วิสัยการปรารถนา และการปฏิบัติ เพื่อพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 21 ตุลาคม 2005.

  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    รายละเอียดการปรารถนา วิสัย และข้อปฏิบัติ....
    ความรู้ตั้งแต่พื้นฐาน ไปสู่ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า....

    บารมีต้น...
    อุปบารมี(บารมีกลาง)....
    ปรมัตถบารมี....

    ปัญญาธิกะ....
    ศรัทธาธิกะ....
    วิริยาธิกะ....

    ห้วงระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมี....
    ธรรมของพระโพธิสัตว์เจ้า....
    นิยตโพธิสัตว์....

    การพยากรณ์....
    การจะได้รับคำพยากรณ์....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1 st BD 01.jpg
      1 st BD 01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.5 KB
      เปิดดู:
      10,464
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2005
  2. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    องค์หลวงพ่อฯ พูดถึงพุทธภูมิ....

    [​IMG]

    วิสัยการปรารถนา และการปฏิบัติ เพื่อพุทธภูมิ....

    พวกเราทั้งหลาย เหล่า ลูก-หลาน ขององค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ) วัดท่าซุง อุทัยธานี และท่านผู้ศรัทธาปสาทะ ทั้งปวง ย่อมทราบดีกันแล้วว่า องค์หลวงพ่อฯ ท่านปรารถนาพุทธภูมิวิริยาธิกะ 16 อสงไข กำไรแสนกัป ขาดอีกเพียง 7 ชาติ เท่านั้น

    แต่ท่านก็มาลาจากพุทธภูมิไป เพราะเหตุแห่งบุญที่เนื่องด้วยต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม อันจะยังพระพุทธศาสนาให้สืบเนื่องไป จนครบ 5,000 ปี


    จึงใคร่ขอนำคำพูด คำสอน ขององค์หลวงพ่อฯ มาให้ได้พิจารณาเป็นอันดับแรกเสียก่อน ดังนี้....

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ppwtz26.jpg
      ppwtz26.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.8 KB
      เปิดดู:
      9,603
  3. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
  4. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    องค์หลวงพ่อฯ พูดถึงพุทธภูมิ....

    ฉันนี่ วิริยาธิกะ ทำงานทุกอย่างสบายไม่มี สาวกภูมิก็พุ่งจิตอย่างเดียว แต่สาวกภูมิสำหรับพวกฉันนี่ เป็นวิริยาธิกะหมด พวกตามเป็นวิริยาธิกะ เฉพาะลูก 80,000 กว่า แล้วพวกที่ไม่คิด เป็นกองทัพใหญ่เลย ถ้ายกมารวมกันนี่ หลายแสน กองทัพนะ ลูกฉันมีบ้าทุกคน ตีฉิบหายหมด บ้าเหมือนพ่อมัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ppwtz33.jpg
      ppwtz33.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.7 KB
      เปิดดู:
      288
  5. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    องค์หลวงพ่อฯ พูดถึงพุทธภูมิ....

    ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่มีความเป็นพระอริยะ มีแต่ฌานโลกีย์เพื่อคุ้มครอง....

    จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องพิสูจน์ทุกอย่าง ตั้งแต่อเวจีขึ้นมาต้องรู้หมด....
    หมายความว่า ถ้าบารมียังต่ำ ขั้นฌานโลกีย์ ยังคุมไม่ถึงฌานขั้นต้น ฌานก็ไม่มั่นคง....
    ยังมีโอกาสพลาดลงอบายภูมิ....
    ถ้ามีบารมีเป็นอุปบารมี ก็ปลอดบ้าง ไม่ปลอดบ้าง....
    ถ้าเป็นปรมัตถบารมี นี่ปลอดหมด....
    กว่าจะเลื้อยแต่ละบารมีนี่ โอ้โฮ ฉันลองดูแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ppwtz07.jpg
      ppwtz07.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.3 KB
      เปิดดู:
      376
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    องค์หลวงพ่อฯ พูดถึงพุทธภูมิ....

    พุทธภูมิ จึงมีจุดดึงมาก เพราะเกี่ยวกับครู มีหน้าที่ในการเป็นครู การที่จะเป็นครูเขานี่ จะต้องลำบาก ทุกอย่างจะต้องผ่านหมด พวกพุทธภูมินี่ ถ้าไม่จบกรรมฐาน 40 กอง ยังไม่ไปหรอก ต้องล่อกันมาเป็นแสนชาติเลย ไม่ใช่ชาติเดียวนะ ไม่ใช่ชาติสุดท้ายได้ 40 ไม่ใช่ ต้องว่ากันเป็นแสนชาติ สังเกตดูพระพุทธเจ้า ท่านได้อภิญญามาตลอด ท่านเหาะตลอด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    องค์หลวงพ่อฯ พูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าแสดง ยมกปาฏิหาริย์....

    ทำไม เราจึงปรารถนาพุทธภูมิ กัน....

