แท้จริงร่างกายของเราเป็นของตาย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย รักเสมอ, 8 สิงหาคม 2008.

  1. ธรรมทิพย์

    ธรรมทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +433
    อนุโมทนากับทุกท่านค่ะ

    ล้วนแต่บัณฑิตชนสนทนาธรรมต่อกัน
    ย่อมก่อให้เกิดปัญญา ทั้งต่อตนเองและ
    ผู้ติดตาม ขอบคุณทุกท่านค่ะที่เขียน
    เรื่องดี ๆ มาให้อ่าน

    แท้จริงร่างกายนี้มีเพียง รูป นาม
    เราไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น เพราะ
    สรรพสิ่งย่อมเสื่อมสลายตามกฎไตรลักษณ์

    ไม่ได้มีความรู้ทางธรรมลึกซึ้งเหมือนทุกท่าน
    ทราบแต่เพียงว่า ตายหรือเป็น เป็นหรือตาย
    ไม่สำคัญ ที่สำคํญก่อนตายควรทำอะไรสำคัญกว่าค่ะ
     
  2. อดุลย์ เมธีกุล

    อดุลย์ เมธีกุล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กันยายน 2007
    โพสต์:
    7,363
    ค่าพลัง:
    +11,794
    จิตยังต้องอาศัยกาย เพราะยังต้องใช้ เป็นสิ่งเกื้อกูลกัน ถ้ากายเป็นวัตถุธาตุที่ไม่รู้อารมณ์อะไร อย่างนั้น กายหรือใจครับที่หิวข้าว และต้องกินข้าวครับ พระอริยะเจ้าท่านอาศัยละทางใจ ส่วนกายก็ยังต้องมีเวทนาเพราะเป็นตามหลักธรรมชาติ ที่ยังมีใจครอบครองอยู่ ท่านจึงต้องทำหน้าที่บริหารขันธ์ และใช้ขันธ์ของท่านเกื้อกูลประโยชน์ต่อผู้อื่นครับ

    (ตามความเข้าใจของผมเอง ผิดถูกช่วยชี้แนะด้วยครับ)
     
  3. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    โปรดสังเกตในพระสูตรที่มีมา เมื่อกล่าวถึง กาย นั้น หมายถึง ขันธ์ ๕ หรือ รูปนาม<O:p</O:p
    รูปขันธ์ ๑ นามขันธ์ ๔ หรือก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    ส่วนจิตไม่ใช่กาย ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ไม่ใช่รูปนาม
    เวลาตาย...กายตาย จิต(จุติปฏิสนธิไปตามกรรมที่ทำไว้)<O:p</O:p


    ลองอ่าน นกุลปิตาสูตร ที่ยกมาแสดงไว้ใน คคห ข้างต้นอีกครั้งนะคะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ปุถุชน<O:p</O:p
    เมื่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวนไป จิตแปรปรวนตาม<O:p</O:p
    คือ กายกระสับกระส่าย จิตกระสับกระส่ายตาม<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระอริยสาวก<O:p</O:p
    เมื่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวนไป จิตไม่แปรปรวนตาม<O:p</O:p
    คือ กายกระสับกระส่าย จิตหากระสับกระส่ายไม่

    ซึ่งพระสูตรนี้แสดงไว้อย่างชัดเจนว่า กาย หมายถึง ขันธ์ ๕, กาย ไม่ใช่ จิต

    แต่ปุถุชน...ไม่ได้อบรมจิต<O:p</O:p
    จิตรู้ผิดจากความเป็นจริง คือ ไม่รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง<O:p</O:p
    จิตหลงผิดหลงยึดขันธ์ ๕ เป็นตน<O:p</O:p
    เมื่อกาย(ขันธ์ ๕)ป่วย ก็เข้าใจว่าตน(จิต)ป่วย

