ถ้ำทะลุ..

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย paang, 14 พฤศจิกายน 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    เรื่องเล่าเกี่ยวกับถ้ำทะลุ....โดยอาจารย์กอบเกีรยติ

    ร่วม ๒๐ ปีมาแล้ว

    หลวงพ่อชื่อดัง แห่งจังหวัดนนทบุรี ท่านเป็นผู้มีความเมตตาได้อนุคราะห์ชี้สถานที่อันเป็นสัปปายะเหมาะสำหรับผู้หวังปฏิบัติธรรมให้ โดยท่านมาเยี่ยมสาขาสำนักสงฆ์ของท่าน ซึ่งตั้งอยู่อ.ทองผาภูมิ เมื่อท่านมีเวลาได้พาญาติโยมมายังถ้ำทะลุซึ่งห่างจาก สำนักสงฆ์ประมาณ ๕ กม. ทางเดินไปสู่ถ้ำทะลุยังเป็นดิน ฝนเพิ่งตกหนักเมื่อคืนทำให้กว่าจะเดินผ่านขี้เลนและดินเหลวช่างลำบากเสียนี่กระไร
    [​IMG]

    การมาที่ถ้ำครั้งนี้เรามิได้นำกลดมาด้วย เพราะเพียงแต่มาดูทำเลเท่านั้น เมื่อแยกจากทางสัญจรของผู้คนจะมีทางลาดขึ้นสู่เชิงเขา ระยะทางประมาณ ๒๐๐ เมตร เป็นทางรกชัฏต้องแหวกพงหญ้าเข้าไป เป็นทางเดินเข้าป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแต่แยกขึ้นสู่เขาถ้ำทะลุก่อน

    ทางขึ้นสู่เขาเป็นทางเดินสัก ๑๐๐ เมตร ต่อจากนั้นเป็นหน้าผา ต้องปีนขึ้น ๓ ระดับจึงถึงบริเวณถ้ำ ถ้ำเป็นส่วนกลางของภูเขา ใหญ่เหมือนเป็นศาลามีหลังคาสูงโปร่งขนาดใหญ่ กว้างขวางไม่อึดอัด แต่ยุงชุมเหลือเกิน สถานที่นี้เคยมีพระภิกษุมาพักในฤดูร้อน ท่านจึงให้คนทำเตียงขนาดพอนอนไว้ สถานที่นี้ยังไม่มีใครมาจำพรรษาเลย ไม่ทราบว่าเพราะอะไร?

    เมื่อถึงชั้นบนท่านก็นั่งบนเตียงพลางหันมากล่าวกับเราว่า "ถ้าเป็นสมัยหลวงพ่อธุดงค์อยู่ สถานที่เช่นนี้หลวงพ่อชอบมาก" คำนั้นถือว่าเป็นคำชี้นำสำหรับเราผู้ศรัทธาในพระพุทธองค์และพระสุปฏิปันโน อย่างหลวงพ่อ ผู้เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยอย่างมาก จึงรับปากท่านว่า "กระผมจะมาจำพรรษายังสถานที่นี้"
    เมื่อท่านอยู่พักบนนั้นสักพัก ท่านก็ได้พาเดินกลับยังสำนักสงฆ์ต่อไป เมื่อกลับมาแล้วเราได้จัดเตรียมสัมภาระเพื่อเตรียมการในการจำพรรษาในป่าตามลำพัง นับเป็นการจำพรรษาในป่าตามลำพังครั้งแรก การจัดเตรียมมิได้จัดเตรียมอะไรมากมีเทียนและโคมเทียนสปริง มีดพก ซึ่งเป็นของคู่กายเราอยู่แล้ว ท่านเจ้าอาวาสได้อนุญาติให้รถจีปมาส่งที่เชิงเขา ต่อจากนั้นเราจึงเดินเข้าสู่เชิงเขาตามลำพัง เวลานั้นตกบ่ายเสียแล้ว การมาครั้งนี้ไม่มีใครเลย มองซ้ายแลขวาหาใครไม่เห็นนอกจากเพื่อนตายคือใจนี้เอง ไม่รู้จะปรึกษาใคร และใครจะช่วยเราเจ้ากอบเกียรตินี้ได้ หากเกิดเพทภัยอันตราย เคยอยู่ตามลำพังคนเดียวเป็นปีไม่พูดกับใคร แต่นั่นในวัดซึ่งจัดทุกอย่างให้เป็นที่สัปปายะแล้ว มัวคิดเพลินเจ้าขาพาดั้นด้นแหวกพงหญ้าเกือบถึงหน้าผาแล้ว จึงจัดกลดบาตรให้เข้าที่แล้วเริ่มปีนป่ายเหมือนแมงมุม ปีน ๔ เท้า พลาดบ้างถูกบ้าง ลื่นบ้าง กว่าจะถึงชั้นบนลำบากเอาการ เนื่องเพราะสัมภาระเป็นเหตุ

