ฤๅจะเป็นพระราชปณิธานที่หาญมุ่งขององค์มหาราชพระองค์ดำ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ภาวิโต, 12 พฤษภาคม 2008.

  1. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    เสด็จสวรรคต สิ้นแล้วยอดนักรบแห่งอโยธยา
    เอกรงค์ ภาณุพงษ์ ได้เขียนไว้ใน " ตำนานสมเด็จพระ
    นเรศวรมหาราชชาตินักรบ " ประวัติศาสตร์ในช่วงปีพุทธ
    ศักราช ๒๑๔๘ ต้องจารึกเอาไว้ถึงการสูญเสียมหากษัตริย์ชาติ
    นักรบที่สำคัญของไทยไปพระองค์หนึ่ง นั้นคือสมเด็จพระ
    นเรศวรมหาราช...........พระองค์ทรงสวรรคตด้วยสาเหตุของ
    การประชวรไม่ได้เพราะการสงคราม ในวันจันทร์ เดือน ๖ ขึ้น
    ๘ ค่ำ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๑๔๘ พระชันษาได้ ๕๐ ปี เสวยราช
    สมบัติได้เพียง ๑๕ ปี นับเป็น ๑๕ ปีที่ต้องกรากกรำกับศึก
    สงครามมาตลอด พระองค์ทรงมีเป้าหมายสำคัญเป็นปณิธาน
    เพื่อล้างรอยมลทินความอับอายของชาวไทยสยามว่า จะต้องตี
    พม่าและยึดมาเป็นเมืองขึ้นให้จงได้ แต่ไม่สำเร็จ ซึ่งก่อนที่
    พระองค์จะสิ้นพระชนม์นั้นได้รีบตรัสสั่งให้เรียกสมเด็จพระ
    เอกาทศรถให้เข้าเฝ้าโดยด่วน พระราชพงศาวดารไทยไม่ได้
    บันทึกเอาไว้ว่าพระองค์ทรงสั่งเสียอะไรไว้บ้าง
    สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาของประวัติ
    ศาสตร์ไทย ทรงพระวินิจฉัยว่า
    " น่าสันนิษฐานว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงสั่งสมเด็จพระ
    เอกาทศรถให้ทำสงครามต่อไปจนตีเมืองอังวะได้ อย่าให้ถือ
    เอาเหตุที่พระองค์สวรรคตเป็นข้อขัดข้องแก่การบ้านเมือง
    เพราะกองทัพไทยที่ยกไปครั้งนั้นมีกำลังมากพอที่จะทำการ
    สำเร็จได้ และได้เปรียบข้าศึกที่พวกไทยใหญ่ยังไม่ยอมอยู่ใน
    อำนาจพระเจ้าอังวะทั้งหมด พวกไทยใหญ่คงไม่ช่วยพม่ารบ
    ไทยเท่าใดนัก ที่สุดจนในเมืองพม่าเองก็ยังแตกกันเป็นหลาย
    ก๊ก กองทัพไทยจะตีได้เมืองอังวะเป็นแน่
    แต่สมเด็จพระเอกาทศรถทรงเห็นว่า กำลังของไทยอยู่ที่
    พระองค์ของสมเด็จพระนเรศวรเป็นสำคัญ ที่ทำให้รี้พลมีใจ
    รบพุ่งกล้าแข็ง และทำให้ข้าศึกครั่นคร้าม เมื่อสมเด็จพระ
    นเรศวรสวรรคตเสียแล้ว ฝ่ายไทยกำลังมีความโศกศัลย์คงท้อ
    ใจในการรบพุ่ง ฝ่าบข้าศึกรู้ว่าสิ้นสมเด็จพระนเรศวรแล้วก็คง
    จะทนงใจขึ้น เห็นจะเอาชนะข้าศึกได้ไม่ง่ายดังคาด ถึงตีได้
    เมืองอังวะก็ไม่เสร็จสิ้นสงครามเพียงนั้น เพราะยังมีหัวเมือง
    ข้างใต้ที่จะต้องตีต่อลงไปจนถึงเมืองมอญ จึงจะได้เมืองพม่า
    ทั้งหมด จะต้องรบพุ่งต่อไปอีกช้านาน ทรงพระวิตกเกรงว่า
    กำลังไทยที่สมเด็จพระนเรศวรทรงฟื้นขึ้น จะกลับทรุดโทรม
    ลงไปอีก ถ้ากำลังรี้พลอ่อนแอลงก็คงรักษาอาณาเขตที่ขยาย
    ออกไปไว้ไม่ได้ หรือว่าอีกอย่างหนึ่งโดยย่อ สมเด็จพระ
    นเรศวรทรงพระดำริอย่างนักรบ แต่สมเด็จพระเอกาทศรถ
    ทรงพระดำริอย่างรัฐบุรุษ "
     