    เคยฟังองค์หลวงพ่อท่านเล่ามาว่า....
    ในสมัยที่พระพุทธองค์เสด็จไปจำพรรษา(3 เดือนของโลกมนุษย์ เท่ากับ ประมาณ 3.60 นาที ในชั้นดาวดึงส์) ณ ดาวดึงส์ เพื่อจากเทศน์โปรดพระพุทธมารดา พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เปิดโลก ทั้งเทวโลก พรหมโลก ยมโลก และมนุษย์โลก ไม่ว่ามนุษย์ และอมนุษย์ ทั้งหลาย จะเห็นพระองค์ทรงฉายฉัพพรรณรังสี 6 สี
    งดงามมาก และทรงแสดงฤทธิ์

    ก้าวแรกเหยียบยอดเขาพระสุเมรุ(ชั้นจาตุมการาชิกา) ก้าวที่สอง ก้าวถึงดาวดึงส์ เทวโลก ณ เวลานั้น ทุกตน ทุกตัว ทุกคน ทุกองค์ เห็นฤทธิ์ และบุญญาธิารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะหาบุคคล ที่ไม่ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีเลย แม้แต่สัตว์เล็ก สัตว์น้อย มดดำ มดแดง ต่างก็ตั้งความปรารถนา เพื่อพระโพธิญาณ ....


    เป็นการหว่านเมล็ดโพธิ์ หน่อเนื้อพุทธวงศ์ เมล็ดไหนโตได้ไม่เต็มที่ เมื่อถึงเวลาอันควรก็ลาจากพุทธภูมิไป ก็มีบางเมล็ดที่แก่กล้า แกร่งพอ ที่จะเติบโตเป็นพระโพธิญาณ ก็มี ก็เป็นไปตามวิสัย และบุญบารมี อันควร....

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DB 03-01.jpg
      DB 03-01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.9 KB
      เปิดดู:
      372
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2005
  8. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ทีนี้ก็มาดูกันว่า การปฏิบัติในหลักสูตรของผู้ปรารถนาพุทธภูมิ หรือพระโพธิสัตว์ กันบ้าง


    พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก
    อ้างอิง และโดยคัดย่อ จากหนังสือพุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับชำระสะสาง(ปี ๒๕๔๐–๒๕๔๕) มี ๑๑ กัณฑ์ โดย นาคฤทธิ์

    (ขอโมทนา และขอบพระคุณ คุณหนิงฯ(พรศิริ สีงามสรม) แห่งบริษัท เตียวฮงสีลม เป็นอย่างสูง ที่ผู้อนุเคราะห์ ถ่ายสำเนาหนังสือพุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก ฉบับชำระสะสางมา มาให้เต็มเล่ม พร้อมเข้าเล่มให้ด้วย สาธุ สาธุ สาธุ....)


    จากกัณฑ์ที่ ๑ การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์
    (จากพุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก หน้าที่ ๑๘–๒๒ การบำเพ็ญบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)


    นโม ตัสสัตถุฯ มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปารมี สัพพาปัตโต สัมโพธิมุตตมัน<SUB>.</SUB>ติ สาธโว ดูราสัปปุริสะทั้งหลายอันว่า พระพุทธเจ้าองค์ประกอบด้วย พระมหากรุณาธิคุณ เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งมวล ทรงยังพระบารมีทั้งปวงให้บริบูรณ์แล้ว พร้อมกับด้วย มหาบริจาคทาน ๕ ประการ และ จริยะ ๓ ประการ กับทั้งสุจริตธรรม ๓ ประการ โดยใช้เวลาบำเพ็ญทั้งสิ้น ๒๐ อสงไขย กับแสนมหากัป หิตายะ เหตุเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งมวล แล


    อธิบายว่า พระพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลาย ทรงบังเกิดความเอ็นดูกรุณาในหมู่สัตว์โลก ตั้งแต่สมัยเมื่อพระองค์ได้พระชาติเป็น มาณวะ ชื่อว่า มาตุธารกมาณวะ ในครั้งนั้นพระองค์ได้อุปัฏฐากเลี้ยงดูมารดาของพระองค์ โดยเอามารดาขึ้นสู่สำเภาไปกับด้วยพ่อค้า ๕๐๐ คน แล่นเรือไปสิ้นเวลา ๗ วัน ก็ไปถึงท่ามกลางมหาสมุทร เรือสำเภาถูกคลื่นลมแตกทำลายลง พ่อค้าทั้ง ๕๐๐ คน ก็กลายเป็นอาหารของปลาและเต่าร้ายทั้งหลายสิ้น