    พอวางสัมภาระเรียบร้อย เริ่มเดินสำรวจดูจนถึงหลังถ้ำ มีทางไต่ด้านหลังถ้ำเป็นห้องสุขาชั่วคราว พอหย่อนก้อนอุจจาระปัสสาวะลงหลุมหิน นึกเสียว่าเป็นคอห่านก็แล้วกัน เคยอ่านประวัติหลวงปู่มั่นท่านสอนลูกศิษย์ว่า ที่ถ่ายหนักถ่ายเบา ควรอยู่แยกจากที่พักหรือไปอยู่ในทิศอันเฉพาะเพื่อที่ว่าเทพพรหมเมื่อมาเยี่ยมจะได้ไม่เคอะเขิน

    สำรวจด้านหลังเสร็จพิจารณาภายในพื้นถ้ำแล้วปูด้วยฝุ่นและขี้ค้างคาว พื้นราบประมาณศาลาขนาดจุคนได้สัก ๑๐๐ คนเห็นจะได้กลางถ้ำมีหินใหญ่ถูกน้ำหินปูนหยดลงจนสูงตั้งตระหง่านอยู่กลางถ้ำ ร่องรอยพื้นถ้ำบริเวณต่างๆมีรอยถูกขุดของเหล่านักล่าขุมทรัพย์

    เมื่อพิจารณาโดยรอบแล้วหันมาดูเตียงที่จำพรรษาเป็นเตียงไม้เนื้อแข็งทำไว้อย่างดี พิจารณาตามหลักพระธรรมวินัยพระพุทธองค์ ทรงห้ามจำพรรษาในที่ไม่สมควรคือ ๑.ในโพรงไม้ ๒.บนกิ่งหรือคาคบไม้ ๓.กลางแจ้ง๔.ไม่มีที่นอนที่นั่ง๕.ในกลด(ไม่มีที่มุงบังด้านใดเลย)๖.ในโลงผี๗.ในตุ่ม วัสสูปนายิกขันธกะ มหาวรรค พิจารณาดูแล้วถ้ำแห่งนี้มีที่มุงคือหลังถ้ำ มีผนังด้านซ้ายและขวา เพียงด้านหน้าและหลังเปิดโล่งเท่านั้น พิจารณาแล้วจำพรรษาได้

    มาพิจารณาที่เตียงแล้วไม่มีอะไรรองขาเพราะมดเมื่อหนีฝนหรือได้กลิ่นคาวอาหารจากจีวรอาจตามมารบกวนเวลาจำวัดได้ กำลังคิดอยู่นั้นเจ้าใจวิปลาสไม่รู้มาจากไหน ยุยงว่าเห็นท่าจะอยู่จำพรรษาไม่ได้ ด้วยเกรงจะเกิดเพทภัยในกลางพรรษาเสียแน่แท้ ด้วยมองแล้วไม่เห็นใครดูช่างลำบากเสียนี่กระไร อย่าช้าอยู่เลยรีบเผ่นเถอะเผื่อจะตามรถจี๊ปทัน ไม่ทันยั้งคิดเจ้าใจวิปลาสหอบกลดจ้ำอ้าวปีนลงจากถ้ำไม่คำนึงถึงว่าแขนขาจะโดนหินบาดเลือดไหล ไม่ช้าเลยก็นำร่างที่เป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์มายืนบนถนนดิน ชะเง้อหารถจี๊ปพลางเดินจ้ำอ้าวตามรถจี๊ปอย่างไม่คิดชีวิต

    เมื่อเห็นใจวิปลาสได้ทำหน้าที่โดยใจส่วนดีมิได้ทักท้วง แต่เห็นท่าจะเลยเถิดจึงสอนตนเองว่า "เจ้ากอบเกียรติเอ๋ย เจ้าสู้อุตส่าห์บวชมารอคอยนานปี กว่าจะพ้นนิสัย (หมายถึงบวชแล้วอยู่ศึกษากับครูอาจารย์ ๕ พรรษา เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย แล้วจึงจะออกวิเวกตามลำพังได้) เมื่อได้มีโอกาสมาบำเพ็ญคนเดียวมากลัวตายทำไม เราจะกลัวอะไรเราไม่ได้อยู่คนเดียว เราเหมือนนั่งใกล้พระพุทธองค์ ปฏิบัติใกล้พระพุทธองค์มิใช่หรือ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "โยมัง ปัสสติ โส มัง ปัสสติ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต" แม้จะต้องตายลงที่ถ้ำแห่งนี้ คงต้องขอยอมตายเสียแน่แท้ ใช่ว่าเราไม่เคยอยู่คนเดียวมาแล้ว เราอยู่มาแล้วเป็นแรมปี คราวเป็นสามเณรไม่พูดกับใครในป่าช้า ตายคงต้องยอมตายเถอะ เจ้ากอบเกียรติ"

