาว์ท่านได้เคยบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นจึงได้ลาสิกขาออกมาทำงานช่วยมารดา และครอบครัว จากนั้นเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม ในครั้งที่ยั้งเป็นฆราวาสนั้น ท่านได้สมรสกับ นางใคร่ มีบุตรธิดารวม ๔ คน คือ

    ๑. นางเกล้า ชาลีเชียงพิณ
    ๒. นายแดง ชาลีเชียงพิณ
    ๓. นายวีระชัย ชาลีเชียงพิณ
    ๔. นางวิไล ชาลีเชียงพิณ


    ชื่อหลวงปู่ท่านมีสองชื่อคือ “หลวงปู่มี” ซึ่งเป็นชื่อที่บิดามารดาตั้งให้ และอีกชื่อที่บุคคลทั่วไปทั้งฆราวาส พระเณร เอ่ยเรียกท่านด้วยความเคารพว่า “หลวงปู่เกล้า” ชื่อหลวงปู่เกล้านั้นมาจากธรรมเนียมชาวอีสาน ที่ถือปฏิบัติคล้ายๆ กันในการเรียกแทนชื่อของผู้เป็นพ่อหรือแทนชื่อของคนผู้เป็นแม่ ด้วยชื่อของลูกคนโต ด้วยท่านมีลูกคนโตชื่อ เกล้า ดังนั้นเพื่อนบ้านคนรู้จักมักคุ้นจึงเรียกชื่อท่านว่า พ่อเกล้า และเรียกกันจนติดปากเรื่อยมาเป็น หลวงปู่เกล้า เช่นทุกวันสมัยเป็นฆราวาส

    สมัยเป็นฆราวาสหลวงปู่ท่านเป็นนายพรานล่าเนื้อจนเป็นที่รู้จักคนทั้งหมู่บ้านและยังเป็นหมอยาสมุนไพรรักษาคนป่วยวิธีการรักษาของหลวงปู่ก็คือเอาเหล็กที่แดงๆ จากการเผาด้วยไฟมาว่างไว้แล้วเท้าหลวงปู่เหยียบลงที่เหล็กแล้วยกขาขึ้นไปเหยียบกับคนไข้ที่ปวดที่ต่างๆ ของร่างกายพอไปเหยียบคนไข้คนไข้ก็ร้องว่าร้อนแต่หลวงปู่ไม่ได้แสดงอาการว่าร้อนแต่อย่างไรเลย

    อุปนิสัยของท่านเมื่อยังเป็นฆราวาสนั้น ถ้าจะกล่าวว่าเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ก็ไม่เป็นการกล่าวผิดไปจากความเป็นจริงที่ท่านเป็นเลย จะลองให้ลูกศิษย์พระเณรฟังในขณะจับเส้นถวายท่านว่า เมื่ออดีตสมัยเป็นฆราวาส ท่านเคยเป็นผ้าขาวติดตามหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล ในช่วงที่หลวงปู่ขาวออกวิเวกหลีกเร้นแสวงหาสถานที่ภาวนาไปตามป่าเขา เพื่อหลีกเร้นจากผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง โอกาสเช่นนี้ ทำให้ท่านได้ติดตามหลวงปู่ขาวเข้าไปสู่บริเวณป่าลึกที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายอันตราย

    นอกจากต้องมีความสันโดษมักน้อยในเรื่องการกินอยู่แล้ว จิตใจต้องก็ยิ่งหนักแน่นมั่นคงกล้าหาญอย่างยิ่งด้วย การที่ได้อุปัฎฐากหลวงปู่ขาวทำให้ท่านได้มีโอกาสพบเจอครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน และรู้จักคุ้นเคยกับปฏิปทาพระกรรมฐานจนเป็นแรงศรัทธาประทับไว้ในใจ ในสมัยเป็นฆราวาส หลวงปู่ท่านพูดให้ฟังว่า เฮาอยู่กับหลวงปู่ขาว เมื่อหนึงไปล่างกระโถน หลวงปู่ขาว เฮาลืมเซ็ดให้แห่ง หลวงปู่ขาวไปเจอท่านเลยโยนกระโถนใส่หน้าเฮา ท่านกะว่าอยู่กับหลวงปู่มั่นบ่ได๋เด้อแบบนี้นะ เฮานะต้อนอยู่กับหลวงปู่ขาว อยู่ในป่าบางมื้อ หลวงปู่ขาวไปบิณฑบาตได๋แต่หมากพริกแห้งกับเกลือ เฮากะเอาหมากพริกแห้งกับเกลือมาตำแล้วเอาน้ำใส่ แล้วกะไปถวาย หลวงปู่ขาว ฉันเข่ากับน้ำพริก มันทุกบ่หมู่โต้คิดดู๊