    ในกาลครั้งนั้น มาตุธารกมาณวะเป็นผู้ประกอบด้วยพละกำลังและความเพียรมาก ก็อุ้มเอามารดาแห่งตน ปีนขึ้นสู่ยอดเสากระโดงโดยฉับพลัน ดูดดื่มกินน้ำสัปปิแล้วอุ้มมารดากระโดดไปไกล ๑ คาวุต (๒๐๐๐ วา) เพื่อให้พ้นจากแดนแห่งปลาและเต่าร้ายทั้งหลาย จากนั้นก็นำมารดาว่ายน้ำไปโดยลำดับตลอด ๗ วัน ๗ คืน ก็หาได้ละทิ้งความเพียรพยายามไม่


    ในกาลครั้งนั้น ท้าวมหาพรหมอันอยู่ชั้นพรหมโลก ก็เล็งดูบุรุษทั้งหลายในโลก ที่จะเหมาะแก่การตั้งปณิธานปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ แม้คนหนึ่งก็หาไม่พบ บังเอิญเล็งเห็น มาตุธารกมาณวะ ผู้กำลังเอามารดาแห่งตนขี่คอ ว่ายน้ำอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เห็นว่าเป็นบุรุษผู้ประกอบด้วยความเพียรพยายามเป็นอันมาก

    ท้าวมหาพรหมจึงเสด็จลงมาจากพรหมโลกมา บันดาลใจมาตุธารกมาณวะผู้นั้น ให้บังเกิดความเอ็นดูกรุณาสรรพสัตว์ทั้งหลาย และให้มีใจมุ่งปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายเป็นอันมาก

    มาตุธารกมาณวะ จึงมีวิตกรำพึงว่า
    พุทโธ โพเธยย<SUP>ํ </SUP>มุตโต โมเจยย<SUP>ํ </SUP>ติณโณ ตาเรยย<SUP>ํ</SUP> ดังนี้
    พุทโธ อันว่าบุคคลผู้ได้ตรัสรู้ธรรมทั้งมวล
    โพเธยย<SUP>ํ </SUP>พึงยังบุคคลอื่นให้ตรัสรู้ธรรมอันนั้นเหมือนดังที่ตนได้ตรัสรู้แล้ว
    ติญโณ อันว่าบุคคลใดข้ามพ้นแล้ว จากมหาสมุทรกล่าวคือ วัฏฏสงสาร
    ตาเรยย<SUP>ํ </SUP>พึงยังบุคคลอื่นให้ข้ามพ้นจากวัฏฏสงสาร เหมือนดังที่ตนข้ามพ้น ดังนี้

    มาตุธารกะครุ่นคิดรำพึงอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา ในขณะที่ให้มารดาขี่คอว่ายอยู่ในน้ำ มหาสมุทรตลอด ๗ วัน


    ฝ่ายว่านางมณีเมขลาผู้เป็นเทวดามีหน้าที่รักษาน้ำมหาสมุทร มีความกลัวคำตำหนิติเตียนจากพระอินทร์ และพระพรหมทั้งหลาย จึงไปช่วยมาตุธารกมาณวะพร้อมทั้งมารดาให้พ้นจากน้ำมหาสมุทร


    มาตุธารกมาณวะ ก็ยิ่งบังเกิดมีใจใคร่ปรารถนาซึ่งสัพพัญญุตญาณมากขึ้น จึงกราบมารดาแห่งตน แล้วตั้งใจระลึกสมาทานอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้า

    ด้วยคิดแต่ในใจ ว่า
    ด้วยเดชผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ให้มารดาขี่คอพาว่ายน้ำข้ามน้ำมหาสมุทรพ้นจากภัยทั้งมวลนี้ จงเป็นปัจจัยอุดหนุนให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในกาลที่จักมาภายหน้า ให้ข้าพเจ้าได้ช่วยเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายเทอญ” เมื่อรำพึงเช่นนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่อุปัฏฐากมารดาแห่งตน จนตราบสิ้นอายุ เมื่อจุติจากชาตินั้นก็ได้บังเกิดในเทวโลก

     
  9. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    นับตั้งแต่ชาตินั้นเป็นต้นมา มาณะวะ ผู้นั้น จะเกิดมาในชาติใดก็ดี ก็ปรากฏชื่อว่า เป็นโพธิสัตว์” ทุกชาติ

    อันว่าพระโพธิสัตว์นั้น หากว่าเกิดมาเป็นเทวดาก็ดี พระอินทร์ก็ดี พระพรหมก็ดี เป็นมนุษย์หรือแม้สัตว์เดรัจฉาน ก็ย่อมประกอบไปด้วยญาณปัญญาอันพิเศษ ย่อมรู้เหตุและผลทั้งสิ้นโดยแจ่มแจ้งยิ่งนัก


    ย่อมบำเพ็ญบารมีธรรมสะสมไว้เสมอ นานได้ ๗ อสงไขย กับแสนมหากัป
    ได้พบพระพุทธเจ้า 125,000 พระองค์

    โดยเป็นแต่คิดไว้ในใจ ยังไม่เปล่งวาจาออกจากปาก (พุทธดำริได้ ๗ อสงไขย)