    เมื่อสอนตนเองเช่นนั้นแล้วจึงหันหลังกลับขึ้นสู่ถ้ำ พอถึงถ้ำจึงรีบแขวนกลดกับเศษไม้ไผ่ทำเป็นราว พอทำทุกอย่างเสร็จเริ่มมืดเสียแล้ว จึงต้องเข้ากลด ทำวัตรตามลำพังคนเดียว และเจริญอานาปานสติจนอ่อนเพลียและหลับไปพร้อมแสงเทียนในโคมเทียนก็ดับไปเช่นกัน

    [​IMG]
    ช่างเป็นคืนที่สงบเย็นท่ามกลางธรรมชาติ มีกายนี้เป็นเพื่อน เช้าแล้วนั่งทำวัตรพิจารณาธรรมรอบข้างและเสนาสนะอันยังไม่เหมาะสมหลายอย่าง มีแคร่ฉันอาหาร ทางเดินที่มีแต่หญ้าคลุม หลุมถ่ายข้างล่าง ตีนเขา นั่งพิจารณาจนใกล้สว่างแล้ว เราจะบิณฑบาตที่ใดหนอ มองไม่เห็นบ้านญาติโยมเลย เอาละไม่เป็นไรเดินดั้นด้นไปก็แล้วกัน

    จึงห่มคลุมตะพายบาตร กระติกน้ำ ลงจากเขาทันที เริ่มเดินไปจึงได้เห็นหลังคาบ้านแต่ไกลในป่าอีกฝั่งห่างจากทางเดินราว๑ กม.แต่มองไม่เห็นทางเข้า จึงลุยป่าเข้าไป บุกจนเจอลำธารเข้าใจว่าจะเป็นลำธารไปสู่บ้านหลังนั้น

    [​IMG]

    กว่าจะทะลุไปเจอทางเข้าบ้านเล่นเอาเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยน้ำและเลือดจากหญ้าคาที่บาทตามเนื้อตัว เมื่อเข้าไปใกล้สุนัขเริ่มเห่า สักพักเราก็เดินมาถึงบ้านเป็นบ้านปลูกอย่างง่ายทำด้วยปีกไม้ไม่มีฝาสวยงาม มีอุบาสกแต่งชุดคล้ายทหารอายุราว ๖๐ ปี ยืนอยู่สงสัยว่าสุนัขเห่าอะไร เตรียมถือปืนยาวออกมารอท่า พอเห็นพระศรีษะโล้นมอมแมมเดินมาหยุดต่อหน้า ไม่รู้จะทำอะไร พอนึกขึ้นได้เมื่อเห็นเรายืนนิ่งไม่ไหวติง มีบาตรอยู่ในมือ อุบาสกนึกได้รีบกุลีกุจอนิมนต์ให้รอก่อนและขึ้นไปบนบ้านพลางหยิบกล้วยและถั่วลิสง พร้อมข้าว มาใส่ลงในบาตร เรารับด้วยดี พลางนึกในใจว่าจะนำอาหารของท่านเพื่อปฏิบัติให้สมกับทานของท่าน เมื่อให้พรจบอุบาสกได้ถามว่า "ท่านมาจากที่ไหน" ตอบอุบาสกไปว่า "อาตมามาจากถ้ำทะลุ พรรษานี้จะจำพรรษาที่นี้ แล้วยื่นกระติกน้ำให้อุบาสก ซึ่งอุบาสกคงทราบเจตนารีบถวายน้ำฝนทันที" และไม่ได้พูดคุยใดอีก คงเดินกลับออกทางหน้าบ้านซึ่งขาออกเดินทางง่ายกว่าเข้ามามาก
    เมื่อกลับมาถึงถ้ำได้ฉันอาหารบนถ้ำ แม้ฉันแสนจะลำบากด้วยว่ายุงรุมกัดเต็มไปหมดกว่าจะฉันเสร็จนึกว่าคงได้รับเชื้อมาลาเรียไปหลายแล้ว ต้องล้างบาตรหน้าถ้ำนั่นเอง พิจารณาว่าสงสัยถ้าขืนเป็นอย่างนี้ กองทัพมดคงมา และต่อด้วยกองทัพหนูและต่อด้วยกองทัพงู เห็นท่าพรรษานี้คงสนุกแน่เรานึกแล้วสมเพชเจ้ากอบเกียรติเสียนี่กระไร ที่ไปไหนไปกัน

    หลังฉันแล้วนึกถึงทางจงกรมหนียุงเป็นอันดับแรก มองเห็นแนวยาวอีกฟากของผนังถ้ำ เริ่มหาเศษไม้ไผ่มาไถพื้นดินและฝุ่นให้เรียบเป็นทางยาวสัก ๒๐ เมตร
    [​IMG]