    0-b8-a5-e0-b9-89-e0-b8-b2-e0-b8-9b-e0-b8-a1-e0-b8-b8-e0-b8-95-e0-b8-ba-e0-b9-82-e0-b8-95-jpg-jpg.jpg
    หนังสือสุทธิของ หลวงปู่มี (เกล้า) ปมุตฺโต
    0-b8-87-e0-b9-84-e0-b8-a1-e0-b9-88-e0-b8-a1-e0-b8-b2-e0-b8-81-e0-b8-99-e0-b8-b1-e0-b8-81-jpg-jpg.jpg
    หลวงปู่มี (เกล้า) ปมุตฺโต วัดถ้ำเกีย ในวัยพรรษายังไม่มากนัก
    ◎ ชีวิตพรหมจรรย์เริ่มต้นกับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
    ชีวิตครองเรือนของท่าน ขณะที่ลูกสาวคนสุดท้องยังเป็นเด็ก ภรรยาของท่านก็ได้เสียชีวิต ท่านก็ผละจากการเป็นผู้ครองเรือนเข้าบวชกับ
    หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม หลวงปู่อ่อน ท่านได้วางระเบียบสำหรับฝึกฝนผู้ที่จะเป็นพระไว้อย่างเคร่งครัดทั้งนี้เพื่อสือทอดรักษาประเพณีข้อวัตรปติบัติตามแบบฉบับที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านดำเนินไว้เป็นแบบอย่าง หลวงปู่พูดอีกว่า ท่านเป็นผ้าขาวอยู่หนึ่งปีกับหลวงปู่อ่อน มีหลวงปู่อว้าน เขมโก เป็นพระสอนนาค จากบันทึกหลวงปู่อว้าน ท่านว่าหลวงตาเกล้าตอนเป็นนาค หลวงปู่อว้านได้ใช้หลวงปู่เกล้า ไปตัดไม้ไผ่มาทำไม้กวาด แต่ไปพลาดท่าไหนมีดเลยไปบาดมือหลวงปู่เกล้าเลือดไหลออกมามาก หลวงปู่พูดต่อว่า พอเลือดไหลออกมาแล้วหลวงปู่เกล้าจ่มคาถาไรไม่รู้แล้วเป่าเลือดก็หยุดไหล แล้วก็ไม่มีบาดแผลเลย

    มีอีกเหตุการณ์หนึ่งสมัยเป็นผ้าขาว วันหนึ่งหลวงปู่นั้นภาวนาอยู่ใต้ต้นยาง วันนั้นมีลมพัดเอากิ่งไม้ยางตกลง แต่ก็ไม่ถูกองค์หลวงปู่ เฉียดออกไม่ถึงสอกแต่หลวงปู่ยังนั่งทำสมาธิต่อโดยไม่มีอาการลุกหนีจนครบเจ็ดวันหลวงปู่จึงออกจากสมาธิแล้วมีคนไปถามหลวงปู่นั่งสมาธิอยู่นั้นไม่ได้ยินเสียกิ่งไม้ตกลงมาหรอหลวงปู่ก็ตอบว่าไม่ได้ยิน

    0-b8-a2-e0-b8-88-e0-b8-ad-e0-b8-b8-e0-b8-94-e0-b8-a3-e0-b8-98-e0-b8-b2-e0-b8-99-e0-b8-b5-jpg-jpg.jpg
    หลวงปู่มี (หลวงปู่เกล้า) ปมุตฺโต
    วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    0-b8-a5-e0-b9-89-e0-b8-b2-e0-b8-9b-e0-b8-a1-e0-b8-b8-e0-b8-95-e0-b8-ba-e0-b9-82-e0-b8-95-jpg-jpg.jpg
    หลวงปู่มี (เกล้า) ปมุตฺโต วัดถ้ำเกีย
    ◎ การตั้งวัดดอยเทพนิมิตร (ถ้ำเกีย)
    ขณะที่หลวงปู่เป็นพระนวกะ (บวชใหม่) ที่หนองบัวบานมีโครงการทำเขื่อนกักเก็บน้ำ (เขื่อนห้วยหลวง) หากสร้างเสร็จแล้วพื้นที่ที่กักเก็บน้ำอาจกินเนื้อที่บริเวณวัดหนองบัวบาน อาจถูกน้ำท่วมจนจมหายไปหมด จึงได้ขอพระราชทานวิสุงคาสีมา และได้ออกปากกับบรรดาลูกศิษย์ในวัดว่า ใครจะไปอยู่ไหนก็รีบไป ให้รีบหาวัดอยู่เพราะไม่แน่ว่าน้ำจะท่วมวัดจนจมอยู่ในเขื่อนหรือไม่ ด้วยเหตุหนี้พระลูกศิษย์ของ
    หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลายรูป ได้กราบลาท่านออกจากวัดหนองบัวบานรวมถึงหลวงปู่ด้วยที่จำพรรษาอยู่กับท่านผ่านมา ๓ พรรษาแล้วด้วย เมื่อหลวงปู่เกล้าออกวัดหนองบัวบานแล้ว ได้วิเวกมาจนถึงภูกำพร้าแต่ก่อนบริเวณภูนี้ท่านเคยเที่ยวลัดเลาะผ่านมาเมื่อครั้งเป็นนายพราน ด้วยกุศลจิต ความศรัทธา เสียสละจากชาวบ้าน ทั้งขวนขาวยอนุเคราะห์ในการอุปัฎฐาก สถานที่ที่ท่านอาศัยวิเวกตรงนี้ จึงได้เป็นวัดดอยเทพนิมิตร หรือวัดถ้ำเกีย ในปัจจุบันนี้ (จากศาลาวัดห่างออกไปประมาณ ๕๐๐ เมตร มีถ้ำที่มีค้างคาวอยูอาสัยจำนวนมาก จนเป็นชื่อว่า “ถ้ำเกีย” เกียเป็นภาษาอิสาน หมายถึง “ค้างคาว“