  2. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    -ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จมาถึง ไม่ว่าจะก่อนหรือ
    หลังสมเด็จพระนเรศวรสิ้นพระชนม์พระองค์ก็คงคิดเช่น
    เดียวกันกับบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย พระองค์ย่อม
    ตระหนักพระทัยดีว่าหากข่าวสวรรคตล่วงรู้ไปถึงกองกำลังที่
    เวียงแหงที่ส่วนใหญ่เป็นทหารเชียงใหม่แล้ว น่าจะไม่
    ปลอดภัยต่อพระองค์และต่อทหารศรีอยุธยาที่ติดตามมากับ
    สมเด็จพระนเรศวรที่เราคาดเดาว่าน่าจะมีจำนวนประมาณ
    หนึ่งกองพลเพิ่มเติมกำลัง ดังนั้นจึงคาดว่าสิ่งที่สมเด็จพระ
    เอกาทศรถน่าจะทรงรีบปฎิบัติก็คือการสั่งให้กองทัพที่ฝาง
    เคลื่อนย้ายกลับลงมาเพื่อคุมเชิงและป้องกันโดยเร็ว ในขณะ
    เดียวกันก็น่าจะเคลื่อนย้ายพระศพมุ่งไปในทิศทางที่จะพบกับ
    กองทัพจากฝางให้ได้โดยเร็วเช่นกัน นั่นหมายถึงว่ากำลังจาก
    ฝางและกำลังส่วนที่เคลื่อนย้ายพระบรมศพจะเดินทางมุ่งตรง
    เข้าหากัน ทั้งนี้บริเวณที่น่าจะมาบรรจบกันคาดว่าน่าจะเป็น
    เมืองงาย
    -อย่างไรก็ตาม มีข้อพิจารณาในเรื่องของการดำเนินการต่อ
    พระศพตามพระราชประเพณีและตามกฎมณเฑียรบาล เกี่ยว
    กับการปฎิบัติต่อพระศพของพระเจ้าแผ่นดิน จึงมีความเป็นไป
    ได้อย่างยิ่งที่จะต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อเตรียมการ ปฎิบัต
    ิต่อพระศพ และการตั้งพระศพ เพื่อรอกองทัพศรีอยุธยาที่
    เคลื่อนย้ายลงมาจากฝาง สถานที่เช่นนี้สมควรจะเป็นอย่างไร
    ขอฝากช่วยกันพิจารณาด้วยครับ
     
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้
    ข้าพเจ้าขออุทิศให้
     
  4. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    ทรงอยู่ในความทรงจำ
    ของคนไทยรุ่นหลังมาทุกยุคทุกสมัย
    ในฐานะนักรบผู้เกรียงไกร
    ทรงกู้ชาติกู้แผ่นดิน ทำให้ไทยเป็นชนชาติ
    ที่มีเอกราช
    ทำให้ผู้คนจดจำพระราชประวัติของพระองค์
    ได้มากกว่ากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์
    ยุคสมัยที่พระองค์ทรงครองราชย์นั้น
    นับเป็นยุคสมัยที่น่าสนใจยิ่ง
    และนับเป็นช่วงเวลามหัศจรรย์
    ของแผ่นดินนี้ที่ปรากฎมหาราชนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
    แห่งแผ่นดินแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา​

    ๐เอกรงค์ ภาณุพงษ์ผู้เขียนตำนานนเรศวรมหาราชชาตินักรบ​
     
  5. vichygirl

    vichygirl สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    ถึงคุณSUTATIP คุณ ภาวิโตและผู้ที่สนใจในกระทู้นี้ค่ะ...

    ขอบคุณมากค่ะที่ให้การต้อนรับ....เออได้ยินมาว่าตอนนี้ที่วัดวรเชษฐ์ จ.อยุธยา ได้มีการนำเอาลวดเหล็กมากั้นทางเข้าให้สามารถเข้าไปได้เพียงเล็กน้อย พร้อมทั้งขึ้นป้ายอีกว่า "ที่นี่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ....." ถ้าอย่างไรลองตรวจข่าวดูน่ะค่ะ พอดีว่ามีผู้ที่เดินทางไปเห็นเล่าให้ฟังค่ะ
     
  6. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ได้โพสต์ไว้ที่กระทู้ "ปาฎิหาริย์สมเด็จพระนเรศวรแล้ว" ฝาก อ.สุธาทิพหาข่าวทางกลุ่มภัยพิบัติทางอยุธยาช่วยอีกแรงนะครับ ขอบพระคุณครับ
     
  7. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    เรียน คุณvichygirl และคุณภาวิโต
    เหตุการณ์ที่วัดวรเชษฐ์ ปัจจุบันไม่ทราบไปถึงไหน.. ไม่รู้ว่าใครผิดถูก
    ทราบแต่ว่า ทุกท่านในอดีตได้ตายไปหมดแล้ว
    ดังนั้น ปัจจุบันเราค้องอยู่กับปัจจุบัน
    ปัจจุบันที่คนสัก ๕ % เท่านั้นที่เข้าใจเรื่องโลกนี้ โลกหน้า ตายแล้วไปไหน กันอย่างถูกต้อง