    นับเป็นทางเดินจงกรมแนวยาวดีจริง พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า การเดินจงกรม(เดินกลับไปกลับมา)นั้นมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ ๑.อดทนต่อการเดินทางไกล ๒.อดทนต่อความเพียร ๓.มีอาพาธน้อย ๔.อาหารที่กิน,ดื่ม,ลิ้มรสแล้ว ย่อมย่อยยับไปด้วยดี ๕.สมาธิที่ได้ในขณะจงกรม ย่อมตั้งอยู่นาน ปฐมปัณณาสก์ ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย

    การได้อยู่คนเดียวนั้นต้องระวังจิต อยู่ร่วมมิตรระวังวาจา เห็นท่าจะจริงไม่ว่าเราจะเดิน ก้ม นั่ง ปรับพื้นดินอยู่นั้นคงมีแต่จิตใจนั่นเอง เที่ยวโลดแล่นไปตามอำเภอใจ พอไปกินเที่ยวเสวยอารมณ์อิ่มหนำสำราญแล้ว เจ้าใจนี้ก็กลับมาพักเหนื่อยยังที่พักของเขา พอหายเหนื่อยมีสิ่งทั้งหลายอันใจสอดส่ายไปตามช่องทางทั้งหลาย มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้นั่นเอง มัวพิจารณาธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าอยู่นั้น ทางจงกรมเริ่มเป็นรูปร่างแล้วนะ จึงเริ่มตระเวนออกไปภายนอกถ้ำเพื่อแกะก้อนหินที่พอยกได้ นำมาเรียงด้านข้างทางจงกรมเพื่อที่ว่า ในเวลาค่ำคืนเมื่อจุดเทียนแล้ว คงพอเห็นแนวรำไรซึ่งจะสามารถเดินได้โดยที่ไม่หกล้มเสียก่อนนั่นเอง กำลังสาละวนกลิ้งหินอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงอย่างหนึ่งดังขึ้นมาจากตีนเขา ซึ่งหลืบเขาบังไว้ไม่สามารถทราบได้ว่าเจ้าเสียงนั้นคืออะไร แต่เมื่อเสียงนั้นเข้ามาใกล้จึงพอทราบได้ว่าเป็นฝีเท้ามนุษย์

    ปรากฏว่า ท่านผู้นั้นคือ ลุงนาม ผู้ที่ใส่บาตรเมื่อเช้านั่นเอง มาพร้อมมีดหวดหนึ่งเล่ม ท่านมาหยุดที่หน้าถ้ำ แล้วนมัสการเราตามธรรมเนียมพลางกล่าวว่า มาดูว่าที่ท่านพูดเมื่อเช้านั้น ท่านอยู่จำวัดบนนี้จริงหรือไม่ เพราะเท่าที่อยู่ที่นี่นั้น ยังไม่มีพระองค์ใดอยู่จำพรรษาที่นี่ได้ มีอยู่รูปหนึ่งมาพักได้คืนที่สองก็เผ่นแน่บ บอกว่ามีแสงอะไรไม่รู้ออกมาจากผนังถ้ำพุ่งเข้าใส่ไม่หยุด กลัวจึงเผ่นหนีในเวลาคืนนั้นเอง