    0-b8-a2-e0-b8-88-e0-b8-ad-e0-b8-b8-e0-b8-94-e0-b8-a3-e0-b8-98-e0-b8-b2-e0-b8-99-e0-b8-b5-jpg-jpg.jpg
    หลวงปู่มี (หลวงปู่เกล้า) ปมุตฺโต
    วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    ◎ ความเพียร
    ข้อวัตรปฏิปทาของหลวงปู่มี ทุกวันฉันเสร็จแล้วจะเข้าทางจงกรม จากนั้นจึงขึ้นกุฎินั่งสมาธิภาวนา ท่านเล่าว่า สมัยท่านเป็นพระบวชใหม่ได้หักหาญทำความเพียรอย่างหนักในการแก้นิวรณ์ อดหลับ อดนอน ๔ วัน ๔ คืนจนเป็นลมสลบไปในคืนที่ ๔ หลังจากนั้นก็ไม่มีอาการโงกง่วงสัปหงกในการภาวนาอีกเลย กับครูบาอาจารย์ผู้เป็นมงคล สมันเป็นฆราวาสหลวงปู่มีโอกาสได้ติดตาม
    หลวงปู่ขาว อนาลโย นับเป็นสิริมงคลอย่างสูง เมื่อบวชเป็นพระหลวงปู่ก็ได้อยู่กับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นอาจารย์ผู้ให้นิสัย นับเป็นมงคลอย่างสูง เมื่อพระมหาเถระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด ได้เมตตาเดินทางมาเยี่ยมที่วัดถ้ำเกียหลายครั้งหลายคราว ดังนั้นการปกครองพระเณรของหลวงปู่เกล้า ท่านจึงระวังไม่ให้เสียปกิปทาที่รักษามาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้ง ๓ องค์

    0-b8-a7-e0-b8-b1-e0-b8-94-e0-b8-96-e0-b9-89-e0-b8-b3-e0-b9-80-e0-b8-81-e0-b8-b5-e0-b8-a2-jpg-jpg.jpg
    หลวงปู่มี (หลวงปู่เกล้า) ปมุตฺโต
    วัดดอยเทพนิมิตร (วัดถ้ำเกีย) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    ◎ ละสังขาร
    ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ หลวงปู่เกล้าเริ่มอาพาธมีอาการอาพาธทางด้านสมอง แพทย์ตรวจวินิจฉัยว่าสมององค์ท่านเป็นโรคสมองฝ่อ อาการของโรคชนิดนี้มักจะเป็นมากในผู้สูงอายุ ถ้าหากใครได้เป็นแล้วโอกาสที่จะรักษาให้หายขาดนั้นยาก มีแต่ทรงไว้เท่านั้น แต่ร่างกายของท่านก็ยังดูแข็งแรงดีสมกับกาลพรรษา ยังเดินได้สะดวกและแววตาของท่านก็ยังสดใส หากโรคนี้ไม่มาเบียดเบียนท่าน ปฏิปทาข้อวัตรขององค์ท่านนั้นจะยังเหมือนเดิมทุกประการ


    ปี พ.ศ.๒๕๕๑ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ อาการป่วยขององค์ท่านก็เริ่มแสดงอาการอย่างเห็นได้ชัดว่าสังขารนี้เป็นของไม่เที่ยง องค์ท่านต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งและเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของท่านและมาสิ้นสุดลงแค่นี้ เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๑ เวลา ๐๘.๐๐น. ท่านก็ได้ละธาตุขันธ์ ในระหว่างพรรษาที่ ๔๒ สิริอายุได้ ๘๙ ปี ๔ เดือน ๑๑ วัน ณ ศาลาวัดดอยเทพนิมิตร (ถ้ำเกีย) คงทิ้งไว้แต่บทเรียนปฏิปทาของท่านให้ลูกศิษย์ได้เห็นสัจธรรมและการปฏิบัติของท่านเพื่อให้เป็นข้อวัตรทางดำเนินเดินตาม “รอยเท้าพ่อ

    0-b8-a5-e0-b9-89-e0-b8-b2-e0-b8-9b-e0-b8-a1-e0-b8-b8-e0-b8-95-e0-b9-82-e0-b8-95-1024x683-jpg-jpg.jpg
    เจดีย์พิพิธภัณฑ์องค์หลวงปู่มี(เกล้า)ปมุตโต
    วัดดอยเทพนิมิต (ถ้ำเกีย) ต.หนองบัวบาน
    อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    0-b8-81-e0-b8-a5-e0-b9-89-e0-b8-b2-e0-b8-9b-e0-b8-a1-e0-b8-b8-e0-b8-95-e0-b9-82-e0-b8-95-jpg-jpg.jpg
    รูปเหมือน หลวงปู่เกล้า ภายในเจดีย์พิพิธภัณฑ์องค์หลวงปู่มี (เกล้า) ปมุตโต
    0-b8-81-e0-b8-a5-e0-b9-89-e0-b8-b2-e0-b8-9b-e0-b8-a1-e0-b8-b8-e0-b8-95-e0-b9-82-e0-b8-95-jpg-jpg.jpg
    เครื่องอัฐบริขาร ภายในเจดีย์พิพิธภัณฑ์องค์หลวงปู่มี (เกล้า) ปมุตโต
    0-b8-a5-e0-b9-89-e0-b8-b2-e0-b8-9b-e0-b8-a1-e0-b8-b8-e0-b8-95-e0-b9-82-e0-b8-95-614x1024-jpg-jpg.jpg
    รูปเหมือน ภายในเจดีย์พิพิธภัณฑ์องค์หลวงปู่มี (เกล้า) ปมุตโต sam_8556-jpg-jpg.jpg sam_8558-jpg-jpg.jpg sam_8559-jpg-jpg.jpg sam_7605-jpg-jpg.jpg 561000011428003-jpg-jpg-jpg-jpg-jpg.jpg