    ปัจจุบันประเทศเราถูกปกครองโดยคนที่ไม่เืชื่่อว่าผลแห่งกรรมมีจริง
    โบราณสถานมีไว้หาผลประโยชน์เชิงท่องเที่ยว หรือไว้แลกกับคาสิโนและก๊าซธรรมชาติ
    ฟ้าไม่มีตา พระเจ้าจักรพรรดิ์คือคำพูดในตำนาน
    เขาก็บริหารพื้นที่อย่างนั้นๆ
    วัดวรเชษฐ์...ก็ถูกลบตำนานไป

    ลูกสาวดิฉันบอกว่า เขาเผา king ที่นี่
    แต่ท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ พอแม่มาท่านจึงมาหา
    อาจมีใครที่รู้เรื่องนี้จริงๆ แต่พยายามกดข่มความถูกต้องและความดีงาม
    สมันเราเสียกรุงครั้งที่สอง ก็เพราะคนของเราเป็นหนอน
    ตอนนี้ก็เหมือนกัน ถ้ากด เก็บ กักกัน กักขัง หน่วงเหนี่ยวองค์พระโพธิสัตว์ผู้คุมครองบ้านเมืองได้ ตนจะได้สังเวยลาภสักการ.. ดูกรณีปราสาทเขาพนมรุ้งเป็นต้น

    แต่เชื่อเถิดค่ะว่า กรรมมีจริง แต่อาจรอเวลาผลิดอกออกผลอยู่ เพราะคนเหล่านี้สว่างมาแต่คงจะไปไม่สว่าง
    ดิฉันไม่ทราบดอกว่าใคร แต่ไม่อิจฉาผลกรรมของเขาเลย

    คนอะไรไม่รักแผ่นดินเกิด
    อายุก็กลางๆคนกันทั้งนั้น คนรุ่นที่ก่อกรรมทำเข็ญนี้ถ้าเกิด ๔๐๐ กม. ไปทางตะวันออกป่านนี้เป็นกระโหลกกลวงโบ๋ไปหมดแล้ว
     
  8. sutatip_b

    sutatip_b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,197
    ค่าพลัง:
    +26,189
    สมเด็จพระนเรศ ท่านอยู่ได้ทุกหนแห่ง
    ทุกหนแห่งที่มีคนรักท่าน รำลึกถึงท่าน
    แค่นึกท่านก็รู้แล้ว
    เมื่ออธิษฐานจิตถึงท่านบางทีท่านก็มาลูบศีรษะ
    ถ้าอยู่ในที่ๆท่านมีอดีตเกี่ยวข้องก็จะค่อนข้างชัดเจน ถ้าจิตนิ่งและรับได้
    บางทีก็สะท้านทั้งตัว บางทีก็ขนลุกทั้งหลัง บางทีก็ต่อมน้ำตาแตกกระจาย แล้วแต่บุคคลเป็นปัจจัตตัง

    ท่านเป็นทหาร ฆ่าคนก็เยอะ ประหารคนก็เยอะ ถึงจะเพื่อแผ่นดินแต่ก็เป็นกรรมอยู่ดี
    ทหารท่านก็กรรมหนักเหมือนกัน
    บางคนตายแล้ว ยังไม่ไปไหน ติดอยู่กับที่ๆตาย จะรุมคนขายชาติท่าเีดียว

    ทำสังฆทาน มีพระพุทธรูป น้ำ อาหาร และผ้าไตร ที่ไหนก็ได้
    เขาเจ็บ หิวโหย เสื้อผ้าขาดวิ่น
    อุทิศส่วนกุศลให้สมเด็จพระนเรศฯ สมเด็จพระเอกาฯ สมเด็จพระพี่นางฯ และทหารไทยที่ตายเพื่อชาติ
    ให้ทหารพม่าด้วย ทั้งอังวะ แปร ตองอู หงสา ฯลฯ เขาก็โหยหาบุญกุศลเหมือนกัน
    ให้ทุกท่านมาอนุโมทนาบุญ ให้ไปสุคติภูมิให้หมด
    บุญได้กับตัวคุณเอง

    ใครจะทำอะไรกับวัดก็ช่าง
    เราไม่สามารถแจ้งกรมศิลป์ได้ว่า นั่งสมาธิเห็นพระนเรศมาบอกว่าเมรุประชุมเพลิงของท่านอยู่ที่นี่
    ต้องให้ฝรั่งเศสมาบอกจึงจะเชื่อมั้งคะ อะไรๆก็เชื่อฝรั่งหมด

    รักท่าน ให้รักตัวเองก่อน เพราะท่านรักทุกคน อยากให้ปลอดภัย ท่านจึงออกศึกตลอดเวลา
    รู้รักษาตัวรอดในยุคที่มหันตภัยทางจิตคุกคามคนส่วนใหญ่ในประเทศสยามนี้