    เราจึงตอบว่า อาตมาไม่กลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้น ที่ไม่กลัวเพราะว่ามิได้เก่งกล้าสามารถ แต่เป็นเพราะอาตมามิได้นอนก็ดี นั่งก็ดี เดินก็ดี ท่ามกลางศัตรูผู้มุ่งร้าย แต่นอนก็ดี นั่งก็ดี เดินก็ดี ท่ามกลางพ่อแม่ทั้งหลายผู้หวงแหนห่วงใยในอาตมา เหมือนดั่งอาตมาเป็นบุตรโทนฉันนั้น (นำเคล็ดลับนี้มาจากคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงสอนให้พระที่จะไปอยู่ป่าท่องไว้นั้นคือบท กรณียเมตตสูตร มีตอนหนึ่งที่เราได้นำมาใช้และได้ผล คือหลังจากใช้เป็นหลักแล้วไม่เคยมีวิญญาณใดมาอำ หรือแทรกทับต่อกายวิญญาณได้เลย ตอนนั้นคือ มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง แปลว่า มารดาผู้ถนอมบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน ด้วยการยอมสละชีวิตของตนแทนฉันใด พึงเจริญเมตตาจิตอันกว้างใหญ่ อันหาประมาณมิได้ ในสัตว์ทั้งปวง แม้ฉันนั้น )
    กระผมมิได้ดูถูกท่านหรอก แต่มีมาหลายองค์แล้วประสพเช่นที่กล่าวทุกองค์ ลุงนามยังคงกล่าวสำทับเหมือนเดิม เมื่อเราเห็นท่านกล่าวเช่นนั้นในใจคิดว่า เรามาที่นี้ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว มีเพียงกายนี้เท่านั้นเป็นเดิมพัน ซึ่งเจ้ากอบเกียรติก็ยอมตกลงรับปากแล้วว่าจะขออยู่เคียงข้างจนวาระสุดท้ายมาถึง เมื่อเห็นลุงนามทำท่าจะกลับ จึงเอ่ยขึ้นว่า
    คุณโยมอาตมามีเรื่องจะรบกวนโยมอย่างหนึ่งเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของพระภิกษุที่จะจำพรรษาในป่า แต่ติดตรงที่ว่า ธรรมเนียมแล้วพระพุทธองค์ท่านทรงอนุญาติให้ขอได้เฉพาะโยมที่ปวารณา หรือพ่อแม่เท่านั้น ไม่ทราบว่าคุณโยมพอจะอนุเคราะห์อาตมาเรื่องทั้งหลายที่ดูแล้ว คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของคุณโยมแน่ เสร็จแล้วเราคงนั่งนิ่งเงียบเพื่อดูว่าจะเป็นที่อึดอัดคุณโยมหรือไม่ ปรากฏว่า ลุงนามตอบตกลงปวารณาว่าถ้าท่านต้องการสิ่งใดบอกกระผมได้เลย ลุงนามผู้มีใจกรุณาได้เปิดหนทางให้กับเราแล้ว จึงบอกกับโยมว่า สิ่งหนึ่งที่พระภิกษุจำพรรษาควรมีคือ สถานที่ฉันอาตมาขอเพียงแคร่ไม้ไผ่ สักตัวก็พอ และหลุมอุจจาระข้างล่างตีนเขา คงพอสำหรับอาตมาในการจำพรรษา อ้ออีกข้อหนึ่งคือ ในป่าควรที่จะดื่มน้ำต้มสุก แต่การต้องหาฟืนมาจุดไฟแล้ว อาตมาดูจะเป็นภาระต่อการปฏิบัติ ถ้าไม่รังเกียรจอาตมาจะขอบิณฑบาตน้ำต้มจากคุณโยมขณะบิณฑบาตได้ไหมเอ่ย
    ลุงนามตกปากรับคำ เพราะดูแล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรงแน่ ท่านบอกว่าพรุ่งนี้จะเริ่มทำทั้งหมดและจะทำทางเดินขึ้นเขาให้ท่าน อ้อลืมบอกท่านว่าที่นี่คือดงจงอาง ท่านควรระวังอย่าไปไหนยามค่ำคืน ซึ่งได้บอกท่านไปว่าจะระมัดระวังให้มาก

    วันนี้หลังลุงนามกลับไปแล้ว ได้ทำทางจงกรมสำเร็จจึงได้ลงไปยังลำธารตีนเขาห่างถ้ำประมาณ ๑ กม.เห็นจะได้ ขณะเดินผ่านลัดเลาะกลับมายังถ้ำนั่นเองจึงได้ทราบว่า ในเวลาพลบค่ำงูทั้งหลายต่างออกหากิน กว่าจะเดินถึงถ้ำได้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะมักได้ยินเสียงของงูใหญ่ไหวตัวหนีเสียงแปลกปลอมซึ่งย่างเท้ามา งูเหล่านี้ตัวใหญ่และปราดเปรียวมองเห็นกันได้อย่างชัดเจน อยู่ในป่าระวังใจ ต้องระวังใจให้อยู่กับกายมิให้คลาดเคลื่อนเลย มิฉะนั้นเมื่อใจนี้ส่งไปภายนอกมาก พลอยจะสร้างภาพงูขึ้นมาสมทบ ต่อจากนั้นเจ้าใจนี้ก็จะปรุงแต่งเสียสวยหรูให้เกิดความกลัวต่างๆนานา ผลสุดท้ายคงต้องยอมแพ้ต่อการปฏิบัติล่าถอยไปในที่สุด

    เมื่อได้อุบายเช่นนั้นจึงให้อยู่กับการเหยียดคู้ของกายไปมาอันมีกระดูกเป็นข้อๆอยู่ภายใน เมื่อกลัวก็รู้ทันทีว่าใจนี้ออกจากกัมมัฏฐานเสียแล้ว นับเป็นการตรวจสอบอย่างดีทีเดียว

    คืนนี้เดินจงกรมบนทางจงกรมโดยมีเพียงแสงเทียนจากโคมผ้าส่องแสงเรืองรอง พอมองเห็นทางจงกรมรำไร นับเป็นบรรยากาศอันลึกซึ้งอย่างบอกไม่ถูกเชียว ถ้าใครอาจหาญที่จะอยู่ในป่าคนเดียว ท่องไปในป่าเหมือนนอแรด ตามคำของพระพุทธองค์ เชื่อได้ว่าไม่บ้าเสียก่อนคงต้องรู้ธรรมแน่และเราคงเป็นอีกผู้หนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ในข่ายไหนบ้าหรือตายหรือรู้ธรรม ที่แน่ๆคงต้องอดทนและอดกลั้นเพื่อผ่านบ้ากับตายให้ได้เสียก่อนจึงจะถึงธรรมได้