    561000011428004-jpg-jpg-jpg-jpg-jpg.jpg

    หมายเหตุ>>>>>หลวงปู่ลี กุสลธโร พระน้องชายหลวงปุ่เกล้าศิษย์เอกพระหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด(หลวงปู่ลีบวชพระก่อนตั้งเเต่ พ.ศ.2492 ครับ) หลวงปู่เกล้าเเต่ก่อนท่านเป็นนายพรานเคยอุปฐากอารักขารับใช้หลวงปู่ชาว อนาลโย วัดถํ้ากลองเพลในป่า 9 ปีครับ
     
  16. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 795 พระผงยุคต้นๆเนื้อว่านรุ่นถิ่นกำเนิดหลวงตาพวง สุขินททริโย พระอรหันต์เจ้าวัดศรีธรรมราม อ.เมือง จ.ยโสธร หลวงตาพวงเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นยุคสุดท้าย องค์พระสร้างปี 2539 เนื้อว่านองค์นี้มีพระเกศาฝังในองค์พระโผล่ที่เเก้มขวาหลวงตา เเละเกศาโผล่ที่ตัวอักษร ด หลังองค์พระ องค์พระสวยระยิบระยับทั้งหน้าหลัง หายากครับ >>มีพระเกศาขาวใสหลวงตามาบูชา********บูขาที่ 295 บาทฟรีส่งems ประวัติย่อของหลวงตาพวง
    หลวงตาพวงเป็นชาว จ.ยโสธร นามเดิม พวง ลุล่วง เป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งลุ่มน้ำชี มีศิษยานุศิษย์ทั่วทุกภาค อาจารย์องค์แรก คือ พระอาจารย์สอ สุมังคโล ซึ่งพา ด.ช.พวง อายุ 14 ปี ไปฝากตัวเป็นศิษย์ดูแลหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล แห่งวัดดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี หลังจากหลวงปู่เสาร์มรณภาพ ด.ช.พวง จึงบรรพชาเป็นสามเณร และอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์มาตลอด

    หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ กล่าวถึง หลวงตาพวง ชื่อ เสียงของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีในสายวงวัตถุมงคลโชคลาภ ของคนไทยทั่วประเทศเพราะด้วยปฏิปทาที่เรียบง่าย สมถะและเมตตาแก่ทุก ๆ คนที่ไปหา มิใช่แต่ชาวจังหวัดนครราชสีมาที่เลื่อมใสและศรัทธาท่าน ชาวยโสธรเองก็เช่นเดียวกันที่เลื่อมใสศรัทธาในวัตรปฏิบัติ และพากันไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณ เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งขอวัตถุมงคลเพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่าง ๆมิได้ขาด
    แต่ทุก ๆ ครั้งที่ชาวยโสธรไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณนั้น หากท่านทราบว่าเป็นชาวยโสธรแล้วหลวงพ่อคูณท่านจะไม่ยอมให้วัตถุมงคล และบอกว่าให้กลับไปเอาที่ยโสธร ท่านมักจะพูดว่า "ที่ ยโสธรมีคนเก่งกว่ากูมีอีก ผมหงอก ๆ ขาว ๆ ที่นั่งอยู่ริมแม่น้ำชีนั่นแหละ ท่านหมดกิเลสแล้ว ท่านไม่แสดงเฉยๆ กูยังไม่ถึงเท่าท่านเลย ไป"
    เมื่อสัมภาษณ์หลวงตาพวง ถึงเรื่องนี้ ท่านก็เล่าให้ฟังว่า "ก็เคยได้ยินมาจากญาติโยมหลายสิบคนแล้ว ที่เล่าให้ฟังเหมือนกันว่าเมื่อชาวยโสธรไปกราบหลวงพ่อคูณ ท่านมักจะไล่กลับมาหาหลวงตา"
    "หลวงตาเองก็ ไม่เคยได้พูดคุยกับหลวงพ่อคูณสักครั้งเดียว หลวงตาก็เคยไปวัดบ้านไร่มาสองครั้ง แต่ไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับท่านเพราะมีญาติโยมเป็นจำนวนมากจึงไม่มีโอกาสพูด คุยกัน หลวงพ่อคูณจะทราบได้อย่างไรก็ไม่ทราบหรืออาจเป็นเพราะมีลูกศิษย์เล่าให้ฟัง ถึงประวัติหลวงตากระมัง"