    รอเวลาฟ้าใส ...
    คนเลวรับกรรมไปแล้ว
    เราหน่อเนื้อเชื้อไขชาวไทยคนดี... มีหน้าที่รักษาชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริยวงศ์ให้ถาวร

    เห็นแล้วว่าระบบประชาธิปไตย..มีตัวตนเป็นศูนย์กลาง ทรัพยากรถูกสูบหายไปในกระเป๋าผู้กุมอำนาจ เพราะคนของเรายังเลวอยู่
    ถึงเรียนหนังสือก็ไร้การศึกษา รัฐก็ชอบครอบไว้ให้เรียนแล้วโง่อยู่อย่างนั้น (ให้อม..ก็มี)
    อ. มหาลัยบ่นทุกวัน ว่าปี ๑ เดี๋ยวนี้คุณภาพแย่มาก
    สมัยก่อนจบม. ๖ อ่านนสพ. ฝรั่งได้
    สมัยนี้จบป.ตรียังอ่านไม่ได้เลย

    แถมรัฐบาลประชาธิปไตยสมัยนี้ยังไม่มีกึ๋นที่จะพูดว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
    ถูกคนอื่นครอบละซี
    ผู้ว่ากว่า ๓๐% นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่พุทธ
    ปล่อยให้คนศาสนาเขาลักลอบข้ามชายแดน ออกบัตรประชาชนให้เสร็จ มีแผนจะกลืนแผ่นดินเรา
    คนไทยของเรามันก็ชั่วเองรับลาภสักการแล้วก็มองไปทางอื่น
    ดูสนามบินสุวรรรภูมิสิคะ มีห้องไหว้พระไหม
    แล้วเห็นไหม ห้องสวดอะไรดูเด่นเป็นสง่า

    ไม่มีกษัตริย์ (องค์อัครพุทธศาสนูปถัมภก) ชาติไทยก็ไม่มีชาติ แล้วจะอุปถัมภ์ศาสนาพุทธให้ครบ ๕๐๐๐ ปีได้อย่างไร
    ช่วยกันแผ่พลังบวกนะคะ
    รักสมเด็จพระนเรศ ให้ทำดี กุศลกรรมบท ๑๐ ศีล ๕ พรหมวิหาร ๔
    เวลาใกล้จะหมดแล้ว ไม่มีเวลาฟื้นฝอยหาตะเข็บค่ะ
    ขอบคุณที่ติดตาม และอนุโมทนาบุญทุกท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2008
  9. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    "จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง"

    สาธุ สาธุ อนุโมทนาครับ
     
  10. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    คงอีกไม่นานหรอกครับ ขอเพียงยึดมั่นในความจงรักภักดีใน ชาติ ศาสนา และองค์พ่อหลวงของเรา มันมี sign มาให้เห็นแล้ว เขาว่าไว้ "สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร"
     
  11. vichygirl

    vichygirl สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    เรียน..คุณSUTATIPและ คุณภาวิโตและทุกๆๆท่าน...

    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแต่ไม่มีสิ่งใดที่จริงแท้และแน่นนอน ที่ว่าแน่ยังต้องนิ่ง....นิ่ง (ทั้งๆที่บางที่แอบยุกยิก) ตามประสา เห็นหลายสิ่ง หลายอย่างในชีวิตมีให้คิด บางครั้งแอบลอบถอนหายใจ ว่าเมื่อมีผลซึ่งต้องมาจากเหตุ
    ในฐานะที่เป็นผู้ชม (เพราะว่าเค้าให้นั่งชมนิ่งๆอย่างเดียว) คงต้องขอเตรียมใจรับในสิ่งที่จะเกิด เหมือนดั่งข้อธรรมคำเตือนที่พระท่านได้มา"เมตตา++ อุเบกขา"
     