    พระอริยสาวก...อบรมจิต โดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘ ตามเสด็จ<O:p</O:p
    จิตรู้ถูกตามความเป็นจริง คือ รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริงแล้ว<O:p</O:p
    จิตปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ แล้ว<O:p</O:p
    เพราะจิตรู้แล้วว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตนของตน<O:p</O:p
    หรือ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตนของเรา<O:p</O:p
    เมื่อกาย(ขันธ์ ๕)ป่วย จิตก็ไม่ป่วยด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เราก็อยู่ส่วนเรา ขันธ์ ๕ ก็อยู่ส่วนขันธ์ ๕<O:p</O:p
    อาศัยอยู่กันไป เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว โดยใบบัวไม่เปียก ฉะนั้น

    อ้างอิงอนัตตลักขณสูตร<O:p</O:p
    ภ. รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?<O:p</O:p
    ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
    ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

    ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
    ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

    ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล <O:p</O:p
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
    ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้
    ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    เธอทั้งหลายพึงเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น
    ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
    นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา
    ^
    เรา(จิตผู้ปฏิบัติ)พึงเห็นขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
    ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ของเรา ขันธ์ ๕ ไม่เป็นเรา ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตนของเรา

    สรุป
    การปฏิบัติอริยมรรค ๘ เป็นการปฏิบัติทางจิต
    เรา ก็คือ ผู้ปฏิบัติ คือ จิตผู้ปฏิบัติ นั่นเอง
    เราฝึกปฏิบัติ เพื่อแยกเรา(จิต) กับ กาย ออกจากกัน

    เพราะทุกวันนี้ เรา(จิต) กับกายรวมกันอยู่ เป็นอย่างเดียวกัน จนแยกไม่ออก
    พอกายป่วย เกิดทุกขเวทนาขึ้น จิตของเราก็ป่วยตาม เรา(จิต)ก็ทุกข์ไปตามกาย

    แต่พระอรหันต์ ท่านแยกกายกับจิตออกจากกันได้แล้ว
    ถึงกายป่วย เกิดทุกขเวทนาทางกายขึ้น
    จิตของท่านก็ไม่ป่วยตาม ท่าน(จิตของท่าน)ไม่ทุกข์ไปตามกาย
    ^_^<O:p</O:p
     
  4. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อ้างอิงปุปผสูตร
    ฯลฯ
    รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นโลกธรรมในโลก
    พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น
    ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้งเปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น

    ฯลฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบลก็ดี ปทุมก็ดี บุณฑริกก็ดี เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ
    ขึ้นพ้นจากน้ำตั้งอยู่ แต่น้ำไม่ติด แม้ฉันใด

    พระตถาคตเกิดแล้วในโลก เจริญแล้วในโลก ย่อมครอบงำโลกอยู่
    แต่โลกฉาบทาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกันแล.
    ^
    คงไม่มีใครปฏิเสธนะคะ... การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เป็นการปฏิบัติทางจิต

    พระสูตรนี้แสดงให้เห็นว่า ขันธ์ ๕ เป็นโลกธรรมในโลก
    จิตของพระองค์ ทราบชัดโลกธรรม(ขันธ์ ๕) แล้ว

    โลกฉาบทาไม่ได้ ก็คือ
    ขันธ์ ๕ ไม่อาจทำความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นกับจิตของพระองค์ได้แล้ว
    เหมือนน้ำที่อยู่บนใบบัว โดยไม่เปียกใบบัว ฉะนั้น

    ^_^

    ปล. คงไม่ลืมที่เรียนกันในพุทธประวัติ
    พระองค์ทรงพบคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย
    ก็เลยให้สงสัยว่า แล้วที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ล่ะ มีมั๊ย
    จึงทรงออกผนวช เพื่อหาสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
    แล้วก็ได้ทรงพบ อมตธรรม ( ธรรมที่ไม่ตาย ) คือ จิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง

    ^_^
     
  5. Noppadol.Ve

    Noppadol.Ve เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +245
    คุณผู้ใช้ชื่อว่า ธรรมะสวนัง เขียนหลักธรรมต่าง ๆ ได้แจ่มแจ้งดีจังฮะ
    แต่ผมก็คิดว่านะ ที่ผู้ตั้งกระทู้ว่า
    แท้จริงร่างกายของเราเป็นของตาย นั้น
    ดู ๆ ก็น่าจะเป็นอย่างงั้นนะ เพราะเราทุกคนก็เหมือนกับผี ที่ยังหายใจอยู่ ยังเดินได้อยู่
    ถ้าร่างกายเป็นของเป็นอยู่จริง มันก็คงไม่ตายหรอกนะ
    ผมเคยเห็นคนขาขาดต่อหน้าต่อตา เห็นขามันก็ตายทันทีเลยนี่ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเดินอยู่แหมบๆ แต่เจ้าตัวยังไม่ตาย
    แต่ถ้าหัวขาดไปล่ะ คราวนี้ตายแหงแก๋ฮะ
    การเห็นว่า ร่างกายเป็นของตาย น่าจะทำให้เห็นว่า ร่างกายมันเป็นอนัตตา ได้ง่ายกว่านะ
    อาจารย์ท่านพุทธทาสจึงสอนให้เรา หัดตายเสียก่อนตาย
    ให้เราทำความรู้สึกว่า ตายจาก ตัวกู ของกู จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เมื่อต้องตายจริง ๆ น่ะเอง
     
  6. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คนที่เค้าขาขาด เค้าแสดงอาการดีใจเลยใช่มั๊ย??? ในเมื่อเห็นขามันตาย<O:p</O:p
    หรือเค้าเสียใจอยากได้ขาคืน เค้าเจ็บปวดทรมานมั๊ยกับการที่เค้าเสียขาไป???

    <O:p</O:pแน่นอน เราเป็นคนเห็นคนอื่นขาขาด เราไม่ได้ขาขาดเอง<O:p</O:p
    เราก็เลยรู้สึกว่า เออ ขามันตาย เจ้าตัวยังไม่ตาย ...ลัลล้า???<O:p</O:p
    เรารู้ถึงความทุกข์ทรมานที่เค้าได้รับมั๊ย ( ไม่รู้ เพราะไม่เกิดกับเรา )<O:p</O:p
    เพราะเราพยายามบอกตัวเองว่าร่างกายมันเป็นของตาย ร่างกายมันเป็นอนัตตา<O:p</O:p
    หัดตายเสียก่อนตายให้เราทำความรู้สึกว่า ตายจาก ตัวกู ของกู<O:p</O:p
    จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เมื่อต้องตายจริง ๆ น่ะเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเราเป็นคนต้องเสียขาไป <O:p</O:p
    เราจะวางจิตได้อย่างไร ที่จะไม่ทุกข์เมื่อต้องเสียขาไปต่างหาก<O:p</O:p
    ถึงเราจะพยายามบอกตัวเองว่าร่างกายมันเป็นของตาย ร่างกายมันเป็นอนัตตา<O:p</O:p
    แต่ถ้าเราเสียขาจริงๆ เราจะเริงร่าได้หรือกับความเจ็บปวดทรมานจากการที่ขาขาด<O:p</O:p
    เราจะเริงร่าได้หรือที่ขยับตัว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีกต่อไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เราจึงฝึกปฏิบัติ ต้องอบรมจิตตามเสด็จ<O:p</O:p
    เพื่อให้จิตของเรารู้จักปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นว่ากายเป็นเรา(จิต) กายเป็นของเรา(จิต)<O:p</O:p
    เรา(จิต) ก็จะไม่ทุกข์กับการที่ต้องเสียขาไป (เพราะมันเป็นกรรม) ต่างหากล่ะ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เห็นมาเยอะแล้วค่ะ พวกที่บอกว่า หัดตายเสียก่อนตาย<O:p</O:p
    พอจะตายเข้าจริงร้องเสียงหลง ยังไม่อยากตาย ใครก็ได้ช่วยที<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จะตายก่อนตายได้ ต้องฝึกเข้าฌาน ๔ บ่อยๆเนืองๆ ค่ะ ^_^<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    หุ่นยนต์ เราโปรแกรมสั่งให้มันนั่งสักเดือนก็คงไม่มีปัญหา<O:p</O:p
    สั่งให้มันลุก มันลุกได้ทันทีทันใด ถึงแม้นั่งมาเป็นเดือนแล้ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่เมื่อเทียบกับคน ที่ว่านั่งสมาธิได้สองสามวัน<O:p</O:p
    ไม่ต้องขนาดนั้น ผมขอแค่ ๖ ชม.ก็พอ<O:p</O:p
    ถ้าออกจากสมาธิแล้ว ลุกขึ้นยืนได้ทันที บอกด้วยครับ ใครทำได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    การนั่งนานๆ ร่างกายต้องมีการเมื่อยขบ<O:p</O:p
    ต้องเกิดเวทนาทางกายเป็นของแน่นอนทุกคนไม่มีเว้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เพียงแต่ผู้ที่ได้สมาธิแล้ว จิตไม่รับเวทนาที่เกิดขึ้นนั้นต่างหาก<O:p</O:p
    พอออกจากสมาธิ ก็ต้องให้ร่างกายปรับให้อาการเหล่านั้นหายไปก่อน<O:p</O:p
    จึงจะเคลื่อนไหวได้ คงลุกทันทีทันใดเหมือนหุ่นยนต์ไม่ได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จากหลวงปู่ฝากไว้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    มีคืนหนึ่ง ขณะหลวงปู่ดูลย์อาพาธหนักอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ <O:p</O:p
    อาการอ่อนเพลียอย่างมาก ถึงกับต้องให้ออกซิเจนช่วยหายใจโดยตลอด<O:p</O:p
    มีอาจารย์ท่านหนึ่งได้ไปเยี่ยม ก้มลงไปชิดหูหลวงปู่แล้วถามว่า<O:p</O:p
     