    ปาฏิหาริย์หลวงตาพวง เดินข้ามบิณฑบาตรแม่น้ำชี
    มีเรื่องเล่าขานกันใน หมู่ชาวบ้านแถบลำน้ำชีอันเป็นที่ตั้งของ วัดศรีธรรมารามซึ่งหลวงตาพวงเคยจำพรรษาอยู่ ฝั่งตรงข้ามของวัดศรีธรรมารามเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเขตของอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ชาวบ้านเล่ากันว่ามีคนออกไปเก็บกับดักหนูที่ดักไว้ในช่วงเช้ามืดได้เห็นหลวง ตาพวงออกเดินบิณฑบาตโดยเดินบนแม่น้ำชีจากวัดศรีธรรมารามไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ฝั่งอำเภอพนมไพร
    คุณสมจันทร์ โพธิศรี อยู่บ้านเลขที่ 68 บ้านกุดกุง (คุ้มหนองแสง) ต. เขื่อนคำ อ.เมือง จ. ยโสธร เล่าให้ฟังเป็นภาษาอิสานว่า "เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538- 2539 เช้าวันหนึ่งข่อยไปดักหนูป่าแมะ ได้เห็นหลวงตาพวงเพิ่นเดินข้ามแม่น้ำชีไปแมะ ข่อยนี้แหละเป็นผู้เห็นท่านเองเลย" (คัดจากหนังสือโลกทิพย์)

    เมื่อถามเรื่องนี้กับหลวงตา หลวงตาก็ตอบว่า "เป็นเรื่องของเขาเห็นปรากฏในสายตา หลวงตาไม่ค้าน ไม่ได้ปฏิเสธ เขาคงเห็นด้วยสายตาของเขา จะเล่าลืออย่างไร หลวงตาไม่ได้พูด ไม่ได้อวดอะไร" แล้วหลวงตาก็เปลี่ยนเรื่องพูดถึงเรื่องหมู่บ้านในฝั่งอำเภอพนมไพรว่า " หลวงตาก็รับนิมนต์ไปสวดหรือไม่ก็ฉันที่หมู่บ้านฝั่งนี้เป็นประจำทุกวันออก พรรษาชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ก็พากันมามอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ มากราบขอพรเพราะพวกเขาไม่มีที่พึ่งในหมู่บ้าน เขาจึงมาพึ่งหลวงตา เมื่อมีการงานอะไรพวกเขาก็มาช่วยเสมอ ๆ แม้แต่มาอยู่ที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม พวกเขาก็ยังมา"

    หลวงตาพวง สุขินทริโย วัดศรีธรรมาราม จ.ยโสธร มรณภาพละสังขารเข้าอนุปาทิเสสนิพพาน
    เมื่อเวลา 10.52 น. วันที่ 2 เมษายน 2552
    ณ โรงพยาบาลยโสธร จังหวัดยโสธร หลวงตาพวงมีอาการอาพาธกะทันหันขณะเป็นประธานทอดผ้าป่ าที่วัดสิริดำรงวนาราม อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เมื่อคืนวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา โรงพยาบาลยโสธรรับตัวมารักษาต่ออยู่ในห้องไอซียูกระท ั่งมรณภาพ
    พระเทพสังวรญาณ หรือหลวงตาพวง สุขินทริโย สิริอายุ 81 ปี 11 เดือน เจ้าอาวาสวัดศรีธรรมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร
    *******หลวงตาพวง มีน้องชาย อีกหนึ่งท่านคือ หลวงปู่สรวง สิริปัญโญ เจ้าอาวาสวัดบ้านศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร sam_6789-jpg-jpg.jpg sam_6875-jpg.jpg sam_6790-jpg-jpg.jpg sam_7419-jpg-jpg.jpg sam_7420-jpg-jpg.jpg sam_7421-jpg-jpg.jpg sam_7422-jpg-jpg.jpg sam_7423-jpg-jpg.jpg sam_7424-jpg-jpg.jpg sam_7425-jpg-jpg.jpg
     