  12. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ขออนุญาตคัดลอกข้อความบางตอนจากหนังสือเจาะ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยทันตแพทย์ สม สุจีรา ที่ผมได้อาศัยใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงด้วยอีกฉบับหนึ่ง ดังนี้ .....
    "สถาบันหลักของชาติ ๓ สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา พระ
    มหากษัตริย์ การที่ประเทศใดจะคงอยู่ได้ต้องมีสถาบันหลัก
    ประวัติศาสตร์ของชาติอื่นๆก็สอนเราได้เช่นกัน จีน สิงคโปร์
    ไต้หวัน เกาหลีใต้ ประเทศเหล่านี้เคยมีประวัติศาสตร์ที่เจ็บ
    ปวดจากการถูกย่ำยีของประเทศอื่นอย่างแสนสาหัส ทำให้แปร
    เปลี่ยนความเจ็บปวดนั้นมาเป็นความรู้สึกรักชาติอย่างแรงกล้า
    สถาบันหลักที่ทำให้ประเทศเหล่านี้คงอยู่ได้คือ สถาบันชาติ
    สำหรับคนไทย ความเข้มของการรักชาติในปัจจุบันต้อง​
    ยอมรับว่าน้อยกว่าประชาชนในประเทศเหล่านั้นมาก หลาย
    ต่อหลายครั้งที่ฟิลิปปินส์ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก
    อินโดนีเซียซึ่งเป็นมุสลิม หรือแม้แต่ประเทศใหญ่หลากเชื้อ
    ชาติอย่างอินเดีย ผ่านวิกฤติการณ์ของประเทศพวกเขาไปได้
    เพราะผู้นำทางศาสนาซึ่งมีคุณธรรมออกมาเป็นแกนนำในการ
    กู้วิกฤติ
    สถาบันหลักที่ทำให้ประเทศเหล่านี้คงอยู่ได้คือ สถาบัน
    ศาสนา
    แต่สำหรับคนไทย ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาไม่มี
    อิทธิพลมากพอที่จะทำให้มีการออกมาต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
    และมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งนิกายกันออกไปมากมายจน
    เกาะกลุ่มไม่ติด บางครั้งก็เกิดความขัดแย้งกันเอง และยังมี
    ประชาชนบางส่วนเข้าใจพุทธศาสนาในเชิงไสยศาสตร์มาก
    มาย
    สามสถาบันหลักของประเทศเราคือ ชาติ ศาสนา พระ
    มหากษัตริย์ สองสถาบันแรกไม่มีอิทธิพลเพียงพอที่ผลักดันให้
    เกิดพลังในการคงความเป็นชาติได้ สถาบันหลักสถาบันเดียว
    ที่ทำให้ประเทศเราผ่านวิกฤติอันรุนเเรงมาได้ทุกครั้งจนคง
    ความเป็นชาติไทยอยู่ทุกวันนี้คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ พระ
    อัจฉริยภาพ พระมหากรุณาธิคุณ และพระบารมีปกเกล้า
    ขอเพียงแต่ประชาชนชาวไทยมีความรักชาติมากขึ้น
    พยายามศึกษาศาสนาที่แก่นธรรม เมื่อนั้นชาติไทยจะแข็ง
    แกร่งจนไม่แพ้ใครในโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามการรบหรือ
    สงครามเศรษฐกิจ เพราะโดยศักยภาพที่แท้จริงของคนไทยสูง
    มาก สังเกตได้จากสงครามในอดีต แม้แต่การเสียกรุงศรีอยุธยา
    ถ้าไม่ใช่เพราะไส้ศึกคนในขายชาติกันเอง พม่าก็ไม่มีวันเอา
    ชนะเราได้
    น่าเสียดายที่กรุงศรีอยุธยาถูกเผาทำลายวอดวายไปหมด
    สิ้นในคราวเสียกรุงครั้งที่สอง มิฉะนั้นกรุงศรีอยุธยาอาจจะ
    เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก...."
     
  13. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    อนุโมทนาสาธุ ครับ เห็นด้วยอยางยิ่งกับคุณหมอ สม สุจีรา ครับ "สถาบันหลักสถาบันเดียว ที่ทำให้ประเทศเราผ่านวิกฤติอันรุนแรงมาได้ทุกครั้ง จนคงความเป็นชาติไทยอยู่ทุกวันนี้ คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ พระอัจฉริยภาพ พระมหากรุณาธิคุณ และพระบารมีปกเกล้า" ในอดีต ถ้าประเทศไทยเราไม่มีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแล้วไซร้ เราคงไม่สามารถยืนยงคงความเป็นไทยอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
    "เย็นศิระเพราะพระบริบาล"
     
  14. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    [​IMG]
     