     
  10. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ครั้นเมื่อหมดสิ้น ๗ อสงไขยกับแสนมหากัปป์นั้นแล้ว

    พระโพธิสัตว์ก็ได้มาบังเกิดเป็นพระมหาจักรพรรดิ พระองค์หนึ่งพระนามว่า “มหาสาครจักกวัตติราช
    ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนาม โปราณโคตมะ

    พระมหาสาครจักกวัตติราช ก็ทรงให้สร้างปราสาทด้วย ไม้จันทน์แดงรวมทั้งสิ้น ๑๐๐,๐๐๐ หลัง ให้เป็นที่สถิตอยู่แห่งพระรัตนตรัย

    แล้วได้เปล่งวาจา ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ให้ปรากฏแก่คน แลเทวดาทั้งหลาย (ผ่านพุทธดำริ ๗ อสงไขย แล้ว จึงเปล่ง พุทธวาจา)


    ตั้งแต่ชาตินั้น แม้นว่าพระโพธิสัตว์เกิดมาในชาติใดก็ตาม ย่อมบำเพ็ญบารมีธรรมเป็นนิจ นานได้ ๙ อสงไขย กับแสนมหากัป ได้เกิดพบพระเจ้าทั้งหลายนับได้ ๓๘๗,๐๐๐ องค์ พระโพธิสัตว์ก็ได้กราบไหว้บูชา เปล่งวาจา ปรารถนาพุทธภูมิ

     
  11. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    เมื่อ ๙ อสงไขย กับแสนมหากัป หมดสิ้นไปแล้ว....

    พระโพธิสัตว์ก็ได้บังเกิดเป็นพราหมณ์ผู้หนึ่ง ได้ออกบวชเป็นฤาษี มีชื่อปรากฏว่า “สุเมธฤาษี
    ในสมัยนั้นเป็นการศาสนาของ พระพุทธเจ้าทีปังกร

    สุเมธฤาษีได้อุทิศตนลงนอนทอดแทนสะพาน ให้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ องค์ เดินไต่ข้ามไป

    พระโพธิสัตว์ ตั้งความปรารถนาพุทธภูมิ ด้วยใจ ด้วยวาจา และด้วยกาย ในครั้งนั้น


    พระพุทธเจ้าทีปังกร
    ก็ตรัสพยากรณ์ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านสุเมธฤาษีองค์นี้ จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภัทรกัปป์ภายหน้า นับแต่นี้ไปเป็นเวลา ๔ อสงไขย กับแสนมหากัป จักปรากฏพระนามว่า “โคตมสัมมาสัมพุทธะ เมืองที่จะไปบังเกิดนั้นชื่อว่า “เมืองกบิลพัสดุ พระบิดาพระนามว่า “สุทโธทนะ มารดาพระนามว่า “ศรีมหามายา” พระเทวีพระนามว่า “ยโสธราพิมพา พระโอรสพระนามว่า “ราหุล จะอยู่ในราชสมบัตินานได้ ๒๙ ปีแล้วจะออกทรงผนวช ด้วยยานคือม้า ชื่อ “กัณฐกะ จักบำเพ็ญเพียรได้ ๖ ปี แล้วจึงจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือรัตนบัลลังก์อาสน์อันสูงได้ ๑๘ ศอก ภายใต้ต้นไม้ปาแป้งอันเป็นไม้มหาโพธิ์ แล้วจักสั่งสอนกุลบุตรทั้งหลาย ให้ได้บรรลุถึงอรหัตถผล สั่งสอนโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย เหมือนดั่งตถาคตนี้แล อัครสาวกฝ่ายขวามีชื่อว่า “สารีบุตร อัครสาวกฝ่ายซ้ายมีชื่อว่า มหาโมคคัลลานะ พุทธอุปัฏฐากชื่อว่า “มหาอานันทะ พระพุทธเจ้าโคตมะ พระองค์นั้นจักมีอายุยืนอยู่ ๘๐ ปี แล้วปรินิพพานไป จักตั้งพระศาสนาไว้เพื่อสั่งสอน โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายสิ้น ๕,๐๐๐ พระวัสสา

     
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    พระพุทธเจ้าทีปังกร ตรัสพยากรณ์ สุเมธฤาษี ก็มีดังที่กล่าวมานี้แล

    พระสุรเสียงแห่งพระพุทธเจ้าทีปังกรนั้น ก็ดังก้องขึ้นไปถึงชั้นฟ้าทั้ง ๖ และพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น แพร่กระจายไปทั่วหมื่นโลกธาตุแสนโกฏิจักรวาล
    เสียงสาธุการดังตั้งแต่เมืองมนุษย์ถึงชั้นฟ้าพรหมแสนโกฏิจักรวาลทั้งมวลก็กัมปนาทโกลาหลด้วยเสียงสาธุการนั้น ห่าพระพิรุณดอกไม้ก็ตกลงมาจากอากาศ วิชชุดาสายฟ้าก็แลบในกาลอันไม่ควร แลบ ดูสว่างเรืองไปทั่วจักรวาลทั้งสิ้น ฟ้าก็คำรณคำรามร้องกัมปนาทหวั่นไหว มหาชลธาราก็หลั่งไหลลงมาจากฟากฟ้า อัศจรรย์ทั้งหลายมีประการ
    ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นในกาลครั้งนั้น....