    ขณะเดินจงกรมอยู่นั้น อยู่กับกายเหยียดคู้ให้รู้สึกเหลือเกินว่ามีท่านผู้หนึ่งจ้องมองไม่ไหวติง ซึ่งท่านผู้นั้นคงมิได้เป็นมิตรอย่างแน่แท้และคงจะเป็นผู้ตรวจสอบในข้อวัตรของเราอย่างแน่นอน ซึ่งได้แผ่เมตตาเสมือนดั่งว่า ท่านเป็นพ่อแม่ของเราที่พลัดไปเกิดยังภพภูมิอื่น แต่อย่างไรเสียท่านยังคงเป็นพ่อแม่ในอดีต เมื่อแผ่เมตตาไปยังท่านผู้นั้นท่านยังคงมองเฉยอยู่ โดยหลีกไปยืนอยู่ภายนอกถ้ำนั่นเอง

    คืนนี้ใกล้จะหมดไปแล้วและจะย่างเข้าสู่การจำพรรษาซึ่งเป็นการจำพรรษาตามลำพังแต่เพียงผู้เดียว ได้อธิษฐานจำพรรษายังสถานที่นี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะขอจำพรรษายังสถานที่นี้จนตลอด ๓ เดือน ถึงแม้ความตายมาถึงจะขออยู่จำพรรษา ในสถานที่นี้ขอคุณบารมีแห่งธรรมและศีลอันรักษาดีแล้วจงปกปักษ์รักษาให้รู้ธรรมเห็นธรรมด้วยเทอญ อิมัสมิง อาวาเส อิมัง เตวาสัง วัสสัง อุเปมิ ข้าพเจ้าจะขออยู่จำพรรษาในถ้ำนี้ตลอด ๓ เดือนนี้

    เช้านี้เป็นเช้าของการเข้าพรรษาตะพายกระติกน้ำและบาตรลงจากหน้าผา บ้านหลังแรกคือบ้านลุงนาม ท่านได้เตรียมอาหารหวานคาวและน้ำร้อน แต่น้ำร้อนท่านบอกว่าจะนำมาถวายทุกบ่ายเพราะเกรงว่าท่านตะพายกลับไปจะร้อนสีข้างของท่านแน่ เราจึงถามลุงนามว่า แถวนี้นอกจากบ้านคุณโยมแล้วมีหลังอื่นไหม ท่านบอกว่ามีอีก ๒ หลัง ท่านเดินอ้อมเขาเป็นวงกลมจะเจอบ้านตาแหลม และตาช่วง ซึ่งได้ถามเส้นทางจากลุงนามและออกเดินทางทันที เพราะเกรงว่าการบิณฑบาตเพียงบ้านเดียวจะเป็นการรบกวนโยมมากไป บางทีโยมอาจไม่อยากใส่หรือไม่มีอาหารจะแบ่งเราผู้ภิกขาจาร คุณโยมจะได้มีทางออกว่ายังมีบ้านอื่นที่คอยใส่ จึงลัดเลาะอ้อมภูเขาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเขาถ้ำทะลุ หนทางเดินมีแต่ขี้โคลนและเลน เส้นทางนี้ใช้เป็นเส้นทางลำเลียงไม้ของช้างป่า กว่าจะเดินถึงบ้านตาแหลมเนื้อตัวมอมแมมเพราะขี้เลนกระเด็นเต็มหมด มาหยุดยืนนิ่งเฉยอยู่หน้าบ้านสัก ๑๐ นาทีไม่ไหวติง เจ้าของบ้านเห็นเข้าจึงนำข้าวมาใส่ เราจึงอนุโมทนาโยมและเดินมายังบ้านตาช่วงซึ่งก็ได้อาหารตกถึงบาตรเช่นเดียวกัน
    วันนี้หาที่เตียนพอแห้งที่ตีนเขาแล้วเริ่มฉันอาหารทันที ฉันยังไม่เสร็จดีลุงนามพร้อมลูกชายมาถึงแลเห็นเรานั่งฉันใต้กอไผ่ ท่านทั้งสองจึงรีบกุลีกุจอทำที่ฉันทันที ท่านบอกว่าได้คิดว่าจะไม่ทำแคร่อย่างเดียวแต่จะทำหลังคาให้ท่านด้วย เผื่อว่าฝนตกพอดีท่านจะได้นั่งฉันต่อไป ซึ่งได้อนุโมทนาบุญให้กับคุณโยม พรรษานี้ไม่มีใครเลยนอกจากลุงนามจริงๆ แม้เจ้าสำนักสงฆ์ท่านนั้นท่านยังไม่สนใจเราเลย ไม่เป็นไรกลับทำให้เราแกล้วกล้าๆแข็งในอันจะฟันฝ่าความยากลำบากทั้งปวง หลังจากฉันเสร็จแล้วได้ล้างบาตรข้างล่างและได้อยู่ช่วยลุงนามและบุตรหยิบฉวย ในสิ่งที่เราจะหยิบฉวยได้ ไม่ทันเย็นแคร่พอนั่งฉันอันแรกในป่าเปลี่ยวแห่งนี้ก็เกิดขึ้น มีหลังคาพอนั่งได้เพียงลำพัง พรุ่งนี้ลุงนามบอกว่าจะนำแฝกที่บ้านมามุงให้ซึ่งใช้ไม่กี่ตับก็พอแล้ว