  15. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    [​IMG]-ถ้านะครับ ถ้าแผนบุกอังวะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า
    เป็นไปตามแผน เมื่อถึงวัน ว. ( D-Day ) กองทัพไทยทั้งสอง
    คือทั้งทัพไทย 1 และ ทัพไทย 2 ก็จะรุกคืบหน้าต่อไป ข้ามลำ
    น้ำสาละวิน เข้ายึดที่หมายตามลำดับขั้น คือเมืองนาย จะเห็น
    ว่าการวางกำลังของกองทัพไทยทั้งสองกองทัพ เป็นไปตาม
    หลักการรบด้วยวิธีรุก กล่าวคือระยะทางตามเส้นหลักการรุก
    ซึ่งก็คือระยะของความห่างระหว่าง เวียงแหง ตรงไปยังที่
    หมายข้างหน้าคือเมืองนาย เมื่อเปรียบเทียบกับระยะทางจาก
    เมืองฝางถึงที่หมาย เมืองนาย แล้วจะมีระยะทางเท่ากันโดย
    ประมาณ หมายความว่ากองทัพไทยที่แบ่งกำลังเข้าตีเป็นสอง
    ทิศทาง จะสามารถรุกเข้าสู่ที่หมายได้ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
    ซึ่งเป็นผลดีต่อการเข้าตี เป็นการวางแผนและการดำเนินกล
    ยุทธที่ชาญฉลาด ที่สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงใช้มาแล้วใน
    การตีเมืองคัง โดยพระองค์ใช้กำลังส่วนหนึ่งเข้าตีลวงตรงหน้า
    แล้วใช้กำลังอีกส่วนหนึ่งเข้าตีทางด้านหลัง ซึ่งข้าศึกไม่คาดคิด
    จึงไม่ได้วางกำลังไว้หรือวางไว้แต่เพียงเบาบาง
    -แต่ถ้าเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่เราได้เรียนและรับรู้กันว่า
    สมเด็จพระนเรศวรสิ้นพระชนม์ที่เมืองหางแล้ว ภาพยุทธวิธี
    ในการรบก็จะเปลี่ยนไป จะกลายเป็นว่าทัพไทยทั้งสองกอง
    ทัพจะรุกเข้าสู่ที่หมายในทิศทางเดียวกัน ดูประหนึ่งว่า กอง
    ทัพทั้งสองจะดำเนินกลยุทธที่เป็นการเข้าตีตามกัน หากทัพ
    หน้าจำเป็นต้องถอยร่นก็จะมาปะทะกับทัพหลังอาจเกิดความ
    วุ่นวายหรือการเข้าใจผิดได้ ข้อสำคัญสมเด็จพระนเรศวรคงจะ
    ไม่ทรงใช้ยุทธวิธีเก่าๆเดิมๆเป็นแน่
    -ดังนั้นถ้าเรานำยุทธวิธีในการรบในครั้งนี้มาพิจารณาร่วมกัน
    กับทฤษฎีใหม่ของอาจารย์ชัยยง ไชยศรีแล้ว ความน่าจะเป็น
    เมืองแหงหรือเวียงแหง ยิ่งมีความเป็นไปได้สูง
     
  16. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    เพื่อให้เห็นภาพการจัดทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเพื่อเป็นตัวอย่างให้พวกเราสามารถจินตนาการได้ว่า ความใหญ่โตมโหฬารของกองทัพไทยที่มีจำนวนเรือนแสนนั้นน่าจะขนาดใด ตามตัวอย่างนี้เป็นรูปแบบการจัดทัพที่หนองสาหร่าย เมื่อครั้งสงครามยุทธหัตถี : จาก BlogGang.com[​IMG]
     