    ส่วนพระสุเมธฤาษี ได้สดับตรับฟังพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกรแล้ว
    ก็ดำรงด้วยความไม่ประมาท ตราบเท่าสิ้นอายุก็ได้ไปบังเกิดในชั้นพรหมโลกโพ้นแล (พุทธวาจานาน ๙ อสงไขย จึงได้รับพุทธพยากรณ์)


    นับตั้งแต่ชาตินั้นมา แม้นพระโพธิสัตว์จะเสวยพระชาติเป็นอะไรก็ตาม ก็ย่อมบำเพ็ญสะสมบารมีธรรมไว้เสมอทุกชาติเป็นเวลานานับได้ ๔ อสงไขย ได้บังเกิดพบพระพุทธเจ้า ๑๒ พระองค์

    นับตั้งแต่นั้นมานานอีก
    แสนมหากัป ก็ได้บังเกิด พบพระพุทธเจ้า ๑๕ พระองค์


    พระโพธิสัตว์ก็ได้บริจาคทาน กราบไหว้ เคารพบูชาพระรัตนตรัย
    แล้วตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วยวาจา ด้วยใจ และด้วยกาย พร้อมทั้ง ๓ ประการ

    เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ได้รับคำพยากรณ์ตรัสทำนายจากพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าทีปังกรตรัสพยากรณ์ไว้ ทุกประการ (พุทธพยากรณ์นาน ๔ อสงไขย แสนมหากัป เป็นพุทธบารมีปัญญาธิกะ)


    นับตั้งแต่พระโพธิสัตว์พุทธเจ้า ตั้งปณิธานความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในครั้งแรกจนตราบเท่าถึงที่สุดแห่งมหากัปป์ อันนานได้ ๒๐ อสงไขย กับแสนมหากัป

    ได้บังเกิดพบพระพุทธเจ้าทั้งหลายจำนวน ๕๑๒,๐๒๗ พระองค์

    จนกระทั่งเสวยพระชาติ เป็น พระเวสสันดร

     
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ในกาลเวลาอันเนิ่นนานนี้ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ คือ ....

    ได้บำเพ็ญทาน อย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดสูงสุด เป็น ๓ ระดับ ....

    รักษา
    ศีลก็รักษาศีล ๕ ศีล ๑๐ และจตุปาริสุทธศีล อันเป็นอย่างต้น อย่างกลางและอย่างอุกฤษฏ์

    แม้นออกบวช เป็นฤาษี เป็นปริพาชก เป็นสามเณร หรือเป็นภิกษุ ก็เป็นอย่างต้น อย่างกลาง และอย่างอุกฤษฏ์

    แม้นจักบำเพ็ญ
    ปัญญาบารมี ด้วยสมถวิปัสสนาภาวนา ก็บำเพ็ญอย่างต้น อย่างกลาง และอย่างอุกฤษฏ์

    แม้นจักบำเพ็ญความพากเพียร ก็ดี ก็บำเพ็ญอย่างต้น อย่างกลาง และอย่างอุกฤษฏ์

    แม้นจักบำเพ็ญขันติ ความอดทนก็ดีก็บำเพ็ญอย่างต้น อย่างกลาง และอย่างอุกฤษฏ์

    แม้น บำเพ็ญสัจจะบารมี ก็บำเพ็ญอย่างต้นอย่างกลาง และอย่างอุกฤษฏ์

    บำเพ็ญอธิษฐานบารมี ก็บำเพ็ญอย่างต้นอย่างกลางและอย่างอุกฤษฏ์

    บำเพ็ญเมตตาบารมี แผ่ไมตรีแก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ก็บำเพ็ญอย่างต้นอย่างกลางและอย่างอุกฤษฏ์

    บำเพ็ญอุเบกขาบารมี ก็บำเพ็ญอย่างต้น อย่างกลาง และอย่างอุกฤษฏ์

    เหตุนั้นจึงได้ชื่อว่า บารมีเบื้องต้น ๑๐ ทัศ อุปบารมีก็มี ๑๐ ทัศ ปรมัตถบารมีก็มี ๑๐ ทัศ รวมทั้งหมดเป็น ๓๐ ทัศ

     
  14. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    พระโพธิสัตว์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงบำเพ็ญมหาบริจาคทาน ๕ ประการ คือ....
    บริจาคสละราชสมบัติ อันได้แก่ข้าวของ เงิน ทองคำ แก้ว แหวน ช้างม้า วัว ควาย รถ เกวียน ทาสหญิง ทาสชาย ให้เป็นทาน เป็นเวลา นานกว่า ๒๐ อสงไขย หากจะนำมารวมกันแล้ว ยังมากกว่า สมบัติของมนุษย์ ในโลกนี้รวมกันเสียอีก ....