    หลังจากลุงนามและลูกชายกลับไปแล้ว เราเดินสำรวจไปรอบๆ แต่เท้ากลับไปเหยียบเอาหนามไผ่ นี่ซิเลือดออกมากเชียว เจ้านามไผ่เนี่ยอย่าบอกใครเชียว ช่างแหลมและยาวมากทิ่มเข้าแล้ว ปวดระบมและเลือดก็ออกนานด้วย จึงต้องหาเศษผ้าอาบน้ำฝนมามัดเท้าไว้ แล้วค่อยๆเดินกะเผลกปีนขึ้นเขา สงสารแต่กายนี้ที่สู้ทนทรหดเหลือเกิน ยังไม่ทราบว่าจะแผลงฤทธิ์ดื้อรั้นเอากันเมื่อไหร่ เรื่องเท้านี้คอยแต่จะโดนโน่นโดนนี่เพราะเราไม่ใส่รองเท้ามาตั้งแต่บวชเณรจนบัดนี้ ด้วยว่าได้ค้นคว้าดูในพระไตรปิฎกแล้วไม่พบที่ไหนว่าพระพุทธองค์ท่านทรงสวมใส่ และในเมืองไทยไม่ว่าถ้าหากพระองค์ไหนจะไม่ใส่รองเท้า แม้พื้นดินตามที่ต่างๆจะมีสัตว์ทั้งหลายชอนไชเข้าไปในเท้าก็ตามแต่ การไม่ใส่รองเท้านี้ทำให้เราไม่ประมาทไม่ว่าจะก้าวเดินไปยังที่ใด สติสัมปชัญญะย่อมสมบูรณ์ดี อีกทั้งธาตุทั้งหลายของโลกย่อมถ่ายเท ระหว่างกายธาตุดินที่มีวิญญาณครองกับธาตุดินที่ไม่มีวิญญาณครองคือ ผืนโลก จะทำให้กายมีวิญญาณครองมีความกระฉับกระเฉงดี

    เมื่อขึ้นมาบนถ้ำพร้อมสังขารที่อิดโรยเพราะ กวาดข้างล่างจนสะอาดและกำลังระบมกับเท้าที่โดนหนามตำ จึงวางบริขารมีบาตร เป็นต้น แล้วเดินสำรวจไปหลังถ้ำ ด้านหลังถ้ำเป็นหน้าผาสูงชัน มองไปไกลแล้วเห็นทิวเขาสุดลูกหูลูกตา มีก้อนหินขนาดใหญ่พอทำเป็นที่นั่งเพื่อมองไปยังทิวทัศน์อันไกลโพ้นนั้น มองไปตามหน้าผาแล้วจึงเดินไต่ไปข้างหลังลาดลงไปต่ำอีกหน่อย จึงค่อยกลิ้งก้อนหินทำเป็นทางเดินเผื่อว่าท้องไส้รวนเรจะได้ทำเป็นห้องน้ำชั่วคราว
    เมื่อเห็นว่าไกลจากปากถ้ำด้านหลังพอสมควรแล้ว จึงนำก้อนหินมาตั้งเป็นกองพอทำเป็นหลุมชั่วคราวนั่นเอง

    ขณะทำอยู่นั้นได้ยินเสียงประหลาดดังจากตีนเขาด้านหลังถ้ำ เป็นเสียงคล้ายสัตว์ประเภทมีปีก แต่แปลกพิกลที่ว่า ถ้าเป็นสัตว์ประเภทจักจั่นเรไร น่าจะร้องพร้อมๆกันทั้งราวป่า แต่นี่ร้องลักษณะเดินไล่จากตีนเขาขึ้นมา เสียงนั้นคือเสียงอะไรกันหนอ ?