  8. รักเสมอ

    รักเสมอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +235
    คุณธรรมะสวนัง กล่าวว่า

    เห็นมาเยอะแล้วค่ะ พวกที่บอกว่า หัดตายเสียก่อนตาย<O:p</O:p
    พอจะตายเข้าจริงร้องเสียงหลง ยังไม่อยากตาย ใครก็ได้ช่วยที
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    จะตายก่อนตายได้ ต้องฝึกเข้าฌาน ๔ บ่อยๆเนืองๆ ค่ะ ^_^

    <O:p</O:p
    เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ ฝึกเข้าฌาน ๔ บ่อย ๆ เพราะผู้เข้าฌาน ๔ ลมหายใจดับไป
    จึงเหมือนคนตาย

    ผู้เข้าฌาน ๔ ได้...ความกลัวตายคงแทบจะเหลือศูนย์ครับ

    แต่สองบรรทัดแรกนี้ จะไม่เป็นการมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อยรึครับ

    การหัดตายก่อนตายจริง เช่น ฝึกการนอนในโลงศพ หรือในป่าช้า จะผิดตรงไหนล่ะครับ ?

    คุณธรรมภูต กล่าวว่า

    แต่เมื่อเทียบกับคน ที่ว่านั่งสมาธิได้สองสามวัน<O:p</O:p
    ไม่ต้องขนาดนั้น ผมขอแค่ ๖ ชม.ก็พอ
    <O:p</O:p
    ถ้าออกจากสมาธิแล้ว ลุกขึ้นยืนได้ทันที บอกด้วยครับ ใครทำได้


    เรื่องการนั่งสมาธิได้นาน (มากกว่า ๓ วันก็มี) เคยเห็นมาแล้วจริง ๆ ครับ

    ท่านผู้ที่นั่งสมาธิได้ตลอดคืน ก็มีหลายท่าน ขออนุญาตเอ่ยนามท่านครับ เช่น

    พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) เป็นต้น

    แต่อย่างไรก็ตาม ไป ๆ มา ๆ ผมก็ยังไม่ทราบว่า คุณธรรมภูต เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับหัวข้อกระทู้นี้ครับ ?