    พระองค์ทรงบริจาคไปโดยไม่อาลัยใยดี มุ่งเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เพรียบด้วยพระมหากรุณาอันยิ่ง ในอันที่จะนำเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้ผ่านพ้นจากโอฆสงสารฯ ประการหนึ่ง
     
  15. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ชื่อว่าองคบริจาค หรืออวัยวะบริจาค คือพระองค์สละร่างกายโดยปาดเนื้อเถือหนังให้เป็นทาน ตัดหัว ตัดมือ ตัดแขน ตัดเท้า สละเลือดเนื้อ ออกให้เป็นทาน นานได้ ๒๐ อสงไขย กับแสนมหากัป หากจะนำมารวมกันแล้วมีมากกว่า แผ่นดินอันมีในมนุษย์โลกเรานี้ ....


    ที่บริจาค เลือด เป็นทานนั้น เมื่อนำมารวมกันแล้ว ย่อมมากกว่าน้ำในเบญจมหานที (มหาสมุทรทั้ง 5 รวมกัน)


    เฉพาะแต่ ดวงตา ที่พระโพธิสัตว์บริจาคนั้น มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้ารวมกันเสียอีก แม้นจะทรงเจ็บปวดได้รับทุกขเวทนาสักปานใดก็ตาม พระองค์ก็ทรงอดกลั้น เพื่อมุ่งประสงค์จะเป็นพระพุทธเจ้าประการเดียว


    ชีวิตบริจาค พระโพธิสัตว์ทรงบริจาคชีวิตของพระองค์ตายแทน บิดามารดาญาติมิตร มากกว่าชีวิตของมนุษย์ในชมพูทวีปทั้งสิ้น....

    ก็เพื่อประสงค์พุทธภูมิเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลายฯ


    บุตตบริจาค พระโพธิสัตว์ทรงบริจาค ลูกหญิง ลูกชาย อันเป็นที่รักยิ่งกว่าดวงตา ให้เป็นทานไปนั้น มากกว่าลูกหญิงลูกชายแห่งชาวเมืองใหญ่ ๑๖ เมือง รวมกันเสียอีก แม้นว่าพระองค์จะรักลูกปานชีวิต ก็พยายามบรรเทาความรักแล้วจึงทรงบริจาคไป

    ทั้งนี้ก็เพื่อว่ามุ่งจะได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกทั้งมวลนั้นแลฯ


    อีกประการหนึ่ง ภริยาบริจาค พระองค์ได้สละเมียรัก เสมอดังดวงใจให้เป็นทาน แม้นว่าความเสน่หาเป็นดังจะทำให้หัวใจแตกทำลายลง พระองค์ก็พยายามบรรเทาอดกลั้นไว้ แล้วจึงบริจาคทานไปถ้าจะนับรวมกันแล้ว มีจำนวนมากกว่าผู้หญิงผู้ชายทั้งหลายใน ๑๖ เมืองใหญ่รวมกันเสียอีก

     
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ประการหนึ่ง พระโพธิสัตว์บำเพ็ญจริยา ๓ ประการ คือ ....

    พุทธัตถจริยา คือ ประพฤติเป็นประโยชน์ แก่การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าประการหนึ่งฯ

    ญาตัตถจริยา ประพฤติเป็นประโยชน์ แก่ญาติพี่น้องแห่งพระองค์เป็นนิรันดร์ประการหนึ่งฯ

    โลกัตถจริยา ประพฤติเป็นประโยชน์ แก่สัตว์โลก ประการหนึ่งฯ



    ประการหนึ่ง พระโพธิสัตว์บำเพ็ญสุจริต ๓ ประการ คือ....

    กายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต พระองค์บำเพ็ญสะสมยังสุจริตบารมี 3 ประการ นี้ ทุกๆ ชาติ โดยปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลา ๒๐ อสงไขย กับแสนมหากัป จนบริบูรณ์แล้ว

    จึงได้มาเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร ในชาตินี้ ยิ่งทรงบำเพ็ญทานบารมี ศีลบารมี คือทรงบริจาคช้างปัจจัยนาเคนทร์ให้เป็นทาน และทรงบริจาคสิ่งของเป็นทานอีกวันละ ๖๐๐,๐๐๐ ทองคำ ทรงบริจาค สตกมหาทาน บริจาคม้ารถสัตตรัตน บริจาคบุตร ภรรยา เป็นทาน จัดเป็นทานบารมี ๓ ประการ รักษาศีล ๕ และอุโบสถศีลไปตลอด จนออกทรงผนวชเป็นฤาษี มีปัญญาขวนขวายในการบำเพ็ญบุญ มีความเพียรพยายามในการบำเพ็ญกุศล มีความอดทนในคลองปฏิบัติ มีสัจจะ กล่าวความจริงแต่ประการเดียว กระทำอธิษฐานใจตั้งมั่นในอารมณ์อันเป็นสุข เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นประจำ แผ่เมตตาไมตรีอยู่เป็นนิจ บำเพ็ญอุเบกขาอยู่ในญาณในมรรคผล