    หลังจากเสร็จจากหลังถ้ำก็มืดพอดี จึงล้างเท้าเข้ากลดทำวัตร แผ่เมตตาไปโดยรอบ พระพุทธองค์ท่านทรงแนะว่า การแผ่เมตตาควรแผ่อย่างชนิดไม่มีประมาณ ไปในสัตว์ทั้งหลาย แล้วจึงล้มตัวลงนอนในท่าตะแคงขวาซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า เป็นท่านอนที่พระพุทธองค์ทรงใช้บรรทมตลอดพระชนม์ชีพ ส่วนเราได้ใช้ขาบาตรมาวางนำผ้าเช็ดตัววางบนและทำเป็นหมอน เวลาจะพลิกย่อมรู้สึกตัว เพราะนอนได้อย่างเดียวคือ นอนตะแคง ย่อมมีสติแม้มีเภทภัย เมื่อกล้ำกรายเข้ามาใกล้ โดยเราไม่ต้องท่องคาถาอาคมใดๆเพื่อคอยปกปักษ์รักษาตัวเรา ไม่ว่าใครจะย่างกรายเข้ามาในรัศมีของกายเราจะรู้ตัวขึ้นก่อนเสมอ

    รุ่งเช้านี้ รีบตื่นอย่างฉับพลัน รู้สึกว่าเราจะต้องเร่งความเพียรให้กับตัวเอง จะมามัวนอนหลับเอกเขนกอยู่ทำไม เวลาของกายแตกไปใกล้เข้ามาแล้ว ทุกขณะอาจจะตายวันนี้ พรุ่งนี้หารู้ไม่ ยิ่งมานอนอยู่ในราวป่าแห่งนี้ใครเล่าจะช่วยได้ แม้ร้องตะโกนก็เถอะ ก็ไม่มีใครได้ยิน จะมามัวนอนเป็นหมูอ้วนที่เขาขุนไว้ให้อ้วนพี เพื่ออ้วนรอวันเขามาจับไปเชือดหรือไงกัน

    เมื่อสอนตนเองเช่นนั้น จึงรีบตื่นเมื่อมีสติตื่นขึ้นจะเป็นเวลาใดหารู้ไม่ ลุกขึ้นได้รีบจุดตะเกียงลงเดินจงกรมบนทางจงกรมนั้นด้วยขาที่กะเผลกไปมา อยู่อย่างนั้นจนใกล้สว่างจึงจัดเตรียมบาตร นำบาตรมาเช็ดแล้วนำน้ำสะอาดมากลั้ว เพื่อให้ชะล้างฝุ่นและเศษอาหารที่อาจจะยังคั่งค้างออกไป เพื่อได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่สั่งสมกักตุนอาหาร อันจะนำพาซึ่งความข้องกังวลใจว่า เราไม่ทำตามคำสั่งของพระพุทธองค์ ที่ว่าห้ามกักตุนอาหารไว้ในที่อยู่อาศัย การปฏิบัตินั้นจำต้องเคร่งครัดให้มากที่สุดเพื่อจิตของเรานั่นแหละจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ว่าไอ้โน่นก็ข้องใจ ไอ้นี่ก็ข้องใจ

    วันนี้บิณฑบาตได้อาหารพอประมาณ พอยังชีพได้เพราะมี สามหลังสามขัน ดูแล้วน่าจะเพียงพอแล้วนะ บางทีก็ดูเกินความต้องการเสียอีก ไม่เป็นไรคงได้เป็นทานแก่นก หนู มดต่อไป

    วันนี้ลุงนามมามุงหลังคาแฝกให้เรียบร้อย เมื่อลองนั่งฉันแล้วหลังคาเตี้ยติดศรีษะพอดีเลย ดีกว่าไม่มีหลังคาคุ้มฝนเป็นไหนๆ ลุงนามและลูกชายได้นำตุ่มมาและนำสังกะสีมาทำรางเพื่อรองน้ำฝน เอาไว้ใช้ล้างบาตรและสรงน้ำ ซึ่งเราคิดว่าเหมาะที่จะสรงน้ำมากกว่า เพราะพรรษานี้เราจะสรงน้ำแบบขันเดียวพออาบทั้งหมด คือหยอดนิดหนึ่งถูให้หมดทำนองนั้น เพื่อประหยัดน้ำไปในตัว ยกเว้นมาอาบน้ำกลางพายุฝนซึ่งพระพุทธองค์ท่านทรงอนุญาติไว้แล้ว จึงมีผ้าอาบน้ำฝน เนื่องด้วยน้ำฝนนั้นเมื่ออาบแล้วย่อมได้กายที่ปลอดโปร่ง เป็นกายที่เหมาะแก่การภาวนาดีจริง

    เมื่อลุงนามและลูกชายจะกลับจึงขอให้พรแกท่านทั้งสอง เพราะเราไม่รู้จะให้อะไรตอบแทนนอกจากสิ่งนี้

    ที่มา http://www.geocities.com/gaytiplokvilyan/trevel4.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...