  17. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ปกติแล้วรูปแบบในการจัดทัพมักจะเป็นรูปแบบมาตรฐานที่ค่อนข้างจะตายตัว จะไม่ค่อยแตกต่างออกไปมากนัก ยิ่งการรบในพื้นที่ห่างไกลจากที่ตั้ง(กรุงศรีอยุธยา)ยิ่งจำเป็นต้องมีความพร้อม และส่วนที่เป็นมาตรฐานขั้นแรกที่จะต้องมีในยุทธวิธีของการรบด้วยวิธีรุกนั้น คือ ต้องมีกองทัพที่ทำหน้าที่เป็นกองหน้า กองหลวงก็คือกำลังกองทัพที่สมเด็จพระนเรศวรหรือพระเอกาทศรถโดยเสด็จอยู่ในส่วนนี้ ส่วนกองหลังก็คือกำลังหนุนที่ใช้สำหรับเพิ่มเติมกำลังหรือเพื่อแก้ปัญหาในการรบ ซึ่งยังคงเป็นรูปแบบที่ใช้ในการรบมาจนถึงปัจจุบัน ฟังดูคล้ายการจัดรูปแบบของการจัดทีมฟุตบอลนะครับ เพราะฉะนั้นถ้ากำลังของกองหน้าหรือทัพหน้าของสมเด็จพระนเรศวรวางกำลังไว้ที่บริเวณเมืองแหงหรือเวียงแหงแล้วทัพหลวงหรือกองหลวงที่สมเด็จพระนเรศวรเจ้าโดยเสด็จอยู่ก็ควรจะอยู่ต่ำลงมาข้างหลังกว่ากองหน้าอยู่บ้างพอสมควรตามรูปแบบของการจัดกระบวนทัพใช่ไหมครับ ส่วนจะอยู่ตรงบริเวณใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับภูมิประเทศและชัยภูมิเป็นสำคัญ ที่มีหลักฐานกล่าวว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถูกแมลงมีพิษต่อยขณะประทับอยู่บนคอช้างก็อาจจะเป็นจังหวะเวลาที่พระองค์เสด็จออกตรวจเยี่ยมไพร่พลตามพระปกตินิสสัยก็เป็นได้ ถ้าเป็นดังนี้แล้วเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบในขณะนั้นก็ย่อมต้องอัญเชิญเสด็จพระองค์กลับที่ประทับโดยรีบด่วนแน่นอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  18. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ขอทบทวนการบุกอังวะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช -ถึงปีเถาะ พ.ศ. 2146 สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่าพระเจ้าอังวะ ตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองพม่าเหนือ ยกกองทัพไปเอาเมืองไทยใหญ่ที่ตั้งเป็นอิสระได้แล้ว เลยบุกรุกเข้ามาตีเมืองนายและเมืองแสนหวีไทยใหญ่ซึ่งมาขึ้นอยู่แก่ไทย เวลานั้นการบำรุงรี้พลพอสมควรแล้ว สมเด็จพระนเรศวรคงทรงพระราชดำริเห็นว่าพระเจ้าตองอูหมดสิ้นบารมีและได้ยอมอ่อนน้อมเข้ามาในขอบขัณฑสีมาแล้ว การที่จะตีเมืองตองอูดูไม่สำคัญอันใด แต่ทางเมืองอังวะต่างหากที่น่าระวังเนื่องด้วยพระเจ้าอังวะบังอาจเข้ามาบุกรุกเมืองไทยใหญ่ที่ขึ้นแก่ไทย นอกจากนั้นถ้าพระเจ้าอังวะได้เมืองไทยใหญ่หมดแล้ว อาจจะมีกำลังถึงสามารถรวมอาณาเขตพม่าใต้กลับตั้งประเทศหงสาวดีขึ้นอีก ควรจะปราบพระเจ้าอังวะเสียแต่ยังไม่ทันมีกำลังมาก เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม
    แต่การจะไปตีเมืองอังวะนั้นหนทางไกลกว่าเมืองตองอู เพราะเมืองอังวะตั้งอยู่ในแผ่นดินพม่าข้างฝ่ายเหนือ มีทางที่กองทัพไทยจะยกไปเป็น 2 ทาง ทางหนึ่งยกขึ้นไปจากเมืองมอญ จะต้องรบพุ่งปราบปรามเมืองพม่าทางฝ่ายใต้ เช่นเมืองตองอูและเมืองแปรเป็นต้น ขึ้นไปจนถึงเมืองอังวะ อีกทางหนึ่งยกไปจากเมืองเชียงใหม่ทางเมืองไทยใหญ่ซึ่งขึ้นอยู่กับไทยแล้วโดยมาก ที่ยังตั้งเป็นอิสระอยู่ก็ครั่นคร้ามไทยอยู่แล้วคงไม่ต่อสู้ อาจจะยกกองทัพไปได้โดยสะดวก มิต้องรบพุ่งจนกระทั่งถึงแดนอังวะ คงเป็นด้วยทรงพระราชดำริเช่นว่ามานี้ จึงตรัสสั่งให้ยกกองทัพไปทางเมืองเชียงใหม่ :คัดลอกจาก BlogGang.com
     
  19. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    ข้างฝ่ายพม่าเมื่อกองทัพไทยกลับมาแล้ว พระเจ้าอังวะก็รวบรวมเมืองไทยใหญ่ได้ดังปรารถนา แต่เมื่อกลับจากเมืองไทยใหญ่พระเจ้าอังวะนะยองรามก็ถึงพิราลัยในกลางทาง ยังไม่ทันถึงเมืองอังวะ พวกท้าวพระยาข้าราชการพม่าจึงยกราชบุตรองค์ใหญ่ขึ้นเป็นพระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะองค์นี้มีปรีชาสามารถคิดการขยายอาณาเขตตามรอยพระราชบิดาต่อมา ฝ่ายพระสังกะทัตราชบุตรซึ่งได้ราชสมบัติเป็นพระเจ้าตองอูก็กลัวพระเจ้าอังวะจะมาตีเมืองตองอูและได้มาขอเป็นประเทศราชขึ้นกรุงศรีอยุธยาตามที่พระมหาเถรเสียมเพรียมได้แนะนำไว้แก่บิดา ขณะนั้นเมืองสิเรียม ซึ่งพระเจ้ายักไข่ได้ไปเมื่อหย่าทัพกับพระเจ้าตองอู ก็มีเรื่องราวความเป็นไปเกิดขึ้นเช่นกัน ด้วยเมืองสิเรียมนั้นเป็นเมืองท่า มีเรือกำปั่นไปมาค้าขายบริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ พระเจ้ายักไข่เห็นจะเกรงว่าพระยาทะละอุปราชของไทยที่เมืองเมาะตะมะจะไปตีเมืองสิเรียม จึงให้ฝรั่งโปรตุเกสคนหนึ่ง ชื่อฟิลิป เดอ บริโต คุมกำปั่นรบ 3 ลำ กับไพร่พลรบ 3,000คน อยู่รักษาเมืองสิเรียม อยู่มา เดอ บริโต ได้พวกโปรตุเกสมาเป็นกำลังตั้งแข็งเมือง พระเจ้ายักไข่ให้พระมหาอุปราชาราชบุตรยกกองทัพลงมาตีเมืองสิเรียม แต่มารบแพ้ เดอ บริโตจับพระมหาอุปราชาได้ พระเจ้ายักไข่ก็ต้องไถ่พระมหาอุปราชาด้วยทัพสัญญายอมให้เมืองสิเรียมแก่ เดอ บริโต เมื่อปีเถาะ พ.ศ. 2146 เดอ บริโต เกรงพระเจ้ายักไข่จะหาเหตุมาแก้แค้นเมื่อภายหลัง จึงมาขอขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ตอนนั้น เมืองมอญทั้งปักษ์ใต้และฝ่ายเหนือก็มาเป็นเมืองขึ้นกรุงศรีอยุธยาทั้งหมด
    การที่สมเด็จพระนเรศวรทรงทำสงครามจึงได้ผลในที่สุด ทั้งสามารถทำลายอานุภาพเมืองหงสาวดีมิให้เป็นมหาประเทศ และกู้เมืองไทยให้คืนเป็นอิสระ แล้วได้เป็นมหาประเทศมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าเคยมีมาแต่ก่อน หรือในภายหลังต่อมา
    เมื่อสมเด็จเอกาทศรถเสด็จกลับมาถึงพระนคร ทำพระราชพิธีราชาภิเษกแล้ว ให้สร้างพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวร ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่าเป็นงานใหญ่อย่างมโหฬารยิ่งกว่างานพระบรมศพที่เคยมีมาแต่ก่อน และมีเจ้าประเทศราชและเจ้าเมืองต่างๆซึ่งเป็นข้าขอบขัณฑสีมามาถวายบังคมพระบรมศพมากกว่ามาก ความที่ว่านี้พึงเห็นได้ว่าเป็นความจริง เพราะเมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จสวรรคตทรงเป็นพระเกียรติเป็น พระเจ้าราชาธิราช บริบูรณ์ทุกสถาน : คัดลอกจาก BlogGang.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008
  20. ภาวิโต