    และได้ปฏิบัติในยอดทานบารมีอันยิ่งใหญ่ คือได้บริจาคราชโอรส ราชธิดา กับทั้งอัครมเหสี อันเป็นสุดที่รัก ให้เป็นทาน

    ทรงสะสมจริยา 3 ประการ และสุจริต 3 ประการ โดยตลอด จวบจนสิ้นพระชนมายุ

    ไม่ใช่เพราะเหตุอื่น เพราะเหตุเพียงอย่างเดียว คือต้องการเป็นพระพุทธเจ้า
    เพื่อสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย นั้นแล

     
  17. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ครั้นจุติจากพระชาติพระเวสสันดรแล้ว ก็ไปอุบัติในชั้นฟ้าดุสิต ดำรงอยู่ในชั้นฟ้านั้น สิ้นเวลา ๔,๐๐๐ ปีทิพย์

    แล้วเสด็จลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือรัตนบัลลังก์โคนไม้มหาโพธิ์ ทรงชนะมารทั้ง ๕ แล้ว ก็เสด็จไปสอนเวไนยสัตว์ทั้งมวลตามลำดับพรรษา และมาประทับสำราญพระอริยาบถอยู่ในพระวิหารเชตวัน อัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ตั้งอยู่ในเมืองสาวัตถี ยังพุทธกิจทั้ง ๕ ประการ ให้สำเร็จแล้ว ด้วยประการดังนี้.

    …………………………………………………………………………
     
  18. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ตรงนี้ ใคร่ขอสรุป ห้วงระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมี เพื่อพระโพธิญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า....

    เริ่มต้นที่ พระองค์ท่านเสวยชาติ ชื่อว่า มาตุธารกมาณวะ เริ่มความปรารถนาพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ....


    บารมีต้น โดยเป็นแต่คิดไว้ในใจ ยังไม่เปล่งวาจาออกจากปาก นานถึง ๗ อสงไขย กับแสนมหากัป ได้เกิดพบ พระพุทธเจ้า ๑๒๕,๐๐๐ พระองค์


    อุปบารมี(บารมีกลาง) พระโพธิสัตว์ก็ได้กราบไหว้บูชา เปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิ นานได้ ๙ อสงไขย กับแสนมหากัป ได้เกิดพบพระเจ้าทั้งหลาย ๓๘๗,๐๐๐ องค์


    ปรมัตถบารมี ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยปาก ด้วยใจ และด้วยกาย
    พร้อมทั้ง ๓ ประการ เวลานาน ๔ อสงไขย ได้บังเกิดพบพระพุทธเจ้า ๑๒ พระองค์

    แสนมหากัป ก็ได้เกิด พบพระพุทธเจ้า ๑๕ พระองค์


    การได้รับคำพยากรณ์ครั้งแรก(ถือได้ว่าเป็น นิยตโพธิสัตว์ คือมีความแน่นอนว่าจะได้บรรลุพระโพธิญาณ) ในสมัยขององค์สมเด็จพระพุทธทีปังกร (นับย้อนขึ้นไป ๒๕ พระองค์)


    นับตั้งแต่พระโพธิสัตว์พุทธเจ้า ตั้งปณิธานความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในครั้งแรกจนตราบเท่าถึงที่สุดแห่งมหากัป อันนานได้ ๒๐ อสงไข กับแสนมหากัป ได้บังเกิดพบพระพุทธเจ้าทั้งหลายจำนวน ๕๑๒,๐๒๗ พระองค์

    จนกระทั่งเสวยพระชาติ เป็น พระเวสสันดร


    นับเป็นเหตุแห่งความมหัศจรรย์อย่างยิ่งของมวลมุษยชาติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2005
  19. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    วิสัยอันเนื่องด้วยความปรารถนาใน “ธิกะ” ต่าง ๆ

    การบำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุถึงพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์มีอยู่ 3 วิสัย ด้วยกัน ดังนี้

    การบำเพ็ญบารมีข องวิสัยของการปรารถนา “ปัญญธิกะ” ในห้วงปรมัตถบารมี ๔ อสงไขย กำไรแสนกับ
    (บารมีต้น ๗ อสงไขย บารมีกลาง ๙ อสงไขย ปรมัตถบารมี ๔ อสงไขย รวมเป็น ๒๐ อสงไขย)

    “ศรัทธาธิกะ” ปรมัตถบารมี ๘ อสงไขย ห้วงเวลาการบำเพ็ญบารมีต่าง ๆ ก็ต้องเป็น ๒ เท่า ของ “ปัญญธิกะ”
    (บารมีต้น ๑๔ อสงไขย บารมีกลาง ๑๘ อสงไขย ปรมัตถบารมี ๘ อสงไขย รวมเป็น ๔๐ อสงไขย)