    ปล. พอดีอ่านเจอในห้องวิทยาศาตร์ทางจิต ฯ โดย VANCO เขียนไว้ว่า

    เราคือผีสดศพหนึ่งเท่านั้น

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี



    <O:p</O:p
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เห็นด้วยครับในเรื่องสรีรยนต์ แต่ไม่เห็นด้วยเรื่องเครื่องยนต์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เห็นด้วยในเรื่องนั่งสมาธิ ท่านที่ได้สมาบัติจะนั่งสัก ๕-๗ วันเป็นเรื่องธรรมดา<O:p</O:p
    ส่วนที่บอกว่าร่างกายไม่เจ็บปวด ไม่เห็นด้วยครับเพราะเวทนาเป็นของคู่กาย<O:p</O:p

    ท่านผู้ที่นั่งสมาธิได้ตลอดคืน ก็มีหลายท่าน อันนี้ทราบครับ
    แต่ถ้าไม่มีสติกำกับเข้าไปด้วยตลอดเวลาการนั่งก็เปล่าประโยชน์
    หลวงปู่ดูลย์ เคยกล่าวไว้ว่า นั่งให้ตลอดทั้งคืน จนตูดด้านเป็นตูดลิงก็ไม่ได้อะไร<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เราคือผีสดศพหนึ่งเท่านั้น
    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    หลวงปู่พูดพอเข้าใจ แต่จะให้เข้าสู่สภาวะเห็นจริงตามนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ฟังแล้วคิดก็เป็นได้
    ต้องใช้ความเพียรในการฝึกสมาธิให้เข้าสู่สภาวะตายก่อนตาย(จิตแยกออกจากกาย)ครับ
    ส่วนฝึกการนอนในโลงศพหรือนอนในป่าช้า เป็นเพียงเปลี่ยนที่นอนให้คุ้นเคยกับผีเท่านั้น;26<O:p</O:p
     
  10. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    คิดว่าไม่ค่ะ เราปฏิบัติเพื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ไม่ใช่เพื่อหลอกตัวเอง หรือเพื่อเอาไว้คุยโม้อวดคนอื่นน่ะค่ะ

    เราเองเมื่อพิจารณาลงไปลึกๆแล้ว
    จิตใจยังหวั่นไหวเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพระยามัจจุราช ^_^
     
  11. รักเสมอ

    รักเสมอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2008
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +235
    ธรรมะสวนัง....คิดว่าไม่ค่ะ เราปฏิบัติเพื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ไม่ใช่เพื่อหลอกตัวเอง หรือเพื่อเอาไว้คุยโม้อวดคนอื่นน่ะค่ะ

    เราเองเมื่อพิจารณาลงไปลึกๆแล้ว
    จิตใจยังหวั่นไหวเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพระยามัจจุราช ^_^

    คำพูดนี้ดูจะขัดแย้งกันอยู่ในตัวนะครับ

    คุณก็ยอมรับว่า การปฏิบัติที่มิได้เป็นการหลอกตัวเองและผู้อื่นนั้น

    ย่อมเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามธรรม

    คือเราจะดูเพียงรูปแบบภายนอกไม่ได้ เช่น พระภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนแต่ดูเคร่งครัด สงบเสงี่ยมน่าเลื่อมใส กว่าพระอรหันต์องค์จริง ก็มีจำนวนมาก มิใช่รึครับ

    ส่วนสองบรรทัดหลังนั้น

    ขออนุโมทนาครับที่กล้าเปิดเผยความจริง

    แต่เคยมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับพระยามัจจุราชเชียวรึครับ....