    ภาวิโต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +268
    กรุงศรีอยุธยานั้นในยุคหลังจากสมเด็จพระนเรศวรก็มีพระมหากษตริย์สืบต่อมาอีกหลายพระองค์จนกระทั่งประมาณ 50 ปีต่อมาก็มาถึงยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งเป็นอีกยุคสมัยหนึ่งที่เมืองไทยเจริญรุ่งเรืองขีดสุดทั้งด้านการค้าพาณิชย์และการทหารถึงขนาดนำกำลังไปบุกพม่าได้อีกคราวหนึ่งและมีแสนยานุภาพทางทะเลที่ยิ่งใหญ่ แต่หลังจากสิ้นยุคของพระองค์แล้ว บ้านเมืองไทยเรากลับเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็วเพราะเพียงแค่ 70 กว่าปีหลังจากนั้นก็ถึงกับเสียกรุงครั้งที่2 แม้แต่พม่าเองยังแปลกใจเพราะไม่เคยคิดว่าจะลุกล้ำเข้ามาในเมืองไทยอย่าง่ายดายเช่นนี้ จึงยิ่งได้ใจบุกเข้าเรื่อยๆแบบกองโจร สุดท้ายจึงนำกำลังเหนือ-ใต้ภายใต้ผู้นำชื่อเนเมียวสีหบดีและมังมหานรธา เข้ามายึดครองกรุงศรีอยุธยาได้อีกครั้งหนึ่งในสมัยพระเจ้ามังระแห่งกรุงอังวะเมื่อปีพ.ศ. 2310 และเป็นครั้งที่กรุงศรีอยุธยาถูกย่ำยีอย่างยับเยินที่สุดในประวัติศาสตร์ บ้านเมืองถูกเผาพินาศย่อยยับ ลูกเมียล้วนถูกย่ำยีฉุดคร่าข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ผู้ชายถูกเกณฑ์ไปเป็นข้าทาสของพม่า วัดวาอารามปราสาทราชวังถูกเผาไม่มีมีชิ้นดีเพียงเพราะข้าศึกต้องการทองคำที่หุ้มพระพุทธรูป แต่สถานการณ์สร้างวีรบุรุษยังคงเป็นสัจธรรมสืบมา เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงนำกองทหารไม่กี่ร้อยคนฝ่าวงล้อมทัพพม่าออกไป ซึ่งแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวของพระองค์และกองทหาร เพราะหากถูกทหารพม่าล้อมหน้าล้อมหลังได้ก็หมายถึงต้องตายกันหมด เมื่อผ่านไปได้แล้วก็ถือว่าเป็นบุญญาธิการของพระองค์ ต่อมาก็ทรงรวบรวมกำลังขับไล่พม่าออกไปได้ภายในไม่เกิน 1 ปีและได้ราชาภิเษกเป็นสมเด็จพระบรมราชาที่4ตามพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาหรือในที่รู้จักคือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชนั่นเอง : BlogGang.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...