  17. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 796 เหรียญรุ่นเเรกหลวงปู่คำพอง ขันติโก พระอรหันต์เจ้าวัดป่าอัมพวัน อ.เมือง จ.เลย หลวงปู่คำพองเป็นศิษย์หลวงปู่เเหวน สุจิณโณ วัดดอยเเม่ปั๊ง,หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์เหรียญรุ่นเเรกสร้างปี 2538 เนื้อทองเเดงรมดำ เหรียญใหม่ไม่เคยใช้ เป็นเหรียญที่มีประสบการณ์ของหลวงปู่ครับ หลวงปู่เป็นพระที่เงียบไม่ค่อยพูดเเต่พลังจิตสูงมากองค์หนึ่งในสายหลวงปู่มั่น หลวงปู่ไม่ดังไม่ค่อยเปิดตัว เวลาผมไปเมืองเลยผมจะเเวะไปกราบหลวงปู่ทุกครั้งสมัยที่องค์ท่านยังทรงธาตุทรงขันต์อยู่ มีวันหนึ่งขณะที่ผมไปกราบองค์หลวงปู่เเละได้อุปฐากพาหลวงปู่ไปเข้าห้องนํ้า ได้มีขบวนรถของตำรวจเเละฝ่ายปกครองของจ.เลย ขี่เข้ามาในวัดเยอะมาก เเล้วเข้ามาถามหาพระอุปฐากองค์หลวงปู่ ผมเองเห็นคนมาเยอะเลยเข้าไปถามพวกตำรวจว่ามาอะไรกันเยอะเเยะ เขาบอกว่าเมื่อกี้พวกได้เอาเหรียญรุ่นเเรกของหลวงปู่ไปลองยิง ปรากฏว่าปืนด้านยิงไมออก พอยิงขึ้นฟ้ากลับยิงออก เขาลองยิงหลายครั้งก็เหมือนเดิม เพราะฉนั้นพวกเขาจึงมาขอบูชาเหรียญที่วัดกับพระอุปฐากเองเลย เรื่องก็เป็นอย่างนี้ละครับ(>>>>>>>>วันนั้นผมเองก็อยู่ที่วัดของหลวงปู่ด้วยครับ) เหรียญสร้างปี 2538 สร้างเนื่ององค์หลวงปู่อายุครบ 60 ปี**********มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ ************บูชาที่ 395 บาทฟรีส่งems sam_9675-jpg-jpg-jpg-jpg.jpg sam_5037-jpg-jpg-jpg-jpg.jpg sam_5038-jpg-jpg-jpg-jpg.jpg sam_1606-jpg-jpg-jpg-jpg.jpg
    ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อคำพอง ขันติโก
    วัดป่าอัมพวัน ตำบลน้ำหมาน อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย
    ๏ อัตโนประวัติ
    ในจังหวัดเลยมีพระเถราจารย์สายปฏิบัติธุดงควัตรปรากฏอยู่มากมาย อาทิเช่น หลวงปู่ท่อน ญาณธโร วัดศรีอภัยวัน, หลวงพ่อขันตี ญาณวโร วัดป่าม่วงไข่, หลวงพ่อโกวิทย์ ฐานยุตโต หรือพระปิยทัสสี วัดป่านาอีเลิศ (วัดป่าผาเจริญ) เป็นต้น รวมไปถึง “หลวงพ่อคำพอง ขันติโก” แห่งวัดป่าอัมพวัน บ้านไร่ม่วง ต.น้ำหมาน อ.เมือง จ.เลย ซึ่งเป็นศิษย์เอกและทายาทธรรมของ “หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล” พระบูรพาจารย์สายพระธุดงค์กรรมฐาน แห่งวัดเลียบ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี และ “หลวงปู่แหวน สุจิณโณ” แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ พระสายธุดงค์กรรมฐานชื่อดังอีกรูปหนึ่ง
    หลวงพ่อคำพอง ขันติโก มีนามเดิมว่า คำพอง แสงจันทร์ เกิดเมื่อวันที่ 13 มกราคม พุทธศักราช 2478 ณ บ้านชนบท ต.ชนบท อ.ชนบท จ.ขอนแก่น โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายภู และนางทองมาก แสงจันทร์ ปัจจุบัน สิริอายุได้ 72 พรรษา 52 (เมื่อปี พ.ศ.2549) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าอัมพวัน จ.เลย
    b8-25b1-25e0-25b8-2599-25e0-25b8-2595-25e0-25b8-25b4-25e0-25b9-2582-25e0-25b8-2581_1-jpg-jpg-jpg.jpg