    น่าสนใจมากจริง ๆ ช่วยแย้มให้ฟังมั่งได้มั้ยครับ

    ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
     
  12. ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก"

    ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก" สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +21
    สาธุอนุโมทนากับ...คุณ ธรรมะสวนัง...ในธรรมทานที่นำมาฝากคับ...
    ....
    ขอรวมแสดงความเห็นด้วยคนนะคับ....
    เท่าที่อ่านมาโดยรวมคุณ ธรรมะสวนัง..ยกมาจากพระไตยปิฏก..
    ตามที่คุณธรรมะสวนังอธิบายมาทั้งหมด... ลืมคำว่า"สติ" ..ไปหรือเปล่าคับ...
    ขันธ์ 5 แยกได้ 2พวกใหญ่ๆ คือ รูป กับนาม
    ..รูป.. คือ ร่างกายเรา ที่ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ อันนี้คุณ
    ธรรมะสวนัง..ชี้แจกไว้ละเอียดดีแล้วคับ
    ..นาม..คือ จิตที่ทำงานไปตามหนาที่ของเขาในอาการต่างๆ..คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ.. 4 ข้อในขันธ์ 5 นี้คือจิต
    ..สติ..คือ ผู้รู้ ที่เข้าไปรู้ อาการต่างๆๆของจิต ที่เกิดดับเป็นขณะ ขณะไป ...คือ สัญญาเกิด ...สัญญาดับ ..สังขารเกิด ..สังขารดับ ..วิญญาณเกิด ...วิญญาณดับ เวทนาเกิด...นี่คือแยกแยะตามขันธ์ 5...แล้วตัญหา อุปทานละ เกิดตอนไหน ???
    รอยต่อจุดที่เกิดตัญหา..คือ ช่วงที่วิญญาณดับ ก่อนจะเกิดเวทนา เกิดตัญหา..และ อุปทานก่อน...จึงเกิดเวทนา... นี่คับที่ยกมานี้ เราจะรู้ได้อย่างไร..อาการจิตเกิดดับดั่งที่ผมบอกไปน่ะ ...ผมไม่เอาตำรานะคับ.ถามว่ารู้..ในการปฏิบัติที่เกิดน่ะ...อะไร คือ ผู้รู้..??
    ผู้รู้ คือ...สติ..และสติอีกนั้นแหละที่ตั้งมั่น ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง จึงเกิดสมาธิ ขึ้น...
    ตามหนังสือ..หรือแนวทางการสอน จึงมีคำว่า เจริญสติ การเจริญสติปัฎฐาน4 ... หรือ สัมมาสติ ในมรรคมีองค์แปด..
    .....เพราะจิต บังคับไม่ได้ ...ดังพุทธพจน์ที่ว่า..
    จิตดิ้นรน กลับกลอก ป้องกันยาก ห้ามยาก คนมีปัญญา สามารถทำให้ตรงได้ เหมือนช่างศรดัดลูกศร..(จากหนังสือธรรมรอบกองไฟ ของคุณขวัญ เพียงหทัย)
    ...แต่ที่ฝึกได้ คือสติ ... เมื่อมีสติ..ปัญญาก็ตามมา.. ดั่งที่ว่า .."สติมาปัญญาเกิด"
    ปัญญา นี่แหละคับ ที่ตัดตัวกูของกู.. ต้องเป็น ภาวนามยปัญญานะคับ ...ไม่ใช่จินตะมยปัญญา หรือสุตตะมยปัญญา...เพราะการอ่านตำราถ้าตีความผิด..การปฏิบัติ ก็จะผิดเพียนไปหมด..ที่ว่าเห็นธรรมตามจริงก็จะเกิดไม่ได้เลย
    ขอฝากไว้ด้วยความปารถนาดีนะคับ
    .....
    ขอให้เจริญในธรรมนะคับ..สาธุ
     
  13. Nok Nok

    Nok Nok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +3,297
    ขอกราบอนุโมทนาบุญ 1,000,000 ครั้ง
    กับความรู้ทั้งหมดเลยเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...