    “วิริยาธิกะ” ปรมัตถบารมี ๑๖ อสงไขย ห้วงเวลาการบำเพ็ญบารมีต่าง ๆ ก็ต้องเป็น ๒ เท่า ของ “ศรัทธาธิกะ”
    (บารมีต้น ๒๘ อสงไขย บารมีกลาง ๓๖ อสงไขย ปรมัตถบารมี ๑๖ อสงไขย รวมเป็น ๘๐ อสงไขย)

    และ ในแต่ละ “ธิกะ” ก็ยังมีการบำเพ็ญบารมีกำไรแสนกัป อีกด้วย

     
  20. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ทีนี้…. เรามาทำความเข้าใจกัน ในเรื่องการนับเวลาในการบำเพ็ญบารมีกัน

    ห้วงระยะเวลาที่บำเพ็ญบารมี....

    การที่จะสะสมระยะเวลาเป็นอสงไขย เป็นกัป ลองเปรียบเทียบดูว่าจะเป็นกี่ปี ดังนี้....

    ระยะเวลา ๑ กัป ท่านเปรียบเทียบไว้ว่า ภูเขาหิน ๑ ลูก สูง ๑ โยชน์(๑๖ กิโลเมตร) เมื่อเวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี มีเทวดานำผ้าสำลีอันอ่อนนุ่ม มาลูบผ่านไป ๑ ครั้ง แล้วอีก ๑๐๐ ปี ก็ผ้าสำลีมาลูบผ่านอีก ๑ ครั้ง ลูบผ่านเมื่อครบ ทุก ๆ ๑๐๐ ปี ลูบผ้าสำลีผ่านจนกระทั่งภูเขาหินนั้น เหี้ยนติดดิน เสมอกับพื้นดิน ถือว่านั่นคือ ระยะเวลา ๑ กัป

    ก็ลองคำนวณดูว่า ระยะเวลา ๑ กัป จะได้กี่ปี.... ก็คงต้องร้อง ฮู้.... จะรู้ได้ไงว่ากี่ปี....

    แล้วทีนี้ ระยะเวลา ๑ อสงไขย นั้น จะมีกี่กัป....

    ที่แสดงให้เห็นไปแล้วว่า ระยะเวลา ๑ กัป จะได้กี่ปี…. ก็ตอบว่า….จะรู้ได้ไงว่ากี่ปี….

    ระยะเวลา ๑ อสงไขย ก็คล้ายกัน กล่าวคือ มีจำนวนกัป มาก มาก มาก
    จนตอบได้ว่า….จะรู้ได้ไงว่ากี่กัป….


    และที่สำคัญที่สุด ก็คือ ระยะที่ใช้นับรวมให้ครบ กัป ครบอสงไขย นั้น
    นับเฉพาะที่เสวยชาติเป็นมนุษย์ หรือสัตว์(คือ มีขันธ์ 5 มีร่างกาย) เท่านั้น

    บ้างชาติ ไปตกนรก ไปเสวยสุขเป็นเทวดา เป็นพรหม กี่กัป กี่อสงไขย ก็ตาม ไม่นำเอามานับรวมไว้ด้วย

    ก็ลองคิดดูว่า กว่าจะสะสมให้ครบ ๑ กัป.... ๑๐๐,๐๐๐ กัป.... ๑ อสงไขยกัป จะต้องเกิดกันกี่ครั้ง....

    แล้ว ๒๐ อสงไขย, ๔๐ อสงไขย, ๘๐ อสงไขย ต้องเกิดกี่ครั้ง ....


    ที่พูดที่กล่าวแสดง มานี้ เพียงเพื่อให้เห็นระยะเวลา และจำนวนที่ต้องเกิด ในการบำเพ็ญบารมี....

    พอจะนึกออก และมองเห็นภาพ กันได้บ้างนะครับว่า การที่พระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ ได้บำเพ็ญความเพียร เพื่อบรรลุถึงซึ่งพระโพธิญาณ ให้ได้นั้น กว่าที่จะประสบผลสำเร็จเป็นปรมัติบารมี และเป็นพระพุทธเจ้า ได้ก็ต้องบำเพ็ญความดีต่างๆอย่างมากมาย ต้องผ่านภพผ่านชาติ ผ่านการเกิด มากมายขนาดไหน บารมีจึงจะเต็ม ....

    ดังนั้น พระบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมากมายล้นฟ้า บรรยายไม่หมดสิ้น....

    มีความในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า การจะพรรณนาความดีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นั้น ต่อให้มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ มาพูดซักถาม และอธิบายถึง คุณ ความดี ของพระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์ จนกระทั่งเวลาผ่านพ้นไป ๑ กัป ก็ยังไม่สามารถที่จะพรรณนาได้หมดสิ้น....

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...