    การบรรพชาและอุปสมบท
    อายุ 19 ปี ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดป่าธรรมวิเวก ต.ชนบท อ.ชนบท จ.ขอนแก่น โดยมีพระครูศีลสังวราภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    หลังจากบรรพชาแล้ว ได้อยู่จำพรรษาที่วัดป่าธรรมวิเวก จนอายุครบ 21 ปี ถึงวัยต้องถูกคัดเลือกเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ปรากฏว่านายคำพองจับได้ใบดำ ไม่ต้องเป็นทหาร
    ต่อมาหลวงพ่อคำพอง ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุสายธรรมยุต
    ๏ ทายาทธรรมของหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่แหวน
    หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ยึดหลักการในการปฏิบัติตนตามแบบอย่าง หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล แนวปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์ คือ การอยู่คนเดียวให้รักษาจิต อยู่กลางมิตรให้รักษาวาจา และยึดถือแนวปฏิบัติของ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เป็นแนวปฏิบัติมาตั้งแต่ท่านบวช และออกเดินธุดงค์มาโดยตลอด
    เมื่อครั้งออกธุดงควัตรในครั้งหนึ่ง หลวงพ่อคำพองได้นิมิตว่าได้นั่งบนธรรมาสน์ใหญ่ เทศนาให้พระเถระฟัง จึงได้ตั้งอธิษฐานเอาไว้ตั้งแต่บัดนั้นว่า จะครองตนในเพศบรรพชิตตลอดชีวิต
    ในการออกธุดงค์ของหลวงพ่อคำพอง ได้ท่องธุดงค์ขึ้นไปทางภาคเหนือ บางครั้งข้ามไปประเทศพม่าและลาว ในช่วงแรกจะอยู่ในภาคเหนือ โดยได้ปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงปู่แหวน เป็นประจำ ช่วงที่อยู่ภาคเหนือ หลวงพ่อคำพอง เคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเจริญธรรม อ.สันป่าตอง, วัดห้วยน้ำริน อ.แม่ริน, วัดสันติบถ อ.แม่แตง, วัดช่อแฮ อ.แม่แตง, วัดสระหลวง อ.แม่ริน และวัดผาเด้น อ.แม่ริม เป็นต้น
    ในส่วนของภาคอีสาน ก่อนที่จะมาอยู่จำพรรษาที่ จ.เลย เมื่อออกจากทางภาคเหนือ ส่วนใหญ่ หลวงพ่อคำพองจะอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำปาง ก่อนย้ายไปจำพรรษาอยู่ทางภาคกลางระยะหนึ่ง และเดินทางมาอยู่จำพรรษาที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.นครพนม และ จ.สกลนคร
    รวมทั้ง ยังเคยไปจำพรรษาอยู่ที่วัดของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และอีกหลายวัดในภาคอีสาน
    ๏ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าอัมพวัน
    หลวงพ่อคำพองรู้จักและสนิทสนมกับ หลวงปู่ซามา อาจุตฺโต อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าอัมพวัน จ.เลย ซึ่งปัจจุบันท่านมรณภาพไปนานแล้ว ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อคำพองพร้อมด้วยหลวงปู่ซามา ได้พากันเดินทางไปที่วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เพื่อปฏิบัติภาวนาและศึกษาธรรมกับหลวงปู่แหวน
    ต่อมา ได้พากันเดินทางกลับจังหวัดเลย หลวงปู่แหวนได้มอบเงินมา 400 บาท ให้มาแบ่งเป็นค่ารถคนละ 200 บาท เพื่อเดินทางกลับจังหวัดเลย แต่หลวงพ่อคำพองเดินทางท่องธุดงควัตรต่อไปในภาคกลาง ไม่ได้กลับจังหวัดเลยพร้อมกับหลวงปู่ซามา
    ภายหลังหลวงปู่ซามา อาจุตฺโต มรณภาพลง คณะศรัทธาญาติโยมบ้านไร่ม่วงและพระผู้ใหญ่ในจังหวัดเลย จึงได้พร้อมใจกันนิมนต์หลวงพ่อคำพอง ให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2523 ตราบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ตามที่หลวงปู่ซามา ได้ฝากฝังเอาไว้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพลง
    หลวงพ่อคำพอง ขันติโก เป็นพระนักปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง รูปหนึ่ง แม้ชื่อเสียงท่านจะไม่โด่งดัง ด้วยความเป็นพระที่มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย สงบ และสมถะ จึงทำให้ท่านเป็นพระเถระที่พุทธศาสนิกชนชาวเมืองเลยให้ความเลื่อมใสศรัทธามาโดยตลอด
    hcthfa7ele6q2dulvofjegb7u7reneahe9gdl6de6dsuenegbuijnbjdezvg1v7lli-jpg-jpg-jpg.jpg
    หลวงปู่คำพอง ขันติโก' เจ้าอาวาสวัดป่าอัมพวัน เมืองเลยละสังขารเข้าอนุปาทิเสสนิพพาน เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2558 ด้วยโรคอัมพฤกษ์ และโรคชรา สิริอายุ 80 ปี 60 พรรษา
    >>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ ***** เหรียญใหม่ไม่เคยใช้สวยมากดำๆมันปู******บูชาที่ 395 บาทฟรีส่งems
     
  18. ผู้ผ่านมา

    ผู้ผ่านมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2006
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +140
    ขอบูชาครับ
     
  19. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 797 รูปหล่อเหมือนโบราณรุ่นเเรกหลวงปู่อุดม ญาณรโต พระอรหันต์เจ้าวัดป่าสถิตย์ธรรมมาราม อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ หลวงปู่เป็นศิษย์หลวงปู่เเหวน สุจิณโณ,หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เป็นต้น รูปหล่อเหมือนสร้างปี 2542 เนื้อโลหะรมดำมันปู>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ>**********บูชาที่ 150 บาทฟรีส่งems sam_2151-jpg-jpg-jpg.jpg sam_2152-jpg-jpg-jpg.jpg sam_2153-jpg-jpg-jpg.jpg sam_7313-jpg-jpg-jpg.jpg sam_7314-jpg-jpg-jpg.jpg sam_7316-jpg-jpg-jpg.jpg sam_2488-jpg-jpg-jpg.jpg
     
  20. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 798หรียญกษาปณ์รุ่น 2 มุ่งพัฒนาหลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ พระอรหันตืเจ้าวัดผาเทพนิมิต อ.นิคมนํ้าอูน จ.สกลนคร หลวงปู่บุญพินเป็นศิษย์หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เหรียญสร้างปี 2540 เนื้ออัลปาก้า เป็นรุ่น 2 ของหลวงปู่เเต่บล็อกหันข้างครึ่งองค์เหมือนรุ่นเเรก เหรียญยังสวยดีครับ >>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ********บูชาที่ 165 บาทฟรีส่งems* ประวัติย่อพอสังเขป หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ วัดผาเทพนิมิต จังหวัดสกลนคร - “หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ” หรือ “พระครูสุวิมลบุญญากร” พระวิปัสสนาจารย์ชื่อดังแห่งวัดผาเทพนิมิต ต.นิคมน้ำอูน อ.นิคมน้ำอูน จ.สกลนคร และประธานสงฆ์ที่พักสงฆ์ดอยเทพนิมิต ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต
    ปัจจุบัน สิริอายุ 86 ปี พรรษา 64
    มีนามเดิมว่า บุญพิน เจริญชัย ถือกำเนิดเมื่อวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 27 เม.ย.2476 ที่บ้านนาบ่อ หมู่ที่ 6 ต.ปลาโหล อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร

    ช่วงวัยเยาว์เรียนหนังสือจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนบ้านนาบ่อแล้วออกมาช่วยครอบครัวทำนา
    ต่อมาได้ย้ายไปอยู่กับพี่สาวที่บ้าน นาทม จังหวัดนครพนม ช่วยพี่สาวค้าขายและเป็นช่างเย็บผ้า พอถึงฤดูกาลทำนาก็กลับไปทำนา พอถึงหน้าแล้งก็ต้มเกลือใส่เรือกระแชงไปขาย หมดหน้าเกลือก็รับจ้างขนข้าวล่องเรือตามแม่น้ำโขงไปขายในตลาดนครพนม
    ผ่านไป 5 ปี เกิดความเบื่อหน่ายในการค้าขาย ในช่วงนั้นมีศรัทธาอยากบวชอย่างแรงกล้า
    อายุครบ 23 ปี ตัดสินใจเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2498 ที่วัดป่าอิสระธรรม บ้านวาใหญ่ ต.วาใหญ่ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร โดยมี หลวงปู่สีลา อิสสโร วัดป่าอิสระธรรม เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงปู่อุ่น อุตฺตโม วัดอุดมรัตนาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป วัดปทีปปุญญาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ครั้นอุปสมบทแล้ว ได้อยู่กับ หลวงปู่สีลา พระอุปัชฌาย์ ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนา เริ่มแรกหลวงปู่สีลาให้ฝึกหัดทำสมาธิด้วยคำบริกรรมพุทโธ รวมทั้งได้ศึกษาพระปริยัติธรรม สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ ที่สำนักเรียนวัดสุทธิมงคล อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

    0-b8-9e-e0-b8-b4-e0-b8-99-e0-b8-81-e0-b8-95-e0-b8-9b-e0-b8-b8-e0-b8-8d-e0-b9-82-e0-b8-8d-jpg-jpg.jpg
    หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ
    จนถึงวันมาฆบูชา หลวงปู่ผ่านได้กราบลาหลวงปู่อ่อนกลับวัด จึงเหลือแต่เพียงหลวงปู่บุญพินเท่านั้น
    ผ่านไปได้ระยะหนึ่ง หลวงปู่บุญพิน ได้อาพาธเป็นไข้ป่ามาลาเรียอย่างแรง วันหนึ่งขณะนอนเป็นไข้บนแคร่ หลวงปู่อ่อนเดินเข้ามาหาได้บอกให้หลวงปู่บุญพินลุกขึ้นนั่ง หลวงปู่อ่อนได้เทศนาให้ฟัง เสร็จแล้วให้สามเณรเอามุ้งกลดลงและให้นั่งภาวนา ขณะที่นั่งภาวนากำหนดจิตต่อสู้กับเวทนาจนจิตสงบเป็นสมาธิ พอจิตถอนจากสมาธิ ปรากฏว่าอาการไข้ได้หายเป็นปลิดทิ้ง
    หลังจากนั้น หลวงปู่อ่อน ได้พาหลวงปู่บุญพินออกธุดงควัตรไปจนถึงอำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ช่วงนั้นเป็นเดือน 6 ใกล้เทศกาลเข้าพรรษา หลวงปู่บุญพิน จึงลาญาติโยมเพื่อหาที่จำพรรษา ญาติโยมจึงพาหลวงปู่มาส่งขึ้นเรือที่ปากน้ำไชยบุรีไป จังหวัดนครพนม เพื่อขึ้นรถไปหา หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์
    ออกธุดงค์ไปยังที่ต่างๆ มากมายหลายแห่ง และในปี พ.ศ.2517 หลังจากที่จำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ที่วัดภูทอก ได้ระยะหนึ่งได้ลาไปเยี่ยมพระอาจารย์ศรีนวลที่วัดรัตนนิมิต จ.อุดรธานี และจำพรรษาที่นี่
    พอดีมีญาติโยมได้มานิมนต์ไปสร้างวัดที่ป่าช้าบ้านดงเชียงเครือ อ.วาริชภูมิ บ้านเกิด และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลวาริชภูมิ

    พ.ศ.2534 ได้ไปจัดตั้งสำนักสงฆ์ที่ผาเทพนิมิตเขาภูพาน และต่อมาได้มีการยกฐานะเป็นวัดผาเทพนิมิต

    ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2541 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นโท ในราชทินนามที่ พระครูสุวิมลบุญญากร พ.ศ.2545 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบลชั้นเอก ในราชทินนามเดิม sam_7601-jpg-jpg.jpg SAM_7793.JPG sam_7603-jpg-jpg.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...